บทนำ
ใจกลางเมืองใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน รถยนต์และการจราจรที่แน่นขนัด ทุกชีวิตตื่นเช้าในเวลาเร่งด่วนที่ทุกคนต้องออกจากบ้าน บ้างไปเรียน บ้างไปทำงาน ทุกอย่างดูวุ่นวายเพื่อแข่งกับเวลา แต่ใครเลยจะรู้ว่า ในความวุ่นวายของสังคม มีใครคนหนึ่งซึ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องพวกนี้
แพรยา หรือแพร สาวน้อยวัย 18 ปี ที่เพิ่งเตรียมของสำหรับขายในตลาดเสร็จ เมื่อเวลา 6 นาฬิกา รีบวิ่งเข้าไปในบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเอาของไปขายหน้าตึกสูงแห่งหนึ่งใจกลางย่านธุรกิจ เธอขายหมูทอดกับข้าวเหนียวเพื่อเป็นรายได้เลี้ยงปากท้องของตัวเองรวมถึงส่งตัวเองเรียนด้วย
แพร said:
สวัสดีค่ะ ฉันชื่อแพรยา หรือแพร อายุ 18 ปี ฉันเพิ่งเรียนจบม. 6 ตอนนี้ฉันโดนป้าไล่ออกจากบ้าน สาเหตุมาจากคืนวันหนึ่งฉันกำลังล้างจานอยู่หลังบ้านแล้วลุงก็เมากลับเขามา เขาเกิดหน้ามืดตามัวไล่ปล้ำฉัน ฉันที่ตัวเล็กสู้ไม่ได้จึงคว้าขวดแก้วตีไปที่หัวของลุงอย่างแรงจนหัวแตก ครั้นพอป้ามาเห็นฉันก็เล่าความจริงไปว่าลุงจะปล้ำ แทนที่ป้าจะเชื่อฉันกลับด่าทอฉันหาว่าให้ท่า อ่อยลุงผู้เป็นสามีอันเป็นที่รักของป้า จึงทำให้ป้าเกิดความหึงหวงและไล่ฉันออกจากบ้านแต่ก็ยังดีที่ป้าโยนเงินมาให้หนึ่งพันบาท ฉันเก็บของออกจากบ้านพร้อมเงินจำนวนนั้น แล้วเดินออกมาด้วยน้ำตาที่ไหลรินแถมยังตะโกนด่าทอฉันไล่หลังแล้วยังอวยพรให้ฉันไปที่ชอบๆ อีก ฉันเดินเท้าเปล่ามาที่สถานีรถไฟ รอขึ้นรถไฟฟรีเพื่อที่จะมาตั้งต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพ ความที่ฉันไม่มีญาติพี่น้องที่กรุงเทพ พ่อแม่ก็ไม่มี เพื่อนฝูงในกรุงเทพยิ่งแล้วใหญ่ยิ่งไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ฉันเข้ากรุงเทพด้วยเงินติดด้วยเท่าที่ป้าฉันให้ วันแรกที่ฉันมาถึงกรุงเทพ สถานที่แรกที่ฉันไปคือวัด ฉันเดินเข้าไปหาหลวงพ่อที่กุฏิ
“กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ” ฉันเจอพระรูปหนึ่ง
“มีอะไรหรือโยม” หลวงพ่อเอ่ยถามฉัน
“คือหนู เอ่อ หนูโดนป้าไล่ออกจากบ้านมาค่ะ เพิ่งเข้ากรุงเทพเป็นครั้งแรกไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะเริ่มต้นชีวิตยังไง เลยอยากมาขออาศัยวัดอยู่ชั่วคราวค่ะ” ฉันบอกหลวงพ่อออกไป
“อืม เอาซิ วัดก็ถือเป็นที่พึ่งทางใจของหลายๆ คน โยมอยู่ได้นานตามที่ต้องการเลยนะ แล้วชื่ออะไรหละ”
“หนูชื่อแพรค่ะ” ฉันบอกหลวงพ่อออกไป
“ไอ้เปี๊ยก เปี๊ยกเอ้ย” หลวงพ่อหันไปตะโกนเรียกเด็กวัดคนหนึ่ง
“ครับหลวงพ่อ มีอะไรจะใช้เปี๊ยกหรอครับ” เด็กชื่อเปี๊ยกเอ่ยถาม
“เดี๋ยวเอ็งพา โยมแพรไปหลังที่โรงครัวนะ ให้ยายฟางแกหาข้าวหาปลาให้กินด้วย อ้อแล้วก็ฝากให้ยายฟางแกดูที่พักให้โยมเขาด้วยหละ” หลวงพ่อสั่งเด็กชื่อเปี๊ยก
“ครับหลวงพ่อ” เปี๊ยกรับคำแล้วหันมาพูดกับฉัน
“ไปพี่แพร ตามเปี๊ยกมา” หลังจากที่เปี๊ยกพูดเสร็จ ฉันก็หันไปกราบหลวงพ่อแล้วตามเปี๊ยกไป
เปี๊ยกพาฉันเดินอ้อมมาด้านหลังกุฏิซึ่งมีโรงครัวอยู่ไม่ไกล
“ยายฟางจ๋า ยายฟาง”
“อะไรของเอ็งไอ้เปี๊ยกเรียกข้าซะเสียงดังเลย” ยายฟางตะโกนบ่นออกมา
“หลวงพ่อให้พาพี่แพรมาหายายฟาง ท่านสั่งให้หาข้าวกับที่หลับที่นอนให้พี่แพรด้วย” สิ้นเสียงพูดของเปี๊ยกยายฟางก็หันมามองที่ฉัน
“เอ็งชื่อแพรรึนังหนู” ยายฟางถาม
“จ่ะยาย” ฉันตอบออกไป
“อายุเท่าไหร่แล้วหละเรา”
“หนูอายุ 18 แล้วจ๊ะ เรียนจบม. 6 แล้ว”
“อืมดี แล้วไปไงมาไงถึงมาที่นี่ได้” ระหว่างที่แกซักประวัติฉันแกก็หันไปจุดเตาแก๊สเจียวไข่ไป
ฉันก็เล่าเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบ้านให้ยายฟางฟัง ส่วนเรื่องพ่อแม่ของฉัน ฉันก็บอกได้แค่ว่าไม่รู้ เพราะป้าก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟัง ตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่ป้ากับลุงที่เลี้ยงฉันมา
“เอ้าๆๆๆ ข้าวไข่เจียวนะ ข้าล้างเก็บของหมดแล้ว” ยายฟางบอก
“จ่ะ ขอบคุณนะจ้ะยาย” ฉันนั่งกินข้าวเงียบๆ ยายฟางเดินออกไปทางห้องที่เรียงรายกันอยู่ 3 ห้องใกล้ๆ กุฏิ แล้วสักพักก็เดินกลับมา
“เอ็งนอนกับข้าไปก่อนละกันห้องอื่น เต็มหมดแล้ว” ยายฟางบอก
“จ่ะยาย ขอบคุณนะจ้ะ”
“แล้วนี่เอ็งคิดจะทำยังไงต่อไป” ยายฟางถาม
“ฉันว่าจะหางานทำจ่ะ เก็บเงินสักหน่อยเป็นทุนแล้วจะหาที่ขายหมูทอดกับข้าวเหนียว”
“เอ็งทำเป็นรึ” ยายฟางถามต่อ
“เป็นจ้ะ สมัยก่อนฉันเคยช่วยป้าแถวบ้านขายตอนหลังเลิกเรียน หาเงินเป็นค่าขนมจ้ะ”
“แล้วทำอย่างอื่นเป็นอีกหรือเปล่าพวกขนม หรือกับข้าวอย่างอื่น”
“ก็พอเป็นจ้ะ ถ้าฉันมีทุนพอ เช้าขายหมูทอดข้าวเหนียว ตอนเย็นขายขนมที่ตลาดก็คงพอจะได้อยู่”
“แล้วป้าเอ็งเขาให้เงินเอ็งมาด้วยไหม”
“ให้จ่ะ เขาโยนมาให้ฉันพันนึง”
“อืม ก็ยังดีเก็บไว้ให้ดีละ แถวนี้พวกขี้ยามันเยอะไงก็ระวังๆ ตัวหน่อยละกัน”
“จ้ะยาย” หลังจากนั้นฉันก็กินข้าวเสร็จแล้วเอาจานไปล้างคว่ำไว้ และเดินเข้าไปในห้องของยายฟาง ภายในห้องก็ไม่มีอะไรมา โทรทัศน์เก่าๆ หนึ่งเครื่องพัดลม หมอน ที่นอน ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ อีกใบ แล้วฉันก็หันไปถาม
“แล้วยายทำอะไรจ้ะ นอกจากเป็นแม่ครัวอยู่ที่นี่”
“ข้าก็คอยดูแลหลวงพ่อนี่หละ จัดเตรียมอาหารทำความสะอาดกุฎิให้ท่าน แล้วถ้ามีคนมาจัดงานศพ ก็จะเป็นแม่ครัวเตรียมพวกอาหารเลี้ยงแขก” ฉันฟังยายแกเล่าไปเรื่อยๆ
“เอ็งอยากทำงานใช่ไหม เอางี้เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะพาเอ็งไปฝากเป็นเด็กล้างจานร้านข้าวแกงที่หน้าวัด ร้านนั้นเขาขายดีเชียวแหละแต่ผู้ช่วยเขาน้อยจ้างคนล้างจานมาก็ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ ข้าจะลองไปฝากดู” ยายฟางบอกฉันแบบนี้
“ขอบคุณจ้ะยาย”
“แต่เอ็งต้องรับปากข้าก่อนนะว่า จะเป็นเด็กดี สื่อสัตย์ สุจริต ไม่ลักขโมย ไม่คดโกงใคร”
“จ่ะ แพรจะเป็นเด็กดีของยายนะจ้ะ” ฉันเอ่ยบอกยายฟางไป ยายก็ลูบหัวฉันอย่างเอ็นดู
----- end --------
หลังจากวันนั้น ยายฟางก็พาแพรยามาฝากทำงานกับร้านข้าวแกงหน้าวัดที่ยายฟางบอก แพรยาเป็นคนขยัน ยิ้มแย้มแจ่มใส จนตอนนี้เธอก็ทำงานที่ร้านนี้ล่วงมา 3 เดือนแล้ว เงินเดือนทุกบาทที่ได้มาเธอจะแบ่งให้ยายฟางเดือนละ 500 ช่วยค่าน้ำค่าไฟหลวงพ่ออีกเล็กน้อยแล้วที่เหลือก็เก็บฝากธนาคาร
วันนี้แพรยาเสร็จงานที่ร้านเร็ว และที่วัดก็มีงานว่าจ้างให้ยายฟางทำอาหารเลี้ยงแขก แพรยาที่กลับมาจากทำงานก็รีบมาช่วยยายฟางเตรียมของเพื่อทำอาหาร
“วันนี้ทำอะไรจ๊ะยาย” แพรยาเอ่ยถาม
“ทำข้าวต้มอย่างเดิมแต่วันนี้เป็นข้าวต้มปลา” ยายฟางตอบ
“งั้นเดี๋ยวแพรต้มข้าวให้นะจ๊ะ ยายนั่งพักก่อน” แพรยาเอ่ยบอกยายฟางแล้วจูงแกมานั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ ส่วนที่เหลือแพรยาลงมือทำเองหมด ยายฟางเอ็นดูแพรยาเหมือนลูกเหมือนหลานเพราะแพรยาเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย
แพรยาเป็นเด็กที่ผิวพรรณดี ผิวขาวเนียนสวย หน้าตาดีไม่ขี้เหล่ แถมเป็นเด็กขยันแล้วก็มีมารยาทดี ไม่คิดร้ายกับใคร ในขณะที่ยายฟางกำลังหั่นผักเตรียม แพรยาก็ตั้งไฟต้มน้ำทำข้าวต้ม แยกกับน้ำซุปปลา พอเสร็จแพรยาก็ตักมาให้ยายฟางชิม
“อืม ใช้ได้อร่อยเลยหละ เก่งนะเรา” แพรยาที่ได้รับคำชมก็ยิ้มหวานให้ยายฟาง แล้วก็ตระเตรียมถ้วยชามข้าวของอื่นๆ จนกระทั่งถึงเวลาแขกเริ่มทยอยมาร่วมงาน แพรยาก็ขยันขันแข็งช่วยเจ้าภาพเสิร์ฟน้ำ เก็บถ้วยเปล่าไปทิ้ง ทำโน่นนี่ จนกระทั่งถึงตอนตักข้าวต้มปลาไปเสิร์ฟ เสียงชมข้าวต้มปลามีแต่คนชมว่าอร่อยถ้วยที่ส่งกลับมาเกลี้ยงหมดทุกชาม บางคนก็มีเดินมาขอเติม พร้อมกับชมแม่ครัวว่าอร่อย ซึ่งยายฟางก็ได้แต่ยิ้มรับคำชมนั้น หลังจากเสร็จงานเจ้าภาพก็เดินมาหายายฟาง
“ยายจ๊ะยาย ข้าวต้มปลาฝีมือยายทำหรอ” หญิงสูงวัยคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับมีเด็กหน้าตาจิ้มลิ้มเดินประคองตามมาด้วยแล้วเอ่ยถามยายฟางที่กำลังก้ม ๆ เงยๆ อยู่บริเวณใกล้ศาลา
“เปล่าจ๊ะ หลานฉันเป็นคนทำ” ยายฟางเอ่ยบอก
“อืมฝากบอกว่าอร่อยมาก ฝีมือดีเปิดร้านได้เลยนะ” หญิงสูงวัยเอ่ยบอก
“ขอบคุณจ๊ะที่ชอบ แล้วฉันจะบอกหลานฉันให้นะ” ยายฟางตอบกลับไป
“แต่จะเปิดขายไหม ยังไม่รู้เพราะนังหนูมันก็บ่นอยากค้าขายแต่ไม่มีทุน มันเพิ่งโดนไล่ออกจากบ้านมาอยู่ที่วัดได้แค่ 3 เดือนเองจ๊ะ” ยายฟางเล่าต่อ
“แล้วคนไหนหละที่เป็นคนทำ ฉันอยากเจอ” หญิงสูงวัยถามอีก
“เอ.... เห็นเดินเก็บถ้วยชามอยู่แป๊บๆ ไปไหนละ คุณนายรออยู่นี่ก่อนนะเดี๋ยวฉันไปตามให้” ยายฟางบอกแล้วเดินออกไปตามหาแพรยา เพียงไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับแพรยาที่เดินตามหลัง
“นี่จ๊ะ แพรไหว้คุณนายซะซิ” ยายฟางเอ่ยบอก
“สวัสดีค่ะ” แพรยาทัก
“เธอเองหรอที่ทำข้าวต้ม อืมอร่อยนะอร่อยมาก ปลาไม่มีกลิ่นคาวเลยแล้วยังรู้จักเครื่องเคียงอย่างข่าป่นที่ต้องใส่ในข้าวต้มปลาอีก โดยรวมฉันชอบนะ เธอไปเรียนมาจากไหน”
“ก่อนหนูมากรุงเทพ หนูเคยทำงานอยู่ร้านข้าวต้มค่ะ” แพรยาตอบออกไป
“หนูอายุเท่าไหร่ ดูยังเด็กอยู่เลย”
“หนูเพิ่ง 18 ค่ะ” แพรยาตอบออกไป
“อะไรกันเพิ่ง 18 เอง นี่อย่าบอกนะทำงานตั้งแต่เด็ก”
“ค่ะ หนูทำงานหาค่าขนมไปโรงเรียนค่ะ” แพรยาเอ่ยตอบหญิงสูงวัย
“แล้วหนูไม่เรียนต่อแล้วหรอ” หญิงสูงวัยยังถามต่อ
“อยากเรียนค่ะ แต่ตอนนี้หนูไม่มีเงินเรียนหนังสือค่ะ”
“แล้วเมื่อก่อนใครส่งเสีย”
“หนูได้ทุนของโรงเรียนค่ะ แต่ตอนนี้เรียนจบแล้วก็เลย...”
“เอาหละ ไม่ต้องพูดแล้ว ฝีมือทำอาหารฉันคิดว่าเธอทำได้ดีมากฉันชอบ เอาอย่างนี้ ฉันอยากจะจ้างเธอไปทำอาหารให้ฉันที่บ้าน สนใจไหม” หญิงสูงวัยเอ่ยถาม
“สนใจค่ะ เอ่อ บ้านคุณท่านอยู่ที่ไหนคะ” แพรยาถามกลับ
“ไม่ไกลจากที่นี่หรอก นั่งรถเมล์ไปป้ายเดียวก็ถึงแล้ว” หญิงสูงวัยเอ่ยตอบ
“งั้นพรุ่งนี้ฉันจะให้คนขับรถมารับเธอไปที่บ้านนะ สักประมาณบ่าย 2 แล้วเราค่อยคุยกันอีกทีนะจ๊ะ” หญิงสูงวัยเอ่ยบอก
“ค่ะคุณท่าน ขอบพระคุณค่ะ” แพรยายกมือไหว้ หญิงสูงวัยยิ้มให้แล้วเดินจากไป
“แพรเอ้ย เอ็งอะโชคดีจริงๆ คุณนายแกดูเป็นคนใจดีนะ หน้าตาอิ่มบุญเชียว แสดงฝีมือให้อร่อยๆหละ ถ้าคุณนายติดใจเขาอาจจะจ้างแกไปเป็นแม่ครัวที่บ้านเขาก็ได้” ยายฟางเอ่ยบอก
“จ๊ะยาย ฉันจะทำให้สุดฝีมือเลยจ๊ะ” แพรยาตอบกลับ แล้วช่วยยายฟางล้างถ้วยชามข้าวของต่างๆ เก็บเข้าที่แล้วประคองยายฟางกลับห้องนอน