กลางดึกอันเงียบสงัด ไร้ซึ่งแม้เสียงจิ้งหรีดเรไรค่ำคืนหนึ่ง
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยแผดจ้าออกมาจากตำหนักหนึ่งแห่งวังหลังอันกว้างใหญ่
เสียงนั้นทั้งดังและกังวานใส ถ่ายทอดจากตำหนักไคว้เล่อซึ่งตั้งอยู่หลังอุทยานหลวงด้านตะวันตกของฝ่ายในวังหลัง เป็นตำหนักที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับตำหนักผิงอันนัก
ครั้นเสียงฝีเท้าอันรีบเร่งมาถึง พระสนมหุยก็รับเด็กน้อยมาอุ้มเอาไว้ จากนั้นสั่งให้ข้ารับใช้ในตำหนักไปตระเตรียมน้ำร้อนกับผ้าอ้อมทันที เพียงครู่เดียวทุกคนในตำหนักผิงอันก็วุ่นวายจนมือเป็นระวิง
เงาร่างเล็ก ๆ เดินผ่านตำหนักไคว้เล่อ เพียงมองเห็นเสด็จพ่อ เขาก็คุกเข่าลงที่ตำหนักด้านหน้า ในอ้อมพระกรของเสด็จพ่อนั้นดูคล้ายกำลังทรงอุ้มสิ่งใดอยู่ เหล่าข้ารับใช้ทั้งหมดล้วนคุกเข่าอยู่ด้านนอกตำหนัก
เด็กชายสวมชุดไหมสีกรมท่าปักดิ้นทอง ผมยาวถูกรวบเกล้าอย่างเรียบร้อย ใบหน้ารูปไข่อันงดงามสลักไว้ด้วยดวงตาเรียวสวยคู่หนึ่ง เครื่องหน้าชัดเจนโดดเด่นเฉกเช่นบุรุษรูปงามตามลักษณะเฉพาะของเชื้อพระวงศ์
เขาขมวดคิ้ว รู้สึกว่าที่นี่เงียบอย่างประหลาด และตำหนักผิงอันของเสด็จแม่ก็เสียงดังวุ่นวายจนน่าแปลกอยู่หน่อย ๆ
“องค์ชาย พวกเรากลับตำหนักผิงอันกันก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เถิง ขันทีคนสนิทดึงเขาไว้
แม้ว่าจะยังเยาว์และไม่เข้าใจแน่ชัดนักว่าเกิดอะไรขึ้นในตำหนักไคว้เล่อ แต่กิริยาอันไม่ปกติของฝ่าบาท กอปรกับข้ารับใช้กลุ่มใหญ่ยังคงคุกเข่าอยู่ ไม่ว่ามองอย่างไรก็ผิดปกติ
“แต่เสด็จพ่อ...”
ครั้นเห็นว่าองค์ชายอยากจะเข้าไปในตำหนักไคว้เล่อ ฟู่เถิงจึงรีบดึงพระองค์กลับตำหนักผิงอัน “องค์ชาย พวกเราไปกันก่อนเกิด ไปกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ฟู่เถิง” เขาเม้มปากแน่นด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ยินยอมกลับไปอย่างว่าง่าย
เมื่อกลับไปตำหนักผิงอัน เขาทันได้เห็นเสด็จแม่สั่งหมอหลวงออกจากตำหนักพอดี ดูเหมือนเสด็จแม่จะกำลังรับสั่งถามบางสิ่งอยู่โดยละเอียด
“เสด็จแม่” องค์ชายเรียกเสียงเบา
พระสนมหุยมองมาแวบหนึ่งแล้วใช้สายตาปรามเอาไว้ และกลับไปถามหมอหลวงอีกสองประโยคก่อนส่งหมอหลวงออกจากตำหนัก จากนั้นนางสั่งให้คนเร่งต้มยา ทั้งยังให้นางกำนัลรีบพาองค์ชายออกไป
“อวี่อิน พาองค์ชายใหญ่ไปที่ตำหนักบรรทม”
“เพคะ”
“เสด็จแม่...”
“ฟางเอ๋อร์ เป็นเด็กดีสิ...” พระสนมหุยรีบหันกายจากไปเมื่อเอ่ยจบ
ชางเจี้ยนฟางได้แต่ยืนนิ่งงัน
ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้นกัน เขาหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วจึงตามหญิงนางกำนัลไปอย่างว่าง่ายเมื่อกลับถึงตำหนักบรรทมก็แสร้งทำเป็นจะอ่านหนังสือ แล้วอาศัยโอกาสที่นางกำนัลกำลังพูดบางสิ่งกับฟู่เถิงลอบออกไปจากตำหนักบรรทมอย่างรวดเร็วไม่ให้ผู้ใดพบเห็น
ตำหนักผิงอันมีตำหนักหน้าขนาดใหญ่สองตำหนัก เมื่อรวมกับตำหนักหลังอีกสามตำหนักจะมีทั้งหมดยี่สิบห้อง ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง แต่องค์ชายไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนั้น เพราะเพียงอาศัยฟังเสียงร้องไห้ก็สามารถตามหาเสด็จแม่พบได้ทันที
ไม่นานชางเจี้ยนฟางก็มาถึงตำหนักบรรทมของเสด็จแม่ ข้ารับใช้เห็นเข้าจึงรีบหันมาถวายบังคม เขาโบกมือสองสามครั้งแล้ววิ่งมาลอบมองจากฉากกันลม เห็นเด็กน้อยนอนอยู่บนเตียงของเสด็จแม่ ทั้งยังมีนางกำนัลคนหนึ่งอุ้มตะกร้าที่เต็มไปด้วยผ้าเปื้อนโลหิตกำลังจะออกไป
ชางเจี้ยนฟางตะลึงงันไปครู่หนึ่งจึงรุดไปยังข้างเตียง
“ฟางเอ๋อร์ แม่ให้เจ้ากลับไปตำหนักบรรทมแล้วมิใช่หรือ” พระสนมหุยเอ่ยเสียงเบา
“แต่..เสด็จแม่ บอกข้าก่อนว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดผ้าที่นางกำนัลเหล่านั้นนำออกไปจึงเต็มไปด้วยเลือด”
เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจของบุตรชาย พระสนมหุยจึงโอบเขาเข้ามาในอ้อมอกแล้วอธิบาย “ฟางเอ๋อร์ นั่นไม่ใช่เลือดของแม่ แต่ว่าเป็น...”
เพียงได้ฟังว่ามิใช่เลือดของเสด็จแม่ ใจของชางเจี้ยนฟางสงบลงเล็กน้อย เขาผินหน้าไปมองเด็กน้อยบนเตียงอย่างระแวดระวัง “นั้นรึพ่ะย่ะค่ะ?” เขาจดจำใบหน้าซีดขาวเล็ก ๆ นั้นได้ นั้น! ที่เขาหมายถึงคือเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง คือของไม่ดีจากตำหนักข้างเคียง
หลังจากเด็กคนนี้เกิดมา เสด็จพ่อก็ไม่ค่อยเสด็จมาตำหนักผิงอัน..ของไม่ดีนี่แย่งเสด็จพ่อเขาไป แล้วตอนนี้ยังจะมาแย่งเสด็จแม่ของเขาไปอีกหรือ
“ฟางเอ๋อร์ ต่อจากนี้หลิงเอ๋อร์จะมาอยู่ที่นี่ เจ้าต้องดีกับนางเอาไว้นะ”
“เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะนางคือน้องสาวของเจ้า พี่ชายอย่างเจ้าควรรักและเอาใจใส่น้อง”
เมื่อเห็นสีหน้าเยือกเย็นของเสด็จแม่ แม้ในใจของชางเจี้ยนฟางจะต่อต้าน แต่เขากลับทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ทว่าลึก ๆ ยังกังขา “แล้วเหตุใดนางต้องมาที่ตำหนักผิงอันนี่ด้วย” เจ้าของไม่ดีอาศัยอยู่ที่ตำหนักไคว้เล่อข้าง ๆ กัน และยังมีเสด็จแม่ของตนเองอยู่แล้วนี่
“ฟางเอ๋อร์ ไม่ต้องถามมากความ” พระสนมหุยเอ่ยเสียงเบา
ชางเจี้ยนฟางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงถามไม่ได้ ทว่าเขาลอบเห็นสีหน้าของเสด็จแม่ไม่สู้ดีนัก เขาจึงสงบปากสงบคำแต่โดยดี อย่างไรเสียมีน้องเพิ่มมาอีกคนก็ไม่มีอันใดแตกต่าง...ขอเพียงอย่าแย่งเสด็จแม่ของเขาไป
แต่แล้วเรื่องที่ชางเจี้ยนฟางกังวลที่สุดก็บังเกิด
พระสนมหุยอยู่กับเด็กหญิงตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กระทั่งนอนยังนอนด้วยกันทำให้เขาขุ่นเคืองจนคันยิบ
เป็นเช่นนั้นจริง ๆ น้องสาวมิใช่ของดีอันใด มาแย่งเสด็จแม่ของเขาไปอีก
วิธีรับมือกับของไม่ดี ก็คือจัดการเสีย
รอจนบาดแผลบนกายของเด็กหญิงหายดี เริ่มลงจากเตียงมาเดินได้ ชางเจี้ยนฟางก็แกล้งขัดขาให้ล้ม ครั้นเห็นเสด็จแม่ผินหน้ากลับมา เขาก็รีบเข้าไปกอดนาง ปลอบไม่ให้ร้องไห้ จุมพิตใบหน้าน้องสักหน่อย เสด็จแม่ก็จะลูบศีรษะแล้วชมว่าเขาเป็นเด็กดีมาก เป็นพี่ชายที่ดีทีเดียว
เฮอะ! แค่คำพี่ชายที่ดีสี่พยางค์มีค่าเป็นเงินเป็นทองรึ
เขาไม่สนใจเรื่องเล็ก ๆ พรรค์นั้นหรอก เขาเพียงแค่ไม่พอใจที่โดนของไม่ดีแย่งเสด็จแม่ไปเท่านั้น
วิธีที่ดีที่สุดที่จะแย่งเสด็จแม่คืนมาก็คือ คอยอยู่ข้างกายยัยของไม่ดีนี่เสมอ แกล้งให้ยัยนี่ร้องไห้หาบิดามารดาเสียก่อน จากนั้นจึงจับมากอดเอาไว้ในอ้อมอก
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังร้องขอให้ยัยของไม่ดีมานอนด้วยกันอีกด้วย เพราะขอเพียงมานอนกับเขา ยัยของไม่ดีจะไม่อาจไปยุ่งกับเสด็จแม่ได้อีก ในเมื่อเขานอนกับเสด็จแม่ไม่ได้ ยัยของไม่ดีก็ไม่อาจกระทำได้เช่นกัน
ยัยของไม่ดีนั้นได้มานอนรวมเตียงกับเขาอยู่ร่วมปี ก่อนที่เสด็จแม่จะสั่งแยกห้องนอนเขากับนางในวันที่เขาเข้าสู่วัยที่ต้องแยกตำหนักกับเสด็จแม่แล้ว ด้วยกลัวว่ายัยของไม่ดีจะกลับไปนอนกับเสด็จแม่อีกเขาโวยวายอยู่ยกใหญ่จนสุดท้ายแม้ไม่ยอมให้นางนอนกับข้าเช่นเดิมแต่ก็จัดให้นอนที่เรือนเล็กด้านข้างตำหนักเหอเสียงของเขาจากนั้นเป็นต้นมา
วันแล้ววันเล่าที่ยัยของไม่ดีเติบโตขึ้น ก็จะต้องค่อยเริ่มได้ลิ้มรสความขมขื่น!
“เสด็จพี่ ท่านจะไปที่ใด”
ชางเจี้ยนฟางในวัยสิบสามปีเพิ่งจะเหยียบย่างออกนอกตำหนักเหอเสียงกลับถูกยัยของไม่ดีมาขวางเอาไว้
“กงการอะไรของเจ้า” เขาหรี่ตาจ้องน้องสาว
ยัยของไม่ดีนี่ประหลาดนัก ทั้งที่ตอนเด็กยังเป็นของไม่ดีหน้าตาน่าเกลียด ขาวซีด ร่างผอมแห้งแรงน้อย ทว่ายามนี้กลับ ดูคิ้วโค้งงามนั้นสิดุจคันธนูดวงตาหรือก็กลมโตดุจจันทร์กระจ่างยามคืนเพ็ญช่างผิดพี่ผิดน้องนัก ใบหน้าเล็กไม่ขาวซีดอีกต่อไปแล้ว แม้ยังขาวสว่างทว่ากลับไม่ดูซูบซีดทั้งยังมีแก้มป่องนุ่มนิ่มคล้ายซาลาเปาลูกเล็ก ๆ ทำเอาชางเจี้ยนฟางคันไม้คันมือนึกอยากหยิกเล่นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่อายุสิบปีแล้วแท้ ๆ ทว่ารูปร่างนางยังคงเล็กจ้อยราวกับเด็กเจ็ดแปดขวบ ตัวเตี้ยเล็กแค่ระดับอกเขาเท่านั้นดูเหมือนนางจะหยุดโตมาสองสามปีแล้วกระมัง ไหนจะดวงตาซึ่งมักมีหยาดน้ำตาคลอหน่วยคู่นั้น มันทำให้เขานึกอยากแกล้งให้ร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง
ทว่าเมื่อตัวติดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะเล่นหรือจะแกล้งก็ล้วนกระทำไม่แตกต่างกันนัก ตอนนี้ดูท่าน้องสาวจะทำให้เขารำคาญเข้าจริง ๆ เสียแล้ว
“องค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ พระสนมหุยรับสั่งหาได้หลายวันแล้ว กระหม่อมเห็นว่าควรจะต้องเสด็จไปพบพระนางที่ตำหนักผิงอัน...” ใบหน้าที่ดูอ่อนไหวของฟู่เถิงดูขมขื่นเสียจนคล้ายกลืนยาขมเข้าไปถ้วยใหญ่ก็ไม่ปาน “ระยะนี้กว่าองค์ชายใหญ่จะเสด็จกลับตำหนักก็ช้าไปหนึ่งถึงสองชั่วยามกระหม่อม..”
องค์ชายใหญ่ไม่ไป องค์หญิงสามก็ไม่ไป ด้วยเกรงไปพบตามลำพังเกิดถูกถามคำถามบางอย่างแล้วตอบผิด ๆ ถูก ๆ หรือตอบไม่ถูกใจพี่ชายจะถูกโกรธเอาได้ วันนี้พระสนมหุยก็ให้นางกำนัลมาตามอีก องค์หญิงสามหรือองค์หญิงเจี้ยนคังตามพระนามที่พระสนมหุยเปลี่ยนจากเป่าหลิงที่เรียกกันมาแต่เกิดให้อีกทั้งยังขอเป็นนามราชทานจากองค์ฮ่องเต้ให้ จำต้องนำฟู่เถิงขันทีคนสนิทของพี่ชายมาดักรออยู่หน้าตำหนักเหอเสียงก่อนที่พี่ชายคนดีจะออกไปจากตำหนักไปเสียก่อน
“เสด็จแม่ก็ถามหาเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ เจ้าไปพบเสด็จแม่ก่อนเลยข้ามีธุระต้องไปทำไว้จะตามไปทีหลัง”
“แต่..”
“ฟู่เถิงเจ้านำทางเป่าหลิงไปตำหนักผิงอันสิ” ชางเจี้ยนฟางยังคงเรียกยัยของไม่ดีด้วยชื่อเดิมไม่ยอมเรียกนาม เจี้ยนคัง ตามที่เสด็จแม่ตั้งให้ใหม่เพราะไม่พึงใจที่ชื่อนางคล้ายกับชื่อตน
“ข้าจะบอกเสด็จแม่” เป่าหลิงโพล่งขึ้นมา
ชางเจียนฟางหรี่ตา “เจ้ากล้าขู่ข้าหรือ” ยัยของไม่ดีนี่บังอาจนัก ไปหัดทำตัวไม่ดีมาจากที่ใดกันจึงกล้ามาขู่เขาเช่นนี้
“มิใช่เช่นนั้น หากแต่เสด็จแม่ถามหาเสด็จพี่มาหลายวันแล้ว” เป่าหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แย้มยิ้มเอาใจ “ขอเพียงเสด็จพี่พาข้าไปด้วย ข้าก็จะไม่บอกเสด็จแม่”
“...” หากนี่มิใช่การข่มขู่แล้วคืออะไร
เขาอายุสิบสามปีแล้ว ภายใต้การอบรมสั่งสอนของมหาเสนาบดีหูมู่ เขาพอจะเข้าใจสถานะของตนคร่าว ๆ แม้จะมีสถานะสูงส่งด้วยเป็นองค์ชายใหญ่ แต่เขามิใช่โอรสของฮองเฮา สถานะยังเทียบกับชางจื้อจง โอรสของฮองเฮาซึ่งเป็นองค์ชายรองมิได้เสียด้วยซ้ำ เขาจึงต้องใช้เวลายามนี้เริ่มต้นเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สถานะของตน ไม่ว่าจะเป็นการร่ำเรียนตำราหรือศิลปะการต่อสู้ ชางเจี้ยนคังล้วนไม่ต้องการพ่ายแพ้ให้แก่ชางจื้อจง
เพียงเขาขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง เสด็จแม่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ไม่เช่นนั้น ถัดจากเขาลงไปยังมีพระอนุชามากมายทยอยเกิดมาเรื่อย ๆ หากเขาไม่ชิงดีชิงเด่น เสด็จพ่ออาจลืมเสด็จแม่ไปเสียก็ได้
“เสด็จพี่” มือเล็กจับเขาไว้แน่น
“ผู้ใดเป็นพี่เจ้า” ชางเจี้ยนคังดึงมือนั้นออก วิ่งทะยานไปยังประตูโค้งนอกตำหนักเหอเสียง จงใจให้คนข้างหลังตามไม่ทัน
ยัยของไม่ดีที่ตามติดเขาทุกวี่วัน ก่อนนี้ก็สนุกดีหรอกมีคนให้แกล้งยามเบื่อ ทว่ายามนี้เขาไม่มีเวลามานั่งเล่นเป็นเด็กอีกแล้ว ยัยของไม่ดีที่เอาแต่ทำตัวอ่อนแอปวกเปียกศาสตร์ศิลป์ใดก็ล้วนด้อยสามารถ นางไม่มีประโยชน์ต่อเขาอย่างแน่นอน ไม่ง่ายเลยกว่าที่เขาจะอ้อนวอนขอให้มหาเสนาบดีหูมู่เอ่ยปากทาบทามขอเซิ่นกั๋วกงมาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธ์แก่เขา เขาจึงไม่มีเวลามาเล่นอยู่กับยัยของไม่ดี
ชางเจี้ยนฟางลอบวิ่งออกไปโดยไม่มีผู้ใดทันได้มอง ทว่าเพิ่งจะวิ่งผ่านประตูโค้งเท่านั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นด้านหลัง เขาจึงหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปยังข้างประตูโค้ง
“หลบไป ยัยคนไม่มีผู้ใดต้องการ” ผู้พูดคือชางเหยียนฉี โอรสของพระสนมติงซึ่งเพิ่งจะมีอายุสิบปีเต็ม
“ใช่แล้ว หลบไป”
ชางเจี้ยนฟางหรี่ตา เจ้าพวกนี้คือพวกอนุชาโง่เง่าที่เพิ่งจะเริ่มเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวงได้ไม่นาน ตอนนี้พวกนั้นกำลังห้อมล้อมเป่าหลิงเอาไว้
“ข้ามิได้ไม่มีผู้ดำไม่ต้องการเสียหน่อย” เป่าหลิงตอบด้วยเสียงแผ่วเบา น้ำตาสองหยดคลอเอ่อ
“เจ้ามันเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดต้องการ เสด็จแม่ข้าบอกว่าแท้จริงแล้วเจ้ามิใช่ธิดาของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจึงไม่ต้องการเจ้าแล้ว” องค์ชายพระองค์หนึ่งเอ่ยขึ้น “แม้แต่เสด็จแม่ของเจ้าก็ไม่ต้องการเจ้า..หึ ๆ เหตุใดเจ้าไม่ตายตามเสด็จแม่เจ้าไปเล่า เหตุใดมีดแทงเข้าไปลึกถึงเพียงนั้นเจ้ายังไม่ตายอีก”
ชางเจี้ยงฟางกอดอก พิงประตูโค้ง
เด็กเหลือขอพวกนี้ขาดการอบรมเสียจริง เสด็จแม่ของเป่าหลิงไม่ทราบเหตุใดกลับเสียสติคลุ้มคลั่งจะสังหารเป่าหลิง นางคิดว่าเป่าหลิงตายไปแล้วจึงรีบฆ่าตัวตายตาม เสด็จพ่อจึงส่งเป่าหลิงให้เสด็จแม่ของเขาดูแลเลี้ยงดู คนภายนอกล้วนคิดว่าเป่าหลิงเป็นธิดาแท้ ๆ ของเสด็จแม่ของเขาทั้งสิ้น
หรือก็หมายความว่าฉากที่เขาเห็นตอนเด็ก ๆ นั้นคือฉากที่พระสนมเกาฆ่าตัวตายเสด็จพ่อเสด็จมาช้าไปเพียงก้าวเดียว...แน่นอน นี่เป็นเรื่องที่เขาฟังมาเช่นกัน กระทั่งบัดนี้เขายังไม่รู้ความจริงของเหตุการณ์นั้น
ดังนั้น...ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด ตั้งแต่นั้นมาน้อยครั้งนักที่เสด็จพ่อจะเสด็จตำหนักผิงอันเพื่อเยี่ยมเป่าหลิง ยิ่งยามที่นางย้ายไปพำนักยังเรือนยู๋อี้ เสด็จพ่อก็ไม่เคยเสด็จไปเยือนเลยสักครั้ง ราวกับว่าได้ลืมเลือนธิดาคนนี้ไปแล้ว