ณ บ้านชั้นเดียวติดกับเชิงเขา ตั้งอยู่ชานเมือง บ้านหลังนี้เป็นของเก้าทัพและภรรยาของเขาข้าวฟ่างทั้งคู่แต่งงานกันมาได้ 2 ปีแล้ว เก้าทัพและข้าวฟ่าวทำงานให้กับศูนย์วิจัย ข้าวห่างเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิ แต่ชอบความสันโดษเขาจึงเลือกใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านแถบชานเมือง ไม่ได้พักที่ศูนย์วิจัย
เก้าทัพเป็นทหารที่ได้รับการฝึกเพื่อคุ้มกัน กลุ่มของนักวิจัยที่ข้าวฟ่างทำงานร่วมอยู่ด้วย ทั้งคู่ตกหลุมรักกันเพราะความใกล้ชิด และความไม่สนใจตำแหน่งงานที่ถูกเสนอให้ หลังจากคบหากันมาได้ปีกว่า ความรักสุกงอม เก้าทัพขอข้าวฟ่างแต่งงาน
หลังจากแต่งงานทั้งคู่ขอลดภาระงานที่จะต้องปฏิบัติ โดยใช้ข้ออ้าง เขาอยากให้ชีวิตอยู่ร่วมกันให้มากที่สุด ทางต้นสังกัดของหน่วยงานทั้งสองคน ก็อนุญาต
แต่ในความจริงแล้วเขาทั้งคู่กำลังทำการทดลองในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ สาเหตุมาจากความอยากมีลูก เขาจึงทำการทดลองสิ่งที่ชีวิตน้อยๆให้เกิดขึ้นมา ทั้งคู่เริ่มทดลองมาได้เกือบปีกว่า แต่ผลการทดลองยังไม่มีความคืบหน้า แต่พวกเขาก็ไม่ย่อท้อ ยังทำการทดลองต่อไป
จนเมื่อ 5 เดือนที่ผ่านมาเกิดหมอกควันกระจายไปทั่วทุกเมือง ผู้คนเริ่มมีอาการป่วยเพิ่มมากขึ้น ภายในตู้กระจกที่มีสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ตั้งแต่ 5เดือนที่ผ่านมา ผลการทดลองกับพัฒนาขึ้นอย่างน่าตกใจ แต่สิ่งมีชีวิตหน้าตาน่ารักยังไม่ลืมตามาดูโลก
เก้าทัพกับข้าวฟ่างก็ยังไม่ท้อ ยังทำการทดลองเก็บผลของการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันต่อไป
"แคก แคก แคก"
"พี่เก้าไม่สบายไปพักก่อนเถอะฟ่างสรุปผลเอง"ข้าวฟ่างบอกผู้เป็นสามี
ข้าวฟ่างคิดว่าพรุ่งนี้เขาควรพาสามีไปหาคุณหมอ ข้าวฟ่างมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย ที่เขาย้ายมาอยู่แถวชานเมืองเพราะเหตุผลบางอย่างที่ทั้งเขาและสามีรับรู้มา
ในสถาบันวิทยาศาสตร์ที่เขาทำงานอยู่มีการทดลองตัวยาที่คืนสภาพร่างกายที่ตายแล้วของเซลต่างๆให้กับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ทุกอย่างอยู่ในขั้นการทดลอง ข้าวฟ่างคิดว่าตัวสารประกอบต่างๆที่นำมาทดลองยังไม่ได้คุณภาพ
"เหมียววว"
"ไหนใครมาหาฟ่างอีกแล้วเนี่ย โดนเจ้าของปล่อยออกมาหรือหนีมาวันนี้"ตรงหน้าข้าวฟ่างมีเจ้าเหมียวพันธุ์เปอร์เซียตัวสีดำขนฟู เป็นแมวของเพื่อนบ้าน ที่มักจะถูกทิ้งให้นอนข้างนอกบ้านบ้าง หลังคาบ้านบ้าง ข้าวฟ่างสงสาร มักจะซื้ออาหารมาไว้ให้เสมอ
"นี่เจ้าเหมียวดูนั่นสิ ในตู้นั่นคือน้องนะ น่ารักไหม"
"เหมียววว"เจ้าหมียวร้องตอบมา ข้าวฟ่างไม่แน่ใจ มันจะเข้าใจจริงไหม แต่พอมีเจ้าเหมียวอยู่ด้วย ข้าวฟ่างไม่รู้สึกเหงาเลยสักนิด
ข้าวฟ่างเห็นสามียังหลับอยู่ เขาจึงเตรียมตัวไปตลาด โดยมีเจ้าเหมียวขนฟูคลอเคลียอยู่ด้วยตลอดเวลา
"นี่เจ้าเหมียวรอฟ่างอยู่ตรงนี้นะ"
ข้าวฟ่างนำเจ้าเหมียวมาไว้ในบริเวณด้านนอกของบ้าน ให้มันได้วิ่งเล่นระหว่างรอเขากลับมา
...................................
"เหมียวว นุดไปช้าจัง เรารอเบื่อแล้วนะ"เจ้าเหมียวตัวนี้มีชื่อที่เจ้าของเรียกว่า เฉาก๊วย แต่มันไม่ชอบชื่อนี้เลย และมันก็ไม่ชอบอยู่บ้านมนุษย์พวกนั้นด้วย มันเลยแอบหนีมาบ้านข้าวฟ่างบ่อยๆ แรกๆเจ้าของยังมาตามบ้าง แต่หลังๆมันหนีมาบ่อยเจ้าของเลยไม่ตาม ในบ้านหลังนั้นยังมีแมวตัวอื่นๆอีกหลายตัว
แต่เจ้าของต้องไปทำงาน ไม่มีเวลาเล่นกับมัน บ่อยครั้งก็ไม่มีอาหารเทไว้ให้ มันทั้งหิวทั้งร้อนเลยหาทางหนีออกมา วันแรกที่มันหนีมา มันไปแอบที่รถของข้าวฟ่าง หลังจากนั้นมันก็ตามติดข้าวฟ่างตลอดเวลา
"นุดมายาง"เจ้าเหมียววิ่งไล่ตะปบผีเสื้อที่บินอยู่บริเวณบ้าน
"เหมียววว เหมียวว เหมียวว"เจ้าเหมียวพยายามดิ้น เพื่อให้มนุษย์ปล่อยตนเอง
"ปล่อยเรานะเจ้ามะนุดนิสัยไม่ดี เราไม่ไป เราจะอยู่รอมะนุดใจดี"ถึงเจ้าเหมียวพยายามบอกแต่เสียงที่ส่งออกมามีแค่เหมียววว
"เอ๊ะ!นี่น้อง ทำอะไร "ข้าวฟ่างกลับมาพอดีกำลังเจอเจ้าเหมียวทั้งดิ้นทั้งร้องเหมียวๆ
"ก็เจ้าเฉาก๊วยหนีมาหลายวันแล้ว จะพากลับบ้าน"
"มะ แมวของคุณเหรอ'ข้าวฟ่างถามออกไปทั้งๆที่พอจะรู้อยู่แล้ว เจ้าขนฟู เป็นแมวของบ้านนี้
"ก็ใช่ไง"เจ้าของแมวอุ้มแมวจากไป เจ้าเหมียวยังคงร้องและดิ้นอยู่ตลอด ข้าวฟ่างมองภาพนั้นอย่างสะเทือนใจ เขาสงสารเจ้าเหมียวมากแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ข้าวฟ่างรู้สึกผิดถ้าเขาเอาเจ้าเหมียวไว้ในบ้าน มันจะไม่ถูกจับกลับไปแน่นอน
ข้าวฟ่างสัญญากับตัวเอง ถ้าเจอเจ้าเหมียวอีกครั้ง เขาจะไม่ให้คนพวกนั้นตามเจออีก
..............................................
ข้าวฟ่างดูข่าวสถานการณ์ต่างๆ ข้าวฟ่างมันใจว่าเรื่องร้ายแรงกำลังเกิดขึ้น วันนี้เขาเข้าไปสั่งของกินของใช้มากมายมากักตุนไว้
"พี่เก้าเป็นยังไงบ้าง โห่พี่ยังตัวร้อนมากเลย"ข้าวฟ่างเดินไปจับตัวสามี ตัวของเก้าทัพนั้นร้อนมาก เรียกยังไงก็ไม่มีการตอบรับ ข้าวฟ่างโทรตามหมอที่พอจะรู้จักเป็นการส่วนตัว ขอให้มาดูอาการสามี
"คุณหมออาการสามีผมเป็นยังไงบ้างครับ"
"อาการคล้ายกับโรคที่ระบาดในตอนนี้เลยครับ ผมจะฉีดยาลดไข้ไว้ให้กับจัดยารักษาอาการเบื้องต้นไว้ก่อน เพราะในโรงพยาบาลเองก็ทำแบบนี้ เราหาสาเหตุของโรคยังไม่เจอครับ ยังไงคุณข้าวฟ่างต้องระวังการติดต่อด้วยนะครับ"คุณหมอจัดยาให้เสร็จก็กลับไป
ข้าวฟ่างจัดข้าวของทุกอย่างพร้อมเขียนรายละเอียดชี้แจง เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก นี่ก็ผ่านมา 8 วันแล้วสามีข้าวฟางยังไม่มีวี่แววจะตื่นขึ้นมาเลย ไปโรงพยาบาล คุณหมอให้กลับมารักษาเองที่บ้าน โดยการไปรับยา เนื่องจากมีคนไข้ล้นโรงพยาบาล
"มิ๊วววว"ข้าวฟ่างได้ยินเสียงร้องของสัตว์ เขารีบวิ่งออกมาดูหน้าบ้าน ข้าวฟ่างคิดว่าเจ้าเหมียวน่าจะหนีมาได้แล้ว
"เอ๋!ไม่ใช่หรอกเหรอ มาจากไหนละเจ้าจิ๋ว"เสียงร้องที่ได้ยินเป็นเสียงของแมวแต่ไม่ใช่เจ้าเหมียวขนฟู แต่เป็นเจ้าจิ๋วตัวน้อย ข้าวฟ่างนำเจ้าจิ๋วเข้ามาในบ้านดูแลให้ความอบอุ่น ป้อนนมจนพุงป่อง ดูแล้วเจ้าจิ๋วนี่น่าจะเกิดได้ไม่นาน
"เราชื่ออะไรดีนะ ตัวสีขาวแบบนี้เป็นแมวไทย ชื่อเจ้ากะทิละกันน่ารักดี"
"มิ๊ววววว"เจ้าแมวน้อยร้องตอบรับ มันถูกแม่ทิ้งไว้ในพงหญ้าหน้าบ้านข้าวฟ่าง มันเพิ่งเกิดได้ไม่กี่วัน แม่ก็ทิ้งไปแล้ว ด้วยความอยากมีชีวิตรอด มันจึงพยายามส่งเสียงร้อง แม้มันลืมตาได้ไม่นานแต่สัญชาตญาณในตัวมันบอกให้ได้รับรู้ ถ้ามันอยากมีชีวิตรอดมันต้องร้อง แล้วมันก็ทำสำเร็จ
"กะทิแม่ข้าวฟ่างจะพาไปรู้จักกับน้องนะ"ข้าวฟ่างอุ้มมิ๊วน้อยไปยังห้องทดลองชั้นใต้ดิน
ในตู้กระจกใสมีเจ้าก้อนตัวน้อยหลับตาพริ้มอยู่ สิ่งที่อยู่ในตู้กระจกคือ ลูกของข้าวฟ่างและเก้าทัพแต่เป็นสิ่งที่เขาทั้งคู่ทดลองขึ้นมาจากการปลูกถ่ายยีนส์ของทั้งคู่ลงไป เริ่มแรกเขาคิดว่าการทดลองล้มเหลวเพราะไม่มีความเจริญเติบโตเกิดขึ้น แต่เมื่อไม่นานมานี้ ที่มีเหตุการณ์ของการเกิดฝุ่นควันที่ปกคลุมไปทั่วโลก
การเจริญเติบโตก็เกิดขึ้น ถ้าการทดลองสำเร็จตู้กระจกจะปลดล็อคอัตโนมัติ ข้าวฟ่างและสามีต่างเฝ้ารอวันนั้น แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย เด็กน้อยในตู้กระจกใสกำลังเติบโตขึ้นมา และจากทารกตัวน้อย ในเวลานี้กลับมีร่างกายของเด็กวัย 1 ขวบนอนหลับอยู่
"กะทินี่เป็นน้องของหนูนะ เขายังไม่ลืมตาเลย ถ้าแม่เป็นอะไรไปหนูต้องดูแลน้องนะ เด็กคนนี้มีชื่อว่า ข้ามฟ้า หนูต้องรักและดูแลน้องแทนพ่อกับแม่นะครับ"ข้าวฟ่างมันใจว่าอีกไม่นานเขาต้องติดเชื้อแบบที่สามีได้รับ แต่เขาอาจจะบ้าไปแล้วก็ได้ ที่ฝากความฝันและความหวังทั้งหมดไว้กับแมว
////////////////////////////////❤️