[FICTION JR] To Jilt [Nakamaru Yuichi] 	[Yamashita Tomohisa]
0
ตอน
383
เข้าชม
5
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
2
เพิ่มลงคลัง

Fiction    [To Jilt] 

Cast       [Nakamaru Yuichi] [Yamashita Tomohisa]  

Part       one part end 

By         [archi_10_001] 

 

     “เราเลิกกันเถอะ โทโมฮิสะ....ฉันเบื่อกับการที่จะมีนายอยู่ข้าง ๆ แล้วล่ะ” ชายหนุ่มร่างสูงยืนกอดอกนิ่งภายใต้ชุดคลุมอาบน้ำตัวยาวสีกรมท่า พลางทอดสายตามองผ่านผนังกระจกทั้งบานของห้องนอน ก่อนจะเอ่ยบอกคนรักด้วยสีหน้าเรียบเฉย  

     “ฮะ พรุ่งนี้โทโมะจะให้คนของป๊ามาขนของ ส่วนกุญแจห้องจะฝากที่เคาน์เตอร์ด้านล่างเอาไว้แล้วกันนะฮะ” ร่างบางบนเตียงนุ่มหลังใหญ่ ยามาชิตะ โทโมฮิสะ ตอบรับกลับมาแทบจะทันทีพลางพยักหน้ารับนิด ๆ คล้ายจะทำใจยอมรับเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้แล้วก่อนจะขยับลุกขึ้นด้วยรู้ดีว่าตนนั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป  

     รู้อยู่แล้วว่าสักวันผู้ชายคนนั้นจะเอ่ยมันออกมา เกือบปีแล้วสินะ ที่คบกันมา....นานเกินไปด้วยซ้ำกับการที่ได้มายืนอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ “นากามารุ ยูอิจิ” ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเปลี่ยนคู่นอนเกือบทุกอาทิตย์ ทั้งผู้หญิงหรือแม้กระทั่งผู้ชายอย่างเขา อีกฝ่ายก็ไม่เคยเกี่ยง อีกทั้งยังกล้าเอ่ยปากบอกเลิกคู่นอนด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าเบื่อที่จะมีคน ๆ นั้นอยู่ข้าง ๆ เหมือนกับที่ชายหนุ่มเพิ่งเอ่ยบอกกับเขาเมื่อสักครู่ 

     ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ก็ยังมีโอกาสได้มาเป็นหนึ่งใน “คู่นอน” หรือใครหลาย ๆ คนอาจจะมองว่าเขาอยู่ในสถานะ “คนรัก” ของ นากามารุ ยูอิจิ ตำแหน่งที่อีกฝ่ายไม่เคยมอบให้ใคร....แล้วในที่สุดสิ่งที่เขากลัวมาตลอดระยะเวลากว่าปีนั้นก็เกิดขึ้น 

 

     เช้าวันแรกของการทำงานในสัปดาห์ใหม่ ร่างเพรียวก้าวเดินสู่ตัวตึก ‘NY’ ตึกสำนักงานหลักของบริษัทร่วมค้าระหว่างสองตระกูลใหญ่ในโตเกียวอย่าง นากามารุ และ ยามาชิตะ สองท่อนขายาวเรียวภายในชุดสูทเข้ารูปสีเทาอ่อนตามแบบฉบับของคุณหนูคนเล็กของตระกูล ‘ยามาชิตะ’ 

     “โทโมะ วันนี้ยูจังไม่ได้มาพร้อมกันเหรอ” ร่างเล็ก ๆ ของ คาเมนาชิ คาซึยะ รีบรุดเร่งฝีเท้าเดินเข้าหาเพื่อนรัก ข่าวคราวที่ว่าเพื่อนร่างเพรียวถูกญาติผู้พี่ของตนบอกเลิกนั้นแว่วเข้าหูมาบ้าง เพียงแต่ร่างบางนั้นยังไม่อยากที่จะปักใจเชื่อข่าวที่ตนได้ยินมามากนัก ด้วยจากสายตาที่เฝ้ามองช่วงเวลาที่คนทั้งคู่เป็น “คนรัก” กันนั้น....ญาติผู้พี่นั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เคย 

     “เลิกกันแล้ว เมื่อคืนนี้เอง” ยามะพีเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มน่ารักให้เพื่อนรักเหมือนเคย ทั้งที่ในใจนั้นอดที่จะร่ำร้องเรียกหาคนที่ตนเฝ้ารักสุดหัวใจนั้นไม่ได้ แต่คำสัญญาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนเมื่อครั้งนั้นยังตรึงความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ 

     “เฮ้! เป็นงั้นได้ไง ยูจังกับโทโมะคบกันมาตั้งเกือบปีแล้วนี่....แล้วไหงเป็นอย่างนี้เล่า” เพื่อนตัวเล็กโวยวายเสียงแหลม แต่ก็ยังยั้งปากเอาไว้ได้เพราะยังให้ความเคารพสถานที่อยู่พอสมควร แล้วเจ้าของเสียงก็จัดการลากเพื่อนตัวร่างเพรียวเข้ามุมทางเดินทันทีหวังจะคุยกันให้รู้เรื่อง 

     “ฉันว่าคาซึยะไปถามยูจังของคาซึยะเองดีกว่านะ....เดินมาโน้นแล้ว และคนข้าง ๆ ของเขาก็คงตอบคำถามคาซึยะได้ดีกว่าฉัน ฉันต้องเข้าประชุมแล้ว เจอกันมื้อเที่ยงนะ” ยามะพีขยับมือเรียวตนออกจากการเกาะกุมพร้อมกับโค้งเล็ก ๆ ให้คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ และยังไม่ลืมยิ้มทักทายคู่ควงคนใหม่ของ นากามารุ ยูอิจิ ซึ่งเดินเข้ามาภายในตัวตึกพร้อมกับอดีตคนรักของตน ถึงแม้ฝ่ายนั้นจะออกท่าออกทางเชิดหยิ่งเสียจนเพื่อนตัวบางข้างๆนั้นหมั่นไส้ก็ตาม 

     ยามะพีเดินเลี่ยงออกไปเข้าลิฟต์เงียบ ๆ เพียงลำพัง ร่างบางไม่รู้ว่าความอดทนของตนนั้นจะสิ้นสุดและหมดลงเมื่อไหร่ สองขาเรียวยาวภายใต้กางเกงเข้ารูปสีเทาอ่อนนั้นค่อย ๆ ย่างก้าวเพื่อพยุงร่างอันสั่นสะท้านด้วยความทรมานจากการถูกบีบคั้น การถูกกดดันในห้วงของความรู้สึก ยามะพีฝืนคลี่ยิ้มน้อย ๆ กับคนทั้งสามที่ยืนคุยกันอยู่ไม่ไกลนักอีกครั้ง ก่อนประตูลิฟต์จะเลื่อนตัวมาประกบปิดกันตรงหน้า ร่างบางจึงได้โอกาสถอนหายใจหนัก ๆ พลางหวนนึกไปถึงวันแรกที่เขาเสนอตัวเข้าไปเป็น “คนรัก” ของ นากามารุ ยูอิจิ และการตอบรับคำสัญญาจากผู้ชายคนนั้น 

 

     “เธอเองก็น่าจะรู้นิสัยของฉันอยู่แล้ว ฉันไม่ชอบการผูกมัด ยิ่งกับผู้ชาย....ฉันคงเบื่อเร็วกว่าผู้หญิง” นากามารุ ยูอิจิ ปรายสายตาคมปราบมองเจ้าของร่างเพรียวลูกชายหุ้นส่วนคนสำคัญของตระกูลอย่าง ยามาชิตะ กลุ่มคนที่ชายหนุ่มไม่เคยคิดจะข้องเกี่ยวด้วยในเรื่องของความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาเสนอตัวกับเขาถึงที่ขนาดนี้....เขาเองก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธเรื่องนี้ 

     “เรื่องนั้น...ผมทราบดีฮะ” ร่างเพรียวตอบรับเสียงเรียบ หลังจากรับฟังชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยถึงความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งความจริงเรื่องแบบนั้นตนเองก็รับรู้มาบ้างแล้ว เขาไม่ได้เพิ่งรู้จักผู้ชายคนนี้....ถ้าจะพูดให้ถูกคือเฝ้ามองผู้ชายคนนี้มานานร่วม 10 ปีแล้วต่างหาก  

      “ฉันไม่คิดว่าจะหยุดในเวลานี้....เพราะอย่างนั้น เธอคงไม่มีทางที่จะได้เป็นคนเดียว....อืม เรียกอย่างนั้นก็คงไม่ได้ ต้องเรียกว่า ‘คนสุดท้าย’ สำหรับฉันหรอก ต้องเรียกอย่างนี้สินะ ถึงจะถูก” ยูอิจิกล่าวย้ำความเป็นจริงให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เจ้าตัวเองก็เคยสัมผัสคนที่ต้องการมาเป็น ‘คู่นอน’ หรือแม้กระทั่ง ‘คนรัก’ ของตนมากมาย แต่กับเด็กผู้ชายที่เดินเข้ามาพร้อมกับเอ่ยบอกความต้องการของตัวเองภายในห้องทำงานของเขาอย่างนี้....เขาเพิ่งมีโอกาสได้สัมผัส 

     ‘ผมอยากเป็น ‘คนรัก’ ของคุณ’ ประโยคง่าย ๆ ที่ร่างเพรียวบางบุตรชายคนสุดท้องของหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทเอ่ยบอกเขาด้วยหน้าตาเรียบเฉยไร้กิริยาอาการแสดงออกถึงความต้องการที่สอดคล้องกับคำพูด ร่างบางเพียงแค่เอ่ยบอกและรอฟังผลลัพธ์ของมันอย่างตั้งใจเท่านั้น 

     “ผมก็ไม่ได้หวังที่จะเป็น ‘คนสุดท้าย’ ของคุณ ผมอยากเป็นแค่ ‘คนรัก’ ของคุณเท่านั้นเอง” แขกหน้าหวานเอ่ยท้วงเรียบ ๆ หากแต่ก็สร้างความแปลกใจให้กับเจ้าของห้องได้ไม่น้อยจนร่างสูงถึงขนาดขมวดหัวคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะคลายออกและขยับก้าวเข้าหาคนหน้าหวานทันที 

     “เรื่องที่เธอมาคุยกับฉัน ทักกี้กับซึบาสะ รับรู้แล้วรึยัง ฉันยังไม่อยากมีปัญหากับหุ้นส่วนเพราะเรื่องส่วนตัวไร้สาระอย่างนี้หรอกนะ โทโมฮิสะ” ยูอิจิพาดพิงถึงพี่ชายทั้งสองของร่างบาง ทายาทหุ้นส่วนของพ่อและยังเป็นเพื่อนสนิทตนทั้งคู่ 

     “ทักกี้กับซึบะจังทราบเรื่องนี้แล้ว เพราะอย่างนั้นเรื่องไร้สาระของคุณกับผมไม่มีทางสร้างปัญหารำคาญใจให้คุณแน่นอน....แล้วคำตอบล่ะครับ เราจะเป็น ‘คนรัก’ กันได้รึเปล่า” ยามะพีตอบคำถามทันควัน สำหรับเรื่องราวครั้งนี้เขาได้ปรึกษาพี่ชายทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว หรือแม้กระทั่ง ‘ป๊า’ ก็ตาม 

     “ฉันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ยิ่งมีคนมาเสนอถึงที่อย่างนี้ ถ้าฉันไม่รับไว้....คนอื่นเขาจะว่าเอาได้ จริงรึเปล่า โทโมฮิสะ” ยูอิจิไม่ตอบรับเปล่า ร่างสูงเดินเข้ามาแตะเบา ๆ ที่ปลายคางมน ก่อนจะประทับริมฝีปากตนลงบนกลีบปากบางเพียงแผ่วเบาราวกับจะตอกย้ำคำตอบตน 

 

     ทางด้านคาซึยะที่จ้องมอง ‘คู่ควง’ คนใหม่ของญาติผู้พี่ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์อย่างที่สุด เด็กฝึกงานที่ทางแผนกตนเพิ่งพิจารณารับเข้ามาได้ไม่ถึงอาทิตย์ ร่างบางได้แต่ส่ายหน้าหน่ายกับท่าทางที่ เทโงชิ ยูยะ คู่ควงคนใหม่ของยูอิจิแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของร่างสูง ขณะที่คนทั้งคู่เดินเข้ามาหาตน ยูอิจิพยักหน้านิด ๆ รับคำทักทาย ‘อดีตคนรัก’ ก่อนที่เพื่อนรักของเขาจะหายเข้าไปในลิฟต์ จะมีก็แต่เด็กฝึกงานนั่นแหละที่เชิดซ้ายเชิดขวาไม่สนใจใคร แม้กระทั่งเขาที่ยืนหัวโด่จนแทบจะเดินมาชนเขาอยู่รอมร่อ 

     ทั้ง 3 ทักทายกันเล็กน้อยแล้วจึงเดินไปยังลิฟต์ส่วนตัวสำหรับผู้บริหารของฝั่งนากามารุที่อยู่อีกฟาก เสียงการสนทนานั้นเกือบเรียกได้ว่าเงียบสนิท หากไม่มีเสียงหวาน ๆ ที่คอยถามเรื่องนั้นเรื่องนี้เกี่ยวกับบริษัทหรือแม้กระทั่งแสดงอาการออดอ้อนคนรักราวกับรักกันมานานสัก 20 ปีของยูยะ ซึ่งยูอิจิก็เพียงแค่ตอบแกน ๆ แบบขอไปที ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่ค่อยชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวาย  

     “เดี๋ยวฉันไปส่งยูยะที่แผนกก่อน แกมีอะไรกับฉันรึเปล่า” ยูอิจิเอ่ยถามญาติผู้น้องเมื่อเจ้าตัวกดเลขชั้นต้น ๆ ซึ่งไม่ใช่เลขชั้นที่เจ้าตัวทำงานอยู่  

     “มี งั้นเดี๋ยวไปรอข้างบนนะ....เจอกัน” ทางด้านคนเป็นน้องก็ชักสีหน้าหน่อย ๆ ด้วยไม่พอใจท่าทางออดอ้อนจนเกินงามของยูยะที่แสดงออกมา ตั้งแต่ที่ตนเดินมากับคนทั้งคู่ เจ้าเด็กฝึกงานนั่นยังไม่เอ่ยทักทายหรือแสดงความเคารพตนเลย อีกทั้งยังออดอ้อนฉอเลาะยูอิจิซะจนน่าหมั่นไส้ แต่แล้วก็พยักหน้ารับรู้และเอ่ยบอกว่าตนจะรออยู่ที่ใดเท่านั้น 

 

     ห้องทำงานส่วนตัวซึ่งประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูจากไม้เนื้อแข็งอย่างดี สีน้ำตาลโทนเข้มเข้ากับพรมสีครีมนวลตาที่ปูทั่วพื้นห้องตลอดแนว บริเวณที่จัดวางโต๊ะทำงานถูกยกระดับขึ้นเป็นสเต็ปเตี้ย ๆ ต่างจากส่วนที่จัดวางชุดรับแขกซึ่งเป็นโซฟาไม้สีออกน้ำตาลอ่อน ๆ บุกำมะหยี่สีครีมผสมขาวนวลตาที่ถูกตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของตัวห้อง เพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวและเพิ่มความเข้มขรึมให้กับเจ้าของโต๊ะ หากแต่ตอนนี้โต๊ะแสนขรึมนั้นกลับตกไปอยู่ในมือของหนุ่มน้อยร่างบางหน้าหวาน คาเมนาชิ คาซึยะ ไปเสียแล้ว 

     คิ้วเรียวคอยขมวดเข้าหากันเป็นพัก ๆ ด้วยในหัวนั้นกำลังครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเพื่อนรักและญาติผู้พี่ของตน ไม่ใช่ไม่รู้ว่าผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายตนนั้นมีนิสัยอย่างไร เมื่อครั้งรู้เรื่องที่คนทั้งคู่กำลังคบหากันเจ้าตัวนั้นก็เป็นอีกคนที่พยายามจะคัดค้าน แต่เมื่อเพื่อนรักสามารถมัดใจผู้ชายมากรักอย่างยูอิจิได้เกินกว่า 3 เดือน ร่างบางถึงได้คลายใจ....แล้วนี่อะไร ยังไม่ทันจะครบปี เพื่อนตนกลับเดินมาบอกพร้อมกับรอยยิ้มน่ารักว่า ‘เลิกกันแล้ว เมื่อคืนนี้เอง’ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน แล้วความคิดทุกอย่างก็สะดุดลงเมื่อเจ้าของเรื่องชวนปวดหัวนั้นเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง 

     “แล้วนี่คิดยังไงถึงได้บอกเลิกโทโมะ แล้วมาคว้าเอาเด็กฝึกงานมาเป็น ‘คู่ควง’ ล่ะยูจัง” เสียงเล็กกระเง้ากระงอดญาติผู้พี่ทันทีที่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาภายในห้อง ชายหนุ่มเจ้าของห้องเพียงแค่เลิกคิ้วสูงหากแต่ยังไม่คิดที่จะตอบคำถามนั้นพลางเดินเข้าไปนั่งพักตรงโซฟาตัวใหญ่สุดของชุดรับแขก มือแกร่งเรียวขยับขึ้นมานวดหัวคิ้วช้า ๆ ชายหนุ่มยังนึกบาดหูกับเสียงฉอเลาะของเด็กฝึกงานคนใหม่ที่เข้ามาเสนอตัวให้ตนทันทีที่ได้เจอกัน 

     ความอึดอัดระคนเหนื่อยหน่ายอย่างนี้ชวนให้นึกถึงเสียงปลอบอ่อนโยน มือเล็กเรียวที่คอยกระชับฝ่ามือให้ความอบอุ่น เรือนร่างแบบบางที่ตนเคยโอบอุ้มไว้ในอ้อมแขน ริมฝีปากอุ่น ๆ ที่เพียงแค่สัมผัสแผ่วเบาก็ช่วยผ่อนคลายความกังวลของตนลงได้ รอยยิ้มที่ได้เห็นทุกครั้งที่เจอหน้า....หรือแม้กระทั่งเมื่อเช้า ทั้งที่เขาเป็นคนเอ่ยประโยคที่แสนจะหยาบคายอย่างนั้นลงไป แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นรอยยิ้มที่ยังคนอบอุ่นเหมือนเดิม    

     “คาซึพูดกับยูจังอยู่นะ สนใจกันหน่อยสิ” เสียงเล็กโวยขึ้นอย่างขัดใจเมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่ายที่ดูคล้ายรำคาญที่จะสนทนากับตน แต่ด้วยความที่รู้จักนิสัยใจคอพี่ชายคนนี้เป็นอย่างดีร่างบางเลยเลือกที่จะเข้ามาหาอีกฝ่ายเงียบ ๆ และนั่งอยู่ข้าง ๆ พี่ชายอย่างนั้นเกือบตลอดทั้งช่วงเช้า ถ้าไม่มีโทรศัพท์จากเพื่อนรักดังขัดขึ้นมาเสียก่อน 

     “เออ....ยูจัง จะเที่ยงแล้ว ทานอะไรรึเปล่า เดี๋ยวจะชื้อขึ้นมาให้” น้องชายตัวเล็กเอ่ยถามพี่ชายที่ยังคงนั่งหน้าเครียดอยู่บนโซฟาตัวเดิม หลังจากที่คุยโทรศัพท์นัดแนะกับเพื่อนรักตัวโต ‘อาคานิชิ จิน’ เป็นที่เรียบร้อย 

     “ไปกับโทโมฮิสะด้วยรึเปล่า” แต่สิ่งที่ร่างสูงตอบกลับมานั้นกลายเป็นคำถามที่คนตัวเล็กไม่คิดว่าจะได้ยินจากพี่ชายคนนี้ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันนิด ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วอีกฝ่ายก็เพียงแค่ส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีนั้น  

     “ฝากบอกมากิด้วย วันนี้ฉันไม่รับแขก ถ้างานไม่เร่งขอผลัดไปก่อน....ไม่มีอารมณ์” ยูอิจิกำชับน้องชายอีกนิด แล้วเมื่ออีกฝ่ายขยับลุกจากโซฟาตัวใหญ่ ชายร่างสูงก็เอนตัวนอนบนโซฟาสีอ่อนนั้นทันที หากแต่ดวงตาคมกริบยังจับจ้องเพดานห้องที่กรุด้วยฝ้าลวดลายวิจิตรออกโทนน้ำตาลอ่อนสลับเข้มเป็นจุด ๆ คล้ายกำลังครุ่นคิดบางเรื่องที่แสนจะสำคัญอยู่ 

 

      คาซึยะใช้เวลาไม่นานนักก็เดินลงมารอที่โถงพักคอยชั้นล่างของอาคารสูงนั้น ร่างบางพยายามสอดส่ายสายตามองหาเพื่อนตัวโตและร่างเพรียวระหงของอดีตคนรักของพี่ชาย หวังว่าตนคงไม่ได้ลงมาช้าถึงขนาดที่เพื่อนทั้งสองทิ้งให้ทานกลางวันคนเดียวหรอกนะ แล้วโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวมือหนัก ๆ ก็มาสะกิดอยู่ที่ไหล่ลาดด้านขวา ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร 

     “จิน โทโมะ นึกว่านายสองคนจะทิ้งฉันไปแล้วเสียอีก อะ....เออ ไปกันเถอะ ฉันหิวจนแสบท้องแล้วเนี้ย” คนตัวเล็กหวังจะหันไปโวยเพื่อนรักทั้งคู่ แต่ก็ถึงกับชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงโอบกอดบ่าเล็กของคนที่เคยได้ชื่อว่า ‘คนรัก’ ของยูอิจิ เอาไว้แนบกาย ร่างบางคงไม่ชะงักกับภาพเพื่อนสองคนที่สนิทชิดเชื้อกันถึงขนาดนั้น ถ้าเจ้าตัวไม่ได้รักชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของวงแขนอบอุ่นที่กอดกระชับร่างแบบบางนั้นเอาไว้อย่างแสนหวง 

     “ฮะ ฮะ ฮา....วันนี้ฉันมีความสุขจัง ในที่สุดโทโมะก็ได้กลับมาทานมื้อเที่ยงด้วยกันอีกครั้ง” ร่างสูงเอ่ยบอกเพื่อนรักทั้งสองด้วยสีหน้ามีความสุขนักหนา เมื่อเพื่อนรักที่ห่างหายไปจากมื้อกลางวันของตนร่วมปี ด้วยเหตุผลที่แสนจะงี่เง่าของ ‘อดีตคนรัก’  

     ร่างสูงยังไม่ปล่อยจะวงแขนจากบ่าบาง อีกทั้งยังคว้าเอามือนุ่มนิ่มของเพื่อนผู้มาใหม่ไว้อีก ก่อนที่ร่างสูงจะเดินนำเพื่อนรักทั้งสองออกจากตัวตึกด้วยสีหน้าที่เปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข ทั้ง 3 คนเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ยังเด็ก จินที่อายุมากที่สุดในกลุ่มนั้นมักจะออกตัวปกป้องเพื่อนรักทั้งสองเสมอ แม้เจ้าตัวจะอยู่คนละชั้นปีแต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วายหาเวลามาสังสรรค์กับเพื่อนรักทั้งสองคนเสมอ 

     จนกระทั่งเรียนจบและต้องเข้าไปช่วยผู้เป็นบิดาบริหารบริษัท ‘Akanishi Group’ ที่ตั้งอยู่เยื้องตัวตึกสำนักงานใหญ่ ‘NY’ นี้ไปสัก 3 บล็อก ชายหนุ่มก็ยังคงวนเวียนหมั่นมาเยี่ยมเยือนเพื่อนรักทั้งสองซึ่งทำงานอยู่ในตึกนี้เป็นครั้งคราวหรือแทบจะทุกมื้อเที่ยงก็ว่าได้  

 

     เพื่อนรักทั้ง 3 เดินตรงไปยังร้านประจำที่มักจะใช้เป็นที่พักผ่อนในช่วงเวลาพักเที่ยงของทุกวันตั้งแต่ก่อนที่ยามะพีจะเริ่มคบกับยูอิจิ จินเป็นอีกคนที่พยายามคัดค้านในเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าคาซึยะจะล้มเลิกความตั้งใจเมื่อเห็นว่ายามะพีนั้นคบและได้รับความสำคัญจากพี่ชายร่วม 3 เดือน หากแต่สำหรับจินนั้นยังคงไม่พอใจกับการกระทำหลาย ๆ อย่างของ ‘อดีตคนรัก’ ของยามะพี แต่ที่จินยอมมองอยู่เพียงห่าง ๆ นั้นก็ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ยามะพีรักผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่ชื่อว่า นากามารุ ยูอิจิ’  

     “นายหัวเราะดังเกินไปแล้วนะ จิน” ยามะพีตีมือเพื่อนตัวโตที่มักจะฉวยโอกาสจากความได้เปรียบของร่างกายตัวเองเสมอ ชายร่างสูงยังคงโอบบ่าลาดเอาไว้เช่นเคยแม้ว่าพวกเขาทั้ง 3 จะเดินเข้ามาภายในร้านอาหารได้พักใหญ่แล้ว 

     “ก็คนมันมีความสุข ก็ต้องหัวเราะสิ ยิ่งมีความสุขมาก ๆ อย่างนี้ ก็ยิ่งต้องหัวเราะเสียงดัง ๆ คนอื่นเขาจะได้รู้ว่าฉันมีความสุขแค่ไหน จริงรึเปล่าคาซึยะ” ร่างสูงเอ่ยเสียงร่าเริงแต่ก็ยอมละมือออกจากบ่าเล็กเมื่อบริกรผายมือเชิญทั้ง 3 คน นั่งโต๊ะประจำ ก่อนที่จะหันไปขอความเห็นจากคนตัวเล็กสุดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีไว้ให้คนตัวเล็กเพียงคนเดียว 

     “อะ....อืม ก็คงอย่างนั้น เราไม่ได้ทานมื้อเที่ยงด้วยกันมานานร่วมปีแล้วนะเนี้ย นานใช้ได้เลย” ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มรับ แล้วจึงค่อยเอ่ยรับคำเพื่อนตัวใหญ่ที่กำลังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้นั่นเอง ความใจดีของผู้ชายคนนี้เผื่อแผ่เหลือเฟือมาถึงเขาอย่างนี้ทุกคราวไป 

     เพื่อนรักทั้ง 3 คนร่วมทานมื้อกลางวันด้วยกันอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มที่ห่างหายไปนานร่วมปีสำหรับเพื่อนรักกลุ่มเล็ก ๆ นี่บังเกิดขึ้นอีกครั้ง เสียงหัวเราะกับเรื่องราวขบขันที่ อาคานิชิ จิน หยิบยกขึ้นมาเล่านั้นดังให้ได้ยินเป็นระยะ  

     ชายร่างสูงนั้นแบ่งปันเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนทั้งสองคนอย่างเสมอภาค ชายหนุ่มดูจะมีความสุขกับอาหารมื้อนี้มากทีเดียว เมื่อเพื่อนรักได้หลุดพ้นออกมาจากบ่วงของผู้ชายที่เจ้าตัวปักใจเชื่อนักหนาว่าไม่ได้มีความจริงใจกับเพื่อนของตนเลย ในขณะที่ยามะพีที่เพิ่งถูกคนรักบอกเลิกรานั้นก็เก็บอาการต่างๆได้อย่างแนบเนียน ทางด้านคนตัวเล็กสุดในกลุ่มก็แอบลอบมองปฏิกิริยาของสองเพื่อนรักที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความเจ็บปวดระคนน้อยใจที่แอบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของใจ โดยลืมสังเกตไปว่าตนเองนั้นก็ได้รับการเอาใจใส่จากคน ๆ นั้นไม่ต่างจากยามะพี หรือบางทีอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป 

     นานเกือบชั่วโมงกว่าทั้ง 3 คนจะเสร็จภารกิจจากมื้อกลางวัน ยามะพีขอตัวออกไปซื้อของบางอย่าง ส่วนที่เหลือก็จัดการเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายในมื้อนี้ซึ่งก็น่าจะเป็นจินคนเดียวเสียมากกว่าที่เป็นคนจัดการทั้งหมด เมื่อเจ้าตัวยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอาสาจะเลี้ยงมื้อกลางวันครั้งนี้เอง ทำเอาเพื่อนตัวเล็กนั้นงอนตุ๊บป่องออกมายืนรอด้านหน้าร้าน 

 

     และเมื่อคนตัวเล็กออกมายืนรอที่หน้าร้านสายตาก็พลันเหลือบมองไปเห็นหลังใครบางคนที่คับคล้ายคับคลาว่าจะเป็นคนคุ้นเคย จนกระทั่งอีกฝ่ายรู้สึกตัวว่าถูกมองจึงหันมาหาและโบกมือทักทายอย่างคนคุ้นเคย ซึ่งร่างบางก็แสดงท่าทางเช่นนั้นเหมือนกัน ก่อนอีกฝ่ายจะเดินเข้าตึกไป  

     “เอ๋....เรียวจัง กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ” ร่างเล็กเก็บไม้เก็บมือพลางพึมพำกับตัวเองด้วยไม่คิดว่าคน ๆ นั้นจะกลับมาก่อนเวลาที่เจ้าตัวกำหนดไว้ตั้งแต่ครั้งที่ไปต่างประเทศเมื่อ 2-3 ปีก่อน 

     “เจอคนรู้จักเหรอ เห็นโบกมือระริกระรี้เชียว เอ๊ะ....หรือว่าจะเป็นคนรู้ใจ” คนที่เพิ่งเดินออกจากร้านอดค่อนขอดร่างบางไม่ได้เมื่อทันเห็นท่าทางดีอกดีใจพลางโบกไม้โบกมือให้ใครบางคนซึ่งตนไม่เคยรู้จักทั้งที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก นอกจากอีกฝ่ายจะแอบไปรู้จักแล้วไม่ยอมบอกให้ตนรับรู้นั่นแหละ ซึ่งนั่นมันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับการแสดงท่าทีดังเช่นเมื่อสักครู่นั้นออกไป 

     “ไม่ใช่เรื่องของนายหรอกจิน นายไปสนใจเรื่องของโทโมะน่าจะดีกว่า” ทางด้านคนตัวเล็กที่น้อยอกน้อยใจเพื่อนตัวโตอยู่แล้วก็เลยประชดประชันอีกฝ่ายเข้าให้บ้าง พร้อมสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ คางเรียวแหลมเชิดขึ้นตามนิสัย ท่าทางและอาการเช่นนั้นกลับกลายเป็นเรียกร้องให้ร่างสูงนั้นอดที่ยิ้มอ่อนโยนให้คนตัวเล็กไม่ได้ ก่อนจะขยี้กลุ่มผมนิ่มมือสีน้ำตาลประกายแดงคนเอาแต่ใจด้วยความเอ็นดู 

     “เอ๊ะ จิน....ผมฉันยุ่งหมดแล้วนะ เห๋....นายทำอะไรของนายเนี้ย” ร่างเล็กโวยวายพลางตวัดสายตามองเพื่อนร่างสูงที่ยังคงยิ้มอ่อนโยนให้ ทั้งยังไม่ยอมละฝ่ามือแข็งแรงนั่นออกจากผมตนเสียที คนตัวเล็กก็ได้แต่กอดอกเชิดปากใส่คนร่างสูงเท่านั้น ก่อนจะโวยหนักขึ้นเมื่อร่างสูงโน้มศีรษะเล็กให้มาซบลงกับอก 

     “โทโมะกำลังเสียใจ นายก็น่าจะรู้....จะน้อยใจไปทำไม หืม....” จินไม่สนท่าทีขัดขืนของเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขน ร่างสูงยังคงโอบกอดร่างบาง ๆ ให้ซบอกอยู่อย่างนั้นพลางโยกไปโยกมาคล้ายเวลาโอ๋เด็กตัวเล็ก ๆ ไม่ผิดเพี้ยน 

     “นายสองคนทะเลาะกันอีกแล้วสิ ถึงได้ต้องโอ๋กันขนาดนี้....” ยามะพีลอบยิ้มให้จินอย่างรู้ทัน ส่วนเพื่อนตัวเล็กนั่นก็พยายามสุดกำลังที่จะผลักไสอีกฝ่ายให้ปล่อยตนจากอ้อมกอดแข็งแรงนั่นสักที ทางด้านคนตัวโตก็ชักสีหน้าหน่อย ๆ เมื่อถูกขัดจังหวะ ทั้งยังขัดใจกับสายตารู้ทันที่ยามะพีลอบส่งมาให้นั่นอีก 

 

     ภายในห้องทำงานของยูอิจิ ร่างสูงยังคงนอนมองเพดานบนโซฟาตัวใหญ่นิ่งอยู่อย่างนั้น ภาพรอยยิ้มน่ารัก ทั้งยังเสียงหวาน ๆ ที่คอยพูดให้กำลังใจ บางครั้งไม่ได้เห็นหน้าแต่แค่ได้ยินเสียงเขาก็รู้สึกเหมือนว่ามีคน ๆ นั้นมายืนอยู่เคียงข้าง พลางคิดถึงเรื่องที่เคยคุยกับเพื่อนรักผ่านทางโทรศัพท์เมื่อหลายวันก่อน เรื่องของความผิดปกติอะไรบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใคร แล้วทำไมกับเด็กผู้ชายที่อายุห่างกับตัวเองเกือบ 10 ปี ถึงได้เกิดความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาได้ ยูอิจินอนนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูไม้บานหนักของห้องเปิดแง้มออก คิ้วเข้มจึงขมวดเข้าหากันด้วยเสียอารมณ์เมื่อมีคนมาขัดจังหวะ 

     “ตกลงว่าเพื่อนคาซึมีอิทธิพลกับแกมาก ถึงขนาดที่แกทำงานไม่ได้เลยเหรอวะ” เสียงเพื่อนรักดังขึ้นตามด้วยเสียงประตูบานหนักนั้นเคลื่อนกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม ยูอิจิเหลือบมองร่างหนา ๆ ของเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามาประชิด แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ได้ขยับลุกขึ้นจากโซฟารับแขกตัวนั้นแต่อย่างใด 

     “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่....โทโมฮิสะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ขนาดเมื่อเช้าก็ยังยิ้มให้ฉัน ยิ้มให้คาซึ หรือแม้กระทั่ง ‘เทโงชิ ยูยะ’ คนใหม่ของฉัน โทโมฮิสะก็ยังยิ้มให้ เหมือนกับเมื่อคืนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น....เหมือนกับ....เหมือนกับ....ว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยระหว่างเรา” ยูอิจิพึมพำระบายความรู้สึกของตนให้เพื่อนรักได้รับฟัง นี่เกิดอะไรขึ้นกับความเป็นตัวเองของเขา โทโมฮิสะเพียงแค่เข้ามา เข้ามาแล้วก็จากไปเหมือนคนอื่น ๆ ถึงจะอยู่กับเขานานกว่าทุกคน แต่สุดท้ายก็ต้องผ่านไป ผ่านไปเหมือนกับทุก ๆ คนที่ผ่านมา 

     “แกกำลังทำเหมือนกับว่าน้อยใจที่เด็กคนนั้นไม่ได้สนใจ โอดครวญ หรือแม้กระทั่งแสดงความเจ็บปวดให้แก่เห็นอย่างนั้นเหรอวะ” เรียวเอ่ยท้วงเพื่อนอย่างนึกขันอยู่ในใจ ใครจะรู้ว่าคนที่เคยหักอกชาวบ้านมานักต่อนักอย่าง นากามารุ ยูอิจิ จะมาเสียท่าให้น้องชายเพื่อนสนิทที่อายุห่างกันร่วม 10 ปีอย่างนี้ 

     “ท่าทางฉันแสดงออกว่าเป็นอย่างนั้นเหรอวะ เรียว” ยูอิจิถามเพื่อนที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเล็กข้าง ๆ ร่างสูงถอนหายใจหนักอีกครั้งก่อนจะดันตัวขึ้นมานั่งคุยกับเพื่อน....หรือจะเรียกว่าที่ปรึกษาก็คงไม่แปลกนัก 

     “เออสิวะ หน้ายังกับโคอาล่าอดนอน แล้ว ‘คนใหม่’ ของแกไม่เข้ามาดูแลเหรอวะ ปล่อยให้นอนดูฝ้าเพดานอยู่ได้ ข้างนอกก็ไม่เห็นมีใครสักคนนอกจากคุณเลขาหน้าหวานของแก” เรียวกระเซ้าเพื่อนเหมือนได้มีโอกาสเห็นสภาพหนึ่งในผู้บริหารของ ‘NY’ สภาพแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับนากามารุ ยูอิจิได้ 

     “เพิ่งไล่ออกไป ไม่มีอารมณ์ อ้อนจนน่ารำคาญ” ยูอิจิบ่นพลางนึกไปถึงท่าทางของอีกคนที่มักจะนั่งรออยู่ข้างนอกถ้าตนไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวน นั่งรออยู่อย่างนั้นจนบางครั้งกลับกลายเป็นว่าเลขาตนต้องใช้ช่วงเวลาที่ส่งเอกสารด่วนหรือเอกสารสำคัญ ๆ เข้ามากระซิบ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ต้องการรบกวนตน  

     “ฮะ ฮะ ฮา แกเป็นโรคชอบคนขี้อ้อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่เหรอวะ ไหงน้องเขาอ้อนแล้วไล่ออกไปอย่างนั้น” เรียวหัวเราะอีกครั้งเมื่อได้ฟังจนครบประโยค ยูอิจิคงถูกอิทธิพลของเด็กคนนั้นครอบงำจริง ๆ นั่นแหละ ถึงได้เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้  

 

     จินขอแยกกลับเข้าบริษัทเลย ตอนนี้ก็เหลือเพียงสองหนุ่มหน้าหวานที่เดินเคียงคู่กันกลับเข้าตึกไป แต่ก่อนที่คาซึยะจะแยกไปขึ้นลิฟต์ทางฝั่งผู้บริหารของนากามารุก็ถูกเพื่อนรักรั้งเอาไว้ คนทั้งคู่เลยหันกลับเข้ามาเผชิญหน้ากัน ยามะพีทำท่าคล้ายว่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ชะงักไปเมื่อร่างเพรียวบังเอิญไปเจอกับอะไรบางอย่าง 

     “อ้า....ไม่มีอะไรหรอก แค่จะบอกว่าตั้งใจทำงานนะ คาซึยะ อย่าแอบหลับเวลางานเชียว” เพื่อนร่างเพรียวเอ่ยท้วงเตือนเพื่อร่างบางด้วยรู้นิสัยขี้เซาของคนตัวเล็กนี่ดี ยิ่งช่วงบ่าย ๆ ทานอิ่มก็คงหลับสบายเชียวแหละ 

     “รู้หรอกน่า โทโมะก็เหมือนกัน ขนมนี่ซื้อให้ใครเหรอ ท่าทางน่าทานจัง” คาซึยะเองก็ย่นจมูกหน่อย ๆ ด้วยเมื่อสักครู่เพื่อนร่างสูงก็แซวเรื่องนี้ไปรอบหนึ่งแล้ว ก่อนสายตาจะไปสะดุดกับขนมหวานชิ้นเล็กที่ถูกบรรจุไว้ภายในกล่องพลาสติกใส ติดสติกเกอร์โลโก้ร้านสีเขียวเหลืองไว้ด้านข้างอย่างมีสไตล์  

     “ของอร่อย ไว้คราวหน้าจะพาไปนั่งทาน อันนี้ซื้อมาฝากเพื่อนน่ะ รายนั้นชอบทำงานจนลืมทานกลางวัน” ยามะพีเอ่ยบอกเพื่อนตัวเล็กพร้อมรอยยิ้มน่ารักตามแบบฉบับเจ้าตัว ยิ่งนึกถึงคนร่างสูงที่มักจะทำงานจนหัวหมุนแล้วยังไม่ยอมทานกลางวัน หลายครั้งที่คน ๆ นั้นถึงกับต้องนอนคู้ลงไปกับพื้นด้วยโรคกระเพาะอาหาร แต่ก็ยังไม่วายดื้อนั่งทำงานได้อีก 

     “เหรอ....อย่าลืมพาไปทานบ้างนะ สัญญาก่อน” คาซึยะพยักหน้าเออออไปกับเพื่อนด้วย ดวงตายังคงส่องประกายระยับเมื่อมองไปยังถุงขนมหวานในมือของเพื่อน จนเจ้าของขนมต้องเคลื่อนถุงมาไว้ด้านหลัง เนื่องจากเริ่มไม่ค่อยไว้ใจสายตาส่องประกายวิบวับนั่น แต่ยามะพีก็ยังยื่นนิ้วก้อยออกไปเกี่ยวสัญญากับเพื่อนตัวเล็กอย่างที่เคยทำทุกครั้ง แล้วร่างบาง ๆ ของคาซึยะก็เร้นหายเข้าไปภายในลิฟต์ผู้บริหารของทางฝั่งนากามารุ 

      

     เมื่อเห็นอย่างนั้นยามะพีก็รีบเดินเข้าไปหาเป้าหมายที่เจ้าตัวเจอเข้าโดยบังเอิญ เด็กฝึกงานในเครือ ‘NY’ หนุ่มหน้าใส ตาโต แก้มป่อง ผิวละเอียด อีกทั้งริมฝีปากอิ่มแดงฉ่ำอย่างนั้นรึเปล่านะที่คนที่ตนรักนั้นต้องการ เจ้าของตำแหน่งคนใหม่ ตำแหน่งที่เคยเป็นของตน 

     “ใกล้เวลาเข้างานแล้ว ไม่รีบไปขึ้นลิฟต์เหรอครับ ยิ่งรอเวลาคนจะยิ่งเยอะนะครับ” ยามะพีเดินตรงเข้าไปถามฝ่ายนั้นด้วยรอยยิ้มอีกเช่นเคย ท่าทางเป็นมิตรอย่างนั้นทำเอาคนแสนหยิ่งอย่าง  เทโงชิ ยูยะ นิ่งไประยะหนึ่ง 

     “ไม่ใช่เรื่องของคุณหรอก ไม่มีใครกล้ามาว่า ‘คนรัก’ ของ นากามารุ ยุอิจิ หรอก....จริงรึเปล่า” ยูยะเชิดหน้าใส่พลางขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ที่ตนเพิ่งทิ้งตัวลงนั่งได้ไม่ถึง 10 นาที แล้วทำท่าจะเดินจากไป หากแต่เสียงของคนมาใหม่นั้นรั้งเอาไว้เสียก่อน 

     “ถ้าคุณอยากให้เขาหายโกรธ ขนมนี่อาจจะช่วยได้ แล้วครั้งหน้าผมจะพาไปที่ร้านนะครับ”  ยามะพีเดินตามอีกฝ่ายไป ก่อนจะยื่นถุงขนมหวานในมือนั้นให้เด็กหนุ่มตรงหน้ารับไว้ แล้วจึงเดินกลับไปอีกฟาก  

 

     “ทำไมนายถึงได้เป็นคนอย่างนี้นะ ตัดใจจากเขาสักทีเถอะ โทโมฮิสะ ตัดใจจากผู้ชายคนนั้นสักที ฮึก ฮึก....” ยามะพีได้แต่พร่ำบอกตัวเองอยู่อย่างนั้นภายในลิฟต์ส่วนตัวที่กำลังพุ่งทะยานไปยังชั้นบนสุดของตึกแห่งนี้ ในขณะเดียวกันร่างเพรียวบางที่อยู่ภายในลิฟต์นั้นกลับค่อยๆทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยหมดเรี่ยวแรงที่จะพยุงกาย 

     “มันจบไปแล้วโทโมฮิสะ นายไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเอาใจใส่ผู้ชายคนนั้นได้อีกต่อไปแล้ว ฮึก ฮึก” เสียงสะอื้นหนักหน่วง ที่เจ้าตัวพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ตลอดทั้งเช้าที่ผ่านมา ลิฟต์ใช้เวลาไม่นานนักก็ตรงขึ้นไปถึงชั้นสูงสุดของตึกตามที่ร่างบางกำหนด ยามะพีจึงเร่งปาดเช็ดคราบน้ำตาของตนเร็ว ๆ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเลื่อนเปิด 

     “ทักกี้ ซึบะจัง มาได้ยังไงกันฮะ ดูงานที่อิตาลีเรียบร้อยก่อนกำนะ....” ยามะพียังไม่ทันทีที่จะเอ่ยได้จบครบทั้งประโยคก็ถูกพี่ชายบุญธรรมหน้าสวยลากตัวเข้าไปโอบกอดเสียแล้ว ส่วนทางด้านพี่ชายบุญธรรมอีกคนก็เพียงแค่ลูบผมนุ่มมือนั้นอย่างปลอบโยน 

     “ไม่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียวหรอกโทโมะ ซึบะจังกับทักกี้เป็นพี่ชายโทโมะนะ ถึงจะไม่ใช่พี่แท้ ๆ แต่เราก็รักโทโมะมากนะ มีอะไรก็ระบายกับเราได้ เราสองคนจะอยู่ข้าง ๆ โทโมะเองนะ” เสียงอ่อนโยนที่จากผู้เป็นพี่ชายนั้น ทำเอาความอดทนที่ยามะพีสู้อุตส่าห์เพียรพยายามสร้างมันขึ้นมานั้นพังทลายลงมาง่าย ๆ ยามะพีกอดซึบาสะแล้วก็ร้องไห้อยู่อย่างนั้นนานร่วมชั่วโมงกว่าจะหยุด ถึงอย่างนั้นก็ยังทิ้งแรงสะอื้นไว้เป็นช่วง ๆ 

     “ฉันว่าให้โทโมะกลับไปพักเถอะ ที่นี่เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ทักกี้เอ่ยบอกคนรักตน ก่อนทั้งคู่จะช่วยกันประคองยามะพีเข้าลิฟต์อีกครั้ง แต่ด้วยความน้องชายคนเล็กนั้นอ่อนเพลียจนแทบจะไม่สามารถทรงตัวเอาไว้ได้ ทักกี้เลยตัดสินใจช้อนประคองอุ้มน้องชายคนเล็กขึ้นแอบอกโดยมีคนรักคอยเดินตามมาไม่ห่าง 

 

     หลังจากที่พาตัวน้องชายส่งขึ้นรถของที่บ้านเป็นที่เรียบร้อย ทักกี้เลยกลับเข้าบริษัทเพื่อที่จะสะสางงานต่าง ๆ ที่ยังคงคั่งค้างอยู่ให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว แม้จะรู้ว่าน้องชายจะปลอดภัยเพราะมีซึบาสะดูแลอยู่ แต่ถึงอย่างไรทักกี้ก็อยากกลับไปดูแลน้องชายที่บ้านเร็ว ๆ อยู่ดี 

     “เกิดอะไรขึ้นวะ เมื่อครู่เห็นแกกับซึบะจังวุ่นวายน่าดู” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อม ๆ กับเจ้าของเสียงที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าทักกี้ เล่นเอาคนถูกทักทายหน้าเหวอ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างพลางเข้าไปกอดเพื่อนรักด้วยความดีใจ 

     “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไม่เห็นบอกกัน แล้วนี่มาหาไอ้ยูเหรอวะ” ทักกี้เอ่ยทักทายบ้างเมื่อทั้งสองคนขยับออกห่างจากกัน ไม่วายสอดสายตาหาเพื่อนอีกคนซึ่งเจ้าตัวยังไม่อยากเห็นหน้าเท่าไหร่นัก ไม่ว่าใครก็คงทำใจได้ยากกับการที่จะต้องตีหน้ายิ้มร่าคุยกับคนที่ทำร้ายจิตใจน้องชายตัวเอง ถึงคน ๆ นั้นจะเป็นเพื่อนสนิทก็เถอะ 

     “หึ ๆ เพิ่งลงมา มันไม่ได้ลงมาด้วยหรอก วันนี้กว่าจะได้กลับคงดึกอยู่ เห็นงานกองเต็มโต๊ะไปหมด ว่าแต่ฉันไม่คิดว่าจะเจอแกที่นี่ เห็นไอ้ยูมันบอกว่าแกกับซึบะจังไปดูงานที่อิตาลี” เรียวส่ายหน้านิด ๆ ครั้นจะอธิบายเรื่องอาการของเพื่อนอีกคนยังยั้งปากเอาไว้ ตัวเองเป็นคนนอกเข้าไปก้าวก่ายเดี๋ยวคงได้โดนทักกี้เชือดอยู่ตรงนี้ 

     “อืม กลับมาก่อนกำหนดว่ะ ที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย จะกลับแล้วเหรอวะ” ทักกี้เอ่ยถามเพื่อนร่างหนา ที่ดูคล้าย ๆ ว่าจะรีบไปไหนสักที่  

     “อาฮะ เก็บเจ้าเหมียวมาจากอเมริกานั่นแหละ ถ้าตื่นมาไม่คุ้นที่เดี๋ยวจะโวยวาย สงสารแม่บ้านว่ะ” เรียวตอบยิ้ม ๆ เมื่อคิดถึงเจ้าเหมียวน้อยที่กำลังนอนซุกอยู่ในกองผ้าห่มหนาบนเตียงนุ่ม ที่ต้องรีบกลับบ้านช่วงนี้นั้น นอกจากเรื่องของยูอิจิเพื่อนรักแล้วก็มีเรื่องเจ้าเหมียวนี่แหละที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย 

     “งั้นก็ตามสบายแล้วกัน รอเรื่องงานฉันเข้าร่องเข้ารอยสักหน่อย แล้วค่อยไปกินข้าวกัน....หึ ๆ เจ้าเหมียวของแกเนี้ย หอบมาด้วยก็ได้นะเว้ย ฉันไม่ถือ” ทักกี้พยักหน้าเข้าใจ เห็นท่าทางอย่างนี้ของเรียวแล้วก็พอจะเดาได้ลาง ๆ ถึงเจ้าเหมียวน้อย คงน่ารักน่าดูเพื่อนตนถึงได้เป็นห่วงขนาดอยู่ติดบ้านขนาดนี้ 

     “รู้ดีไปเถอะแก ลองต้องปล่อยซึบะจังไว้คนเดียวเมื่อไหร่ ฉันจะคอยดู ‘คนหงอย’ ว่ะ” เรียวกระเซ้าเพื่อน พอเห็นหน้าดุ ๆ ชองทักกี้สมใจแล้วจึงขอตัวกลับ ทางด้านทักกี้ก็แยกเดินกลับไปที่ลิฟต์ผู้บริหารเช่นกัน 

 

     “เข้ามาได้” ยูอิจิตอบรับเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ลักษณะการเคาะอย่างนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คุณมากิ เลขาหน้าห้องของตน แล้วก็เป็นไปอย่างที่ยูอิจิคาด เมื่อร่างบางเดินเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับจานของว่างขนาดเล็กน่ารัก เสิร์ฟพร้อมกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลแก้วเล็กเข้าชุดกัน เครื่องครัวไม่กี่ชิ้นที่มีเก็บไว้ในส่วนจัดเตรียมของชั้นนี้ สำหรับบริการแขกพิเศษซึ่งก็มีเพียงไม่กี่คนที่เข้ามาคุยธุรกิจภายในห้องของยูอิจิ เครื่องครัวชุดนี้ทำให้เจ้าของห้องอดที่จะหวนคิดถึงคนซื้อมาไม่ได้ จนกระทั่งสายตาของชายหนุ่มไปสะดุดกับขนมหวานก้อนกลม ๆ แสนน่ารักซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาชอบขนมหวานชนิดนี้ แล้วหนึ่งในนั้นก็เป็นคนที่ตนกำลังคิดถึงอยู่ในเวลานี้ 

     ยูอิจิลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทั้งที่ชุดกาแฟจากเลขาคนสวยยังไม่ถูกวางลงบนโต๊ะด้วยซ้ำ ร่างสูงเร่งฝีเท้าตรงไปประตูแล้วจึงกระชากมันเข้าหาตัวเร็ว ๆ ให้ทันใจอารมณ์อยากรู้ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ร่างบอบบางของใครบางคนทำให้ยูอิจิชะงักนิด ๆ  

     “นายเองเหรอ ยูยะ ได้เวลางานแล้วไม่ทำงานเหรอ” ยูอิจิเอ่ยถามร่างบางที่นั่งนิ่งอยู่บริเวณรับรองด้านหน้าห้องตน คงเพราะเรื่องเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมาทำให้ร่างบางเลือกที่จะนั่งนิ่งรออยู่ตรงนั้นแล้วส่งให้มากิเป็นหน่วยกล้าตาย 

     “ผมเห็นคุณยูอิจิยังไม่ได้ทานกลางวันเลยเอาของว่างมาให้รองท้อง เดี๋ยวจะกลับแผนกแล้วครับ” ยูยะฉีกยิ้มอย่างเอาใจคนรักใหม่ ซึ่งยูอิจิเองก็พยักหน้าเข้าใจพลางเดินเข้าไปหาฝ่ายนั้น ลึก ๆ ยูอิจิเองก็อดที่จะรู้สึกผิดกับการกระทำของตนไม่ได้ อีกทั้งเมื่อเด็กหนุ่มมาคอยเอาใจใส่ตน 

     “เดี๋ยวฉันไปส่ง ไปกันเลยรึเปล่า” ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ยูยะมากขึ้นจนเกือบเรียกได้ว่าระยะประชิด ยูอิจิจึงเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน ท่าทีเอาใจใส่เช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยูอิจิได้รับ หนำซ้ำ ‘คนรักเก่า’ ที่เพิ่งเลิกรายังแสดงให้รับรู้เสียจนกลายเป็นความเคยชินสำหรับชายหนุ่มคนนี้ไปเสียแล้ว  

     หากว่าเวลานี้เขายังมีคน ๆ นั้นอยู่เคียงข้าง เขาก็คงไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งซึ่งตนได้รับเสียจนกลายเป็นความเคยชินอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ร่างสูงเดินจูงมือเล็กนุ่มนิ่มตรงไปที่ลิฟต์ ก่อนจะชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นน้อยชายจอมป่วนโผล่พรวดออกมาจากลิฟต์ตรงหน้า 

     “อ้าว ยูจังจะลงไปข้างล่างเหรอ พอดีคาซึมีเรื่องมาปรึกษานิดหน่อย” น้องชายตัวเล็กอธิบายรัวเร็วพลางชูแฟ้มที่เจ้าตัวถือติดมือมาด้วยเป็นการยืนยัน ยิ้มกว้างเมื่อญาติผู้พี่พยักหน้ารับรู้แล้วจึงค่อย ๆ หุบลงเพราะประโยคที่พี่ชายร่างสูงเอ่ย 

     “ไปรอที่ห้องก่อน ฉันไปส่งยูยะเรียบร้อยแล้วจะขึ้นมาคุย” ยูอิจิเอ่ยเท่านั้นก็จูงมือคนรักตัวบางของตนเข้าลิฟต์ทันที ทิ้งให้น้องชายย่นจมูกเล็กน้อยด้วยความขัดใจกับการกระทำเมื่อสักครู่ของยูอิจิ แต่ถึงอย่างนั้นคาซึยะก็เดินตรงเข้าไปยังห้องทำงานเหมือนกับที่อีกฝ่ายสั่งเอาไว้ 

 

     รถลีมูซีนสีดำขลับคันหรูให้เวลาแล่นอยู่บนพื้นถนนในกรุงโตเกียวเพียงไม่นานก็เลี้ยวเข้ารั้วไม้สีน้ำตาลอมเทา ประตูไม้ขนาดสูงเกือบ 2 เมตรเลื่อนเปิดออกด้วยรีโมทซึ่งบังคับจากบุคคลภายใน โดยมีกล้องวงจรปิดตัวเล็ก ๆ เกาะติดอยู่บริเวณด้านบนของขอบรั้วทั้งสองข้าง ร่างเล็ก ๆ แสนบอบบางยังคงซุกกอดรอบเอวคอดของพี่ชายตัวบางไว้แน่น แนบแก้มป่องที่ยังคงชื้นเปียกด้วยคราบน้ำตา ตลอดเส้นทางภายในรถคันใหญ่นั้นต่างระคนด้วยเสียงสะอื้นน่าสงสารจากเด็กหนุ่มผู้นี้ 

     “ถึงบ้านแล้วโทโมะ ไปพักผ่อนเสียหน่อย ซึบะจัง ทักกี้ ป๊า และทุก ๆ คนเป็นห่วงโทโมะนะ ทุกคนจะคอยอยู่ข้าง ๆ โทโมะนะ” ซึบาสะเอ่ยปลอบโยนร่างโปรงบางที่อาศัยตักตนต่างหมอน มือเรียวนิ่มลูบเลื่อนไปตามแนวศีรษะกลมเชื่องช้า ก่อนจะขยับเข้าประคองร่างนั้นเอาไว้เมื่อน้องชายตัวเล็กพยุงตัวขึ้นนั่ง ริมฝีปากแห้งระแหงสีซีดพยายามคลี่ยิ้มอย่างที่สุดคล้ายพยายามจะแสร้งให้ตนคลายใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าตัวกับอดีตคนรัก 

     “อย่าฝืนตัวเองนักเลย เรื่องระหว่างเจ้ายูอิจิกับพวกเราจะยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือแม้กระทั่งเรื่องของตระกูลด้วย เรารักษาสัญญาที่ให้กับโทโมะได้แน่นอน อย่าให้เรื่องพวกนั้นมาทำร้ายความรู้สึกของโทโมะอีกเลย ตัดใจซะเถอะโทโมะ สักวันโทโมะจะต้องเจอกับคนที่ “ใช่” สำหรับโทโมะ” ซึบาสะได้แต่กอดปลอบโยนน้องชายพลางประคองให้ขึ้นไปพักผ่อน  

     สภาพที่ตนได้เห็นน้องชายเดินออกจากลิฟต์นั้นทำเอาลำคอตีบตัน ภาพที่เห็นทำให้ทั้งตนและคนรักรับรู้ได้ทันทีว่าน้องชายคนเล็กนั้นต้องอดทนขนาดไหน ดวงตาคู่สวยนั้นแสนจะบอบช้ำ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนน้องชายตนนั้นได้พักผ่อนบ้างหรือเปล่า ทั้งยังรอยยิ้มที่เสแสร้งแกล้งยิ้มระรื่นเช่นนั้นมันทำให้คนเป็นพี่ชายอยากเข้าไปกระชากคอเสื้อเพื่อนสนิทคนนั้นมาถามสักหน่อยว่า ‘กล้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร’ 

     “โทโมะขอโทษ ขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง โทโมะไม่เป็นไรจริง ๆ ฮะ โทโมะจะผ่านมันไปให้ได้ฮะ แต่โทโมะคง....คงหยุดรัก หยุดห่วงเขาไม่ได้” ยามะพีเอ่ยบอกพี่ชาย ร่างบางยิ้มสดใสหากแต่น้ำตาก็ยังคงเลื่อนไหลออกจากสองตากลมโต 

     “อืม การรักใครสักคนไม่ใช่เรื่องเสียหาย โทโมะยังรักเขาก็ไม่เป็นไร ห่วงเขาไม่ผิดอะไร แต่ซึบะจังอยากให้โทโมะดูเรื่องความเหมาะสม โทโมะไม่ได้เป็น....อืม เรียกว่ายังไงดีล่ะ” ซึบาสะพยายามที่จะบอกให้น้องชายรู้สถานะของตัวเอง ร่างบางรู้นิสัยเพื่อนสนิทอย่างยูอิจิดี ‘ถ้าจบก็คือจบ’ ซึบาสะกลัวว่าน้องชายจะเสียใจ 

     “โทโมะทราบว่าโทโมะห่วงเขาได้แค่ไหน บางทีถ้าโทโมะกลับมายืนที่จุดเดิมอาจจะทำให้มีความสุขกว่าการที่ได้เป็น ‘คนรัก’ หรือ ‘คู่นอน’ ของเขาก็ได้” คนเป็นน้องพยักหน้ารับรู้ถึงความหมายที่พี่ชายต้องการจะบอกกับตน 

     “คิดได้อย่างนั้นก็ดี ทักกี้เองก็หวังว่าจะได้ยินประโยคนี้จากโทโมะ” ซึบาสะลูบผมน้องชายด้วยความรัก ก่อนจะพาตัวน้องชายตัวน้อยของตนขึ้นด้านบนเพื่อที่จะได้พักผ่อนให้สมกับความตั้งใจเสียที 

 

     “เอ๋ ยูจัง ๆ มีของว่างน่าทานแบบนี้ไม่เห็นเคยบอกกันบ้าง น่าทานมาก ๆ เลย” เสียงเล็กร้องทักพี่ชายซึ่งเพิ่งเข้ามาภายในห้องทำงาน มือเล็กเรียวเอื้อมลงไปบนขนมหวานชิ้นกลมหลากสีบนจานขนาดเล็กรูปวงกลมที่เสิร์ฟพร้อมกาแฟร้อนได้ครู่ใหญ่  

     “หืม เปล่าหรอก อันนี้ของยูยะเขาซื้อมาฝาก แกลองชิมสิ เจ้านี้เจ้าประจำฉันเลยนะ ไม่คิดว่ายูยะรู้ใจฉันขนาดนี้ บางทีเขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายของฉันก็ได้” ยูอิจิเปรยกับตัวเองพลางชักชวนเด็กหนุ่มลองชิมขนมหวานรสกลมกล่อม ร่างสูงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดตนนั้นคล้าย ๆ ว่าเจ้าตัวกำลังเผลอ ชายหนุ่มกลับใส่ใจกับท่าทางระริกระรี้ของน้องชายตัวเล็กนี่มากกว่า ท่าทางจะตื่นเต้นกับขนมหวานบนจานใบเล็กนั่นมากทีเดียว  

     “อืม อร่อยจริง ๆ ด้วยแหละ จะว่าไปหน้าตามันเหมือนขนมที่โทโมะซื้อเข้ามาเลย น่าจะเป็นร้านเดียวกัน เห็นว่าอยู่แถว ๆ นี้เองใช่เปล่ายูจัง โทโมะยังบอกเลยว่าครั้งหน้าจะพาไป ยังเสียดายอยู่เลยคิดว่าจะอดเสียแล้ว ไม่รู้ว่าโทโมะซื้อไปฝากใคร บอกว่าเพื่อนชอบทำงานจนลืมทานกลางวันแต่ก็ได้มาลองชิมของยูจัง....อืม อร่อยจริง ๆ เสียด้วย” คาซึยะสาธยายยาวเหยียดพลางยิ้มกริ่มกับความหวานลิ้นแสนกลมกล่อมของขนมหวานก้อนกลมสีสันน่ารักในมือ ร่างบางไม่ได้สนใจอาการ ท่าทาง หรือแม้กระทั่งสีหน้าของยูอิจิเลย 

     “อย่างนั้นเหรอ” ยูอิจิพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ประโยคที่น้องชายร่างบางเพิ่งเอ่ยออกมานั้น เจ้าตัวเคยได้ยินมาแล้ว หากแต่ชายหนุ่มนั้นได้ยินมันจากเจ้าของกล่องขนมที่น้องชายเอ่ยถึงนั่นต่างหาก แล้วสิ่งที่ชายหนุ่มให้ความสนใจยิ่งกว่าอื่นใดนั่นก็คือ ‘เพื่อน’ ของโทโมฮิสะ แล้วเรื่องราวในช่วงเวลานั้นก็ฉายออกมาให้ชายหนุ่มได้ซึมซับความรู้สึกเมื่อครั้งนั้น 

 

     “หืม มีอะไรรึเปล่ามากิ” ยูอิจิเงยหน้าจากกองเอกสารบนโต๊ะ ก่อนกวาดสายตามองไปที่ชุดของว่างซึ่งเลขาสาวคนสวยถืออยู่ในมือ ยูอิจิขมวดคิ้วเข้าหากันหน่อย ๆ เนื่องจากเลขาสาวสวยคนนี้ทำงานกับตนมาเกือบ 5 ปี หากแต่ไม่เคยมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น 

     “เป็นความหวังดีของโทโมฮิสะคุงค่ะ เธอฝากเอาไว้ให้ คงเห็นว่าคุณยูอิจิยังไม่ได้ทานอะไรเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา” มากิเอ่ยยิ้ม ๆ หล่อนเองทำงานมานานเจอคู่รัก คู่นอน หรือแม้กระทั่งคู่ขาข้ามคืนของเจ้านานมามาก แต่ลูกชายคนสุดท้องของตระกูลยามาชิตะคนนี้ เรียกได้ว่าเอาใจใส่สนใจเจ้านายหล่อนเป็นอย่างดี จากที่มานั่งนิ่งรอทานมือเที่ยงพร้อมเจ้านายหล่อนเกือบอาทิตย์ วันนี้ก็ยังมารอเหมือนเดิม หากแต่ติดเอาขนมหวานกล่องเล็กที่หล่อนเพิ่งจัดใส่จานมาให้ผู้เป็นเจ้านายนี้มาด้วย พอใกล้ถึงเวลาทำงานช่วงบ่ายเธอจึงฝากวานให้หล่อนจัดการเรื่องนี้ 

     “กลับไปแล้วเหรอ” ยูอิจิถามเสียงขรึม ชายหนุ่มยังไม่ค่อยเข้าใจเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาขอเป็นคนรักจากตนถึงภายในห้อง น่าแปลกใจอยู่เพราะคนปกติน่าจะขอความรักจากตนเสียมากกว่า อีกทั้งฝ่ายนั้นก็ยอมรับข้อตกลงที่จะเป็นเพียงแค่ ‘คนรัก’ และแสดงเจตนารมณ์ว่าไม่อยากที่จะเป็น ‘คนสุดท้าย’ ของ นากามารุ ยูอิจิ 

     “ค่ะ เธอว่าเย็นนี้จะมารอเหมือนเดิมค่ะ” มากิตอบคำถามพร้อมรอยยิ้ม นึกเอาใจช่วยเด็กหนุ่มคนนี้ขาดใจ ยังไงหล่อนก็เชื่อนักหนาว่าเจ้านายสุดหล่อของตนนั้นจะหยุดอยู่ที่ใครสักคน ถ้าเจ้านายจะหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มคนนี้ก็คงดี  

     “อืม ขอบคุณมาก คุณไปทำงานต่อเถอะ” ยูอิจิกล่าวเพียงเท่านั้นก็ก้มหน้าก้มตาสนใจเอกสารบนโต๊ะอีกครั้ง ร่างสูงคว้าหยิบเอาก้อนกลมพอดีคำมาลองเล็มชิม ริมฝีปากชายหนุ่มกระตุกยิ้มหน่อย ๆ เมื่อได้ลองลิ้มรสขนมหวานนั้น ถือว่าเด็กคนนั้นเลือกได้ถูกใจเขามาก ไม่หวานนัก แป้งนุ่มหยุ่นละลายในปาก จนเจ้าตัวอดที่จะหยิบชิ้นต่อไปไม่ได้ ไม่นานเจ้าขนมก้อนกลมหลากสีก็ถูกยูอิจิจัดการจนหมด 

      

     แล้วเมื่อถือเวลาใกล้เลิกงาน ไม่นานร่างบางสูงโปร่งก็เดินออกจากลิฟต์มาหยุดที่ชุดรับแขกบริเวณหน้าห้องของผู้บริหารสูงสุดของทางนากามารุ ร่างบางโค้งทักทายเลขาคนสวยสักหน่อยแล้วจึงเดินตรงไปนั่งลงบนโซฟาตัวประจำ 

     “รอสักครู่นะจ๊ะโทโมฮิสะคุง คุณยูอิจิทราบแล้ว สักครู่คงออกมาแล้วค่ะ” มากิเข้ามาทักทายพร้อมกับเครื่องดื่มอุ่นควันกลิ่นกรุ่นโกโก้มาแต่ไกล รอยยิ้มทักทายที่มากิส่งให้นั้นทำให้ร่างบางอุ่นใจขึ้นมาสักหน่อย แต่ก็ยังประหม่าอยู่ไม่น้อย....แล้วก็ไม่นานอย่างที่คุณมากิพูดจริง ๆ เพราะเพียงครู่เดียวเท่านั้นชายหนุ่มที่ยามะพีรอคอยอยู่นั้น เปิดประตูพร้อมก้าวออกมาจากห้อง ร่างสูงเดินเข้ามาหายามะพีทันทีอย่างที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน  

     “อะ เออ....คือ” ยามะพีพยายามจะเอ่ยถามชายหนุ่มข้างกายเกี่ยวกับขนมหวานเมื่อช่วงกลางวัน หากแต่ยังกังวลเกรงว่าอีกฝ่ายจะมองว่าตนก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวจนเกินความจำเป็น ร่างบางจึงชะงักเอาไว้เพียงเท่านั้น 

     “ขนมนั่น รสชาติใช้ได้เลย ไว้พาไปที่ร้านหน่อยสิ” ยูอิจิบอกพร้อมกับคว้าจับมือนิ่มเอาไว้ ก่อนคนทั้งสองจะเดินไปด้วยกัน ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ยูอิจิเริ่มเคยชินกับการที่จะต้องจับจูงมือเล็กนิ่มนั้นไปไหนมาไหนด้วยกัน 

     “ฮะ ครั้งหน้าเราไปทานที่ร้านนะฮะ อยู่ถัดจากบริษัทไปสัก 2-3 บล็อกเท่านั้นเองฮะ” ยามะพียิ้มน่ารัก เกาะกุมมือเรียวแข็งแรงนั้นเอาไว้ แม้จะไม่แน่นหนามากนักด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะอึดอัด แต่เพียงเท่านั้นก็นับว่ายามะพีก้าวหน้าไปไม่น้อยกับการเรียนรู้ที่จะเป็น ‘คนรัก’ ของ นากามารุ ยูอิจิ  

 

     เป็นเพราะคำพูดของน้องชายตัวแสบเมื่อวานนี้ เที่ยงของวันนี้ยูอิจิจึงพาตัวยูยะมานั่งอยู่ภายในร้านขนมเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ถัดจากบริษัทไปเพียง 2-3 บล็อก ยูอิจิขมวดคิ้วลงทันทีเมื่อยูยะแสดงท่าทางตื่นเต้นดีใจกับความน่ารักของร้าน ราวกับเพิ่งเคยมาที่ร้านเป็นครั้งแรก อีกทั้งท่าทางไม่ค่อยพอใจของพนักงานในร้านนั่นอีก 

     “รับอะไรดีค่ะ คุณยูอิจิรับเหมือนเมื่อวานรึเปล่าคะ” เจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงวัยประมาณ 30 ต้น ๆ เอ่ยขึ้นทักทาย หล่อนดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ออกมายิ้มและต้อนรับคนทั้งสอง คำทักทายนั้นทำให้ยูอิจิพยักหน้านิด ๆ ชายหนุ่มแอบสงสัยอยู่สักหน่อยที่ทางร้านทราบเรื่องขนมนั้น หากแต่ไม่ได้แสดงความคุ้นเคยกับเจ้าของขนมกล่องนั้นแต่อย่างใด  

     “คุณยูอิจิชอบมาร้านแบบนี้เหรอฮะ น่ารักจัง” ยูยะมองสำรวจร้านเล็ก ๆ นั้นอย่างสนใจ เจ้าตัวไม่ได้สนใจบทสนทนาของยูอิจิกับพนักงานของร้านเลยแม้แต่น้อย สองตากลมยังคอยแต่มองลักษณะการตกแต่งบรรยากาศภายในร้านด้วยความเพลิดเพลิน 

     “คุณหนูจะรับอะไรดีคะ” หญิงเจ้าของร้านที่ทำหน้าที่รับรายการเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง หล่อนนึกเอ็นดูกับความน่ารักไร้เดียงสาที่เด็กหนุ่มแสดงออกมาเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มอีกคนที่มักจะมาพร้อมผู้ชายคนนี้แล้วก็อดนึกสงสารไม่ได้ 

     “ผมรับเหมือนคุณยูอิจิฮะ” ยูยะเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม บรรยากาศแสนอบอุ่นทำให้ร่างเล็กมองบรรยากาศโดยรอบอย่างตื่นเต้น ขนมหวานไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวพิศวาสนัก ยูยะจึงสั่งรายการตามยูอิจิทั้งหมด จะต่างกันก็ตรงที่เครื่องดื่มซึ่งยูยะเลือกที่จะดื่มมิลค์เชคแต่ของยูอิจิเป็นกาแฟ 

 

     ยูอิจิลอบมองปฏิกิริยาของคนที่มาด้วยอยู่เงียบ ๆ ร่างบางยังคงยิ้มร่าเริง ชวนชายหนุ่มคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถูกขัดจังหวะด้วยพนักงานหนุ่มในชุดขาวทั้งชุดบอกได้ดีถึงหน้าที่และตำแหน่งซึ่งไม่มีความจำเป็นเลยสักนิดที่จะมายืนอยู่บริเวณส่วนต้อนรับลูกค้าเช่นนี้ 

     “คือ โมจิที่คุณทั้งคู่สั่งเหลืออยู่เพียงเช็ตเดียวเท่านั้นครับ คุณจะรับอะไรแทนเซ็ตนั้นรึเปล่าครับ” เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับยูยะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แม้ท่าทางจะอ่อนน้อมด้วยฝ่ายนั้นค่อมหลังตลอดบทสนทนานั้น 

     “รับอะไรดีฮะคุณยูอิจิ” ยูยะเอ่ยขึ้น ขณะที่ยูอิจิยังขมวดคิ้วขึง เพราะชายหนุ่มสังเกตเห็นขนมชนิดเดียวกับที่ตนสั่งถูกบรรจุใส่กล่องและจัดวางไว้บริเวณตู้โชว์ด้านหน้าร้าน 

     “เออ คือมีลูกค้าประจำสั่งเอาไว้ก่อนแล้วครับ ทางร้านต้องขอโทษจริง ๆ” เชฟหนุ่มก้มหน้าพร้อมเอ่ยคำขอโทษลูกค้า ทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้อยากที่จะแสดงท่าทีออกไปอย่างนั้นเลย แล้วคำตอบเมื่อครู่นั้นก็สร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้าทั้งสองอย่างที่คาดไว้จริง ๆ ยูอิจิเพียงแค่ขมวดคิ้วสะบัดหน้าหนีด้วยความขัดใจ แต่กับยูยะที่กำลังจะตวาดเชฟหนุ่มน้อยคนนั้น  

 

     เสียงกริ่งบริเวณประตูก็ดังขึ้นพร้อมด้วยร่างคุ้นตาในชุดไปรเวท เสื้อแขนกุดสีขาวภายในมีเสื้อกล้ามสีฟ้าพอดีตัวสวมอยู่อีกชั้น กางเกงขายาวสีขาวเข้ารูปนิด ๆ เน้นสัดส่วนบริเวณสะโพกหน่อย ๆ แว่นตากันแดดสีชาติดแบรนด์หรูถูกนิ้วเรียวสีน้ำผึ้งขยับขึ้นคาดผม 

     “คุณโทโมะ/โทโมฮิสะ/คุณ” สามเสียงจากโต๊ะกลมขนาดสองคนนั่งทานเกือบชิดริมสุดของร้านดังขึ้น ทำให้เจ้าของชื่อต้องหันมามองอย่างเสียไม่ได้ ดวงตากลมโตเบิกขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะปรับให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว 

     เสียงเรียกที่ดังมาจากทั้งสามคนทำเอาเจ้าของชื่อชะงักนิ่งอยู่ชั่วขณะ ร่างบางคงจะไม่หนักหวั่นใจขนาดนี้หากว่าเสียงหนึ่งในนั้นไม่ใช่เสียงของใครบางคนซึ่งเจ้าตัวอยากได้ยินอีกสักครั้งหลังจากที่ถูกบอกเลิกมาเมื่อ 2-3 วันก่อนหน้า 

     “มารับขนมเหรอครับ รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจัดการให้” เด็กหนุ่มที่เพิ่งโค้งขอโทษลูกค้าอยู่นั้นยิ้มร่าขึ้นอย่างไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะโค้งนิด ๆ ให้ลูกค้าเป็นการขอตัว เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์พลางยิ้มให้คนเพิ่งมาใหม่จนตาแทบปิด 

     “ขอบคุณมากคุซาโนะคุง รบกวนด้วยนะฮะ” ยามะพีพยักหน้ารับรอยยิ้ม ริมฝีปากบางเอ่ยขอบคุณพนักงานภายในร้านเสียงหวาน จากนั้นก็หันไปให้ความสนใจกับคู่รักหมาด ๆ ที่นั่งอยู่ในร้าน ร่างบางยิ้มให้คนทั้งคู่นิดหน่อย จากนั้นจึงเดินไปนั่งบริเวณเคาน์เตอร์ที่เชฟหนุ่มน้อยกำลังบรรจงจัดแจงใส่ขนมกล่องเมื่อครู่ลงในถุงพลาสติกใส่แปะโลโก้ร้านสีเขียวเหลือง 

     พนักงานอีกคนถูกส่งให้ออกมารับหน้าลูกค้าอีกสองคนแทนเชฟคนเก่า ด้วยรู้ดีว่าเด็กหนุ่มคงไม่ยอมละสายตาหรือเสียเวลากับสิ่งอื่นเลย ในเมื่อความสนใจทั้งหมดของ คุซาโนะ ฮิโรโนริ นั้นตกมาอยู่ที่ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่คนนี้ 

 

     “วันนี้คุณโทโมะไม่ทำงานเหรอครับ” หนุ่มน้อยเอ่ยทักหวังจะยกหัวข้อขึ้นมาสนทนากับร่างบางตรงหน้า อยากยืดเวลาที่จะได้พูดคุยระหว่างตนกับอีกฝ่ายให้มากขึ้นอีกสักหน่อย เขาเคยแค่แอบคน ๆ นี้(งงค่ะ) ผ่านออกมาทางช่องประตูครัวเท่านั้น และในเมื่อครั้งนี้มีโอกาสให้เขาสักหน่อย เขาก็ไม่ต้องการที่จะเสียมันไปง่าย ๆ 

     “อืม พี่ชายกลับมาแล้วเลยได้พักสักหน่อย ผมแต่งตัวแปลกแยกมากเลยเหรอ ได้ยินคนทักอย่างนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว” ยามะพีพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ตอบคำถามนั้นอย่างเป็นกันเอง ครั้งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ได้มีโอกาสเจอกับเชฟทำขนมสุดโปรดของตน ร่างบางอดทึ่งไม่ได้ด้วยวัยของเด็กหนุ่มนั้นห่างจากตนเกือบ 5 ปี พลางขยับตัวกวาดสายตาปรับมองสภาพตัวเองอยู่สักครู่ แล้วจึงตอบคำถามพนักงานหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับคำถามเพราะเริ่มไม่ค่อยมั่นใจในการแต่งกายของตัวเอง  

     “ฮะ ฮะ ไม่หรอกครับ น่ารักดี แล้วคุณโทโมะจะกลับมาทำงานเมื่อไหร่ครับ พรุ่งนี้ยังรับขนมพวกนี้เหมือนเดิมรึเปล่าครับ” คุซาโนะหัวเราะส่ายหน้านิด ๆ กับท่าทางสำรวจตัวเองพร้อมคำถามของลูกค้าร่างบาง เด็กหนุ่มกล่าวชมอีกฝ่ายด้วยไม่คิดจะปิดกั้นความรู้สึกของตนอยู่แล้ว ยิ่งบอกให้ร่างบางรู้ตัวเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ความก้าวหน้าของตนก็ควรจะมากขึ้นไปด้วย 

     “ขอบคุณครับ ได้ยินอย่างนี้ค่อยมั่นใจขึ้นมาหน่อย ไม่ค่อยได้แต่งตัวในชุดไปรเวทมานานแล้ว น่าจะตั้งแต่เรียนจบ 2-3 ปีได้แล้วมั้งครับ พอเข้ามาทำงานที่นี่ก็ต้องใส่สูทแทบทุกวัน ชุดนี้พี่ชายก็ซื้อมาฝากครับ ไม่ใส่ให้เดี๋ยวจะพาลงอนอีก” ยามะพีพยักหน้านิด ๆ รับคำชมอีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปกระซิบความลับเกี่ยวกับเรื่องชุดที่ตนใส่ข้าง ๆ หูอีกฝ่าย ด้วยเขินอายกับเรื่องที่ตนยอมใส่ชุดนั้นเพียงเพราะเกรงว่าพี่ชายทั้งสองคนจะงอนตุ๊บป่องอย่างกับเด็กตัวเล็ก ๆ 

     “อ๊ะ....อืม เป็นอย่างนี้นี่เอง” ทางด้านคนที่เพิ่งได้รับฟังก็เอ่ยเสียงขัด ตกใจกับความสนิทสนมที่ร่างบางแสดงออก ทั้งเขินทั้งอายที่อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบข้าง ๆ หูอย่างเมื่อสักครู่ 

 

     ทางด้านยูอิจิเองก็เริ่มจะหมดความอดทนกับภาพที่ตนเห็น ท่าทางสนิทสนมของคนสองคนซึ่งหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ตรงเคาน์เตอร์นั้นทำเอาร่างสูงต้องกำมือแน่น ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาอยู่ในสภาพอย่างนี้ เขากำลังอยากที่จะกระชากร่างเล็ก ๆ นั้นให้ออกห่างจากเชฟหน้าเด็กนั่น 

     “อ๊ะ โอ๊ย....พี่ยู เออ....คุณยูอิจิ” เสียงเรียกหวาด ๆ ที่เคยได้ยินเรียกสติจากยูอิจิได้นิดหน่อย ชายหนุ่มไม่ได้คิดเพียงเท่านั้น เพราะตอนนี้ร่างเพรียวบางที่เคยหัวเราะร่าเริงกับพนักงานร้านขนมเมื่อครู่ มาอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงนั้นเรียบร้อยแล้ว หากแต่สติที่กลับมานั้นไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มคลายอ้อมแขนที่กอดรัดเอวแบบบางนั้นลงเลย ร่างสูงยื่นส่งธนบัตรหมื่นเยนลงบนเคาน์เตอร์พร้อมกับหยิบถุงขนมก้อนกลมนั้นติดมือมาด้วย ยูอิจิเดินออกจากร้านไปโดยที่มือข้างหนึ่งยังกอดเอวเล็กบางเอาไว้แน่น อีกข้างก็มีถุงขนมก้อนกลมแกว่งไปมา 

     ยูอิจิไม่ได้พูดอะไรออกมา ชายหนุ่มเพียงแค่ประคองแกมลากตัว ‘อดีตคนรัก’ ตนเข้าไปในบริษัท ทั้งคู่เดินประคองกันผ่านผู้คนมากมาย หากแต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจกับท่าทีของคนทั้งคู่มากนัก ด้วยว่าน้อยคนเหลือเกินที่จะรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 2-3 วันที่ผ่านมา จะมีบ้างก็เป็นคนในแผนกเดียวกับ ‘คนรักใหม่’ ของยูอิจิสัก 2-3 ที่จับกลุ่มคุยกันเกี่ยวกับสองคนที่เดินผ่านไป แต่ก็ไม่ได้คิดจะเข้ามาก้าวก่าย ทางด้านคนตัวบางซึ่งถูกลากมานั้นก็ไม่กล้าแม้จะเอ่ยค้านหรือขัดขืน ร่างบางรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลัง ‘โกรธ’ แล้วก็รู้ดีว่าตัวเองควรที่จะอยู่เงียบ ๆ ในเวลาที่อีกฝ่ายกำลังโกรธเช่นนี้ 

     พนักงานภายในเคาน์เตอร์แทบจะกระโจนตามออกไปเมื่อเห็นว่าลูกค้าคนหนึ่งกระชากรั้งร่างบอบบางนั้นจากไป หากได้ยินเสียงเล็ก ๆ จากมุมหนึ่งของร้านรั้งเอาไว้เรียบ ๆ เด็กหนุ่มหน้าหวานที่เดินเข้ามาพร้อมชายคนนั้น แต่กลับถูกทิ้งเอาไว้ภายในร้านราวกับชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้สนใจหรือใส่ใจกับการมีตัวตนจาดคน ๆ นั้นเลย 

     “อย่าตามพวกเขาไปเลย ในโลกของคุณโทโมะของนาย ไม่เคยมีใครหรอกนอกจาก นากามารุ ยูอิจิ เท่านั้น” ยูยะทักท้วงเตือนสติเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกับตน เจ้าตัวเองก็ไม่คิดแม้จะขยับกายลุกหรือเดินตาม ‘คนรัก’ กลับไปแต่อย่างใด ดวงตากลมโตได้แต่ทอดมองไปนอกผนังกระจกอย่างไร้จุดหมาย 

 

     ยูอิจิพาตัว ‘อดีตคนรัก’ มาจนถึงห้อง ยื่นถุงขนมที่ติดมือมาลงบนโต๊ะเลขาคู่ใจโดยไม่ทันได้เอ่ยอะไร ร่างสูงก็พาเอาคนตัวเล็กเลยเข้าภายในห้องคุ้นเคยทันที ร่างบางถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อมาถึงส่วนต้อนรับภายในห้อง ซึ่งชายหนุ่มร่างสูงก็เพียงแค่คลายวงแขนแข็งแรงออกเล็กน้อยเท่านั้น เป็นร่างบางโปร่งเองที่เป็นฝ่ายขยับออกห่างพลางผลักดันอีกร่างให้ปล่อยวงแขนทั้งสองจากตน  

     ร่างบางกำลังเดินเลี่ยงออกไปนั่งอยู่ตรงบริเวณโซฟาตัวใหญ่ ภาพเหตุการณ์ครั้งก่อนค่อย ๆ ฉายขึ้นมาซ้อนทับกับปัจจุบัน ร่างบางมักจะใช้เป็นที่นั่งรอคอยชายหนุ่มทุกครั้งในช่วงหลัง ๆ ที่ร่างสูงยอมให้ตนเข้ามานั่งรอภายในห้องนี้ บางครั้งก็จะมีเจ้าของห้องมานอนพักสายตาโดยอาศัยตักตนต่างหมอน สองขาเล็กที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าชะงักเล็กน้อย ก่อนจะก้าวถอยห่างออกมาและทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเล็กข้าง ๆ  

     แต่ก่อนที่ร่างบางจะทันได้สัมผัสกับโซฟาที่ว่าตัวนั้น ฝ่ามือแข็งแรงก็คว้าเข้าที่ข้อแขนเล็ก ออกแรงสักหน่อยเพื่อให้ร่างบางก้าวเดินตามความต้องการของตน ร่างโปร่งบางถูกแรงผลักเพียงเล็กน้อยให้นั่งลงตรงตำแหน่งประจำ แล้วก็ตามด้วยร่างสูงใหญ่เจ้าห้องห้องที่ทิ้งตัวลงนอนพาดส่วนศีรษะบนตักนิ่มนุ่มอย่างเคยชิน 

     “ฉันอยากพัก” คำพูดเรียบง่ายที่ร่างบางได้ฟังจนเป็นความเคยชิน ปฏิกิริยาตอบสนองจากร่างบางจึงถูกสั่งการจากความรู้สึกอันท่วมท้น มือเรียวยาวลูบเสยกลุ่มผมสีน้ำตาลไหม้ช้า ๆ ให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลาย น้ำเสียงเช่นนี้ร่างบางรับรู้ได้ไม่ยากว่า ‘อดีตคนรัก’ กำลังเหนื่อยล้ากับอะไรสักอย่าง หลายครั้งที่ชายหนุ่มเคลิ้มหลับไปบนตักตน ยามะพีไม่รู้ว่าการที่อีกฝ่ายได้หนุนนอนอยู่บนตักตนเช่นนี้ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายลงไปได้บ้างหรือไม่ แต่ในเมื่อเป็นความต้องการจากคน ๆ นี้ ยามะพีก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะปฏิเสธความต้องการนั้น  

     ยามะพีปล่อยให้ยูอิจินอนหนุนอยู่อย่างนั้นสักครู่ใหญ่ ประตูห้องก็เปิดแง้มออกพร้อมกับชุดของว่างที่เลขาคุณภาพคับแก้วอย่างมากิจัดเตรียมไว้ให้ดังเช่นทุกครั้ง ร่างบางขยับนิ้วเรียวเล็กแตะบริเวณริมฝีปากค้างเอาไว้ เป็นสัญลักษณ์ให้คุณเลขาคนสวยจัดแจงเรื่องของว่างอย่างเงียบเชียบที่สุด ซึ่งมากิก็จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยด้วยความเงียบกริบ ก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานต่อ 

     ชุดของว่างประกอบด้วยขนมหวานก้อนกลมสีสันสวยงาม 4 ก้อน ซึ่งถูกจัดบนจานแก้วรูปร่างกลมแบนที่ทำจากแก้วใสพ่นทรายเป็นสัญลักษณ์ที่ร่างบางจำมันได้ดี สัญลักษณ์นั้นตนเป็นคนออกแบบมันเองกับมือ ถ้วยแก้วขนาดเล็กพอดีมือสองแก้วพ่นทรายด้วยลวดลายเดียวกัน แก้วหนึ่งเป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลเป็นของชายหนุ่มที่หลับสนิทอยู่บนตักตน ส่วนอีกแก้วเป็นโกโก้ร้อนหอมกรุ่นสำหรับเขา 

     ยามะพีละสายตาจากของว่างบนโต๊ะเตี้ยทรงสี่เหลี่ยมทำจากแก้วสีชาทั้งแผ่นนั้น แล้วกลับมาให้ความสนใจกับวงหน้าคมเข้มของคนบนตัก ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอช้า ๆ บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าสู่ห้วงนิทราที่ลึกสนิทพอสมควรทีเดียว  

     ยามะพีชะงักสายตาเล็กน้อยเมื่อร่างสูงขมวดคิ้วเข้าหากันพลางหายใจขัด ๆ ขยับตัวกระสับกระส่าย พลิกไปพลิกมาคล้ายกำลังประสบกับเหตุการณ์อะไรบางอย่างซึ่งเจ้าตัวไม่มีความสุข จนชายหนุ่มพลิกร่างตะแคงหน้าเข้าหาส่วนเอวคอดของตนกอดรัดซบซุกลงกับหน้าท้องแบนราบเสียแน่น ร่างบางจึงขยับมือลูบลงบนศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ ลมหายใจของชายหนุ่มจึงเข้าสู่ระดับปกติอีกครั้ง ยามะพีลูบผมนิ่มเรื่อยอยู่อย่างนั้นจนเวลาค่อย ๆ ล่วงเลยผ่านไป ซึ่งยามะพีก็ไม่ได้คิดจะให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น 

 

     เปลือกตาหนัก ๆ กระพริบเข้าหากันช้า ๆ ยูอิจิแทบจะเด้งลุกขึ้นเมื่อเห็นว่ารอบกายกลายเป็นสีดำสนิท อีกทั้งสิ่งที่รองรับศีรษะตนเอาไว้นั้นอุ่นจัด ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือตนซึ่งสามารถมองเห็นได้ในความมืด นาฬิกาเรือนหรูถูกนิ้วเรียวแข็งแรงกดปรับโหมดการทำงานอยู่ครู่หนึ่งก็แสดงตัวเลขออกมาให้ชายหนุ่มได้รู้ว่าตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยไปถึงเกือบ 5 ทุ่มเข้าไปแล้ว และแสงจากสิ่งนั้นยังกระทบไปยังเจ้าของหนอมนิ่มอุ่นที่รองรับศีรษะเขาเอาไว้อีก ร่างบางเอนซบลงบนพนักพิงของโซฟาตัวใหญ่หลับไปทั้งที่มือเล็กยังวางทิ้งไว้บริเวณคางของชายหนุ่ม 

     ยูอิจิยกฝ่ามือนุ่มขึ้นมาจูบแผ่วเบา ไม่รู้ว่าถ้าญาติ ๆ ฝ่ายนั้นรับรู้ว่าคนร่างบางถูกเขาพาตัวมาอยู่บนนี้ตั้งแต่เที่ยงจนถึงเกือบ 5 ทุ่มจะว่ายังไง ร่างสูงขยับลุกขึ้นนั่งช้า ๆ และพยายามใช้เสียงให้น้อยที่สุด แต่เมื่อเจ้าตัวขยับลุกขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปช้อนเอาตัวร่างบางมาอุ้มเอาไว้กลับมีเสียงเล็ก ๆ ท้วงขึ้นสั้น ๆ เบา ๆ  

     “คะ คือผมกลับได้รึยังฮะ” ยามะพีเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร เอ่ยออกไปอย่างนั้นทั้งที่สองขาของตนนั้นชาดิกแทบจะหมดความรู้สึก กว่าจะลุกขึ้นเดินได้คงต้องรอเวลาให้เลือดไหลลงไปเลี้ยงส่วนขาทั้งสองข้างอีกพักใหญ่ แต่ร่างบางไม่ต้องการรับรู้ความอ่อนโยนหรือออดอ้อนของชายหนุ่มอีก ยามะพียอมรับกับตัวเองได้อย่างเต็มปากเพียงแค่อีกฝ่ายแสดงความอ่อนโยนหรือแม้กระทั่งออดอ้อนตนเพียงเล็กน้อย หัวใจดวงเท่ากำมือเล็ก ๆ ของตนดวงนี้ก็มีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกเป็นหลายเท่าทวี ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปตนอาจจะหลงคิดไปว่าตัวเองยังเป็นคนที่สามารถยืนเคียงข้างไปกับผู้ชายคนนี้ได้ ทั้งที่ความเป็นจริงนั้น....มันต่างออกไปโดยสิ้นเชิง 

     “....” ยูอิจิไม่ได้ตอบคำถามนั้นและไม่รอคอยให้ยามะพีมีเวลาคิดหรือหลบเลี่ยงอีกต่อไป ชายหนุ่มตรงเข้าโอบช้อนร่างบอบบางนั้นมาแนบอก ท่าทางตกใจพร้อมกับเสียงจิ๊ปากเล็ก ๆ ที่ดังให้ได้ยินก็ทำให้ยูอิจิยอมวางร่างเล็ก ๆ ลงบนโซฟาอีกครั้ง เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกทำเอายูอิจิอดที่จะยิ้มกับท่าทางอย่างนั้นไม่ได้ 

 

     ไม่นานไฟภายในห้องทำงานบริเวณรับแขกก็สว่างขึ้น พร้อมกับร่างสูงที่เดินตรงเข้าหาคนบนโซฟา ยูอิจิทรุดตัวลงนั่งชันเข่าด้วยขาข้างหนึ่งแล้วยกเอาสองขาเล็กที่เพียงแค่โดนสัมผัสเจ้าของก็แทบจะกรีดร้องด้วยความทรมาน 

     “เป็นเหน็บทั้งสองข้างยังจะบอกว่า ‘ผมกลับได้รึยังฮะ’ อีกเหรอ คนปากแข็ง” ยูอิจิเอ่ยบอกร่างบาง เลียงเสียงประชดประชันกับคำพูดเมื่อสักครู่จากร่างบาง ก่อนจะจบประโยคด้วยการดุร่างบางกลาย ๆ ส่วนมือก็ยังทำหน้าที่นวดคลึงขาเรียวยาวภายใต้กางเกงผ้าสีขาวเข้ารูปนิด ๆ ซึ่งบัดนี้ไม่ได้เรียบเรื่อยไปกับเรียวขายาวนั้นเสียแล้ว ยูอิจิรู้ดีว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตัวเอง อีกทั้งชายหนุ่มยังแอบหงุดหงิดนิดหน่อยกับสรรพนามที่ร่างบางใช้เรียกตัวเองกับตน ซึ่งมันเปลี่ยนไปจากที่คุ้นเคย 

     “ผมดีขึ้นมาแล้ว ขอบคุณฮะ คุณยูอิจิ” ยามะพีนั่งเงียบปล่อยให้ชายหนุ่มนวดคลึงสองขาเพื่อลดความเจ็บยิบ ๆ ที่แล่นวิ่งไปตามส่วนบนและล่างของท่อนขาทั้งสอง และเมื่อรู้สึกว่าตัวเองพอที่จะลุกขึ้นเดินเองได้ก็เอ่ยท้วงร่างสูงเบา ๆ 

     “เรียกแทนตัวเธอว่ายังไงนะ แล้วเรียกฉันว่าอะไร หืม....โทโมฮิสะ ฉันว่าเราไม่ได้ห่างเหินกันขนาดนั้นนะ” ยูอิจิยอมละและปล่อยขาเรียวทั้งสองลงแต่โดยดี หากก่อนที่ร่างบางจะทันได้ขยับลุกขึ้น ยูอิจิก็ชะโงกตัวตรงเข้าหาร่างบาง ชายหนุ่มใช้สองแขนยันค้ำกับเบาะนิ่มของโซฟาตัวใหญ่เอาไว้ พลางกระซิบถามร่างบางที่ข้างหู กำลังจะเอื้อมมือออกไปสวมกอดร่างบอบบางนั้นเอาไว้ แต่พลันได้สังเกตเห็นหยาดน้ำตาสายเล็กซึ่งค่อย ๆ อาบกลิ้งลงบนสองนวลแก้มเนียนอมชมพูนั่นช้า ๆ  

     “อย่าทำ อย่าทำอย่างนี้เลยฮะ ผม....ผมรักคุณ ไม่ว่าจะเลิกกันเมื่อไหร่ ตอนไหนเวลาไหน ผมก็รักก็หวงคุณอยู่ดี ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันจะออกมาในรูปแบบนี้ แต่ผม....แต่ผมก็มีความสุขกับช่วงเวลาที่ผ่านมาฮะ ตอนนี้ในเมื่อเรื่องของเรามันจบแล้ว คุณอย่าให้ความหวัง หรือแม้กระทั่งความฝันลม ๆ แล้ง ๆ อย่างนี้อีกเลยฮะ เพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่นั้น....ผมก็ต้องการที่จะ ไขว่คว้ามันเอาไว้อยู่ดี” ยามะพีใช้แขนทั้งสองข้างดันกันอีกฝ่ายเอาไว้อย่างอ่อนแรง น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนกลับหลั่งไหล่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง 

     “ขนมที่ยูยะเอามาให้ฉันเมื่อวาน เป็นของเธอจริง ๆ สินะ” ยูอิจิเอ่ยถามพลางใช้นิ้วของตนไล่เกลี่ยหยาดน้ำตาที่ไหล่อาบแก้มเนียนอย่างเบามือ ยิ่งเมื่อได้เห็นร่างบางตรงหน้าหลับตาพริ้มพยักหน้าตอบยอมรับข้อกล่าวหาดังกล่าว ร่างสูงก็อดไม่ได้ที่จะกดริมฝีปากของตนลงบนหน้าผากมน เปลือกตานวลระเรื่อที่ยังคงหลับพริ้มยอมรับสัมผัสตนอย่างเต็มใจ  

     ในที่สุดยามะพีก็ยอมตกอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายร่างสูงทั้งตัว ยูอิจิยังนั่งอยู่บนพรมหนาสีเข้มโดยอาศัยเข่าทั้งสองข้างพยุงกายเอาไว้ เพื่อที่จะได้โอบกอดร่างบอบบางบนโซฟาไว้ทั้งตัว ทั้งคู่โอบกอดซึมซับความรู้สึกของกันและกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายละออกมาอย่างเสียดาย ร่างบางเองก็ยอมคลายอ้อมแขนแต่โดยดีด้วยรู้สถานะตนดีว่าไม่มีสิทธิ์พอที่จะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ 

     “ครั้งก่อนเธอเป็นคนขอโอกาสที่จะเป็น ‘คนรัก’ ของฉัน ครั้งนี้ฉันอยากขอโอกาสจากเธอบ้าง ฉันอยากขอโอกาสที่จะเป็น ‘คนรักคนสุดท้าย’ ของเธอ....เธอให้โอกาสนั้นกับฉันได้รึเปล่า ฉันรักเธอ โทโมฮิสะ และไม่คิดที่จะรักคนอื่นนอกจากเธอ” ยูอิจิเอ่ยบอกร่างบางความความหนักแน่นจริงจัง ดวงตาชายหนุ่มจับจ้องไปที่ดวงหน้าหวานที่คล้ายจะเสียน้ำตาให้ตนอีกเสียแล้ว 

     “ผะ....โทโมะ ฮึก ฮึก โทโมะก็รักพี่ยูฮะ แล้วก็ไม่คิดจะรักคนอื่นนอกจากพี่ยู ให้....ให้โทโมะเป็น ‘คนรักคนสุดท้าย’ ของพี่ยูนะฮะ” ยามะพีเอ่ยบอกออกไปทั้งน้ำตา รอยยิ้มน่ารักฉายชัดและตอกย้ำลงในความรู้สึกของ นากามารุ ยูอิจิ คนนี้ ร่างสูงรวบเอาตัวคนรักเข้ามาโอบกอดแนบอก กดริมฝีปากลงบนกระหม่อมกลิ่นกรุ่นสุดคิดถึงอย่างอ่อนโยนที่สุด 

 

     “ฉันไม่เคยคิดจะหยุดตัวเองไว้ที่ใคร ไม่เคยคิดอยากจะเป็นคนสุดท้ายของใคร แม้กระทั่งช่วงเวลาที่คบอยู่กับเธอในฐานะ ‘คนรัก’ ฉันอาจจะไม่รู้จักความรัก ถ้าหากวันนั้นฉันไม่ได้เสียเธอไปเพียงเพราะความรู้สึกกลัว....กลัวว่าสักวันฉันจะขาดเธอไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันไม่กลัวแล้ว ไม่กลัวว่าตัวเองจะขาดเธอไม่ได้ เพราะรู้ดีว่า....เธอก็คงขาดฉันไม่ได้เช่นกัน” 

 

     บางครั้งการละทิ้งบางสิ่ง อาจจะนำพามาซึ่งการค้นพบบางอย่าง ที่คุณไม่เคยรู้ตัวว่ามีมันอยู่ข้างกาย....จนกว่าจะสูญเสียมันไป 

 

END of [To Jilt] by archi_10_001 

 

สวัสดีค่ะ ไม่ได้เข้ามาเสียนานเลย พอดีว่าโละเครื่อง แล้วเจอเรื่องนี้ น่าจะเป็นฟิคเฟ่ 2009 (จะมีใครทันรึเปล่าหนอ?) 

ช่วงนี้จอห์นนี่คึกคักเชียวค่ะ ก็อยากกลับมาคึกคักกับชาว FICTION JR อีกเหลือเกิน ไว้เจอกันนะคะ 

สนุกกับฟิคค่ะ 

 

archi_10_001 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว