ฉันยืนมองกองจานสกปรกด้วยความรู้สึกท้อแท้ พึมพำกับตัวเองเบา ๆ ว่า "ไม่จบไม่สิ้นสักที" จากนั้นถอนหายใจยาว ๆ ออกมา หยิบฟองน้ำขึ้นมาขัดถูจานอย่างขมักเขม้น
เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากโต๊ะอาหาร ครอบครัวตัวเล็ก ๆ ที่กำลังชมการ์ตูนเรื่องโปรดของเด็กน้อย พวกเขาร่วมกันลุ้นและเชียร์ตัวละครไปพร้อม ๆ กัน ชวนให้ฉันยิ่งคิดถึงคนที่บ้าน
ชีวิตในเมืองกรุงไม่ง่ายเลย เดิมทีคิดว่าจะมาหางานทำ แต่งานที่ได้ ก็ใช่ว่าจะได้รับเงินเดือนเยอะแยะมากมาย หากเปรียบเทียบกับค่ากินค่าอยู่
ดังนั้นในแต่ละเดือนฉันจึงมีเงินเหลือเก็บไม่มากนัก
อีกไม่กี่วันจะถึงช่วงวันหยุดยาว ครั้งนี้ฉันได้ขอลาหยุดไว้แล้ว เจ้าของร้านอนุญาตแบบจำใจ ต้องขอบคุณที่เพื่อนร่วมงานอีกคนยอมอยู่ช่วยงานที่ร้าน ทำให้ฉันได้รับโอกาสกลับบ้านต่างจังหวัดในรอบปี
ถึงวันเดินทาง ฉันนั่งรถนานหลายชั่วโมง แต่ในใจกลับเปรมปรีดิ์
การเดินทางหลายต่อ ลำบากหน่อย แต่คิดว่าไม่เป็นไรหรอก อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอกับครอบครัวแล้ว ทว่ารถสองแถวเจ้ากรรมดันเสียกลางทาง ทำให้ฉันกับผู้โดยสารต้องลงเดิน พร้อมแบกลากสัมภาระของตนอย่างทุลักทุเล
"นี่ฉันทำบาปอะไรไว้ ทำไมชีวิตถึงได้ลำบากขนาดนี้" ฉันตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง หมายกดโทรหาญาติผู้พี่ให้ขี่มอเตอร์ไซค์ออกมารับ ทว่าเปิดโทรศัพท์มือถือไม่ติด
"โธ่... ลูกแม่ มาพังอะไรตอนนี้" ฉันโอดครวญ
ก่อนหน้านี้มันงอแงมาเป็นเดือนแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ได้ซื้อเครื่องใหม่ เพราะเห็นว่าบางทีมันก็ติด ยังพอใช้ได้อยู่ อีกสักพักค่อยซื้อก็ได้
ไม่คิดเลยว่าความขี้เหนียวของฉันจะทำให้ฉันลำบากแบบนี้
"โทรศัพท์มีปัญหาหรอคะ ใช้ของฉันโทรก็ได้นะ" ผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งเสนอตัวช่วย
"ขอบคุณค่ะ แต่ฉันจำเบอร์ไม่ได้ สงสัยคงต้องเดินกลับบ้านแล้ว"
"ไกลไหมคะ"
"ไม่ค่ะ" ฉันพูดว่า 'ไม่' ไว้ก่อน เพราะไม่อยากขึ้นรถใครมั่วซั่ว คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ยิ่งขึ้นรถแล้วด้วย จะลงก็คงยาก หากอีกฝ่ายมีเจตนาร้าย เล่นลูกไม้กับฉัน
"ค่ะ งั้นก็สู้ ๆ นะคะ" เธอให้กำลังใจฉันด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ
"ค่ะ" เราสองคนคุยกันแค่นั้น แล้วฉันก็แบกเป้ หอบหิ้วถุงพะรุงพะรังเดินไปตามทาง
มีรถขับผ่านฉันสองคัน แต่ฉันก็ไม่โบกเรียกเพราะไม่ไว้ใจใคร
การอยู่ในเมือง มันทำให้ทัศนคติของฉันเปลี่ยนไปหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของการคบหาเพื่อนใหม่ หรือการไว้วางใจคนแปลกหน้า
รถกระบะที่เพิ่งขับผ่านฉันไปเมื่อครู่ จอดห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร จากนั้นก็มีผู้ชายสองคนวิ่งตามฉันมา
ฉันพยายามวิ่งหนี แต่ก็ช้า ไม่ทันการ เพราะฉันสะพายกระเป๋าเป้อยู่ ความหนักของมันทำให้ศักยภาพในการเคลื่อนไหวของฉันลดน้อยลง
ฉันถูกพวกมันจับตัว และต่อยเข้าที่ท้องอย่างแรง จนจุก ตัวงอ จากนั้นก็โดนอุ้มขึ้นรถกระบะ
ใช้ผ้าอุดปาก ปิดตา มัดมือ มัดเท้า
ตอนนี้ฉันอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่บริเวณไหนของจังหวัด แต่ฉันคิดว่ามันคงไม่ไกลจากบ้านของพ่อแม่ฉันมากนัก เพราะรู้สึกว่าใช้เวลาบนรถไม่นานเท่าไหร่
แม้อยากหนี แต่ก็ไม่ง่ายเลยจริง ๆ เพราะฉันถูกขึงผืดไว้บนเตียง มีผู้ชายสองคนอยู่ในห้อง ใส่หน้ากากตัวตลก มันชวนให้ฉันนึกถึงหนังสยองขวัญ มีฆาตกรโรคจิต จับคนมาขัง อะไรทำนองนั้น
หนึ่งในนั้นหยิบกล้องถ่ายวีดีโอมาบันทึกช่วงเวลาที่ไอ้ชั่วพวกของมันฉีดเสื้อผ้าของฉันจนขาดวิ่น
ฉันได้แต่กรีดร้องทั้งที่มีผ้ายัดอยู่ในปาก และมองดูว่าจะมีหนทางไหน ที่ทำให้ฉันหลุดรอดออกไปจากนรกแห่งนี้ได้บ้าง
มีเพียงหน้าต่างเล็ก ๆ บานเดียว ซึ่งฉันเห็นเงาคนอยู่ด้านนอก แปลว่าพวกมันมีกันอย่างน้อยสามคน
คิดวิเคราะห์ได้แค่นั้น ฉันก็โดนดูดดึงหัวนม และบีบโคกโหนกนูนเล่น
ตามต่อได้ในตอนจบจ้ะ