ตั้งแต่เกิดมาผม..สวี่เว่ยโจว..ไม่เคยเชื่อในเรื่องพรหมลิขิต สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการอธิษฐานขอพรใดๆ จนกระทั่ง..วันนี้..เมื่อปีที่แล้ว
“วันเกิดปีนี้ ถ้าพรหมลิขิตมีจริง ขอให้ได้ของขวัญเป็นแฟนหน้าตาดี นิสัยน่ารักๆ สักคนนึงเถอะ..สาธุ” ผมพูดอย่างติดตลกในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่พวกเราชาวแก๊งสามซ่าส์มานั่งรวมกลุ่มชุมนุมหลังเลิกเรียน เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หรือเรียกง่ายๆ ว่านินทาชาวบ้านนั่นแหละ ซึ่งนั่นนับเป็นกิจวัตรประจำวันเพื่อคลายเครียดหลังจากเลิกเรียนของพวกผมที่ทำกันมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย แม้ตอนนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ไม่เว้น
อ่า..จะเรียกว่าแก๊งสามซ่าส์เหมือนตอนอยู่มัธยมปลายก็ไม่ได้ซะทีเดียว เพราะตอนนี้เพื่อนร่วมคลาสของเฟิงซงคนหนึ่งชอบมารวมกลุ่มกับพวกเราหลังเลิกเรียนด้วยเสมอ
ไม่รู้ว่าจะมาทำไม บอกตรงๆ ก็ได้ว่าผมไม่ถูกชะตาอีกฝ่าย เฉินเหวิ่นมันยังว่าผมว่าอคติกับหมอนั่นเกินไป ไม่รู้ละเห็นหน้าแล้วขัดหูขัดตา
อีกอย่างคุณชายหวงก็ดูจะไม่ได้ปลื้มผมสักเท่าไหร่ มาทีไรก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าเหมือนจะเลือดกินเนื้อผมยังไงยังงั้น สงสัยจะทำกรรมร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนละก็ ผมคงได้มีเรื่องกับอีกฝ่ายไปหลายยกแล้วล่ะ
“ไม่ระบุว่าแฟนสาว ระวังสวรรค์จะลิขิตแฟนหนุ่มมาให้นะโว้ยโจวโจว” เฟิงซงออกปากแซว จนผมอยากจะลุกไปเตะเพื่อนสักหลายๆ ที
“สมาร์ทแมนแอนด์แฮนซั่มอย่างฉัน มันต้องเป็นแฟนสาวอยู่แล้วโว้ย” ผมยืดอกพูดอย่างภาคภูมิใจ แต่เพื่อนอีกสองคนพากันหัวเราะพรืด ไม่เห็นจะขำตรงไหนเลยไอ้พวกนี้นี่
ส่วนคนที่ผมจัดว่าเป็นส่วนเกินไม่ได้หัวเราะอะไรนะครับ แค่มองผมนิ่งๆ เหมือนเดิม ใครก็ได้มาลากหมอนี่ไปจากตรงนี้สักทีเถอะ เกลียดสายตาแบบนี้ชะมัด ทำไมต้องใช้สายตานิ่งๆ หยิ่งๆ แบบนั้นมองผมด้วยฟะ อย่างกับผมไปทำอะไรผิดกับมันไว้ยังไงยังงั้น จะว่าผมเคยไปแย่งแฟนคุณชายเขาก็ไม่น่าจะใช่
อีกอย่างผมกับอีกฝ่ายรู้จักกันยังไม่ทันถึงสามเดือนด้วยซ้ำ แม้ว่าผมจะเรียนที่นี่มาได้สองปีแล้วก็ตาม แต่เพราะว่าหมอนี่พึ่งโผล่มารวมกลุ่มด้วยช่วงสองสามเดือนมานี้แหละ เมื่อก่อนไม่เห็นจะเคยมา
ผมได้รู้จัก อ่า..ไม่สิ ใช้คำว่ารู้จักกันไม่ได้ เพราะเราสองคนไม่เคยชอบขี้หน้ากันเลย เรียกว่าเคยเจอกันช่วงวันแห่งความรัก วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดที่ผ่านมา ที่บ้านเฟิงซงจะดีกว่า หลังจากนั้นหมอนี่ก็จะมาร่วมกลุ่มด้วยแทบจะทุกวัน
คือคุณชายหวง(เรียกประชดมันครับ)เป็นเพื่อนของเฟิงซงสมัยมัธยมต้นน่ะครับ ส่วนผมกับเฉินเหวิ่นเป็นเพื่อนกับเฟิงซงตอนมัธยมปลาย แล้วบังเอิญว่าพวกเราสอบติดมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เฟิงซงมันเจอเพื่อนสนิทตอนม.ต้น ก็เลยลากมาแนะนำให้พวกผมรู้จักด้วย ไม่ได้ดูเลยว่าเพื่อนตัวเองทำท่าทางอยากรู้จักผมมาก (ประชดมันเข้าไป) เจอทีไรนี่จ้องเหมือนจะกัดผมตลอดอ่ะ น่ากลัว
“นายเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ปกติไม่เห็นจะเชื่อ” เฉินเหวิ่นถามอย่างแปลกใจ
“ใครบอกนาย ฉันก็พูดไปอย่างนั้นเอง พวกนายอยากให้ฉันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกันนักไม่ใช่เรอะ”
“ก็เห็นเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมาอยู่อย่างนี้ ไม่มีเป็นตัวเป็นตน สับรางจนฉันปวดหัวแทนแล้วเนี่ย ก็เลยอยากให้นายมีจริงๆ สักที จะได้ไม่ต้องมาเรียกให้พวกฉันไปช่วยกันท่าเวลารถไฟชนจะกันนะสิ คนจะสวีทหวานจี๋จ๋ากันบ้าง หมดอารมณ์ตลอด” คราวนี้เฟิงซงยาวเหยียดพูด อันนี้รู้สึกว่าจะเป็นความจริงในใจล้วนๆ เพราะสองคนนี้คบกันอยู่ แล้วผมก็ชอบตามให้พวกมันมาหาข้างนอกเวลารถไฟจะชนกันอย่างว่าจริงๆ ซะด้วย
“อะไร แสดงว่าตอนดึกๆ ที่ฉันโทรไป พวกนายกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันตลอดเลยเหรอ” ผมแซวและยกเท้าหลบฝ่าตีนของเฉินเหวิ่นที่นั่งข้างๆ อย่างรวดเร็ว ไม่งั้นจะโดนเหยียบเอานะสิครับ
“ไม่ทุกครั้ง แต่ก็ส่วนมาก” เฟิงซงตอบหน้าตาย ทำเอาผมที่ปกติหน้าด้าน เริ่มจะหน้าบางขึ้นมานิดๆ ไอ้เพื่อนหื่นมันก็ช่างพูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยเหมือนคุยเรื่องดิน ฟ้า อากาศ ช่างกล้าพ่อคุณเอ๊ย
“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ขอพระเจ้าและ ขอพวกนายสองคนละกัน ของขวัญวันเกิดปีนี้ฉันอยากได้แฟนสักคน ฉันจะจริงจัง รักเดียวใจเดียวเลยละ อยากให้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนนักก็หาให้ฉันซะเลย แต่มีข้อแม้นะเว้ย ไม่สวย ไม่น่ารัก ฉันไม่เอานะ ร้ายหน่อยก็ดี ฉันชอบอะไรที่ เก่งกล้า ท้าทาย ได้ยาก ฮ่าๆ ” ผมพูดติดตลกอีกที แต่คราวนี้เพื่อนตัวแสบของผมทั้งสองคนมองหน้ากัน และหันไปมองคุณชายหวงจิ่งอวี๋ที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าผมเงียบๆ ไม่มีปากเสียงตั้งแต่ต้น (เอาจริงๆ ถ้าผมไม่เคยได้ยินหมอนี่พูดมาก่อน ผมต้องคิดว่ามันเป็นใบ้) ก่อนจะหันมามองหน้าผมเป็นคนสุดท้าย
“ยินดีจัดให้ รับรองว่าสเป็คนายล้านเปอร์เซ็นต์ ร้าย เก่งกล้า ท้าทาย และได้ยากแน่ๆ แต่เค้าจะได้นายง่ายหรือเปล่าคืออีกเรื่องนึงนะ” คราวนี้เซิงฟงพูด ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน เอาจริงๆ นะผมกำลังคิดว่ามันบ้า เฉินเหวิ่นสุดที่รักของผมหลงไปตกลงเป็นแฟนกับมันได้ไงวะ
“ถ้าเข้าข่ายที่ว่ามา จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ขัดใช่ไหม” เฉินเหวิ่นถามผมพลางอมยิ้ม
“โห...ขอขัดสักนิดได้ไหม ได้ทีละเอาใหญ่นะ แน่ใจกันจังเลยนะว่าจะดึงฉันไปร่วมทางเดียวกับพวกนายได้ เออ..เอาผู้ชายก็ได้ ถ้าพวกนายหาได้จริงฉันก็ไม่ขัด แต่ขอหล่อๆ ล่ะ แต่ห้ามหล่อเกินฉันนะ ฮ่าๆ แน่จริงหามาให้ได้ล่ะ สาธุ” ผมตอบประชดเพื่อนอย่างสนุกปาก จะรอดูซิว่าพวกมันจะไปหาที่ไหนมาให้ผมได้ ผู้ชาย ร้าย เก่งกล้า ท้าทาย ได้ยากเนี่ย
“โอเค...จัดให้ วันเกิดปีนี้นายมีผัวแน่รับรอง” คราวนี้ไอ้ตัวผัวรับปากอย่างแข็งขัน
“เฮ้ย!! เดี๋ยวก่อนนะเดี๋ยว ฉันว่ามันคงมีอะไรผิดไปแล้วล่ะ ขอโทษเถอะ ฉันไม่ได้บอกเลยนะว่าจะเป็นฝ่ายรับ และก็ไม่ได้คิดจะเป็นด้วย เหลือเวลาแค่สองอาทิตย์จะวันเกิดฉัน กว่าจะถึงวันนั้นไปหามาให้ได้ซะก่อนเถอะค่อยมาพูดเฮอะ”
“แต่คนที่ฉันจะหาให้นาย ฟันธงได้ล้านเปอร์เซ็นต์เลยว่ายังไงนายก็รุกเค้าไม่ขึ้นว่ะ นอกจากนายจะอยู่บนแบบว่า...ออนท็อปน่ะ” พอไอ้คุณเฟิงซงพูดจบ คนที่นั่งเงียบมาตลอดก็หัวเราะพรืดจนผมสะดุดหู และหันไปส่งสายตาพิฆาตให้หนึ่งที มีอะไรน่าขำตรงไหนวะ
“นั่นสิ นายตัวบางๆ แค่นี้เอง จะไปกดเค้าไหวเหรอโจวโจว” คราวนี้ไอ้คุณเฉินเหวิ่นสนับสนุนคำพูดแฟน ใช่สิ ยามรัก สามีมันก็ต้องดีกว่าเพื่อนวันยังค่ำแหละ ฮึ่ย..เคืองว่ะ
“เป็นอันว่าตกลงตามนี้ ที่รักจ๋า เราจะมีเวลาสวีทกันอย่างสงบแล้ว” เฟิงซงพูดตัดบท เมื่อเห็นว่าผมกำลังจะอ้าปากเถียง และพุ่งเข้าไปกอดเพื่อนสุดซี้ของผมไว้ อายกูบ้างก็ได้นะ
แล้วมึงไอ้คุณชายหวง ช่วยเตือนเพื่อนมึงบ้างอะไรบ้าง หื่นออกหน้าออกตาจริงๆ
“แล้วสรุปว่าพรุ่งนี้เราจะไปแช่น้ำพุร้อน แล้วค้างคืนกันด้วยใช่ป่ะโจวโจว” เฉินเหวิ่นถามก่อนที่เราจะแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน เมื่อเริ่มเย็นพอสมควรแล้ว
“ไปสิ ไม่ได้ไปมานานแล้ว ไปแช่หน่อยก็ดี หยุดตั้งสามวัน” ผมตอบพลางหยิบข้าวของตัวเองขึ้นมาถือ
“แต่รอบนี้ไม่ได้ไปที่เราเคยไปกันประจำนะเว้ย เปลี่ยนที่ใหม่ไฉไลกว่าเดิม พรุ่งนี้จิ่งอวี๋ไปด้วยนะ พอดีหมอนี่ว่างน่ะ อีกอย่างตอนนี้รถฉันยังซ่อมอยู่” ง่า..ผมปฏิเสธได้ไหมอ่ะ ไม่อยากร่วมวงกับหมอนี่เลย แต่ก็ช่างเถอะ เพราะไปกันหลายคน ผมก็แค่พยายามอยู่ห่างๆ อีกฝ่ายไว้ละกัน อยู่ใกล้คุณชายหวงทีไร ผมรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองจะหยุดเต้นเพราะสายตาเชือดเฉือนคู่นั้นทุกที นี่ครับ...แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
“ยังไงก็ได้ แล้วเจอกันที่ไหนอ่ะ บ้านนายเหมือนเดิมหรือเปล่า” ผมถามเฟิงซง หลังจากที่ตอบรับอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
“ไม่ได้ๆ เอ่อ..ไม่ต้องมาหรอก นายรอที่บ้านนายนั่นแหละ เดี๋ยวพวกฉันไปรับ” คนถูกถามร้องขัดขึ้นมาซะเสียงดังจนผมตกใจ ทำไมมันต้องแหกปากดังขนาดนั้นด้วย
“เออ นายรออยู่ที่บ้านนั่นแหละ เจอกันเก้าโมงเช้านะ” เฉินเหวิ่นช่วยสนับสนุน เข้าทางกันดีเหลือเกินผัวเมียคู่นี้ ก็ดีผมจะได้ไม่ต้องแบกเป้ไป อยากมารับกันนักก็มา
“โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นสะพายกระเป๋าใบโปรด และโบกมือลาอีกสามคนที่เหลือ
แม้บางคนดูท่าทางว่าไม่อยากจะได้รับคำล่ำลาจากผมนักก็เถอะ ไม่ได้อยากจะลาหมอนั่นเหมือนกันแหละ แต่เห็นว่าเป็นเพื่อนของเพื่อน ผมก็ทำไปตามมารยาท
“สวัสดีหนุ่มน้อย” เสียงทักทายที่เหมือนว่าดังมาจากที่ไกลแสนไกล ก่อนจะค่อยๆ ดังชัดเจนขึ้นราวกับว่าคนพูดกำลังอยู่ข้างตัว ทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นหลังจากที่หลับไปได้เพียงไม่นาน
คนที่ทักทายผมยืนอยู่ข้างหน้าต่างไม่ไกลจากเตียงมากนัก แม้จะปิดไฟแต่ผมกลับเห็นหน้าของผู้มาเยือนชัดเจน ใบหน้าขาวสะอาดประดับด้วยรอยยิ้มสดใส นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้มตามอีกฝ่าย แม้ว่าผู้มาเยือนจะแต่งตัวผิดแปลกไปจากพวกเรามากสักหน่อย แต่ชุดสีขาวมีชายยาวกรุยกรายนั้นกลับเหมาะกับผู้หญิงตรงหน้ามากเสียเหลือเกิน
“เจ้าช่างงดงามกว่าที่ข้าคิดนัก” คนตรงหน้ายังคงพูดต่อ โดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าพูดกับใคร อาจจะพูดกับผมก็ได้มั้ง ก็เค้ามองสบตาผมอยู่นี่นา
“ถึงเวลาแล้วสินะ ที่เทพธิดาตัวน้อยๆ ของข้า ไม่สิเทพบุตรตัวน้อยที่แสนน่ารักของข้าต่างหาก ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะได้พบกับคู่แท้ แม้เจ้าจะยังเยาว์อยู่ แต่นี่คือพรหมลิขิตที่ไม่อาจหลีกหนีได้ ของขวัญวันเกิดปีนี้ ข้าจะตามใจให้สิ่งที่เจ้ารารถนา คนนี้ไงเนื้อคู่ของเจ้า เขาเป็นคนในอุดมคติแบบที่เจ้าชอบเลยล่ะ” เมื่อคนตรงหน้าพูดจบผมก็พึ่งจะเห็นว่าข้างๆ กันนั้นมีผู้ชายตัวสูงกว่าคนพูดเยอะมากยืนอยู่ด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่ามายืนตั้งแต่ตอนไหน
และเมื่อได้เห็นสายตาที่มองมา บวกกับรอยยิ้มที่ดูหื่นๆ ปนกวนประสาทนั่น ทำให้ผมอ้าปากค้าง จะปฏิเสธก็พูดไม่ออก ได้แต่ยกมือยกไม้เป็นเชิงบอกว่า..ต้องไม่ใช่หมอนี่นะ
อีกอย่างผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ถึงจะเป็นผู้ชายหล่อลากแบบไอ้คุณชายโรคจิตนี่ก็เถอะ หล่อแต่ดุขนาดนี้เห็นทีจะไม่รับประทานละครับ กลัวว่าแทนที่จะได้กินหูวาฬหูฉลาม จะกลายเป็นว่าเจอพิษปลาปักเป้าเข้านะสิ ถึงตายเลยนะ
“ดีใจจนพูดไม่ออกเลยเชียวหรือ ของขวัญวันเกิดปีนี้ ข้าจะให้คู่ชีวิตแก่เจ้า สุขสันต์วันเกิดนะสวี่เว่ยโจว แล้วเจ้าจะมีความสุขตลอดไป” เมื่อพูดจบสาวสวยหน้าตาดีตรงหน้าผมก็ค่อยๆ จางหายไป
ผมพยายามยื่นมือออกไปคว้าแขนของเธอไว้ แต่ก็ไม่ทันส่วน
ไอ้คนที่ถูกบอกว่าเป็นเนื้อคู่ผมตอนนี้เดินมานั่งลงบนเตียง และใช้สองมือของตัวเองบวกด้วยแรงควายๆ กดตัวผมลงไปนอนกับเตียงอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าลงมาหาช้าๆ รอยยิ้มที่เห็นนั้นชัดเจนจนน่าขนลุก
“อ๊ากกกก ปล่อยนะโว๊ย!!” ผมร้องโวยวายและดิ้นรนเอาตัวรอด
“แฮ่กๆ ๆ..” ในที่สุดผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งเป็นน้องหมาหอบแดด ดีจังที่ผมตื่นได้ทันเวลา ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าผมไม่ตื่น ในฝันนั้นจะเป็นยังไงต่อ
“ฝันอะไรเลอะเทอะไปใหญ่แล้ว เพราะเรื่องที่คุยเล่นกับเจ้าพวกนั้นเมื่อเย็นนี้แน่เลย” ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะใช้แขนเสื้อซับเหงื่อที่ตอนนี้ซึมออกมาเต็มหน้า ทั้งที่อากาศก็ไม่ได้ร้อน ตายห่า..ผมกังวลเรื่องหมอนั่นจนเก็บมาวิตกจริตคิดมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย นี่ขนาดแค่ในฝันเองนะ
“เอาเถอะ เค้าว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี” ผมพยายามปลอบใจตัวเอง ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
ระหว่างที่นั่งจิบชาร้อนๆ ยามเช้า เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นดึงอารมณ์ที่กำลังเพลิดเพลินกับชาหอมๆ ของผมอย่างน่าหงุดหงิด และเมื่อหยิบมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์แปลกๆ ที่ผมไม่ได้บันทึกไว้ และก็คิดว่าไม่น่าจะรู้จักมาก่อน
“สวัสดีครับ”
“เรียบร้อยหรือยัง ฉันรออยู่ข้างล่างนะ” พูดแค่นั้นคนโทรมาก็เป็นฝ่ายตัดสายไป ฉันนี่มันฉันไหนล่ะโว้ย หรือจะเป็นพวกเฉินเหวิ่นละมั้ง
เมื่อก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองก็พบว่าตอนนี้ได้เวลานัดแล้ว แหม..เป๊ะเว่อร์จริงๆ แก๊งเพื่อน
ผมจัดการซดชาจนหมด ล้างแก้วเรียบร้อยแล้วก็สะพายกระเป๋าสะพายใบย่อม ที่ภายในมีเสื้อผ้าและของจำเป็นสำหรับพักนอกบ้านสองคืนเอาไว้
เมื่อลงมาถึงด้านล่างก็พบว่ามีรถจอดอยู่หน้าคอนโดแค่คันเดียว เป็นรถ Land Rover สีดำมันปลาบใหม่กิ๊ก ผมเกือบจะมองผ่านไป ถ้าคนที่ยืนกอดอกพิงรถอยู่ไม่ใช่ผู้ชายตัวสูงปี๊ด แถมหล่อเนี้ยบแบบคุณช๊ายคุณชาย และมันก็เป็นคนเดียวกันที่มาป่วนผมในฝันเมื่อคืน
จำใจต้องเดินไปตามสายตาที่จ้องมองมา ฮือ..ขาจะพันกันอยู่แล้ว ขอบอกเลยว่าถ้าหมอนี่ตั้งใจจะทำให้ผมกลัวด้วยการใช้สายตาแบบนั้นมองผมละก็ มันมาถูกทางแล้วครับ ผมโคตรจะกลัวเวลาถูกจ้องเลย ว่าแต่..ทำไมมาแค่คนเดียว
“อาเหวิ่นกับเฟิงซงยังไม่มาเหรอ” ทำใจดีสู้เสือถามด้วยท่าทางชิวสุดชีวิต
“พวกนั้นไม่ว่างไปด้วยแล้ว”
“ห๊ะ!!” ผมรู้สึกว่าตัวเองหูฝาดไปชั่วขณะ เดี๋ยวนะเมื่อกี้ผมฟังผิดใช่ไหม
“สองคนนั้นมีธุระด่วนไม่ว่างไปด้วยแล้ว ตอนนี้มีแค่นายกับฉันสองคน” โอเค หูผมปกติดีทุกประการ
ไม่อยากไปกับหมอนี่แค่สองคนอ่ะ ไม่ได้การ ผมต้องโทรไปจิกไอ้คู่ผัวเมียนั่นแล้ว
เริ่มจากโทรหาตัวเมีย รออยู่นานก็ไม่มีใครรับจนกระทั่งสายตัดไป...หึ ไม่รับสายเหรอ กล้ามากไอ้คุณเฉินเหวิ่น ถ้าอย่างนั้นก็ต้องโทรหาเฟิงซง
“ว่ายังไงจ๊ะสุดหล่อ” ตัวผัวรับสายผม เสียงสดใสเชียวนะมึง
“พวกนายอยู่ที่ไหน ทำไมมาเบี้ยวกันอย่างนี้วะ พวกนายไม่ไปฉันก็ไม่ไปหรอก” ผมโวยวายใส่แบบไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ สองเสียง ชะ..ไม่รับสายเพราะอยู่ด้วยกันหรอกเหรอ เดี๋ยวเจอละน่าดูไอ้คู่นี้
“พวกฉันมีธุระเว้ย พอดีว่าพ่อฉันจะให้ไปธุระด้วย ฉันก็เลยชวนเฉินเหวิ่นไปด้วยกันน่ะ นี่กำลังจะออกเดินทาง จะคุยกับพ่อฉันไหมล่ะ”
“เออ..จะคุย”ผมตอบกลับไป เพราะคิดว่าพวกมันเอาพ่อมาอ้าง ไอ้พวกนี้ต้องแกล้งผมแหง แต่พักเดียวก็มีเสียงผู้ชายที่ไม่ใช่เสียงคุณเพื่อนตัวแสบทั้งสองของผม
“ว่าไงเจ้าลูกชาย ไม่ได้คุยด้วยตั้งนาน สบายดีไหมเรา” ฮือ..พ่อมันจริงๆ ด้วยอ่ะครับ
“สบายดีครับ อาสบายดีไหมครับ”
“ก็ดีตามประสาคนแก่นั่นแหละ” แก่ที่ไหนกัน พ่อของเฟิงซงยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวอยู่เลย
“เห็นเฟิงซงบอกว่าวันนี้อามีธุระที่ต้องให้มันไปด้วยเหรอครับ”
“ใช่แล้ว อาก็เลยให้ชวนแฟนเค้าไปด้วยกันซะเลยน่ะ ว่าจะให้ชวนโจวโจวอยู่เหมือนกัน แต่เห็นเฟิงซงบอกว่าเรามีเดทกับจิ่งอวี๋ อาก็เลยไม่อยากขัดคอน่ะ ยังไงว่างๆ แวะมาหาอาที่บ้านบ้างนะ” อีกฝ่ายพูดจบก็วางสายไปเฉยเลย
เดทกับไอ้คุณชายหน้าโหดนั่นเนี่ยนะ อย่าเหมาว่าผมจะเดินทางสายสีม่วงเหมือนกับลูกอาได้ไหมเนี่ย ถึงหน้าตาและรูปร่างผมมันจะเอื้ออำนวยก็เถอะ
กรรม..แล้วผมจะทำยังไงกับชีวิตดีล่ะทีนี้ ไอ้สองตัวนั่นทำแบบนี้เท่ากับฆ่ากันชัดๆ เลยนะ เงยหน้าจากมือถือขึ้นมองหน้าคนที่ยังยืนกอดอกมองผมคุยโทรศัพท์อยู่ ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็ถาม
“ไปกันได้หรือยัง” ทำไมต้องดุกูด้วยเนี่ย แค่ตามึงก็ดุมากพอแล้วไหม กูเกรงใจก็จริง แต่ถ้ามึงทำอะไรกูก็สู้นะโว้ย
“สองคนนั้นไม่ไป ฉันว่าเราก็ยกเลิกเถอะ วันหลังค่อยนัดกันใหม่ก็ได้ เกรงใจน่ะ” ความจริงคือกูกลัวตายน่ะ โหดเป็นคุณชายมาเฟียมาเชียว
“กลัวฉันเหรอ” ชะ..พูดแบบนี้มีได้เสีย (ถึงจะกลัวจริงก็เถอะ) ถูกท้าทายแบบนี้ผมยอมไม่ได้
“ฉันไม่เคยกลัวนาย รู้ไว้ซะด้วย” ตอบได้ตรงข้ามกับความจริงสุดๆ ไปเลยครับชายสวี่
“เหรอ หึหึ” อีกฝ่ายพูดสั้นๆ ด้วยรอยยิ้มแบบที่ไม่อยากจะเห็นเลยจริงๆ รอยยิ้มแบบนี้ของหมอนี่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า อีกฝ่ายถือมีดปลายแหลมมาจ่ออยู่ที่คอผมยังไงยังงั้น
“งั้นก็ไปด้วยกัน ขึ้นรถ” ผมถูกสั่งเบาๆ แต่น้ำช่างเสียงหนักแน่นดีเหลือเกินจริงๆ
เมื่อเจ้าของรถเปิดประตู จากนั้นก็รั้งแขนผมจนเซไปยืนอยู่ตรงนั้น และยืนรอให้ผมเข้าไปนั่ง ว่าในฝันแรงควายแล้ว ตัวจริงก็ควายไม่แตกต่าง ฮือ..ผมไม่อยากไปอ่ะ
“ฉันปวดหัว ไม่ไปแล้ว” ผมบอกและพยายามเบี่ยงตัวออกจากตรงนั้น แต่ไอ้คนตัวสูงกว่าผมที่ว่าตัวสูงแล้ว มันก็ขยับตัวเข้ามาขวางไม่ให้ผมเดินออกไปได้ มึงจะเอายังไงกับกูวะครับ
เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า ผมก็ต้องหันหลบ มาอีกแล้วไอ้สายตาเหมือนจะฆ่ากันให้ตายแบบนี้ มึงจะแดกกูเลยไหม ทำไมผมต้องมาถูกจ้องด้วยสายตาอาฆาตแบบนี้คนเดียวด้วยเนี่ย เฟิงซงกับเฉินเหวิ่นทำไมถึงไม่โดนบ้างวะ กูทำอะไรให้ไม่พอใจบอกกูสิ กูขอโทษได้ไหมล่ะ จะได้จบๆ
ผมไม่ยอมก้าวขึ้นรถ แต่อีกคนก็เอามือมากางกั้นไม่ยอมหลีกทางให้ผมหนีไปไหนได้เหมือนกัน เราทั้งสองคนต่างยืนเงียบไม่พูดอะไร เหมือนกำลังเล่นเกมวัดใจ ถ้าใครพูดก่อนคนนั้นแพ้
ไม่รู้ว่ายืนอยู่นานหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างคงได้ยืนกันอยู่อย่างนี้ยันเที่ยงวันแน่นอน แถมตรงนี้ก็เป็นที่สาธารณะ ช่างเด่นหล้าท้าทายสายตาประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาดีเหลือเกิน อยากจะมุดดินตาย
นั่นทำให้ผมตัดสินใจเงยหน้าขึ้น ตั้งใจจะชวนอีกฝ่ายหาเรื่องให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
แต่เพียงแค่เงยหน้าขึ้นจ้องตากัน ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากพูดอะไร คนตรงหน้าก็ก้มลงมาหา ถ้าผมหันหน้าหลบไม่ทัน ปากคงได้ชนกันมั่งแหละ ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลังจากที่คนตรงหน้าผละออกไปแล้ว แม่ง..ต่อยสักทีดีไหมเนี่ย
“ไม่กลัวแล้วหลบทำไม” ไอ้คุณชายหวงมันก้มลงมาจ้องหน้าผมใกล้ๆ อีกครั้งพลางถามไปด้วย ไม่อยากจะบอกว่าน้ำเสียงมันนี่กวนส้นตีนผมได้อีก แล้วยังจะมีหน้ามาถามว่า ‘หลบทำไม’ ถ้าไม่หลบปากผมคงได้มีราคีไปชั่วชีวิตก็คราวนี้ ถูกผู้ชายจูบนี่มีหวังผมคงขึ้นคานหาเมียไม่ได้ไปตลอดชาติแน่ ถึงไอ้บ้านี่มันจะไม่ได้ตั้งใจจูบแต่ทำเพราะอยากจะแกล้งผมก็เถอะ
“ไม่อยากให้ราคีผู้ดีมาถูกตัวฉัน มีปัญหาไหม” อีกฝ่ายถามกวน ถ้าไม่ตอบกวนก็ใช่ที่
“ก็ดี ได้ยากแบบนี้ฉันชอบ” เอ่อ..คำพูดประโยคนี้ฟังคุ้นหูชอบกล
“นี่..ฉันบอกว่าไม่..เอ๊ะ!! นาย!!” ผมโวยวายและพยายามขัดขืนเมื่อถูกกด เอ่อ..เรียกว่าจับยัดเข้าไปในรถน่าจะถูกกว่านะครับ เมื่อพอใจแล้วไอ้คนตัวสูงขายาวมันก็รีบก้าวไปขึ้นฝั่งคนขับ จะเปิดประตูลงก็เปิดไม่ออก ไอ้บ้าเอ๊ย!!!
“ฉันบอกว่าไม่ไปแล้วไงล่ะ” ผมหันไปโวยวายใส่คนที่มานั่งคู่ด้านข้าง แต่ดูเหมือนว่าไอ้คุณชายหวงจิ่งอวี๋มันจะหูตึง เพราะเจ้าตัวหันมาแย่งกระเป๋าสะพายของผมโยนไปที่เบาะหลังอย่างไม่ใยดี ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาขับรถออกจากหน้าคอนโด
อ๊าก..ผมละอยากจะบ้าตาย ไม่เอาๆ หน้าตาดีอย่างผมถ้าบ้าตายมันดูอุบาทว์ไป ไม่ใช่สิ มันไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องตายแบบไหนไม่อุบาทว์แบบนี้นะโว้ย
“ถ้านายจะไปก็ไปคนเดียว จอดรถนะโว้ย ฉันจะลง”
“โรงแรมก็สวย มีบ่อน้ำร้อนส่วนตัวให้นอนแช่ในห้อง อาหารก็หรูจะกินเท่าไหร่ก็ได้ แถมพักฟรีตั้งสองคืนเพราะฉันจ่ายเงินไปหมดแล้ว นายไม่ต้องออกเงินสักหยวน ไม่สนใจเหรอ” คำพูดที่อีกฝ่ายร่ายมายาวเหยียดทำให้ผมชะงักกึก ฟรี! ฟรี!! ฟรี!!! ผมแพ้คำนี้อ่า
“อีกอย่างถ้านายอยากได้อะไร อยากกินอะไร หรืออยากซื้อของมาฝากพวกเฟิงซงกับเฉินเหวิ่น หรือคนที่บ้านละก็ ฉันจะซื้อให้และก็ช่วยถือทุกอย่างเลยนะ” นี่ก็หมายความว่าฟรีอีกใช่ไหม ใช่สิบ้านหมอนี่รวยจะตาย คนมีเงินทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดนี่นะ เฮอะ อิจฉาแรง
“เราจะไม่ญาติดีกันไว้หน่อยเหรอ นายกับฉันคงต้องเจอกันไปอีกหลายปี หรือไม่ก็ตลอดชีวิตเลยนะ เพราะเพื่อนซี้ของนายเป็นแฟนกับเพื่อนรักของฉัน แถมสองคนนั้นยังรักกันถึงขั้นผู้ใหญ่รับรู้ และกำลังจะมีการแต่งงานในอนาคตอันไม่ไกลด้วยนะ” อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ แล้วหันมามองสบตาผม แต่เพียงแค่ชั่วครู่ก็หันกลับไปมองถนนตามเดิม
ลองไม่หันกลับไปสิ ผมนี่แหละจะใช้คอนเวิร์สคู่ที่สวมอยู่ ยันหน้ามันให้หันกลับไปเอง อย่าลืมว่าไอ้คุณชายมันขับรถอยู่
“ตกลงนะครับ” อีกฝ่ายพูดชักจูงผมด้วยน้ำเสียงน่าฟัง คือปกติผมก็ไม่ค่อยได้ยินหมอนี่พูดเท่าไหร่อ่านะ ฟังไปฟังมาก็เพลินหูดีเหมือนกันแฮะ อีกอย่างข้อเสนอของคุณชายเค้าดีจะตาย ฟรีทุกอย่าง
“เออ..ก็ได้” อ่า..นี่ผมใจง่ายไปไหมเนี่ย ก่อนหน้านี้ยังจะตีกันตาย แค่อีกฝ่ายเอาของฟรีมาล่อก็เออออตามเค้าไปเฉยเลย ฮือ...โจวโจว ไอ้ผู้ชายไม่มีจุดยืน
ไม่สิ ยึดมั่นในคำว่า ‘ฟรี’ นี้ต่างหากคือจุดยืนของผม ปกติเวลาใครจะชวนไปไหนผมไม่ค่อยอยากไปหรอก ทั้งขี้เกียจ แล้วก็เปลืองด้วย แต่พอเฟิงซงหรือเฉินเหวิ่นเอาคำว่า ฟรี มาหลอกล่อ ผมจะยอมให้เจ้าพวกนั้นลากไปลากมาแต่โดยดีเลยล่ะ ผมควรจะเปลี่ยนจุดยืนสินะ ยืนแบบนี้รู้สึกชีวิตไม่มั่นคงเลย
“หึหึ..” ระหว่างที่ผมกำลังตบตีกับตัวเองอยู่ในใจก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ผมเลยหลุดออกจากภวังค์ของตัวเองชั่วคราว หันไปจ้องคนที่นั่งขับรถอยู่ข้างๆ หมอนี่บ้าเปล่าอ่ะ อยู่ดีๆ ก็หัวเราะ
“อะไรของนาย”
“เปล่า..ก็แค่ เห็นนายทำหน้าตาท่าทางแปลกๆ แล้วมันตลกน่ะ แต่ก็น่ารักดี”
“หือ!!!” นี่ผมฟังไม่ผิดใช่ไหม น่ารักเหรอ? ผมเนี่ยนะน่ารัก อ๊าก!!!! ไม่จริงเว้ย กูหล่อโคตร
“ประสาท” ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะหันหน้าออกมองด้านข้างแทน ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ เพราะว่าเวลามองตรงๆ รู้สึกได้ว่าคุณชายหวง (ตัดคำว่า ‘ไอ้’ ที่นำหน้าออก เพราะมื้อนี้มันเป็นเจ้ามือ ให้เกียรติมันนิดนึง) มันชอบหันมามองผมบ่อยๆ
ไม่ครับ ผมไม่ได้คิดไปเอง เพราะเวลาผมรู้สึกตัวว่าถูกมอง ผมก็จะหันไปมองทางนั้น และก็เห็นสายตาของหมอนี่ตลอดเลย
ขับรถมึงก็มองถนนไปได้ไหม หน้ากูมันมีอะไรน่ามองนักหรือไงวะ มัวแต่มองคนในรถเดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดหรอก และเมื่อไม่อยากสู้สายตาของหมอนี่ ผมก็ดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมหัว แล้วเอนเบาะนอนหลับมันซะเลย เฮอะ
“อะไร จะนอนหลับเหรอ”
“อือ เมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับ ฝันร้ายโคตรๆ ” ผมบอกประชดคนที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า เพราะมันนั่นแหละที่ทำให้ผมฝันร้าย
“ถ้าอย่างนั้นก็นอนไป ทางยังอีกไกล เดี๋ยวตอนแวะกินข้าวจะปลุกนะ” อ่า..หมอนี่ยอมผมง่ายไปไหมอ่ะ ปกติชอบทำท่าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อผม ไหงวันนี้เอาใจใส่แบบแปลกๆ แต่ก็..ช่างมันเถอะผมนอนดีกว่า
กลางวันเราแวะกินข้าวกันระหว่างทาง ร้านอาหารเป็นร้านแบบครอบครัวที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ตกแต่งให้บรรยากาศอบอุ่นเหมือนอยู่ที่บ้าน ที่ร้านนั้นเลี้ยงสุนัขด้วยล่ะ พวกมันน่ารักมากๆ เลยครับ ก่อนขึ้นรถจากมาผมยังไปเล่นขยำขยี้พวกมันตั้งนานสองนาน จนคุณชายใช้สายตาจิกผมไปขึ้นรถนั่นแหละ
“ชอบหรือไง”
“ชอบสิ พวกมันน่ารักจะตาย หรือนายว่าไม่”
“ฉันว่านายน่ารักกว่า”
“หืม..อะไรนะ หมานายน่ารักกว่าเหรอ บ้านนายเลี้ยงหมาด้วยเหรอ”
“เฮ้อ..หูนายเนี่ยนะ” อีกฝ่ายพูดพลางถอนหายใจ และส่ายหน้าไปมาก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาขับรถ ก็มันได้ยินไม่ชัดนี่หว่า ฉันผิดด้วยหรือไง เฮอะ
หลังจากกินอิ่มและนอนมาตั้งแต่เช้าจนอิ่มแล้ว ผมก็เริ่มตื่นขึ้นมาช่วยอีกฝ่ายดูทางเส้นทาง ซึ่งทางที่เราจะไปอยู่ในเขตพื้นที่ที่ค่อนข้างเข้าไปในเขาลึกหน่อย ระหว่างทางมีต้นไม้สูงทั้งสองฝั่งข้างทางที่กำลังเปลี่ยนสีเตรียมจะผลัดใบเพื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ทั้งสีเขียว เหลือง ส้ม แดง สวยแปลกตาไปอีกแบบ
“วิวสวยนะ” อีกฝ่ายหันมาบอกผมยิ้มๆ อ่า..อารมณ์ไหนของมันวะ แต่นะ เวลาหมอนี่ไม่ทำท่ายิ้มแบบกวนประสาท มันดูดีมากเลยครับ
ผมใจเต้นแรงอ่ะ เป็นอะไรไปเนี่ย เมื่อกี้กินเห็ดมีพิษเข้าไปหรือเปล่า หรือถูกน้ำลายของน้องหมาแล้วติดเชื้ออะไรเข้าไปกันนะ
“อะ..อือ” ผมตอบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาดูแผนที่ในมือถือ
“ยิ่งขับยิ่งไกลนะ ต้นไม้ก็เยอะ นายแน่ใจนะว่าเราไม่ได้มากันผิดทาง” ผมถามเมื่อเห็นว่าทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไปเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ
“ไม่ผิดหรอกน่า อีกอย่างถ้าหลงจริงๆ ฉันจะดูแลนายเอง ไม่ยอมให้เป็นอะไรไปหรือหนาวตายกลางทางอยู่แล้ว”ไม่ต้องพูดไปยิ้มไปก็ได้นะ กูไม่ใช่ผู้หญิง มึงไม่ต้องมาหว่านเสน่ห์ใส่ ไอ้ที่เคยดุๆ กูมาตลอดเนี่ย กูขอร้องมึงใช้สายตาแบบนั้นกับกูต่อไปเถอะ จริงๆ นะครับ มันมองผมตาพราวแบบนี้ผมไม่ต้องการอ่ะ น่ากลัวยิ่งกว่าเดิมอีก
“ฉันดูแลตัวเองได้เหอะ” ผมตอบก่อนจะหันหน้าออกไปมองวิวนอกรถ ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ตามมาอีกครั้ง ถ้าไม่ติดว่าฆ่ามันตายแล้วผมจะกลับไม่ได้ละก็ ผมได้โชว์สกิลยิวยิตสูที่เรียนมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นแน่งานนี้
หลังจากที่จากจัดการอาหารมื้อค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อเรามาถึงโรงแรมที่พัก ผมก็รีบชิงเข้าไปอาบน้ำก่อน ในห้องมีบ่อน้ำร้อนที่เป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติส่วนตัวให้นอนแช่ ท่าทางค่าห้องคงแพงหูฉี่
มองออกไปนอกกระจกบานใหญ่ที่สร้างไว้เพื่อให้ชมบรรยากาศด้านนอก วิวยามค่ำตามชนบทแบบนี้ กลางคืนสามารถมองเห็นแสงดาวได้ชัดเจน ระยิบระยับสวยงาม ทำให้ผมเผลอแช่น้ำร้อนชมวิวจนลืมเวลาอยู่เป็นนานสองนาน จนได้ยินเสียงเคาะประตูนั่นแหละ จึงระลึกได้ว่าไม่ได้มาคนเดียว
“เสร็จแล้ว” ผมร้องบอกออกไป ก่อนจะลุกขึ้นเช็ดตัว สวมเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อย ความจริงถ้าพักกับเฉินเหวิ่น ผมคงจะออกไปใส่ด้านนอกนั่นแหละ แต่มากับคนไม่อยากจะคุ้นเคยแบบนี้ ถ้าต้องให้ไปยืนใส่เสื้อผ้าต่อหน้าหมอนั่น แค่นึกถึงสายตาอีกฝ่ายก็ทำให้ผมขนลุกชันไปทั้งตัว น่ากลัวอ่ะ
“นายอาบนานจัง นึกว่าแช่น้ำจนเป็นลมไปแล้วซะอีก” อีกฝ่ายบอกเบาๆ ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูเดินสวนเข้าไปในห้องน้ำ
“ก็วิวมันสวย” ผมพูดตามหลัง ได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ช่าง
เตียงก็ดูนุ่มฟูน่านอนดีเหลือเกิน ไม่รอถามว่าคนที่มาด้วยกันจะนอนฝั่งไหน เพราะเลือกก่อนได้เปรียบ ผมเลือกฝั่งทางประตูห้องน้ำ ให้คุณชายมันนอนฝั่งประตูห้องนอนก็แล้วกัน
พอมุดเข้าที่นอนได้ก็ดึงผ้าห่มมาคลุมจนถึงคอ จากนั้นก็หยิบรีโมทมากดย้ายช่องทีวี เพราะช่องที่หมอนั่นเปิดไว้มัน..สาระโคตรๆ แค่ในชั่วโมงเรียนก็เบื่อจะแย่ อีกอย่างไอ้เรื่องทางวิทยาศาสตร์นั่นผมไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่หรอก ไม่ใช่สายที่ผมเรียน
ผมกดย้ายไปย้ายมาอยู่หลายรอบ และก็เจอเข้ากับรายการโปรดที่สุด ช่อง NAT GEO WILD ซึ่งตอนที่ฉายนี้เป็นชีวิตสัตว์ใต้ทะเล ซึ่งผมชอบสุดๆ เลยล่ะ เพราะโลกใต้ทะเลมันสวยงามและก็มีอะไรต่างๆ ที่เราไม่สามารถเห็นได้บนบก แถมยังมีสัตว์แปลกๆ ให้ดูเยอะแยะ
นอนดูอยู่นานจนในที่สุดก็ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก ผมเหลือบไปมองเล็กน้อยก็พบว่าคุณชายมันออกมาในสภาพที่แบบว่า หมิ่นเหม่สุดๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ผ้าขนหนูผืนไม่ใหญ่นักพันอยู่ที่เอว และแบบว่าต่ำได้อีก ดูไปเหมือนจะหลุดมิหลุดแหล่ นั่นทำให้ผมรีบหลับตา ทำเหมือนกับว่าตัวเองหลับแล้ว
โอ๊ย!! แล้วทำไมผมจะต้องทำเป็นแกล้งหลับด้วยเนี่ย ก็มันไม่อยากมองอ่ะ ผิวหมอนั่นขาวยังกับผิวสาวๆ แล้วก็ออกมาในสภาพนั้น เห็นแล้วใจเต้นแรงมากๆ เลยครับ นี่ผมจะตื่นเต้นไปเพื่ออะไรวะ มันเป็นผู้ชายเหมือนกันนะเว้ย และถ้าจะเอาความจริงแบบไม่เข้าข้างตัวเอง หมอนั่นตัวสูงใหญ่และดูแมนกว่าผมซะอีก เฮอะ
ไม่นานนักผมก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเดินมาใกล้ ได้ยินเสียงขยับเตียง เอ่อ..และถ้าคิดไม่ผิด มันขยับให้ของตัวเองเข้ามาชิดกับผมมากขึ้นนะสิ เพื่ออะไรวะครับ นี่ยังไม่ได้เข้าหน้าหนาว อากาศมันไม่ได้หนาวซะจนต้องมานอนซะชิดกันขนาดนั้นไหม
“หลับแล้วเหรอ” ได้ยินเสียงถามข้างหู และคิดว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงชะโงกหน้ามาดูว่าผมหลับจริงหรือเปล่า แต่ผมก็แกล้งหลับต่อไป จะลืมตาให้หมอนี่รู้ว่าผมแอบหลับหรือไง เดี๋ยวจะหาว่าผมอยากจะแอบมอง เสียฟอร์มแย่
“หึหึ” ได้ยินเสียงหัวเราะน่าฟังดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะรู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายผ่านแถวคอและข้างแก้ม จนผมขนลุก
และที่ไม่คาดคิดคือมีอะไรบางอย่างแตะที่ริมฝีปากของผม ทีแรกก็แค่เบาๆ ก่อนจะกดลงมาแรงขึ้นอีกนิดหน่อยและผละออก จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูตามมา
“หลับฝันดีนะ” นั่นทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก ดีที่หลังจากนั้นหมอนั่นก็ลุกขึ้นไปปิดไฟ ไม่อย่างนั้นมันต้องเห็นแน่ๆ ว่าผมกำลังหน้าแดง คิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองอุ่นจนหน้าร้อนไปหมดแล้ว ที่เดาไม่ผิด ไอ้ที่ชนกับปากผมเมื่อกี้มัน..ปากหมอนั่นชัดๆ อ๊ากกกก!!! นี่มันคิดอะไรกับผมเนี่ย ไอ้คุณชายโรคจิต
ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก เมื่อคนที่นอนเตียงข้างๆ (แต่มันขยับมาจนติดกัน) หยิบรีโมทไปจากมือผม แต่มือหมอนั่นดันไม่ยอมปล่อย กลับกุมมือผมไว้อย่างนั้น
นี่ถ้าใจผมเต้นแรงมันจะไม่รู้สึกไปถึงที่มือใช่ไหม แล้วผมจะเสียความบริสุทธิ์เพราะผู้ชายให้หมอนี่ไหมเนี่ย อ่า..ก็คงต้องบอกอย่างนี้แหละครับ เพราะว่าถ้าถามเรื่องเสียให้ผู้หญิง ผมเสียไปตั้งแต่มัธยมปลายแล้วอ่ะ คนมันหน้าตาดีทำไงได้ แล้วพรุ่งนี้ผมจะทำหน้ายังไงดีวะ โอ๊ย..ไม่อยากจะคิด
ตอนเช้าผมคิดว่าเป็นวันหยุดที่ผมตื่นเช้าที่สุดแล้ว เพราะปกติตื่นหลังสิบโมงเช้าตลอดๆ แต่นี่คงเพราะเมื่อคืนนอนจนเต็มอิ่ม ก็แน่ละสินอนตั้งแต่ยังไม่สามทุ่มด้วยซ้ำ แม้จะไม่ได้ง่วงนักแต่จำใจต้องหลับเพราะไฟต์บังคับ โดยคนที่นอนกุมมือผมอยู่ข้างๆ ทำให้ผมไม่กล้าลืมตาขึ้นมาอีก
มองไปรอบๆ ห้อง เพื่อนร่วมห้องอีกคนไม่อยู่แล้ว กำลังสงสัยว่าหายไปไหน คุณชายหวงมันก็เปิดประตูเข้ามาพอดี ตายยากจริงนะมึง
“ตื่นแล้วเหรอ เมื่อคืนหลับสบายไหม” อีกฝ่ายถามยิ้มๆ ตานี่พราวเหมือนดวงดาวเมื่อคืนนี้เชียว เอ่อ..รอยยิ้มมึงหวานหยดเกินไปและ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดในคืนที่ผ่านมา ผมก็คิดคำตอบอะไรได้ไม่ดีไปกว่า
“ก็ดี” ตอบตีนิ่งไว้ก่อน จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาลุกจากเตียง คนตัวสูงๆ ก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะบอก
“ไปล้างหน้าเถอะ แล้วเปลี่ยนใส่เสื้อหนาๆ ด้วยล่ะ เดี๋ยวกินข้าวแล้วออกไปเดินเล่นข้างนอกกัน” แล้วคนพูดก็มาแย่งผมจัดที่นอนของผมให้เรียบร้อย ถ้ามันเป็นผู้หญิงละก็ หมอนี่เป็นภรรยาที่ดีแน่นอน..ฟันธง
“จะไปไหน ทำไมต้องเอากล่องปิกนิกไปด้วย” ผมถามเมื่อหลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ พนักงานโรงแรมก็เอากล่องปิกนิกมาให้เราสองคน ซึ่งเธอบอกว่าในนั้นเป็นอาหารกลางวัน
“เดินเข้าไปด้านหลังที่พักน่ะ มีน้ำตกอยู่ด้วย แล้วก็ที่นี่มีต้นไม้แปลกๆ สวยๆ เยอะเต็มไปหมด มีสัตว์ป่าเล็กๆ อยู่เยอะด้วย ชอบไม่ใช่เหรอ ไปดูกัน แต่ว่าเดินไกลหน่อยนะ เลยต้องกินข้าวในป่า นายจะไหวไหมล่ะ” พอได้ยินคำว่าน้ำตก กับสัตว์เล็กๆ ผมก็หูผึ่ง เอาวะไปไหนไปกัน
“ไหวสิ จะสักเท่าไหร่เชียว แมนๆ อย่างฉันแค่นี้สบายมาก” ผมบอกเชิดๆ ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จนต้องหันไปจ้องหน้าเจ้าของเสียงหัวเราะนั้น อดนึกในใจไม่ได้ว่า มีปัญหาหรือไงวะ
ยื่นมือไปขอแบ่งของในมือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามาช่วยถือ แต่หมอนั่นกลับยกกระเป๋าขึ้นพาดสะพายที่หลัง โดยที่ผมมารู้ทีหลังว่าในนั้นมีทั้งกล้องถ่ายรูป และกล้องส่องทางไกล ส่วนมือก็ถือตะกร้าปิกนิก ผมก็เลยสบายไม่ต้องถืออะไรสักอย่าง
แม้จะรู้สึกแปลกๆ ว่าผมถูกดูแลอย่างกับว่าเป็นเมียหรือแม่มัน แต่ก็ช่างเถอะ มันอยากถือก็ให้มันถือไป เมื่อยเมื่อไหร่อย่ามาให้ผมช่วยถือแล้วกัน เสียฟอร์มยอมแพ้ขึ้นมา พ่อจะหัวเราะให้ฟันหัก ฮ่าๆ ซ้อมไว้ในใจก่อน
เราสองคนเดินเข้าไปในป่าด้านหลังโรงแรมไกลขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งลึกก็ยิ่งเงียบ ได้ยินเสียงจักจั่น หริ่งเรไรร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเราหลงหรือเปล่า เพราะเดินมานานแล้วยังไม่ได้ยินเสียงน้ำตกเลย
“นายพาหลงป่าป่ะเนี่ย ฉันไม่เห็นจะได้ยินเสียงน้ำตกเลย ได้ยินแต่เสียงจักจั่นเนี่ย” ผมถามอย่างจับผิดเล็กๆ
“ไม่หลงหรอกน่า เดินดีๆ ล่ะระวังลื่น ฉันมาที่นี่บ่อยๆ คุ้นเคยกับป่าแถวนี้ดี ไม่อย่างนั้นจะกล้าพานายมาได้ไง แต่ฉันไม่เคยพาคนอื่นมาด้วยนะ ขนาดเฟิงซงว่าสนิท ยังไม่เคยพามาด้วยเลย” เอ่อ..แล้วที่มันพาผมมาเป็นคนแรกนี่ ความหมายมันส่อไปในทางดีหรือไม่ดีวะครับ ชักสับสน ไม่ใช่ว่าเกลียดหน้าผมแล้วจะพามาฆ่าทิ้งในป่าหรอกนะ
ผมเดินตามคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ อย่างหวาดระแวงนิดๆ คิดไปต่างๆ นานา ว่าถ้าหมอนี่จะฆ่าผมขึ้นมาจริงๆ ผมจะหนีเอาตัวรอดยังไง ให้สู้กันน่ะผมไหวครับ แต่..คงไหวได้ไม่นาน ขนาดตัวมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัดซะขนาดนี้
เรายังคงเดินต่อไป สมองผมก็ยังคิดเรื่องเลวร้ายไปเรื่อยเปื่อย เดินผ่านต้นไม้ และพุ่มไม้น้อยใหญ่ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงน้ำตกอยู่ไกลๆ เดินไปตามเสียงเรื่อยๆ ก็เริ่มได้เห็นสัตว์ต่างๆ ทั้งนกหลายชนิด ทั้งสัตว์เล็กพวกกระรอก กระแต น่ารักอ่ะ
พอผ่านพ้นชายป่าก็พบกับลำธารน้ำตกขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่สวยงามไม่น้อยเชียวละ รอบบริเวณก็เต็มไปด้วยต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี โอย...สวรรค์บนดินของจริง
“เดี๋ยวเดินข้ามไปนั่งฝั่งนั้นกันนะ ระวังลื่นล่ะ” คนพูดชี้ชวนให้ผมมองไปตามปลายนิ้วเรียวสวยที่ชี้ไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีลานกว้างที่ยกสูงกว่าฝั่งที่เราสองคนยืนอยู่ และมีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเด่นเป็นสง่า
เราสองคนเดินเหยียบบนก้อนหินเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง แต่คงเพราะมันลื่นผมเลยเกือบจะตกลงไปนั่งแช่ในน้ำเย็นจัดนั่นระหว่างที่ก้าวเหยียบบนหินก้อนสุดท้ายก่อนจะถึงฝั่ง ดีที่คนที่ยืนอยู่บนฝั่งก่อนแล้วหันกลับมาพอดี และรับผมไว้ได้ทันก่อนจะตกลงไป
“ขอบใจ” ผมบอกนิ่งๆ แบบไว้เชิงสุดฤทธิ์ แลดูเป็นพลพรรคฝั่งมารดีๆ นี่เอง
เมื่อถึงลานใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น ผมก็ช่วยรื้อผ้าใบผืนหนาที่พับใส่มาในตะกร้าปิกนิกออกมาปูพื้นเพื่อนั่งเล่น นอนเล่นกัน
“เอาของวางไว้ตรงนี้ก่อน ไม่หายหรอก เราไปเดินถ่ายรูปอะไรทางนั้นกันเถอะ หรือจะกินข้าวก่อน” คนที่กำลังหยิบเอากล้องมาสะพายเอ่ยปากชวนผม ขณะที่มือกำลังหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาถือไว้ ผมก้มลงมองดูนาฬิกาในมือ ก่อนจะส่ายหน้า
“ยังไม่เที่ยงอ่ะ ยังไม่ค่อยหิว ไปเดินดูนก ดูสัตว์แถวนี้ก่อนก็ได้ ระหว่างทางฉันเห็นเยอะแยะเลย อยากถ่ายรูปไปเก็บไว้เยอะๆ ” แม้จะเดินกันมาเกือบชั่วโมงครึ่ง แต่ด้วยอากาศที่ค่อนข้างเย็น ทำให้ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไรนัก นี่ถ้าเดินในเมืองหน้าร้อนสิ ป่านนี้สิคงลิ้นห้อย ตับแลบออกมากองข้างนอกแล้ว
เราสองคนเดินเข้าไปในป่าอีกฝั่ง ตรงข้ามกับทางที่พวกเรามา ดูนก ดูสัตว์เล็กๆ ถ่ายรูปดอกไม้ป่าอะไรเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย จนเมื่อเที่ยงกว่าๆ เกือบจะบ่ายโมงก็ชวนกันกลับมาตรงต้นไม้ใหญ่ที่ทิ้งกล่องปิกนิกไว้ และลงมือจัดการมื้อกลางวัน ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ได้ยินเสียงน้ำตกไหลเบาๆ รู้สึกว่านี่เป็นอาหารกลางวันมื้อที่อร่อยที่สุดของปีนี้เลยทีเดียวครับ แม้ว่าอากาศจะแอบเย็นไปสักหน่อยก็เถอะ
แต่ที่รู้สึกขัดใจนิดๆ คือ คนที่ร่วมวงด้วยดันเป็นผู้ชายนี่สิ แทนที่จะเป็นสาวสวยสักคน เฮ้อ..แต่ก็เอาเถอะ มาจนถึงตอนนี้ผมว่าเราสองคนก็ญาติดี และสนิทกันขึ้นมากพอสมควร กลับไปเรียนกันแล้วเวลาเจอกัน หมอนี่จะได้ไม่ต้องมาจ้องผมเหมือนจะกินเข้าไปอีก
“นอนเล่นก่อนไหม เดี๋ยวบ่ายอีกสักหน่อยค่อยกลับ ยังอิ่มอยู่ไม่เดินดีกว่าเดี๋ยวจุกท้อง” อีกฝ่ายชวนหลังจากที่เราสองคนจัดการอาหารในกล่องจนเรียบวุธ
“นายนอนไปเหอะ ฉันอิ่มจนขยับไม่ไหวแล้ว ถ้านอนตอนนี้คงได้อ้วกออกมาแน่ ขอนั่งผึ่งพุงดีกว่า” ผมเริ่มพูดคุยกับคนตรงหน้าอย่างเป็นกันเองมากขึ้น และเอนตัวท้าวแขนไปด้านหลังยันตัวเองไว้ ก่อนจะเหยียดขาจนสุดความยาว นั่งชมธรรมชาติ และสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มที่
ทุกอย่างเกือบจะดี มีไม่ดีก็ตรงที่ ทันทีที่ผมเหยียดขาปุ๊บ ไอ้คนที่ชวนนอนเล่นก็ล้มตัวลงนอนหนุนขาผมปั๊บ
“เฮ๊ย!! อะไรของนาย” ผมโวยวายและทำท่าจะดันหัวอีกฝ่ายออกจากขาตัวเอง
“ก็นายไม่นอนนี่นา อย่าใจร้ายนักสิ ขอยืมตักแป๊บเดียวเอง” อีกฝ่ายพูดด้วยเสียงอ้อนๆ ที่ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ยินจากปากหมอนี่ และหลับตาลงไม่ได้สนใจอะไรผมอีก ไอ้คนเห็นแก่ตัว ให้ฉันนั่งเมื่อยอยู่คนเดียว ตัวเองนอนสบายใจเฉิบเชียวนะ
แต่เห็นแก่ที่ว่าหมอนี่อุตส่าห์แบกทั้งกล้อง แล้วก็ตะกร้าปิกนิกมาเพียงคนเดียว ผมเลยหยวนๆ ให้หน่อยละกัน แลดูเป็นคนดีจังเลยเนาะผมเนี่ย
จะว่าไปแล้ว บรรยากาศแบบนี้ ไอ้การนอนหนุนตักกันรูปแบบนี้ มันต้องชายหนึ่งหญิงหนึ่งไม่ใช่เหรอ นี่ผู้ชายกับผู้ชายเนี่ยนะ โอ๊ย!!! เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมเนี่ย ไม่เอา ไม่คิด หมอนี่มันไม่ได้คิดอะไรหรอก แค่เมื่อย..จริงเหรอวะ
แล้วที่มันทำเมื่อคืนนี้ล่ะเรียกอะไร กุ๊ดไนท์คิส!! กับผมซึ่งเป็นผู้ชายเนี่ยนะ แถมยังจูบมาที่ปากอีก โอ๊ย!! ยิ่งคิดยิ่งสับสน คนหน้าตาดีเครียดโว้ย
จากนั้นอีกเกือบชั่วโมง เราสองคนก็ขนของกลับ อ่า..ถ้าจะพูดให้ถูกคือ คุณชายหวงมันขนของกลับต่างหาก เพราะหมอนั่นไม่ยอมให้ผมช่วยถืออะไรอีกตามเคย แถมก่อนออกเดินเจ้าตัวยังหันมาดึงฮู้ดขึ้นคลุมหัวให้ผมอีก
“น้ำค้างเริ่มลงแล้ว เดี๋ยวจะเป็นหวัด” ขอถามหน่อยครับ หมอนี่มันเป็นคนดี ดูแลเอาใจใส่คนอื่นแบบนี้โดยสันดานอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าไม่ใช่แล้วมาทำอะไรให้แบบนี้ ถึงมันจะเป็นผู้ชาย แต่หัวใจอันบอบบางของผมหวั่นไหวนะโว้ย
เราสองคนเดินกลับทางเก่า ใช้เวลาช้ากว่าตอนขาไปเล็กน้อยเพราะผมเริ่มจะล้าแล้ว ก็เดินตั้งเกือบสองชั่วโมงนี่นา อันนี้ไม่นับขาไปนะ
พอถึงห้องผมก็รีบถอดเสื้อตัวนอกแขวน และล้มลงนอนแผ่อย่างหมดแรง ส่วนคนตัวสูงๆ เดินตามเข้ามาทีหลัง เพราะแวะเอากล่องปิกนิกคืนที่เคาน์เตอร์ก่อน
“หมดแรงเลยเหรอ” เสียงถามดังขึ้นขณะที่คนพูดถอดเสื้อคลุมออกแขวน ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินลงมานั่งใกล้ๆ กับตรงที่ผมนอน และเปิดทีวีดูแบบชิวๆ เออ..มึงเก่ง เฮอะ
ผมไม่มีแรงจะเถียงเพราะตอนนี้รู้สึกปวดขาขึ้นมานิดๆ ก็ไม่ได้เดินไกลๆ แบบนี้มานานนี่นา ยังกับไปเข้าค่ายเยาวชนตอนเด็กๆ แน่ะ
“อาบน้ำก่อนไหมค่อยมานอนพักรอกินข้าว แช่น้ำร้อนก็ช่วยให้เบาปวดเมื่อยได้นะ” อีกฝ่ายบอกผมด้วยเสียงน่าฟัง เวลาพูดดีๆ เสียงหมอนี่น่าฟังสุดๆ ไปเลยครับ
“ไม่เอาอ่ะ ฉันยังเหนื่อยอยู่ นายไปอาบก่อนเลย” ผมบอกและหลับตาพักต่อไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น คนข้างๆ หัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้น คิดว่าคงไปอาบน้ำอย่างที่ผมบอกนั่นแหละ
ไม่นานนักเจ้าตัวก็ออกมาจากห้องน้ำ และเรียกให้ผมเข้าไปอาบต่อ ผมพาร่างของตัวเองลุกขึ้นอย่างอิดออด แต่เมื่อมองนาฬิกา อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงพนักงานของที่พักจะยกอาหารเย็นมาเสิร์ฟให้ที่ห้อง ผมจึงเข้าห้องน้ำแต่โดยดี เพราะว่าเริ่มหิวแล้ว ก็แน่ละสิวันนี้ใช้พลังงานไปจนหมดตัวนี่นา
ได้แช่น้ำร้อนมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ ด้วยล่ะ แต่คราวนี้ผมไม่แช่นานนักแม้วิวด้านนอกยามที่พระอาทิตย์พึ่งตกไปไม่นานยังพอแลเห็นแสงสีส้มอ่อนๆ เกือบมืดแล้วจะสวยแปลกตาก็ตาม เพราะข้างนอกได้ยินเสียงพนักงานเอาอาหารมาเสิร์ฟแล้วนะสิ
“ตายละวะ” ผมบ่นเบาๆ เมื่อตอนขึ้นจากน้ำ แล้วเห็นว่าตัวเองลืมเอาเสื้อผ้าเข้ามาด้วย เอามาแค่ผ้าขนหนู จะใส่ชุดเดิมออกไปหรือก็ใช่ที่ เอาวะผู้ชายเหมือนกัน ผมจะอายไปทำไม ขนาดกับเฉินเหวิ่นหรือเฟิงซงผมยังไม่อายเลย หมอนี่ก็เข้าข่ายเพื่อนของผม (แม้จะพึ่งนับเพื่อนกันวันนี้ก็เถอะ) ชิวเข้าไว้สวี่เว่ยโจว
เมื่อเปิดประตูออกมา ผมคิดอะไรออกแค่สองอย่างคือ หนึ่ง..ตัวเองพลาดอย่างแรง สอง..ไอ้คนที่กำลังจ้องผมแบบเอาเป็นเอาตายโดยไม่สงวนท่าทีนี่ มันคงไม่เคยเห็นคนโป๊มาก่อน บริสุทธิ์ไร้เดียงสาไปไหมมึง กับอีแค่กูเอาผ้าขนหนูพันเอวออกมาเนี่ย มึงจะจ้องกูให้ได้อะไรขึ้นมา
“ไม่เคยเห็นผู้ชายแก้ผ้าหรือไง” ผมถามประชดอย่างหมั่นไส้
“เคย แต่..ช่างมันเถอะ” อ้าว ตัดบทเฉย ก่อนที่หมอนั่นจะเปิดทีวีและนั่งรอให้ผมแต่งตัว เพื่อไปนั่งลงกินข้าวพร้อมกัน นะ..ก่อนหน้านี้หมอนั่นพูดค้างไว้ ต้องการจะพูดอะไรกันแน่วะ ผมโคตรคาใจเลยให้ตาย
“นอนไม่หลับเหรอ” ได้ยินเสียงถามเบาๆ ขณะที่ผมนอนพลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบ แต่คนที่นอนข้างๆ ยังคงนอนดูทีวีอยู่ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงวะ
“อือ ปวดขาน่ะ” ผมตอบตามจริง ก็มันปวดจนนอนไม่หลับนี่นา
“นอนคว่ำสิ เดี๋ยวช่วยนวดให้” คุณชายบอกขณะที่ลุกขึ้นนั่ง อ่า..เกรงใจว่ะ แต่ก็ดี เอ..หรือจะเล่นตัวสักหน่อยวะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าใจง่าย
“ไม่เป็นไรอ่ะ”
“เอาเถอะน่า นอนคว่ำซะ ฉันไม่ทำอะไรรุนแรงหรอก” ไอ้ที่ว่า ‘อะไรรุนแรง’ นี่ มึงหมายถึงอะไรวะ ถ้าฟังแล้วไม่คิดตามมันก็ไม่มีอะไรนะครับ แต่ผมมันพวกคิดตามอย่างมีเหตุผลนี่สิ ฟังแล้วรู้สึกคำพูดมันแปลกๆพิกล ไม่พูดเปล่า หมอนี่ยังจับผมให้พลิกตัวนอนคว่ำซึ่งก็ทำได้โดยง่าย นี่ผมแรงน้อย หรือหมอนี่มันถึกเกินคนทั่วไปก็ไม่ทราบได้ เอา..อยากนวดก็นวด ผมชอบ สบายดี ฮ่าๆ
มือใหญ่ของอีกฝ่ายใส่กดบีบตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาถึงต้นขา แรกๆ จั๊กจี้เป็นบ้าเลย แต่พอวนไปวนมาสองรอบผมก็เริ่มชิน ฮ้า..สบายโคตรๆ หมอนี่มือใหญ่แต่นุ่มและอุ่นมาก แรงบีบที่สม่ำเสมอทำให้ผมเพลินจนเคลิ้มจะหลับอยู่แล้วเชียว ถ้าอีกฝ่ายไม่ไล่มือขึ้นมาจนถึงเอว ก่อนจะไล่ตามแผ่นหลังขึ้นมาจนถึงไหล่ ถ้าบอกว่านี่เป็นหมอนวดแผนโบราณผมเชื่อสนิทใจเลยครับ
อ่า...เปลี่ยนใจและ อาจจะไม่เชื่อก็ได้ เพราะว่าเวลามือใหญ่นั่นวนลงไปมันจะไปนวดแถวใกล้ๆ สะโพกผมนานเป็นพิเศษ มึงเป็นโรคจิตหรือยังไงเนี่ยไอ้คุณชายหวง กำลังจะหันไปโวย แต่หมอนั่นดันย้ายมือไปที่ส่วนอื่นต่อเสียก่อน
“เป็นไงบ้าง” เสียงถามปนหัวเราะเบาๆ ทำให้เคลิ้มขึ้นเป็นสองเท่า
“ดีจัง...สบายจนจะหลับอยู่แล้ว” ผมตอบตามจริง จากนั้นอีกราวสิบนาทีอีกฝ่ายก็หยุดนวด และเรียกผมที่ตอนนี้หลับไปแล้วให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้ขยับนอนดีๆ ผมจึงพลิกตัวมานอนหงายเหมือนเดิม ตอนนี้แทบไม่รู้สึกปวดอีกแล้ว ดีนะที่ไม่เล่นตัวมาก ไม่อย่างนั้นคงต้องนอนปวดไปทั้งคืน
“อยากทำอะไรขอบคุณฉันหน่อยไหม”
“เหย..เป็นคนนิสัยอย่างนี้เองสินะ” ผมพูดประชดผู้มีพระคุณทั้งที่ยังไม่ยอมลืมตา
“หึหึ นายคิดว่าใครบ้างล่ะที่จะทำอะไรให้คนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ไอ้มีก็คงมี แต่คงไม่บ่อยนักหรอก”
“เออ จะเอาอะไรว่ามา”
“กุ๊ดไนท์คิสเหมือนเมื่อคืนนี้ไง”
“แค่นี้อ่ะนะ...ห๊ะ!!! กุ๊ดไนท์คิส!!!!!” ผมลืมตาขึ้นมาอย่างตกใจ เมื่อทวนคำพูดของหมอนั่นแต่ไม่ทันได้ว่าอะไร คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ก้มลงมากุ๊ดไนท์คิสผมตามที่เรียกร้องด้วยตัวเอง
คราวนี้ผมรู้สึกว่ามันชัดเจนมาก หมอนี่เป็นประเภทเดียวกับไอ้สองคนนั่น ตายห่า..ผมจะรอดจนถึงเช้าไหมเนี่ย แต่คงรอดแหละ เพราะว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น แถมไม่ใช่ดีพคิส รอดไปครับชายสวี่
“ฝันดีนะ”
“จะฝันร้ายก็เพราะนายนั่นแหละ” ผมตอบประชด และรีบดึงผ้าห่มขึ้นคุมโปง ใครจะไปกล้าสู้หน้ามันกันเล่า หรือเมื่อคืนนี้หมอนี่จะรู้ว่าผมแกล้งหลับวะ ไม่สิ..ไม่รู้หรอก
“สุขสันต์วันเกิดไอ้เพื่อนรัก” เช้าวันที่ยี่สิบตุลาคมครบรอบวันเกิดยี่สิบปีของผม เมื่อลงมาจากคอนโดก็พบว่ารถออดี้สีขาวของไอ้คุณเฟิงซงมาจอดรอท่าที่หน้าบ้าน พอเห็นผมเดินมาทั้งสองคนก็กล่าวขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันดีเหลือเกิน
“ไหนล่ะของขวัญวันเกิดของฉัน” ผมถามอย่างประชดประชัน ด้วยการวางมาดอย่างผู้ชนะ เพราะไม่ว่ายังไง ไอ้ผัวเมียคู่นี้มันก็หาแฟนมาให้ผมไม่ได้หรอก
“โอ๊ย สุดหล่อคร้าบ ใจเย็นๆ ครับท่าน เชิญขึ้นรถก่อนที่จะไปเรียนสายเถอะนะครับ ได้ข่าวว่าวันนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ” เสียงท้วงแบบกวนส้นตีนของไอ้ตัวผัว ทำให้ผมรีบเดินขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง
“อะไรกัน ยังงอนอยู่อีกเหรอ แค่ไม่ว่างไปเที่ยวด้วยแค่นี้ หรือโดนจิ่งอวี๋มันทำอะไรมาหรือไง” เสียงเฟิงซงยังไม่เลิกแซว ขณะที่เมียมันไม่ได้ผสมโรงช่วยแซว แค่เพิ่มซาวนด์เสียงหัวเราะเข้าไปในฟิล์มก็เท่านั้น
“หมอนั่นไม่ได้ทำอะไรฉันสักหน่อย” แค่..จูบเบาๆ เองโว้ย ง่าของแบบนี้มันจะไปพูดได้หรือยังไงกันเล่า
“ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่นา แล้วทำไมนายต้องงอนพวกฉันเหมือนกับว่าส่งนายไปเสียสาวมาแล้วด้วยเนี่ย” คราวนี้เฉินเหวิ่นพูดพลางหัวเราะดังขึ้น จนผมอยากจะยกเท้าถีบไปที่ยอดหน้าพวกมันสักคนละที สนับสนุนให้ผมเสียตัวเสียเหลือเกิน
“หุบปากไปเลยอาเหวิ่น ไม่พูดกับพวกนายแล้ว ไม่มีของขวัญให้ฉัน ต้องเลี้ยงฉันสองวันด้วยล่ะ เอาคนละวันด้วย ห้ามรวมหัวกันเลี้ยง ส่วนร้านไหนฉันจะเลือกเอง”
“ไม่มีปัญหา แม้ว่าฉันจะมีของขวัญให้นายตามที่เรียกร้องก็เถอะ หล่อ ร้าย เก่งกล้า ท้าทาย ได้ยากแน่ๆ แต่เอาไว้คืนนี้ถึงจะให้” เฟิงซงพูดอย่างมีชัย
“เออ ฉันจะรอดูน้ำหน้า ชิ” ผมบอกอย่างหมั่นไส้ และหลับตาลง กว่าจะถึงมหาวิทยาลัยก็ครึ่งชั่วโมง นอนเก็บแรงดีกว่ามาเถียงกับไอ้พวกผัวเมียคู่นี้
ตอนเย็นเรานัดมารวมตัวกันเหมือนเดิมที่โต๊ะเยื้องลานจอดรถไปไม่เท่าไหร่ ผมไปถึงเป็นคนสุดท้าย จนถึงวันนี้ผมว่าเราคงต้องเปลี่ยนจากแก๊งสามซ่าส์ เป็นแก๊งสี่ซ่าส์แทนแล้วล่ะ คุณชายเขามาได้ทุกวี่ทุกวันจริงๆ
“จะไปเลยไหมวะ” เฟิงซงถามผม ‘ไป’ ของมันก็คงไม่พ้นกินเหล้า แน่นอนว่าครั้งนี้แหละครั้งหน้าผมจะได้กินฟรี แม้ว่าจะเป็นเจ้าภาพวันเกิดก็ตาม
“พึ่งจะห้าโมงเย็นเนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะ ฉันกลับไปอาบน้ำแต่งหล่อก่อนดีกว่า เผื่อจะไปได้ของขวัญวันเกิดในงาน” ผมบอกก่อนจะทำท่าสะบัดปกเสื้อเล็กน้อย ด้วยท่าทางที่คิดว่าหล่อสุดชีวิต จนคนอื่นๆ พลอยหัวเราะ
“เป็นอันว่าแยกย้ายกลับบ้าน แล้วจะเจอกันร้านไหนของนายเนี่ย” เฉินเหวิ่นถาม เมื่อตกลงกันว่าจะแยกย้ายก่อน
“อืม..เอ..เอา..ร้านเมเปิล” ผมไม่ได้บอกชื่อร้าน แต่บอกถึงลักษณะเด่นของร้าน ซึ่งร้านนั้นข้างในมุมที่พวกผมชอบนั่งประจำ จะมีต้นเมเปิลของปลอมที่ทำได้เหมือนสุดๆ ขนาดสูงประมาณตัวผมตั้งอยู่ บรรยากาศดีมากถึงมากๆ ที่สุด สาวๆ ที่ไปเที่ยวร้านนั้นส่วนมากก็สวยมากสุดๆ เช่นกัน คืนนี้ผมจะไม่ยอมกลับบ้านคนเดียว หุหุ
“ตามนั้น งั้นกลับเหอะ เดี๋ยวฉันแวะไปส่ง” เฟิงซงบอก ก่อนที่ทั้งหมดจะลุกขึ้นโดยที่ผมพึ่งเดินมาถึงยังไม่ได้นั่งลงแต่อย่างใด
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะไปธุระแถวนั้นด้วยพอดี เดี๋ยวฉันไปส่งโจวโจวเอง” ผมปรายตามองคนที่อาสาไปส่งตัวเองเล็กน้อย รู้สึกถึงสกิลความสนิทสนมเพิ่มขึ้นมาอีกสิบระดับ แหม..เรียกซะสนิทสนมเชียวนะ ใครเรียกร้องให้มึงไปส่งมิทราบไอ้คุณชาย
“เหรอ เออดีเลย งั้นฉันสองคนไปแต่งหล่อมั่งดีกว่า ป่ะครับคุณแฟน” เฟิงซงพูดจบก็พยักหน้าชวนแฟนมัน โหย..ไอ้เพื่อนเลว บทจะทิ้งก็ทิ้งกันหน้าตาเฉย ผมไม่ได้อยากไปกับหมอนี่สักหน่อย
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวฉันกลับของฉันเอง ค่ำๆ เจอกันก็แล้วกัน” ผมบอกปัดๆ หลังจากที่ไอ้คู่สองผัวเมียมันเดินไปแล้ว จะไม่ชวนหมอนี่ไปด้วยรึมันก็ดูไร้มารยาทไปหน่อย อีกอย่างผมคิดว่าเราสนิทกันมากขึ้น (หรือเปล่าวะ) ตั้งแต่ไปแช่น้ำร้อนมาด้วยกันคราวก่อน ก็ญาติดีกันไว้ละกัน เพื่อนๆ กันทั้งนั้น
“มาเถอะน่า” แล้วผมก็ถูกจูงมือให้ออกเดินตาม ท่ามกลางสายตาของนักกีฬาทีมฟุตบอลมหาลัยที่ซ้อมกันอย่างขะมักเขม้น แต่ทุกคนก็หยุดยืนดูกันอย่างพร้อมเพรียงเมื่อเห็นผมสองคนเดินผ่าน ไม่เคยเห็นผู้ชายเดินจูงมือกันหรือไงวะ...ไม่ใช่สิ
“ปล่อยนะโว้ย คนอื่นมองอยู่ นายไม่เห็นรึไง” ผมโวยวายและสะบัดแขนออก
“แสดงว่าต้องอยู่ในที่ลับตาถึงจะทำได้เหรอ” ถามกวนส้นตีนแบบนี้หมายความว่ายังไงวะ ผมไม่ตอบแค่ชูนิ้วกลางใส่คนถาม แต่เจ้าตัวไม่ได้ตอบโต้อะไร นอกจากหัวเราะขำๆ ตลกตายละ
ผมมองหารถ Land Rover สีดำคันที่เคยขับไปเที่ยวด้วยกัน แต่ไม่ยักกะมี ไอ้คนที่เดินนำมันพาผมไปหยุดที่ BMW สีขาว เออ..สมฉายาคุณชาย จะมีหลายคันไปไหนวะ
“ขออาบน้ำที่ห้องนายได้ไหมอ่ะ พอดีบ้านฉันอยู่ไกล แล้วกะว่าคืนนี้จะนอนบ้านเฟิงซง” อีกฝ่ายพูดเมื่อจอดรถหน้าคอนโดผมเรียบร้อยแล้ว เล่นเอามือที่กำลังจะเปิดประตูรถของผมชะงัก ก็แล้วทำไมมึงไม่ไปบ้านมัน จะมาส่งกูเพื่อ? เรื่องมากจริงๆ เลย
“ก็ได้อยู่หรอก” ผมบอกอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะยืนรอให้อีกฝ่ายหาที่จอดรถ แล้วขึ้นไปข้างบนพร้อมกัน
“ห้องนายรกกว่าที่คิดนะ” อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ เมื่อผมเปิดประตู และให้เจ้าตัวเดินนำเข้าไปก่อน
“ก็นี่มันห้องหนุ่มโสดโว้ย อีกอย่างแม่บ้านจะมาเฉพาะวันจันทร์” ผมบอกไปตามจริง ก่อนจะถอดเสื้อแขนยาวออกพาดกับโซฟา และหันไปบอกอีกฝ่าย
“ห้องน้ำทางนั้นอ่ะ นายไปอาบก่อนได้เลย” เมื่อผมพูดจบเจ้าตัวก็วางกระเป๋าใบย่อมลง แหม..เตรียมพร้อมเชียวนะมึง เสื้อผ้าเปลี่ยน ผ้าขนหนูครบ..เป๊ะเว่อร์
อดแปลกใจไม่ได้ หมอนี่จะไปนอนบ้านเฟิงซง แล้วจะขนของพวกนี้มาทำไม เอ..หรือคนปกติเค้าไม่เป็นเหมือนพวกผมกันวะ เพราะที่ห้องของผมมีข้าวของของสองผัวเมียนั่นอยู่พร้อม มาเมื่อไหร่ก็ใช้ได้ทันทีแบบไม่ต้องหอบมาให้เมื่อย
ส่วนข้าวของผมก็กระจายอยู่บ้านไอ้สองหน่อนั่นเหมือนกัน เผื่อวันไหนมีเหตุการณ์เมาหมู่ ก็รวมหัวกันตายอยู่ที่บ้านใครสักคน แถมเป็นแบบนั้นกันบ่อยเสียด้วย
เพียงไม่นานคุณชายมันก็ออกมาจากห้องน้ำ อืม..ผิวขาวได้อีก แล้วเสื้อผ้ามึงจะใส่ให้มันเรียบร้อยกว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ นุ่งน้อยห่มน้อยออกมาผืนเดียวแบบนี้ แก้ผ้าออกมาเลยก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจกูหรอก เฮ้อ..ระอา
ผมเข้าไปอาบน้ำบ้าง ก่อนจะออกมาด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวเหมือนกัน แต่ขอโทษครับ นี่บ้านผม ผมจะทำอะไรก็ได้ในพื้นที่ส่วนตัว
เมื่อออกมาผมก็เปิดทีวีให้ เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรทำ ได้แต่นั่งรอผมเงียบๆ ไม่เบื่อหรือไง เอ...หรือหมอนี่จะเปิดทีวีไม่เป็น
“เออ..นายบอกว่ามีธุระแถวนี้ไม่ใช่เหรอ” ผมถามเมื่อนึกขึ้นมาได้
“อ๋อ เค้าโทรมายกเลิกนิดเมื่อกี้น่ะ เห็นว่าไม่สะดวก” คุณชายหวงพูดแค่นั้น ผมจึงยักไหล่เบาๆ ไม่ได้สนใจอะไรอีก
“น้ำในตู้เย็นนะ ชาก็มี เบียร์ก็มี อยากกินอะไรก็หยิบได้ตามสบาย ฉันไปแต่งตัวแป๊บ” ผมบอกก่อนจะเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง ล็อคประตูแน่นหนา ไม่เข้าใจตัวเองว่าผมจะกลัวไอ้คนข้างนอกมันไปเพื่ออะไรเนี่ย
ออกมาจากห้องอีกทีพบว่าคุณชายหยิบชายี่ห้อโปรดของผมออกมานั่งดื่ม และดูทีวีไปพลาง ซึ่งก็เป็นช่องสาระโคตรๆอีกแล้วครับ
“นายหิวหรือเปล่า เพราะเราจะยังไม่ออกไปนะ ร้านมันไม่ไกลเท่าไหร่ อีกอย่างนัดกันตั้งสองทุ่ม ขี้เกียจไปนั่งแกร่ว” ผมถามหลังจากที่ดูนาฬิกาข้อมือ พบว่าพึ่งจะหกโมงกว่าๆ เท่านั้น มีเวลาว่างอีกเกือบสองชั่วโมง
ดูหนังดีกว่า คิดอย่างนั้นผมก็เดินไปนั่งหน้าทีวี รื้อชั้นใต้ทีวีหาแผ่นดีวีดีหนังออกมาเพื่อเลือกเรื่องที่อยากดู ซึ่งในนั้นหลายเรื่องเป็นแผ่นที่ผมซื้อมา แต่ยังไม่เคยมีเวลาเปิดดูแบบจริงจังสักที
“ฉันอยากดูเรื่องนี้” เสียงนุ่มดังแทรกเข้ามาทางด้านหลังระยะประชิดจนผมตกใจ ทำเอาอยากจะหันไปซัดกกหูให้สักที ใครถามมึง แต่ผมก็ตามใจ หยิบเรื่องนั้นออกมาเปิดดู เพราะตัวเองก็ยังไม่ได้ดูเหมือนกัน
หนังจบตอนถึงเวลานัดเป๊ะ กำลังลงจากคอนโดยังไม่ทันถึงรถ เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น..เบอร์เฉินเหวิ่น
“ว่าไงอาเหวิ่น พวกฉันกำลังจะออกไป พวกนายถึงไหนแล้ว” ผมรับสายได้ก็ถามทันที อย่างพวกมันจะมีอะไร นอกจากโทรมาตาม
“ฉันสองคนถึงร้านแล้ว นายมาเร็วๆ ล่ะ อยากกินอะไรเดี๋ยวสั่งรอ” เสียงเพื่อนสนิทเร่งเร้ามาตามสาย
“เอาที่ฉันชอบกิน สั่งผิดนี่เคืองแน่ อีกไม่เกินยี่สิบนาทีถึง แล้วเจอกัน” ผมบอกก่อนจะวางสาย และเดินกันจนถึงรถพอดี
“แล้ว..กระเป๋าเสื้อผ้านายล่ะ” ผมนึกออกเมื่อเห็นว่าคนที่เดินคู่มาด้วยไม่ได้หยิบกระเป๋าของตัวเองติดมือมา
“นั่นสิ ลืมไปเลย ช่างเถอะ แวะมาเอาขากลับก็ได้ สองคนนั้นโทรมาตามแล้วไม่ใช่เหรอ” คนที่ส่งตัวเองเข้านั่งที่ประจำคนขับพูดกับผมยิ้มๆ ก่อนจะลงมือคาดเข็มขัดเรียบร้อย ผมยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร
โต๊ะที่คู่สองผัวเมียไปนั่งรอผม เป็นโต๊ะประจำของพวกเราสามคน ซึ่งต่อไปนี้อาจจะเป็นสี่คน
เอาเถอะการเป็นเพื่อนกับคุณชายหวงจิ่งอวี๋ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก แม้บางทีหมอนี่จะชอบมองผมด้วยสายแปลกๆ ไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำตัวแย่อะไรตรงไหน ออกจะใจดีชอบเทียวรับ เทียวส่งผมอยู่บ่อยขึ้นในระยะหลังๆ นี้ แถมบางวันยังไปเป็นเพื่อนเดินซื้อของ นั่น นี่ นู่นด้วยบ่อยๆ ยามที่เฉินเหวิ่นไม่ว่างอีกต่างหาก
คิดซะว่าผมมีเพื่อนดีๆ เพิ่มขึ้นมาอีกคนก็แล้วกัน เอ..แล้วมันอยากเป็นเพื่อนกับผมไหมหว่า เอาเถอะน่า ลองได้ไปไหนมาไหนกับผมได้สบายๆ แบบนี้ หมอนี่ก็คงอยากเป็นเพื่อนกับผมบ้างเหมือนกันนั่นแหละ
พวกเราสี่คนนั่งกินข้าว ดื่มเหล้า กับแบบชิวๆ มีการกัด แซว หยอกล้อ เล่นกันตามประสาเพื่อนสนิท ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่แซวกันเลยสิจัดว่าแปลกมาก เพราะทั้งผมแล้วก็ไอ้คู่ผัวเมียนั่นปากหมาขั้นนรกแบบกินกันไม่ลง แค่ใครอ้าปากก็เห็นหมาทั้งฟาร์มแล้ว ส่วนคุณชายหวงแม้จะพึ่งมาใหม่แต่ก็ตามมุกทัน ยังมีแอบกัด แอบแซวอยู่เนืองๆ ร้ายใช่เล่น ไม่แปลกใจเลยว่าทำมึงถึงมาเป็นเพื่อนสนิทกับเฟิงซงมันได้
“สุขสันต์วันเกิดนะ” สามเสียงของเพื่อนผมประสานกัน ก่อนที่จะร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด และพนักงานในร้านถือเค้กก้อนใหญ่ที่จุดเทียนพร้อมเดินเข้ามาหา ผมยิ้มร่าอย่างถูกใจ เอ..หรือเพราะเมาแล้วก็ไม่รู้
เมื่อเป่าเทียนเค้กเสร็จผมก็ตัดพอเป็นพิธี เลือกชิ้นหนึ่งใส่จานบนโต๊ะเรา ส่วนที่เหลือก็ยกให้พนักงานในร้านเอาไปช่วยกันกิน ก็มันใหญ่เกินกว่าที่พวกผมสี่คนจะกินไหวนะสิ อีกอย่างคิดว่าพวกเราไม่น่าจะมีใครชอบขนมหวานมากนัก
“ฉันอยากกินเค้ก” เฉินเหวิ่นร้องบอก
“ก็กินไปสิ” ผมบอกเพื่อน มันจะมาขออนุญาตเพื่อ??
“นายเป็นเจ้าของวันเกิดก็ป้อนหน่อยสิ”
“อ้อนตีนว่ะ” ผมบ่นเพื่อนเบาๆ พลางหัวเราะ ก่อนจะตักเค้กไปป้อนจนถึงปากมัน แต่พอหันไปไอ้คนที่นั่งถัดจากเฉินเหวิ่นอ้าปากรอ ผมจึงตักป้อนสามีมันด้วยอีกคน
พอหันไปมองอีกคนที่เหลือ อารมณ์นึกสนุกผมจึงตักเค้กอีกคำ ยื่นไปจ่อที่ปากคุณชายหวง ทั้งที่ก็ไม่คิดหรอกว่าอีกฝ่ายจะเอากับเค้าด้วย
แต่หมอนั่นกลับอ้าปากงับเค้กคำนั้นแต่โดยดี ตามด้วยเสียง ‘ฮิ้ววววววว’ ของไอ้สองผัวเมีย มึงจะโห่กันหาพระแสงอะไรมิทราบวะ
“ทำเป็นมาพูดดี ไหนบอกว่าหาของขวัญวันเกิดมาให้ฉันได้ไงล่ะ เถ่อ..” ผมประชดเพื่อนทั้งสองคน แต่พวกมันเอาแต่ยิ้ม
“แน่นอน สัญญาลูกผู้ชาย ฉันสองคนเคยทำให้นายผิดหวังเหรอ” เฟิงซงพูดอย่างผู้ชนะ ยกหางตัวเองเต็มที่เลยทีเดียว
“เออ..ล่าสุดก็น้ำพุร้อนไง” ผมได้โอกาสเลยจัดให้อีกดอก แต่สองคนผัวเมียนั้นกลับหัวเราะกลิ้ง
“แหม..ผ่านไปเป็นชาติ ลืมๆ ไปได้แล้วน่า นั่นเพราะว่าพวกฉันให้โอกาสนายได้ทำความคุ้นเคยกับของขวัญหรอก” เฉินเหวิ่นมันช่วยแฟนแก้ตัว เฮอะ
แต่เดี๋ยวนะ ทำความคุ้นเคยกับของขวัญเหรอ
“อะไรนะ??” ผมถามอย่างสงสัย ไอ้สองคนนี้มันคงไม่ได้หมายถึงคนใกล้ตัวใช่ไหม
“ตามสัญญา ฉันหาแฟนให้นายได้ตามที่ร้องขอ และกล้ารับรองว่าสเป็คนายล้านเปอร์เซ็นต์ หล่อ ร้าย เก่งกล้า ท้าทาย ได้ยาก แถมรวยให้ด้วย คุณสมบัติขั้นเทพอ่ะฮ่าๆ” พูดจบทั้งสองคนก็ชี้ไปที่ไอ้คุณชายหวงเป็นตาเดียว ผมจึงหันไปมองตามด้วย แหม..ทำเป็นไปเอาเค้ามาอ้าง หมอนั่นไม่เล่นด้วยขึ้นมาจะฮาไม่ออก
อ่า...อาจจะเป็นผมที่ฮาไม่ออกแทน เพราะคนที่ถูกสายตารุมจับจ้องอยู่นั้นกำลังยิ้มให้ผมแบบหวานหยด หล่ออ่ะ ไม่สิ ไม่ใช่แบบนี้สิโว้ย
“ขำตายละ ไม่ต้องมาอำเลย เหอะๆ ฮ่าๆ ” ผมพยายามหัวเราะแบบฝืดๆ แต่จนแล้วจนรอดสามคนนั้นก็ยังคงมองมาที่ผม อะไรอ่ะ
“เฮ๊ย!! พวกนายอย่ามาล้อเล่น หาไม่ได้ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย กะไว้แต่แรกอยู่แล้วล่ะ แล้วนาย...ไม่ต้องไปรับมุกพวกมันจะได้ไหม ขนลุก ฮึ่ย!!” ผมบ่นเพื่อนสองตัว ก่อนจะหันไปเหวี่ยงคุณชายแบบเบาๆ
“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าโจวโจวเขาไม่ยอมรับง่ายๆ หรอก พวกนายเลิกเล่นได้แล้ว” ในที่สุดไอ้คุณชายมันก็พูดออกมา ทำเอาผมถอนหายใจอย่างโล่งออก
ส่วนเพื่อนสุดแสบสองตัวกลับอ้าปากจะคัดค้าน แต่ก็ต้องเงียบเมื่อคุณชายหวงเขาโบกมือเป็นเชิงว่าช่างเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว
“อ่ะ..นี่ของนาย สุขสันต์วันเกิด” หลังจากที่เหตุการณ์สงบแล้ว เพื่อนที่พึ่งสนิทก็ยื่นดอกไม้ช่อใหญ่ ที่ไม่รู้มันไปเสกมาจากไหนส่งให้ผม ไม่เข้าใจทำไมต้องเป็นดอกไม้ แถมช่อเบ้อเริ่มขนาดนี้ ผมเป็นผู้ชายนะโว้ย จะให้ก็ให้อะไรที่มันดูแมนๆ กว่านี้หน่อยไม่ได้หรือยังไง
“สวยดีนะ เหมาะกับฉันโคตรๆ ขอบใจ” ผมขอบคุณอย่างประชดสุดฤทธิ์ แต่ดูเหมือนว่าคนให้จะไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเจ้าตัวยังคงพูดต่อไปว่า
“ต้องเหมาะอยู่แล้ว ของสวยๆ ก็ต้องคู่กับคนสวยๆ ” เอ่อ..หมอนี่เมาแล้วใช่ไหม แต่ทำไมครับ ไอ้คุณเฟิงซงกับไอ้คุณเฉินเหวิ่น มึงต้องรวมหัวประสานเสียงหัวเราะกันขนาดนี้ด้วย ฟังก็น่าจะรู้ไหมว่ากูประชดมัน หรือว่าหมอนี่มันประชดผมกลับวะครับ
“เอาน่าๆ ดื่มกันต่อ ไม่เมาไม่เลิกรา” เฉินเหวิ่นชวนยกแก้วชน ผมก็ทำตามอย่างไม่รีรอ นั่งดื่มกันจนเกือบเที่ยงคืนก็แยกย้ายกันกลับ โดยที่คุณชายอาสามาส่งผม ด้วยเหตุผลที่ว่า จะไปเอากระเป๋า ผมจึงนั่งรถมากับอีกฝ่ายแต่โดยดี
“นายขับรถไหวไหมเนี่ย” ผมถามคนที่เดินขึ้นมาด้วยกันจนถึงห้อง ท่าทางเดินเซแบบนี้ หมอนี่ขับรถมาถึงคอนโดผมได้ก็เก่งแล้วนะ
“นายนอนที่นี่ก็ได้นะ หรือถ้าจะไปจริงๆ ก็ทิ้งรถไว้นี่แหละ เรียกแท็กซี่ไปดีกว่าแบบนี้อันตราย”
“เป็นห่วงเหรอ” ถามอะไรแมวๆ
“เออสิ ตายไปกลางทางจะทำยังไง งั้นก็นอนมันที่นี่แหละ รอแป๊บ..เฮ๊ย!!! อะไรของนาย” ผมพูดยังไม่ทันจบก็ต้องอุทานอย่างตกใจ เมื่อถูกอีกฝ่ายลากไปกอดจากทางด้านหลัง
“ที่ว่าของขวัญสองคนนั้นไม่ได้อำนะ และฉันก็เอาจริงด้วย”
“เอาจริงอะไรของนาย เมาแล้วก็นอนเฉยๆ เถอะ...ปล่อย” ผมบอกพลางสะบัดตัวออก แต่ไม่หลุดรอดจากกอดของอีกฝ่าย ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนที่ผมจะถูกพลิกตัวให้หันกลับไปหา เมื่อเห็นแววตาอีกฝ่ายผมถึงรู้ความจริงว่า
“อะไร..นายไม่ได้เมานี่” ผมโวยวายจะหาเรื่อง เมื่อเริ่มรู้สึกว่าหมอนี่ยังมีสติดีอยู่ แถมดูไม่เมาเลยสักนิด ที่เมาน่ะมันผมต่างหาก ถ้าเรื่องของขวัญเป็นเรื่องจริงละก็
อันตราย...ตอนนี้ผมตกอยู่ในอันตรายโคตรๆ
“ก็ไม่ได้บอกว่าเมาสักหน่อย” กวนตีนและ แล้วเมื่อกี้ทำเป็นเดินเซ แหม..พ่อดารารางวัลออสการ์
“ไม่เมาก็กลับไปเลยไป ฉันจะนอนแล้ว”
“เรื่องอะไร นายเป็นคนเรียกร้องเองไม่ใช่เหรอ แฟนหนุ่มหล่อ ร้าย เก่งกล้า ท้าทาย และที่สำคัญคือได้ยาก เปล่านะ ฉันไม่เล่นตัวกับนายหรอก แต่ถ้านายคิดจะกดฉันละก็ ชาตินี้อย่าหวังเลย” จบประโยคอันยาวเหยียดผมก็แทบสร่างเมา ตื่นได้แล้วสวี่เว่ยโจว..ตื่นสิโว๊ย
“ฉันบอกประชดไอ้สองผัวเมียนั่นต่างหาก” ผมเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
“หึหึ อะไรกันครับ รับผิดชอบคำพูดตัวเองหน่อยสิ อุตส่าห์ได้เจอคนในสเป็คทั้งที ฉันก็ชอบแบบที่ว่า สวย ปากร้าย ท้าทาย ได้ยากซะด้วย เราเหมาะสมกันจะตายเห็นไหม” ไม่เห็นโว้ย
“ฉันชอบนาย...สวี่เว่ยโจว” จบคำผมก็อึ้งกิมกี่ อ้าปากค้าง และเกิดอาการพิการทางการสื่อสารชั่วคราว ไอ้คุณชายร้อยล้านมันบอกว่า ‘ชอบผม’
“ตั้งแต่ได้เจอกันที่บ้านเฟิงซงในวันแห่งความรัก ฉันก็สนใจนายมาตลอด ถึงขนาดต้องไปนั่งเฝ้าหลังเลิกเรียน ทั้งที่ปกติเลิกเรียนแล้วก็แทบจะไม่มีใครเห็นหัวฉันด้วยซ้ำ” อีกฝ่ายพูดพลางหัวเราะ ขณะที่ลากตัวผมไปจนถึงโซฟา และผลักให้นอนลงไป ก่อนที่หมอนั่นจะนอนตามลงมาด้วย ถ้านี่ผมฝันอยู่ละก็..มึงตื่นได้แล้วชายสวี่
“ฉันเชื่อในเรื่องรักแรกพบนะ และตอนที่ได้เห็นนายครั้งแรก ฉันก็รู้สึกทันทีว่าตัวเองตกหลุมรักเข้าแล้ว”
“ที่ไปบ่อน้ำพุร้อนกันสองคนน่ะก็แผนของฉันเอง สองคนนั้นมันมีธุระกันแต่แรกอยู่แล้วล่ะ” อ๋อ..อย่างนี้นี่เอง ไอ้คุณชายเจ้าเล่ห์
“เป็นไง ฉันร้ายพอจะเป็นแฟนนายได้ไหม เรื่อง ‘ได้ยาก’ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะฉันไม่ยอมให้หนุ่มเอวบางร่างน้อยแบบนายมาจิ้มฉันอยู่แล้ว แต่เรื่องได้เป็นแฟนอาจจะง่ายไม่ตรงคอนเซ็ปต์ ‘ได้ยาก’ ของนาย ยังไงก็ยกเว้นไว้หน่อยแล้วกันนะ ก็นายมันน่ารักจนอดใจไม่ไหว หลงรักไปเต็มเปาแล้วนี่นา”
“นายนี่มัน..”
“หล่อ” อีกฝ่ายต่อให้
“อือ เฮ๊ย!! ไม่ใช่ นายมันเจ้าเล่ห์ต่างหาก”
“เพราะใครล่ะทำให้ฉันต้องเจ้าเล่ห์แบบนี้ รับผิดชอบซะด้วยแล้วกัน ตามสัญญาของสองคนนั้น ฉันเป็นของขวัญของนายแล้วนะ ต้องรักษาตลอดชีวิตด้วยล่ะ”
“ไม่เอ๊า!!!” ผมโวยวายก่อนจะเงียบเมื่อโดยอีกฝ่ายปิดปากในที่สุด พยายามดิ้นรนขนขืนทั้งที่เมามาก
ให้คุณผู้อ่านเดาว่า ผมหนีรอดไหม?
“อือ..เช้าแล้วเหรอเนี่ย” บ่นเบาๆ เมื่อโดนแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามากระทบตาอย่างไม่ปราณี นี่เมื่อคืนผมเมาจนนอนหลับคาโซฟาจริงๆ ด้วย เหมือนในฝันเป๊ะ
ขยับตัวจะลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อเข้าไปนอนต่อในห้อง แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกว่าตอนนี้ทั้งปวดและเมื่อยไปทั้งตัว แถมไอ้แขนที่พาดเอวผมอยู่นี่ ใครวะ?
เมื่อโงหัวขึ้นได้ก็พบว่าที่ผมนอนหนุนอยู่ไม่ใช่หมอนอิง แต่เป็นแขนขาวๆ ของใครสักคน พอเอี้ยวตัวหันไปมองหน้าคนที่นอนอยู่ด้านในชัดๆ นั่นแหละ
“นาย..โอ๊ย!!” ทั้งตกใจ ทั้งเจ็บ เพราะขยับตัวแรงไปหน่อย
จะไม่ให้ตกใจได้ไง ก็ไอ้คนที่นอนแก้ผ้ากอดผมอยู่ใต้ผ้าห่มผื่นเดียวกันบนโซฟาตัวยาวนี่มัน...ไอ้คุณชายหวงจิ่งอวี๋
แถมไอ้ความเจ็บแบบนี้ ถึงจะไม่เคยมาก่อนก็พอจะรู้ได้ไม่ยากว่า ผม ‘โดน’ เข้าแล้ว
อะไรกัน แสดงว่าเมื่อคืนนี้ไม่ได้ผันจริงๆ ด้วยสินะ ม่ายยยยยย
“จะรีบลุกไปไหนล่ะ หนาวจะตาย นอนให้กอดต่ออีกหน่อยสิ” คนทำลายความบริสุทธิ์ของผม ดึงผมลงไปนอนกอดต่อแบบหน้าด้านสุดฤทธิ์
“แสงอาทิตย์มันส่องตาโว้ย ไม่ใช่สิ นายทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไงวะห๊ะ!!” ผมโวยวายแบบหนุ่มรักนวลสงวนตัวสุดชีวิต ทั้งที่ปกติกับสาวๆ ไม่เคยจะหวงตัวขนาดนี้ มีแต่ปล่อยตัวละไม่ว่า
“ฉันรับผิดชอบนายอยู่แล้วน่า อีกอย่างนายก็แค่รักฉันเหมือนที่ฉันรักนาย แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว เห็นไหมง่ายจะตายไป” ไอ้คุณชายมันพูดแบบชิวได้อีก ไม่ค่อยเห็นแก่ตัวเลยนะมึง
“ปล่อย” ผมดิ้นจะลุกขึ้นให้ได้ และทุบลงไปที่ตัวอีกฝ่ายสองสามที เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยผมเป็นอิสระ
“โอเค รู้แล้วๆ แค่แสงอาทิตย์ไม่ส่องตาก็พอใช่ไหม ฮึบ!!” อีกฝ่ายบ่นเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้น และอุ้มผมจนตัวลอย พาเดินเข้าห้องนอน วางผมลงบนเตียงอย่างเรียบร้อย โดยที่เจ้าตัวคลานตามขึ้นมานอนด้วยแบบไม่มีเกรงใจเจ้าของเตียง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นด้านนอก ไม่บอกก็รู้ว่าเสียงนั่นมันมือถือของผมเอง ค่อยๆ ลุกจากเตียงเดินออกตามหาโทรศัพท์ตัวเอง ก่อนจะพบว่ามันอยู่ในกระเป๋ากางเกงที่กองอยู่ข้างโซฟา หยิบออกมาสายก็ตัดไปก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เพื่อนผมก็เลยกดโทรกลับ
“ยังไม่ตื่นเหรอวะ” เสียงเฉินเหวิ่นถามกลับมาตามสาย
“เออสิ พวกนายกำลังชักศึกมาหาฉัน รู้ไว้ซะด้วย” ผมโวยวายกลับไป
“ชักศึกอะไรกัน จิ่งอวี๋มันรักนายจะตาย น่า..พวกฉันก็หาแฟนให้ตามที่ตกลงแล้วไง ไม่ชอบเหรอ แล้วนี่หมอนั่นอยู่ไหนล่ะ ยังไม่ตื่นเหรอ” คราวนี้เป็นเสียงเฟิงซง แสดงว่าไอ้สองตัวนี้มันเปิดสปีกเกอร์โฟนคุยกับผม
“ไม่ต้องตื่นมาอีกเลยยิ่งดี เฮอะ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอาฆาตเต็มที่
“อ้าว นายอยากเป็นม่ายตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอเลยเรอะ”
“นั่นปากเรอะ” ผมถามกลับไป แต่ได้ยินทั้งสองคนมันประสานเสียงหัวเราะกันเชียวนะพวกมึง
“เอาน่า ก็ลองคบกันไป มันไม่ใช่จริงๆ จะเลิกกันก็ไม่ว่าอะไรหรอก” เฉินเหวิ่นพูดปลอบใจผม ปลอบตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วโว้ย
“ระวังจิ่งอวี๋มันจะยอมเลิกเหอะ” เสียงผัวมันแทรกเข้ามา นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ พ่อจะถีบมันให้จริงๆ ครับ
“พวกนายสองคนระวังนะ ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะเอาคืนแน่” ผมฝากแค้นไว้ขณะที่พาตัวเองเดินกลับเข้าห้องนอนช้าๆ ก็มันเดินไวไม่ได้นี่ครับ ไม่คิดมาก่อนเลยนะเนี่ยว่ามันจะเจ็บขนาดนี้
“จ้าๆ ฝากไว้เลย ว่าแต่..หล่อ ร้าย เก่งกล้า ท้าทาย ได้ยาก..พอไหมวะ” เฟิงซงยังถามกลับมาอย่างติดตลก และมันสองตัวก็พากันหัวเราะ ผมหันไปมองคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ อย่างหมั่นไส้ก่อนจะตอบ
“ได้ยากซะที่ไหน หมอนี่มันหื่นจะตายชัก” ผมเหวี่ยงกลับไปตามสาย โดยไม่เกรงใจ ‘คนหื่น’ ที่นอนหลับอยู่เลยสักนิด
“ฮ่าๆ นั่นมันได้นายเฟ๊ย ไม่ใช่นายได้มัน” เสียงไอ้ตัวผัวตอบกลับมา ผมยังไม่ทันจะได้ด่าอะไรกลับไป คนที่นอนข้างๆ ก็ลุกขึ้นมาแย่งมือถือผมไปคุยหน้าตาเฉย
“พวกนายอย่าโทรมากวนได้ไหม คนจะหลับจะนอน” พูดจบคุณชายหวงมันก็กดวางสาย ก่อนจะลากผมลงไปนอนกอด
“หนักโว้ย” ผมโวยวาย เมื่ออีกฝ่ายพลิกตัวมาตะแคงทับผมไว้ครึ่งหนึ่ง พอได้ยินอย่างนั้นเจ้าตัวก็ขยับออกห่างนิดหน่อย แต่ยังไม่ยอมปล่อยผมเหมือนเดิม เฮ้อ..เพลียกับมันจริงๆ ไอ้คุณชายเอาแต่ใจ
“รักนายนะ”
“เออ หนวกหู..ฉันรู้แล้ว”
“โจว...โจวโจว อะไรกัน เหม่ออยู่ได้ เรียกตั้งหลายครั้งแล้วนะ คิดอะไรอยู่หืม?”
“คิดถึงวันเกิดเมื่อปีที่แล้ว” ผมตอบพลางมองหน้าคนถาม ที่ตอนนี้กลายเป็นแฟนหนุ่มของผมไปแล้วจริงๆ
“ของขวัญวันเกิดประทับใจไม่ลืมเลยละสิ” อีกฝ่ายยังพูดต่อพลางหัวเราะเบาๆ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนผมก็ยังชอบเสียงของหมอนี่เหมือนเดิมแฮะ
“ลืมไม่ลงต่างหาก พวกนายแกล้งฉัน”
“แกล้งที่ไหนกัน ว่าแต่ปีนี้อยากได้อะไรเป็นของขวัญเหรอ” คุณชายหวงจิ่งอวี๋ถาม
“อยากได้แฟนอีกสักคน”ผมตอบประชด
“หึ รอฉันตายซะก่อนเถอะ ไม่งั้นอย่าหวังเลย”
“ชิ ทำเป็นเข้ม”
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวสองคนนั้นรอนาน” คนตรงหน้าชวน ก่อนจะส่งมือมาช่วยดึงผมลุกจากโซฟา และเราก็พากันออกไปที่ร้านเมเปิลเหมือนเมื่อปีที่แล้ว ครั้งนี้สองคนนั้นจะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดกับผมนะ แต่ฟันธงได้ว่า ไม่ใช่ ‘แฟน’ แน่นอน ก็ผมมีแล้วนี่ครับ
HAPPY ENDING
ถามว่าผมว่างไหม ไม่เลย ยุ่งฉัดฉัด ... แต่ก็มีอารมณ์มาแปลงฟิคอ่ะ ความอยากเขียนชนะทุกสิ่ง
หวังว่าคนอ่านจะได้รับความสุขจากฟิคเรื่องนี้ ไม่มากก็น้อยนะครับ
คืนนี้หลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ฮะ