"หมอนดินกลิ่นสาปกายฟุ้งบนทางเดินในเมืองใหญ่
หลายคนผ่านเลยไปหลายคนไร้เห็นใจ
ชายชราซอมซ่อรอวันทุกข์ดับกลับสู่ธุลี
นั่งนอนหนาวบ้างจับเจ่าคอยชูขันรับเศษสตางค์
พลางยกไหว้ยกท่วมหัวกลัวคนไม่แล
แม้น้ำใจนิดน้อยหยิบยื่นมาพออิ่มท้อง
เพียงแค่นี้ก็ครรลองครองสุขเปรม"
---------
ดวงตาสีโศกเหม่อมองผู้คนบนทางเท้า แต่ทว่าสายตานั้นกลับไม่จับจ้องต่อสิ่งใดให้เหลียวแล ลมหายใจแก่ๆสูดเข้าสูดออกเป็นจังหวะตามแรงปอด มือไม้สั่นระริกด้วยความหิวโหย ในเช้าวันนี้ชายชราผมหงอกร่างผ่ายผอมยังคงรอเศษสตางค์จากผู้มีจิตอาลัย จนเช้าจนสายจนเที่ยงเศษสตางค์ที่ได้มามันยังไม่พอค่ายาไส้ในยุคสมัยข้าวแกงจานละ40
แกนั่งผงกหัวสั่นยิกกับมือชูขันที่ไม่อยู่ทรงพลางกราบพลางไหว้พลางออกเสียงเหือดแห้งแผ่วเบาจนจับใจความไม่ได้ ข้าวสักเม็ดยังริบหรี่จากปากลงสู่กระเพาะ โลกช่างมืดมัวเสียจริงเมื่อใครหลายคนที่สูงศักดิ์มองว่าแกเหมือนตัวจัญไรไร้ชาติเกิด แต่คนเหล่านั้นหารู้ใดได้เยี่ยงว่าหากเลือกเกิดได้คงไม่มีใครต้องจมทุกข์เข้าตาจนมานั่งขอทาน
หลายวันเลยผ่านหลายเดือนปีเคลื่อน ชายชราผู้นี้ยังคงอยู่ที่เดิมอย่างน่าเวทนาไร้คนจะเหลียวแล ดวงตาสีโศกฝ้าฟางไร้คนมาสบเห็นพลันแต่ตีความว่าแกคิดสิ่งใดแต่ก็ไม่มีเลย บั้นปลายสุดท้ายของชายชราคนนี้เล่าจักหวังสิ่งใดหาใช่ความสุขจากการรอบรรดาลูกๆให้กลับสู่อ้อมอุ่น...
----++++----
ซีไรท์นะหากแทงใจดำใครต้องขออภัยด้วยนะครับ
เรื่องเล่ากึ่งนวนิยายเรื่องนี้เขียนเพื่อพัฒนาฝีมือครับ
ในเรื่องจะอธิบายถึงบริบทของสังคมและวิถีชีวิต
ผ่านมุมมองต่างๆของตัวละครหลากหลาย
ในนบทบรรยายใช้การเล่าเรื่องแบบประโยคมีสัมผัส
แต่ยังรูปร้อยแก้ว ควบคู่ไปกับกลอนหกแทรกสอดในบทบรรยาย
หน้าใหม่ไร้เสียงเรียงชื่อ
พนมมือน้อมค่อมกราบ
ฝากกายใจเปลี่ยวเกี่ยบคาบ
ซึ้งทราบคำคุณคุณเอ่ย
เฉลยแลแน่แม้ฝัน
ฉันบินจรถิ่นดิ้นเหวย
ก่ายเลยเกินฝันกลั่นเลย
แง่เงยเคยชอกช้ำแล
แต่แน้แม้ยังมีไฟ
หากเช่นทุกข์ใดย่ำแย่
มองสูมองกูรู้แก่
มิแพ้หากแม้ยังมอง
ทำนองเร้าพาราวี
ป่านฉะนี้นี่ใดหมอง
หากครองฝันดั่งด่าวคล้อง
จ้องดาวสาวเดือนเลื่อนจับ