[SF] YunJae รักนี้เพื่อเธอ # Intro
เพื่อให้ได้อารมณ์มากขึ้นฟังเพลงนี้ระหว่างอ่านไปด้วยนะคะ ^^
https://www.youtube.com/watch?v=94suGncUGXU
“ไก่ย่างไหมครับไก่ย่าง ไก่ย่างอร่อยๆ ครับ”
“เหมาหมดเท่าไหร่ครับ”
“หวัดดีครับคุณแจจุง”
“หวัดดีครับคุณยุนโฮ”
“คุณแจจุงอ่ะล้อผมเล่นเรื่อยเลย”
“ก็คุณยุนโฮเริ่มก่อนไม่ใช่หรอ”
“ผมก็เรียกคุณแจจุงอยู่ทุกวันอยู่แล้ว”
“ผมผิดเองซินะงั้นผมขอโทษนะ”
“คุณแจจุงอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
นี่คือเหตุการณ์ประจำวันของผมชองยุนโฮพ่อค้าขายไก่ย่างกับลูกค้ากิตติมาศักดิ์คุณแจจุงที่จะพูดคุยหยอกล้อแซวกันทุกวันแต่ละวันก็ไม่ซ้ำกันหรอกครับ ถ้าจะถามว่าผมกับคุณแจจุงรู้จักกันได้ยังไงก็คงเป็นเมื่อสามเดือนก่อนครับวันนั้นคือวันที่ผมเจอคุณแจจุงครั้งแรก
“แม่นะแม่ให้มาทำงานอะไรก็ไม่รู้ดูแต่ละคนซิทั้งเพื่อนร่วมงานทั้งหัวหน้าแม่งแต่ละคนเอาแต่ใจตัวกันทั้งนั้น”
ผมที่ขายไก่ย่างมาตั้งแต่เย็นจนถึงเดี๋ยวนี้เพิ่งขายไปได้ไม่กี่ไม้เอง ไก่ย่างของผมออกจะอร่อยแต่ทำไมไม่ค่อยมีคนซื้อเลย จนกระทั้งมีใครบางคนมายื่นบ่นที่หน้าร้านผมพอดี แหมงานนี้เข้าทางผมงานขายไก่ต้องมา แถมยังสวยอีกต่างหาก งานนี้เสร็จผมแน่นอน
“คุณลูกค้าครับรับไก่ย่างทานสักไม้ไหมครับรับรองอารมณ์ดีขึ้นแน่นอน”
คนที่ผมพูดด้วยตอนแรกก็เหมือนไม่รู้นะว่าผมพูดด้วยจนเจ้าตัวหันไปมานั้นแหละถึงรู้ว่าผมพูดด้วย งานนี้ยิ้มอย่างเดียวเท่านั้น แต่แหมทำไมต้องมองที่เตาทีหน้าผมทีด้วยล่ะ
“กินไก่ย่างเนี่ยนะแล้วจะหายเครียด?”
ก็ไม่รู้ว่าจะหายเครียดรึเปล่านะแต่ก็ต้องแถไว้ก่อน
“ถ้าคุณลูกค้าอย่างรู้ว่าจะหายเครียดไหมก็ลองดูสักไม้ซิครับ”
ผมรอลุ้นอยู่ว่าลูกค้าคนนี้จะหลงผม เอ้ย! หลงกลผมไหมนะ แหมมีที่ไหนกินไก่แล้วหายเครียด และก็สำเร็จลูกค้าคนสวยหลงกลผมจนได้ ฮ่าๆๆๆๆๆ
“เป็นยังไงครับอร่อยไหมครับ”
“อืมก็อร่อยดีใช้ได้อยู่นะ ไหนนายบอกว่ากินแล้วจะหายเครียด? ทำไมฉันกินแล้วไม่รู้สึกว่าหายเครียดล่ะ?”
อ้าว! ตอนแรกก็ชมอยู่แต่ไหงกลับมาว่ากันซะงั้นล่ะไม่ได้งานนี้ต้องพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
“เอ๋!!! จริงหรอครับไม่น่าจะเป็นไปได้นะไก่ย่างของผมใครกินก็หายเครียด”
“ฉันว่านอกจากจะไม่หายเครียดแล้วยังเครียดหนักกว่าเดิมอีกนะเพราะคนขายอย่างนายเนี่ยแหละ”
“แต่เวลาผมเครียดพอได้กินไก่ย่างก็จะหายเครียดนะครับ” ไม่ได้ครับงานนี้ต้องแถและแถเท่านั้น
“สรุปสั้นๆ ง่ายๆ เลยนะนายหลอกให้ชั้นซื้อไก่ย่างนายใช่ไหม?”
อ้าว! รู้ทันซะได้ ขอหาข้อแก้ตัวแป๊ป
“คุณลูกค้ารู้ทันจนได้ ฮ่าๆๆๆๆ แต่คุณลูกค้าพูดถูกครึ่งเดียวนะ”
“ครึ่งเดียวยังไง?”
“เรื่องที่หลอกให้ซื้อน่ะก็ถูกแต่ที่บอกว่าหายเครียดนี่ก็เรื่องจริงนะครับ เวลาเครียดๆ ถ้าเราได้กินของอร่อยๆ ก็จะหายเครียด คุณลูกค้าลองทำใจสบายๆ แล้วกินไก่ย่างของผมดูไหมรับรองคราวนี้คุณลูกค้าหายเครียดแน่นอน คุณลูกค้าบอกเองไม่ใช่หรอครับว่าไก่ย่างของผมอร่อย”
แหมคุณลูกค้าคนสวยทำไมต้องส่งสายตาไม่ไว้ใจมาให้ผมด้วยล่ะผมออกจะจริงใจ เย้ๆ ดีใจจังสุดท้ายคุณลูกค้าก็ยอมนึกว่าจะไม่ยอมซะแล้ว และเมื่อผมเห็นว่าลูกค้าจะลองกินอีกทีผมก็รีบยกเก้าอี้ของผมให้ลูกค้าคนสวยนั่ง ยังไงซะนั่งกินมันก็ดีกว่ายืนกินล่ะ
คุณลูกค้าคนสวยที่ยอมนั่งเก้าอี้ที่ผมส่งให้ก็เอากระเป๋าเอกสารวางไว้บนตักก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากิน ก็ไม่รู้เป็นเพราะไก่ย่างของผมอร่อยหรือเพราะว่าคุณลูกค้าหายเครียดถึงได้กินไก่ย่างจนหมดไม้โดยไม่บ่นอะไรสักคำแถมยังมีต่อไม้ที่สองด้วย
“เป็นไงครับคุณลูกค้าหายเครียดไหม?”
“อืมหายแล้ว ดูท่าไก่ย่างของนายจะทำให้หายเครียดได้นะ ฮ่าๆๆๆๆ”
หลังจากวันนั้นคุณแจจุงก็แวะมาซื้อไก่ย่างของผมทุกวันแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่คุณแจจุงมาเหมาไก่ย่างของผมทุกวัน
“คุณแจจุงเหมาไก่ย่างของผมหมดแบบนี้แล้วผมจะขายให้ลูกค้าคนอื่นได้อย่างไรกันครับ”
“แล้ววันนี้นายขายได้กี่ไม้แล้วล่ะ” แจจุงถามกลับอย่างขำๆ
“แหะๆ สิบไม้เองครับ” ยุนโฮได้แต่ส่งเสียงหัวเราะแหะๆ ส่งกลับไปให้ทันทีที่ได้ยินคำถามแทงใจ
“เห็นไหม? ถ้าชั้นไม่เหมาเมื่อไหร่นายจะขายได้หมด นี่แค่บนเตานะยังไม่นับรวมที่อยู่ในถังหมักไก่ของนายน่ะ”
“ขายถึงเที่ยงคืนผมก็ขายได้”
“นายก็พูดเกินไปดึกขนาดนั้นกว่าจะเก็บของกว่าจะได้นอน” และถึงนายจะขายได้แต่ฉันก็ไม่ยอมหรอกนะยุนโฮ
“ว่าแต่คุณแจจุงเหมาหมดทุกวันแบบนี้กินคนเดียวหมดหรอครับ ตัวก็เล็กนิดเดียงเองเอาไปเก็บไว้ไหนเนี่ย” ยุนโฮพูดไปก็ย่างไก่ที่เหลือไป ส่วนแจจุงก็นั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง? ตัวเดิมที่นั่งอยู่ทุกวันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
“ฉันกินหมดก็แล้วกันนายไม่ต้องห่วงหรอกย่างๆ ไปเถอะ” แจจุงพูดอย่างปัดๆ เพื่อให้ยุนโฮเลิกถาม
“ครับๆ ผมไม่ถามแล้วก็ได้” เพราะผมรู้ว่าที่คุณแจจุงมาเหมาไก่ย่างของผมทุกวันก็เพราะต้องการช่วยผม และไก่ย่างของผมก็ไม่ได้ถูกทิ้งขว้างแต่คุณแจจุงเอาไปให้เด็กๆ แถวสลัมกินกัน คุณแจจุงเนี่ยนอกจากจะสวยแล้วยังน่ารักและใจดีอีกด้วยปลื้มใจจัง
“อ้อ! วันนี้น้องชายนายไม่มาด้วยหรอ?” แจจุงที่นั่งรอยุนโฮย่างไก่ก็นึกได้เพราะเมื่อสองวันก่อนเห็นมีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ มาด้วยคนนึงพอถามถึงได้รู้ว่าเป็นน้องชายของยุนโฮ
“ชางมินไม่สบายนิดหน่อยครับกินยาเดี๋ยวก็หายแล้ว” ยุนโฮตอบกลับอย่างไม่คิดมากอะไรแต่คนฟังนี่ซินั่งไม่ติดเลย
“ไม่สบายหรอ? เป็นอะไรมากรึเปล่าพาไปหาหมอหรือยัง?” แจจุงถามออกมาเป็นชุดทันที
ยุนโฮอึกอักเล็กน้อยก่อนจะอ้อมแอ้มตอบกลับ “ยังครับ แต่ชางมินกินยาแล้วเดียวก็หายครับ”
“กินยา? ยาอะไร? แล้วแน่ใจได้ยังไงว่ายาที่กินมันถูกกับโรคน่ะนายไม่ใช่หมอนะ” แจจุงตอบกลับอย่างโมดหทันทีที่ได้ยินคำตอบ
“กินยาแก้ไข้ครับ ชางมินมีไข้นิดหน่อยเองป่านนี้เจ้าตัวคงลุกขึ้นวิ่งเล่นแล้วล่ะครับ”
“พาฉันไปบ้านนายเดี๋ยวนี้เลยนะยุนโฮ”
“ไป ไปทำไมครับ?” ยุนโฮที่ได้ยินแจจุงบอกจะไปที่บ้านก็ถามกลับอย่างสงสัยปนตกใจ
“ก็ไปดูให้แน่ใจว่าน้องชายนายไม่เป็นอะไรแล้วไม่งั้นฉันไม่สบายใจหรอกนะ นายไม่รู้หรอช่วงนี้ไข้เลือดออกกำลังระบาดหนักเพื่อนฉันที่เป็นยังเกือบตายเลย”
แค่นี้แหละยุนโฮก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมแจจุงถึงได้ดูห่วงเป็นกังวลนัก แต่ก็นะถึงจะรู้จักกันมานานแต่ก็ไม่เคยไปบ้านของกันและกันเลยสักครั้ง คือมันก็แปลกๆ อะนะ
“คุณแจจุงจะไปแน่หรอครับ?” ยุนโฮถามกลับเพื่อความแน่ใจ
“ทำไม? ไม่อยากให้ฉันไปบ้านนายหรอ? หรือกลัวว่าฉันจะไปเจอลูกเมียนายเข้าหรือไง?” พูดเองก็เจ็บเองถึงจะไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าก็ตามแต่คนมันคิดไปแล้วให้ทำยังไง
“โธ่!!! คุณแจจุงไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ผมน่ะยังไม่มีลูกมีเมียที่บ้านผมมีแค่แม่ ผม และก็ชางมินสามคนแค่นั้นแหละครับ คนอย่างผมไม่มีใครสนใจหรอก”
ทำไมจะไม่มีก็คนอย่างฉันยังไงล่ะยุนโฮ “ก็ดีถ้างั้นย่างไก่เสร็จเราก็ไปกันเลยนะ”
“ได้ครับคุณแจจุง” ยุนโฮรับคำเสร็จก็รีบย่างไก่ทั้งหมดซึ่งก้เหลืออีกไม่กี่ไม้ เมื่อย่างไก่เสร็จยุนโฮก็เริ่มเก็บข้าวของเก็บเตาลงไว้ใต้รถและแน่นอนแจจุงก็อาสาจะช่วยเหลือ
“ไม่เอาครับผมไม่ให้คุณแจจุงช่วยหรอกเดี๋ยวเสื้อสูทคุณแจจุงจะเลอะเปล่าๆ”
“เลอะก็ซักได้ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ อีกอย่างเดี๋ยวฉันถอดสูทออกก็ได้แค่นี้ก็ไม่เลอะแล้ว”
“คุณแจจุงยิ่งช่วยผมว่ามันจะยิ่งช้ามากกว่านะครับ”
“พูดอย่างงี้หมายความว่าไงยุนโฮ”
“ก็อย่างที่ผมพูดนั้นแหละ คุณแจจุงไม่เคยทำหยิบจับอะไรก็คงจะงงๆ งั้นสู้ให้ผมหยิบจับเองคนเดียวจะเร็วกว่านะครับ” ยุนโฮที่เห็นแจจุงกำลังจะกลายร่างก็รีบพูดต่อทันที “เอางี้คุณแจจุงช่วยถือไก่ย่างทั้งหมดให้ผมดีกว่านะครับเพราะมันเยอะมาก เป็นไงครับแบบนี้คุณแจจุงก็ช่วยผมแล้ว” ยุนโฮพูดพร้อมส่งถุงไก่ยางหลายสิบไม้ไปให้แจจุงซึ่งแจจุงก็รับมาอย่างเก้ๆ กังๆ คือมันก็เยอะขนาดถือด้วยสิบนิ้วแทบจะไม่พอ
“ก็ได้ๆ นายก็รีบเก็บเร็วๆ ละกัน” แจจุงที่รับถุงไก่ย่างมาอย่างเก้ๆ กังๆ ก็ยืนรอจนกระทั้งยุนโฮเก็บของเสร็จก่อนจะแปลกใจที่จู่ๆ ยุนโฮก็ใช้ฝ่ามือตัวเองตบลงบนรถเข็นเบาๆ ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“คุณแจจุงขึ้นมานั่งบนนี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวสารถีคนนี้จะเข็นไปส่งถึงบ้าน” ยุนโฮพูดอย่างขำๆ และพลอยทำให้แจจุงขำตาม
“นานๆ เปลี่ยนรถนั่งก็ดีนะ ปกติขับรถเองวันนี้มีคนเข็นให้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
“งั้นเราออกเดินทางได้” ยุนโฮพูดพร้อมชูมือขึ้นไปในอากาศและแจจุงก็ยกตาม
“ไปกันเลยยยยยยยย” แจจุงพูดพร้อมยกมือขึ้นไปในอากาศอย่างสนุกสนาน
บรรยากาศในช่วงหัวค่ำจากที่น่าเบื่อเพราะเจอกับรถติดก็กลายเป็นสนุกสนานเพราะได้นั่งรถชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ เพราะทางที่ยุนโฮพามานั้นเป้นทางผ่านสวนสาธารณะที่รถยนต์ของแจจุงวิ่งเข้ามาไม่ได้ แต่รถพิเศษของยุนโฮผ่านได้สบายๆ จนเมื่อเข็นมาถึงปลายทางรถคันพิเศษก็หยุดลงและแจจุงก้ลงจากรถเข็นเมื่อรถเข็นจอดสนิท
“ยุนโฮนี่บ้านนายหรอน่ารักดีจัง” แจจุงมองเข้าไปยังบ้านที่อยู่ตรงหน้าตนเอง บ้านหลังเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย ข้างกำแพงภายในตัวบ้านมีแปลงดอกไม้เล็กอยู่ๆ ติดกันก็มีชิงช้าไม้ขนาดเล็กที่ดูก็รู้ว่าประกอบขึ้นมาเองวางอยู่ซึ่งดูก็รู้ว่าชิงช้าไม้นั้นเป็นของใคร
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ตอนนี้เจ้าตัวยกมือลูบหัวตัวไปมาแก้เขิน “ไปครับเข้าไปในบ้านกัน” หลังจากเขินเสร็จยุนโฮก็พาแจจุงเข้าไปในบ้านทันที
“ยุนโฮมาแล้วหรอลูกชางมินเป็นอะไรไม่รู้ไข้ขึ้นสูงกว่าเดิมอีกแถมมีชักด้วย” หญิงสูงวัยวิ่งพรวดพราดออกมาจากในตัวบ้านทันทีที่ได้ยินเสียงของลูกชายคนโตพูดและเปิดประตูเข้ามา
“แม่ว่าไงนะครับ? ชางมินๆ เป็นอะไรนะครับ”
“ชางมินไข้ขึ้นแล้วก็ชักแม่เช็ดตัวยังไงไข้ก็ไม่ลดเลยแล้ว” มารดาของยุนโฮบอกด้วยเสียงสั่นเครือ
“ชางมินๆ น้องพี่เป็นยังไงบ้าง” ยุนโฮไม่รอให้มารดาของตนเองพูดจบก็วิ่งข้าไปหาชางมินในบ้านทันที
“ใจเย็นๆ นะครับคุณป้าเดี๋ยวเราจะพาชางมินไปหาหมอถึงมือหมอก็ไม่ต้องห่วงแล้วนะครับ” แจจุงที่ได้ยินถึงจะตกใจแต่ก็ตั้งสติได้ทันและก็อยู่คอยปลอบมารดาของยุนโฮ
ร่างสูงที่วิ่งเข้าไปในบ้านก้ตรงไปยังห้องนอนของน้องชายตนเองก่อนจะเปิดประตูเข้าไปพบว่าน้องตนเองนอนตัวสั่นอยู่พอเอาหลังมือไปอังหน้าผากก็พบว่าตัวร้อนมาก ยุนโอไม่รอช้ารีบอุ้มน้องชายตนเองออกมาจากห้องเพื่อไปโรงพยาบาล ชางมินน้องพี่น้องต้องไม่เป็นไร
ร่างบางที่เห็นร่างสูงอุ้มน้องชายตนเองออกมาก็ตรงเข้าไปหายุนโฮทันที “ชางมินเป็นยังไงบ้าง”
“น้องไข้ขึ้นสูงเลยครับคุรแจจุง”
“งั้นเดี๋ยวเอารถฉันไปนะไม่ซิรถฉันจอดทิ้งไว้ที่บริษัท เอางี้เดี๋ยวเรานั่งแท็กซี่ไปกัน” ตอนแรกแจจุงกะใช้รถของตนเองพาไปแต่ก็มานึกได้ว่าไม่ได้ขับมา
เมื่อตัดสินใจกันได้แล้วทุกคนก็ตรงไปยังถนนใหญ่ก่อนจะโบกแท็กซี่แล้วรีบตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เมื่อไปถึงโรงพยาบาลทางบุรุษพยาบาลก็รีบพาเด็กน้อยขึ้นไปนอนบนเตียงก่อนจะรีบเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป ยุนโฮที่เห็นว่าน้องถูกพาตัวเข้าไปก็จะวิ่งตามเข้าไปแต่ก็โดนแจจุงจับแขนฉุดตัวไว้ก่อน
“ยุนโฮนายต้องไปทำประวัติน้องนายก่อนนะ ตอนนี้ชางมินถึงมือหมอแล้วไม่ต้องห่วงนะ” แจจุงพูดปลอบมือบางก็ลูบต้นแขนร่างสูงอย่างให้กำลังใจ
“ชางมินจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับคุณแจจุง”
“ชางมินจะไม่เป็นไรเพราะงั้นนายไม่ต้องห่วงนะทำใจให้สบาย อีกอย่างนายยังมีแม่ที่ต้องดูแลอีกนะ” แจจุงพูดปลอบพร้อมเตือนสติยุนโฮไปในตัว
ร่างสูงที่ได้ฟังจากที่สติไม่อยู่กับตัวก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง เมื่อหันมาแล้วเห็นมารดาตนเองยืนร้องไห้อยู่เงียบๆ ยุนโฮก็ได้แต่บอกตนเองว่าต้องแข็มแข็งเข้าไว้ ก่อนที่ร่างสูงจะจูงพามารดาของตนเองเข้าไปนั่งรอที่หน้าห้องฉุกเฉินแล้วตนเองขอตัวไปทำประวัติให้ชางมินก่อนโดยที่แจจุงอาสาจะอยู่เป็นเพื่อนมารดาของยุนโฮเอง
เมื่อยุนโฮทำประวัติน้องชายของตนเองเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมายังห้องฉุกเฉินอีกครั้งก่อนจะเดินเลยไปยืนที่หน้าประตูห้องฉุกเฉินสายตาก็จ้องมองเข้าไปข้างใน
แจจุงที่เห็นยุนโฮเดินเลยไปก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงไปหายุนโฮ มือบางเอื้อมไปกอบกุมมือหนาไว้แน่นอย่างให้กำลังใจ
“น้องยังไม่ออกมาอีกหรอครับคุณแจจุง”
“ยังเลย”
“แต่นี้เข้าไปนานแล้วนะครับ”
“อีกเดี๋ยวหมอก็จะออกมานายไม่ต้องห่วงนะ”
“ชางมินจะไม่เป็นไรใช่ไหมครับคุณแจจุง ผมเป็นพี่ชายที่แย่มากใช่ไหมครับ? น้องไม่สบายก็ไม่สนใจคิดว่าแค่กินยาก็หาย ถ้าชางมินเป็นอะไรผมจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย” ร่างสูงพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมา แม้ไม่มีเสียงสะอื้นแต่ใครเห็นก็รู้ว่าเสียใจมากแค่ไหน สองมือหนากำมือของตนเองไว้แน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นและแค้นใจไปในตัว
แจจุงรู้สึกเจ็บและมือชาข้างที่จับมือยุนโฮเอาไว้ แต่แจจุงก็ไม่แสดงออกมาเพราะรู้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าขวัญเสียแค่ไหน
“ชู่ว ไม่ร้องนะยุนโฮพี่ชายที่แสนเก่งของน้องชางมินไปไหนแล้วล่ะ ถ้าชางมินมาเห็นนายสภาพนี้ต้องไม่ชอบใจแล้วนายจะโดนบ่นจนหูชานะ แค่วันนั้นที่ฉันเจอฉันยังหูชาแทนนายเลย อีกอย่างนายไม่ได้เป็นพี่ชายที่แย่เลยนะนายเป็นพี่ชายที่สุดยอดต่างหาก ชางมินเขาต้องภูมิใจในตัวนายแน่นอน” แจจุงพูดพร้อมกระชับมือของตนเองที่อยู่ในมือหนาให้แน่นขึ้น
ยุนโฮเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ให้กำลังใจตนเองก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงไปหาร่างบาง ใบหน้าคมซบลงที่ไหล่ลาดบางมือหนาก็ดอบกอดรอบเอวบางไว้
“คุณแจจุงจะไม่ทิ้งผมไปไหนใช่ไหมครับ”
“ฉันจะไม่มีวันทิ้งนายยุนโฮฉันสัญญา ฉันจะอยู่ข้างกายนายตลอดไป” เหมือนอย่างที่ฉันอยู่ข้างกายนายทุกวันไงล่ะยุนโฮ นายเคยรู้ตัวบ้างไหมว่าทำไมฉันต้องแวะไปหานายทุกวัน ร่างบางโอบกอดร่างสูงตอบใบหน้าหวานซบลงที่บ่ากว้างอย่างสุขใจ
วันนั้นเป็นวันที่ผมหัวเสียที่สุดตั้งแต่ทำงานมา ทั้งเจ้านายทั้งเพื่อนร่วมงานแต่ละคนพูดไม่เหมือนกันซักอย่าง พอทำอย่างเจ้านายบอกเพื่อนร่วมงานก็บอกไม่ใช่ พอทำตามที่เพื่อนร่วมงานบอกเจ้านายก็บอกไม่ใช่ แล้วจะให้ฉันทำยังไงทำกันเองเลยไหม ผมได้แต่เดินหงุดหงิดออกมาจากตัวตึกที่ทำงานกะจะเดินเล่นไปเรื่อยๆ เพื่อจะหายเครียด แต่ในระหว่างที่ผมยืนบ่นอยู่นั้นจู่ๆ ก็มีเสียงใครไม่รู้ลอยขึ้นมา
“คุณลูกค้าครับรับไก่ย่างทานสักไม้ไหมครับรับรองอารมณ์ดีขึ้นแน่นอน”
ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจนะคิดว่าไม่ได้พูดกับผมแต่พอมองไปรอบๆ ก็ไม่มีใครนอกจากผมกับพ่อค้าขายไก่ย่าง สรุปเขาพูดกับผมงั้นหรอ? ผมเลยหันไปมองก่อนจะคิดอยู่ในใจ กินไก่ย่างแล้วหายเครียดมีด้วยหรอ?
แต่ไหนๆ เจ้าตัวก็เสนอมาแล้วนี่ก็ลองหน่อยละกัน เพราะถ้าไม่หายเครียดนะแม่จะด่ายันบรรพบรุษเลยคอยดู แต่พอลองกินแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะหายเครียดตรงไหน? แต่ถามว่าอร่อยไหมก็ต้องยอมรับว่าอร่อยดี หนังกรอบเนื้อนุ่ม อืมมันก็ฟินไปอีกแบบ แต่นะในเมื่อกินแล้วไม่หายเครียดก็ต้องมีการต่อว่ากันหน่อย
“ไหนนายบอกว่ากินแล้วจะหายเครียด? ทำไมฉันกินแล้วไม่รู้สึกว่าหายเครียดล่ะ?”
“เอ๋!!! จริงหรอครับไม่น่าจะเป็นไปได้นะไกย่างของผมใครกินก็หายเครียด”
นั้นไงแถได้อีก เรื่องอะไรผมจะยอมงานนี้ต้องจัดกันสักตั้ง
“ฉันว่านอกจากจะไม่หายเครียดแล้วยังเครียดหนักกว่าเดิมอีกนะเพราะคนขายอย่างนายเนี่ยแหละ”
“แต่เวลาผมเครียดพอได้กินไก่ย่างก็จะหายเครียดนะครับ”
“สรุปสั้นๆ ง่ายๆ เลยนะนายหลอกให้ชั้นซื้อไก่ย่างนายใช่ไหม?”
“คุณลูกค้ารู้ทันจนได้ ฮ่าๆๆๆๆ แต่คุณลูกค้าพูดถูกครึ่งเดียวนะ”
นั้นไงในที่สุดความจริงก็เปิดเผยจนได้ มันมีที่ไหนกินไก่ย่างแล้วหายเครียด ว่าแต่แถมาขนาดนี้แล้วยังบอกว่าพูดถูกแค่ครึ่งเดียวอีก ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะแถยังไงต่อไป
“ครึ่งเดียวยังไง?” ตั้งแต่คุยกับพ่อค้าคนนี้ตั้งคำถามให้พ่อค้าตอบกี่รอบแล้วเนี่ย?
“เรื่องที่หลอกให้ซื้อน่ะก็ถูกแต่ที่บอกว่าหายเครียดนี่ก็เรื่องจริงนะครับ เวลาเครียดๆ ถ้าเราได้กินของอร่อยๆ ก็จะหายเครียด คุณลูกค้าลองทำใจสบายๆ แล้วกินไก่ย่างของผมดูไหมรับรองคราวนี้คุณลูกค้าหายเครียดแน่นอน คุณลูกค้าบอกเองไม่ใช่หรอครับว่าไก่ย่างของผมอร่อย”
โอ้โห้พูดมาซะไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว อืมแต่พอมาคิดตามแล้วมันก็จริงนะไก่ย่างของพ่อค้าคนนี้ก็อร่อยจริงๆ เอาวะแจจุงลองทำใจให้สบายๆ แล้วลองกินไก่ดูอีกที
“เป็นไงครับคุณลูกค้าหายเครียดไหม?”
“อืมหายแล้ว ดูท่าไก่ย่างของนายจะทำให้หายเครียดได้นะ ฮ่าๆๆๆๆ”
ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องแวะไปซื้อกินทุกวัน และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมอยากจะเห็นพ่อค้าขายไก่ย่างคนนี้ แค่ได้คุยได้เห็นเจ้าตัวหัวเราะที่พยายามหาเรื่องมาทำให้ผมหัวเราะได้ทุกวัน จากที่เครียดๆ อยู่ผมก็หายเครียดทันที และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมหลงรักเจ้าของใบหน้านี้ หลงรักรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้ชายคนนี้ผู้ชายที่ชื่อยุนโฮ
ในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอก็มาถึงเมื่อคุณหมอเปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมา
“คุณหมอไม่ทราบว่าน้องชายผมเป็นยังไงบ้างครับ” ยุนโฮปล่อยอ้อมกอดที่กอดแจจุงอยู่แล้วพุ่งไปหาหมอทันทีที่เปิดประตูออกมา ส่วนมารดาเมื่อเห็นหมอออกมาก็รีบลุกไปหาหมอเหมือนกัน
“โทษนะครับคุณเป็นญาติของเด็กชายชางมินใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับผมเป็นพี่ชายเขาไม่ทราบว่าน้องผมเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“น้องชายคุณเป็นไข้เลือดออกครับแต่โชคดีที่เป็นแบบธรรมดาไม่ได้เป็นตัวร้ายแรงและโชคดีที่พวกคุณรีบพาเด็กมาดรงพยาบาลเพราะถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้จะเป็นอันตราย”
“จริงนะครับหมอไม่ได้โกหกผมนะครับ”
“หมอพูดความจริงครับ ตอนนี้หมอให้น้ำเกลือและฉีดยาลดไข้ให้แล้วพักอีกสักสองสามวันก็หายเป็นปกติแล้วครับ เดี๋ยวผมจะให้เด็กย้ายไปที่ห้องพักผู้ป่วยผู้ปกครองสามารถตามไปได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ” ยุนโฮโค้งหัวก้มให้คุณหมอที่รักษาน้องชายตนเอง
“ไม่เป็นไรครับถ้ายังไงหมอขอตัวก่อนนะครับพอดีมีคนไข้ท่านอื่นรออยู่”
“เชิญเลยครับคุณหมอขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
“ยินดีครับหมอขอตัวก่อนนะครับ” คุณหมอพูดจบก็ขอตัวลาเพื่อไปรักษาคนไข้คนอื่นต่อส่วนยุนโฮที่มองจนหมอเดินไปไกลแล้วก็หันกลับมามองหน้าห้องเพื่อรอน้องชายตนเองออกมา
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าชางมินจะไม่เป็นอะไรทีนี้ยิ้มได้หรือยังหรือนายอยากให้ชางมินเห็นสภาพนายตอนนี้?”
“ผมยิ้มแล้วครับ” ยุนโฮรีบใช้หลังมือเช็ดน้ำตาของตนเองก่อนจะส่งยิ้มไปให้แจจุงและแจจุงก้ส่งยิ้มกลับไปให้ “แม่ครับชางมินไม่เป็นอะไรแล้ว” ยุนโฮหันมาพูดกับมารดาของตนเองด้วยเสียงที่สดชื่นแจ่มใส่ขึ้น
“โชคดีจริงๆ เลยนะพระเจ้าทรงคุ้มครอง” มารดาของยุนโฮเอ่ยออกมาอย่างดีใจและโล่งใจปากก้ขอบคุณพระเจ้าไม่หยุด
“เดี๋ยวญาติตามมาเลยนะคะจะได้ไปดูห้องของน้องด้วย” นางพยาบาลที่เดินออกมาพร้อมบุรษพยาบาลที่เข็นเตียงคนไข้ออกมาเอ่ยบอกทันทีที่เห็นญาติคนไข้ยืนรออยู่ที่หน้าประตู และทุกคนก็เดินตามกันไปติดๆ โดยที่ยุนโฮเดินกุมมือน้องชายของตนเองไปตลอดทาง
“หายไปไหนมา? ทำไมป่านนี้ถึงเพิ่งกลับโทรไปก็ปิดเครื่อง”
“พอดีมีเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อยครับก็เลยกลับช้าแล้ววันนี้มีประชุมผมก็เลยปิดเครื่องแล้วก็ลืมเปิดครับ”
“อืมงั้นหรองั้นก็แล้วไป แล้วนี่กินอะไรมารึยังล่ะถ้ายังมีกับข้าวที่แม่ทำไว้อยู่ในตู้เย็นเอามาอุ่นกินได้เลย”
“พอดีผมเห็นว่าดึกแล้วก็เลยทานมาจากข้างนอกแล้วครับ”
“งั้นหรองั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าไปเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“ครับ” ร่างบางรับคำของมารดาเสร็จก็เดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านก่อนจะเปิดประตูห้องนอนองตนเองเข้าไปก่อนจะวางกระเป๋าเอกสารแล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะล้วงเอามือถือในกระเป๋ากางเกงของตนเองออกมาก่อนจะปลดล็อกหน้าจอแล้วอมยิ้มออมมาอย่างห้ามไม่อยู่
เมื่อจัดการเปลี่ยนหน้าจอมือถือตนเองเรียบร้อย และรูปที่ใช้ก็ไม่ใช่รูปใครนอกจากรูปยุนโฮที่ตัวเองแอบถ่ายเอาไว้นั้นเอง เมื่อนอนชื่นชมจนพอใจแล้วก็จัดการพาตัวเองไปอาบน้ำให้สดชื่นแล้วรีบเข้านอนเพราะวันนี้ก็เหนื่อยมามากแล้ว แต่ก่อนนอนก็นะขอส่งข้อความไปหาใครบางคนสักหน่อยละกัน
‘วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนอนพักผ่อนให้เยอะๆ นะ เป็นห่วง’
แจจุงพิมพ์ข้อความไปก็ยิ้มไป ถึงวันนี้จะมีเรื่องยุ่งๆ แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ เข้ามาล่ะนะ
‘คุณแจจุงก็เหมือนกันพักผ่อนเยอะๆ นะครับเรื่องวันนี้ขอบคุณมากครับ’
ส่งกลับมาเร็วเหมือนกันนะเนี่ยสงสัยจะยังไม่นอน ว่าแต่ขอบคุณเยอะไปรึเปล่าเนี่ย?
‘เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นคำว่ารักได้หรือเปล่า’ พิมพ์เสร็จแจจุงก็ลบข้อความแล้วพิมพ์ใหม่ ก็นะคนมันเขินอ่ะจู่ๆ ไปบอกรักผู้ชายก่อน >///< ‘นายขอบคุณฉันเยอะไปแล้วนะยุนโฮ ไม่คุยแล้วรีบเข้านอนกันดีกว่า’
รีบนอนก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจบอกรักนายนะยุนโฮ
‘ครับผม...ฝันดีนะครับคุณแจจุง’
แค่คำว่าฝันดีแค่นี้นายจะเขินทำไมแจจุง นายไม่ไหวแล้วนะ ก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งกลับอย่างเขินๆ
‘ฝันดีเช่นกันนะยุนโฮ’ ที่รักของแจจุง คิดเองก็เขินเองนอนดีกว่า
สุดท้ายร่างบางก็ตัดสินใจเลิกส่งข้อความกับยุนโฮก่อนจะวางมือถือไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง คืนนี้นายหลับฝันดีแน่แจจุง
ยุนโฮที่กลับมาถึงบ้านก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวนอนเพราะวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันไหนจะขายของไหนจะยังเรื่องของน้องชายที่ป่วยอีก หลังจากที่ย้อนกลับมาบ้านเพื่อมาเอาเสื้อผ้าของมารดาไปให้มารดาที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพราะมารดาของตนเองยืนยันว่าจะนอนเฝ้าชางมินเอง
ตอนแรกยุนโฮกะนั่งแท็กซี่ย้อนไปย้อนมาแต่ถูกแจจุงติงซะก่อน สุดท้ายทั้งคู่เลยนั่งแท็กซี่ไปลงที่ทำงานของแจจุงเพื่อที่แจจุงจะได้กลับไปเอารถและไปรับส่งยุนโฮด้วย เมื่อเอาเสื้อผ้าไปให้เสร็จยุนโฮก็นั่งรถของแจจุงที่จะไปส่งตนเองที่บ้านก่อนที่แจจุงจะขับกลับไปบ้านของตนเอง ในขณะที่ยุนโฮกำลังจะนอนจู่ๆ เสียงข้อความในมือถือก็ดังเข้ามาพอดี
‘วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนอนพักผ่อนให้เยอะๆ นะ เป็นห่วง’
ทันทีที่เห็นว่าใครส่งข้อความมายุนโฮก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างไม่รู้ตัว คุณแจจุงเป็นห่วงผมด้วยดีใจจัง >///< ก่อนจะส่งข้อความตอบกลับ
‘คุณแจจุงก็เหมือนกันพักผ่อนเยอะๆ นะครับเรื่องวันนี้ขอบคุณมากครับ’
หลังจากส่งข้อความไปเสร็จยุนโฮก็ล้มตัวลงบนที่นอนก่อนจะขยับหมอนให้เข้าที่เพื่อรอว่าใครบางคนจะส่งข้อความตอบกลับมา
‘นายขอบคุณฉันเยอะไปแล้วนะยุนโฮ ไม่คุยแล้วรีบเข้านอนกันดีกว่า’
สำหรับคุณแจจุงน่ะคำว่าขอบคุณยังน้อยไปนะครับ แต่สงสัยคุณแจจุงจะง่วงนอนแล้วไม่กวนคุณแจจุงดีกว่า
‘ครับผม...ฝันดีนะครับคุณแจจุง’ สุดที่รักของผม >///<
หลังจากส่งข้อความเสร็จยุนโฮก็เอามือถือวางไว้ข้างหมอนเพื่อเตรียมตัวนอนแต่แล้วก็ต้องหยิบขึ้นมาดูอีกครั้งก่อนจะยิ้มออกมา
‘ฝันดีเช่นกันนะยุนโฮ’
ยุนโฮคืนนี้นายฝันดีแน่นอน ก็คุณแจจุงบอกฝันดีนี่นา