ฉันอาศัยอยู่กับลุงและป้า หลังจากที่พ่อกับแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
ทำงานหาเงินเรียนเอง ตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย
ฉันพยายามเก็บเงินทุกเดือน จนตอนนี้มีเงินเก็บอยู่หนึ่งแสน
ในแต่ละเดือน ฉันให้เงินลุงกับป้า เพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาอุตส่าห์เลี้ยงดูฉันมา แม้ไม่ดีนัก แต่ก็นับว่าเป็นครอบครัวเดียวที่ฉันเหลืออยู่
"ป้าคะ หนูโอนเงินเข้าบัญชีให้แล้วนะ" ฉันโทรไปบอกป้า ตอนช่วงพักเที่ยง
"แค่ห้าพันบาท มันพอที่ไหนล่ะ เจ้าเด็กคนนี้ป้าบอกแล้ว แกน่ะ ต้องแต่งงานกับผู้ชายดี ๆ สักคน ให้เขาช่วยดูแล สนับสนุนครอบครัวเรา"
"หนูจะทำงานพิเศษเพิ่มค่ะ" ฉันพยายามหาทางออก
"แกทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตก็ไม่รวยหรอก เชื่อป้าสิ วันนี้แกไปนัดบอดนะ ป้าจองร้านอาหารไว้แล้ว เดี๋ยวป้าส่งรายละเอียดไปให้ แกต้องไปด้วยนะ ห้ามเบี้ยวเด็ดขาด"
ป้าวางสายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความกลุ้มใจให้ฉัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป้าสั่งให้ไปดูตัว
ที่ผ่านมาฉันพยายามทำตัวน่าเกลียด อย่างเช่น แคะขี้มูก แคะขี้ฟัน เรอเสียงดัง ทำให้ชายแก่กระเป๋าหนักพวกนั้นรู้สึกอับอาย เมื่อได้นั่งร่วมโต๊ะกับฉัน จนพวกเขาขอตัวกลับก่อน
แน่นอนว่าในแต่ละครั้งป้ากับลุงจะตบตีฉัน จากนั้นก็พูดดีด้วยใหม่ เมื่อได้รับเงินตอนสิ้นเดือน
เลิกงาน ฉันเดินไปที่ป้ายรถเมย์ ครุ่นคิดว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไรดี เกือบถึงป้ายรถเมล์แล้ว แต่จู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนนึง เดินเซมาชนฉัน แล้วเขาก็ล้มลงไปนอนบนพื้น
"เฮ้ย! คุณ คุณเป็นอะไร" ฉันพยายามเขย่าตัวเขา แต่เขาแน่นิ่ง ไม่ไหวติง
"ตัวร้อนด้วย" ฉันพึมพำ หลังเอามือแตะหน้าผากอีกฝ่าย
'เอาไงดี' ฉันกลุ้มใจ ไป รพ. ต้องใช้เงิน
'ช่วยคนก่อน' สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจโทรเรียกรถพยาบาล และขึ้นรถไปพร้อมเขา ลืมเรื่องนัดบอดไปโดยสนิท
กว่าผู้ชายคนนั้นจะฟื้น ก็ใช้เวลาอยู่ราวสองชั่วโมง
"คุณฟื้นสักที คุณรีบติดต่อญาติคุณสิ ให้เขามาจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลด้วย"
"ผม ผม ผมไม่มีญาติที่ไหน"
"เป็นเด็กกำพร้าเหรอ"
"ก็ประมาณนั้น" หนุ่มปริศนา ซึ่งนอนหน้าซีดหน้าเซียวอยู่บนเตียงกล่าว
'ไม่มีญาติ แล้วมีเงินไหมนะ' ฉันตั้งคำถามในใจ ขณะปาดเหงื่อ
ยังดีที่เขามีเงินติดกระเป๋าอยู่นิดหน่อย แต่ฉันเห็นว่าเหลือเพียงแบงค์ยี่สิบอยู่แค่สองใบเท่านั้น หลังจากที่เขาควักเงินจ่ายค่ารักษาไป
"คุณจะกลับยังไง"
"ผมจะนั่งรถเมล์กลับน่ะ"
"ตอนนี้คนเลิกงาน ในรถเมล์คนแน่น อาจไม่มีที่นั่ง คุณไหวแน่เหรอ"
"ไหวแหละ" พูดจบ เขาก็เซ
ฉันถอนหายใจ ก่อนจะถามถึงสายรถเมล์ที่เขาต้องขึ้น จึงรู้ว่าเราขึ้นรถเมล์สายเดียวกัน เขาลงป้ายเดียวกับฉันด้วย
"ที่ที่คุณอยู่ ไกลจากป้ายรถเมล์เยอะไหม"
"ไม่ไกล เดินได้สบาย" ฉันพยักหน้า แล้วเดินไปขึ้นรถเมล์พร้อมกัน
ฉันเดินเข้าซอยไปพร้อมเขา ดูว่าเขาอยู่ที่ไหน จะเป็นลมกลางทางไหม
"คุณไม่ต้องเดินตามผมก็ได้นะ นั่นคอนโดที่ผมเช่าอยู่ คุณกลับบ้านคุณเถอะ ผมไปคนเดียวได้"
"จริงดิ นี่เราอยู่ที่เดียวกันเลย บังเอิญจริง ๆ " ฉันประหลาดใจ
"อ่อ... งั้นไปด้วยกันก็ได้ครับ" ท่าทางสุภาพเรียบร้อยของเขา ทำให้ฉันรู้สึกถึงกำแพงในใจ
'เขาระวังตัวพอสมควร แต่ว่านะ ฉันเป็นผู้หญิง ต้องระวังมากกว่าหรือเปล่า' ฉันคิด ก่อนจะเดินชนแผ่นหลังกว้าง ๆ ของชายตรงหน้า เพราะเขาหยุดกะทันหัน
"จะหยุด ทำไมไม่บอก"
"ผมจะซื้อของ คุณอยากกินขนมอะไรสักหน่อยไหม ผมจ่ายให้ ถือเป็นการขอบคุณ แต่อย่าแพงมากนะ ผมไม่ค่อยมีตังค์"
"งั้นเอาขนมเค้กชิ้นเล็ก ๆ สามสี่สิบบาทได้ป่ะ"
"ได้" เขาซื้อขนมเค้กให้ฉันหนึ่งกล่อง จากนั้นเราก็แยกย้ายกัน เพราะอยู่คนละตึก
หลังจากวันนั้น ฉันไม่เคยเจอเขาอีกเลย เขาค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของฉัน
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ฉันเจอเขาในโรงแรมแห่งหนึ่ง ตอนที่ถูกลุงกับป้าหลอกไปขายให้เสี่ยกระเป๋าหนัก
"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย พวกมันจะทำร้ายฉัน" ฉันพูดกับเขา ก่อนจะถูกดึงตัวเข้าห้องพัก
เสียงคนกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านหน้าห้องไปแล้ว
'รอดแล้วเรา' ฉันคิด พลางลูบไล้เขา อย่างห้ามตัวห้ามใจไม่อยู่
"ตั้งสติหน่อยสิคุณ"
"ฉันเป็นอะไรไม่รู้ ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย" ฉันพยายามจับหนุ่มหล่อตรงหน้าแก้ผ้า
"คุณ! อย่าทำแบบนี้ ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ" เขารวบข้อมือฉันเอาไว้
"คุณมีถุงยางไหม ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันหงุดหงิดงุ่นง่านเกินกว่าจะอยู่เฉย แล้วรอให้ฤทธิ์ยามันหมดเอง
"คุณเอาแน่นะ" เขาถามฉัน
"เอาแน่ แก้ผ้าเลย" ฉันเองก็จะเปิดเปลือยต่อหน้าเขาเช่นกัน
ทันทีที่เราทั้งคู่เปลือยเปล่า เขาก็ดึงฉันไปที่เตียง แล้วจูบไซ้ซอกคอ ขบเม้นเบา ๆ จนเกิดรอยแดง ในขณะที่นิ้วกลางแทรกลงไปตรงกลางร่องสวาท คลึงปุ่มกระสังสีหวานกระตุ้นอารมณ์
"อืออออ" เสียว
อ่านต่อได้ในตอนจบจ้ะ