Love is light ผมเเละคุณ คือความรัก
19
ตอน
7.87K
เข้าชม
51
ถูกใจ
9
ความคิดเห็น
11
เพิ่มลงคลัง

'...เขาว่ากันว่า ความรักทำให้คนตาบอด
ถ้าเป็นอย่างนั้น...
ทำไมความรัก ถึงทำให้คนตาบอดอย่างผม
มองเห็นได้ล่ะ...?’

บทนำ

ในช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กชายที่มีอายุเพียงสิบขวบ ยังคงเห็นเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ ซึ่งมันเกิดเป็นประจำจนเด็กชายรู้สึกอึดอัดจนแทบจะทนไม่ไหว
วันนี้ก็มาอีกแล้วสินะ...
มันคือความคิดที่อยู่ในหัวของเด็กชายวัยสิบขวบ ซึ่งกำลังแอบอยู่หลังประตูห้องรับแขก ที่ด้านในมีแม่และคนที่เป็นคุณย่าของเขาอยู่
“เธอเลิกยุ่งกับลูกของฉันสักทีเถอะ!” ประโยคเดิมๆ ที่คุณย่าของเขามักจะกล่าวทุกครั้งที่มาที่นี่ดังขึ้น ซึ่งนั่นทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าน้ำเสียงนั่นไม่ใช่คำพูดล้อเล่นแน่ๆ
“ขะ...ขอโทษค่ะ ฉันทำไม่ได้ เพราะฉันรักพจน์” แม่ของเด็กชายเองก็เหมือนกัน เธอตอบประโยคนี้ไปทุกครั้งที่เจอคำพูดแบบนั้นของแม่สามี
“รักแล้วมันยังไง มันกินได้เหรอ? เธอต้องการเท่าไหร่ เธอถึงจะยอมออกไปจากชีวิตของลูกชายฉันสักที!” คุณย่าของเด็กชายยังคงไม่ยอมแพ้ เธอพยายามพูดให้แม่ของเด็กชายเปลี่ยนใจ
“ดิฉันต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ...” 
“ให้ตายสิ เธอนี่มันจริงๆ เลยนะ เธอคิดเหรอว่าฉันจะยอมรับคนอย่างเธอมาเป็นลูกสะใภ้น่ะ! คนจนๆ อย่างเธอไม่คู่ควรกับลูกชายของฉันหรอก!!” คำพูดนีัเป็นเหมือนคมมีดที่พุ่งเข้าเสียบตรงกลางอกคนฟัง ซึ่งไม่ใช่แค่แม่ของเด็กชายเท่านั้นที่เจ็บปวด เพราะเขาเองก็เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่ในตอนนี้ดี
“ฉัน...”
“เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ยังไง ‘พจน์’ ก็ต้องเชื่อฟังฉันอยู่ดี” สิ้นคำพูดนี้ประตูห้องรับแขกก็ถูกเปิดออก พร้อมกับร่างของคนเป็นย่าที่เดินผ่านออกไปโดยไม่ชายตามองร่างเล็กที่แอบฟังอยู่ข้างประตูเลยสักนิด
เขารู้ดีว่าครอบครัวทางฝั่งแม่มีฐานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเป็นแค่ชาวไร่ชาวสวนธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่างครอบครัวพ่อของเขา
พ่อกับแม่ของเขานั้นอยู่กินกันมาด้วยความรัก โดยไม่ได้แต่งงานกัน จนมีเขาออกมาเป็นตัวแทนแห่งความรัก และได้ตั้งชื่อให้ว่า ‘เหนือสมุทร’ 
“นะ...เหนือสมุทร ละ...ลูก” แต่ยังไม่ทันที่คนเป็นแม่ได้พูดจบหลังจากที่เดินเช็ดคราบน้ำตาออกมาจากห้องรับแขก เหนือสมุทรก็รีบเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไปทันที คนเป็นแม่ที่เห็นท่าทีของลูกเช่นนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไง เธอได้ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง 
ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย...
นั่นคือสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของคนเป็นแม่อยู่ร่ำไป

เหตุการณ์พวกนั้นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เหนือสมุทรยังคงเห็นคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนข้างแก้มคนเป็นแม่ประจำทุกครั้ง ถึงคนเป็นแม่จะพยายามยิ้มกว้างให้เขาสบายใจเท่าไรก็ตาม และวันนี้เองก็เช่นกัน 
แม่กับพ่อของเขาทะเลาะกันอีกแล้ว...
“เราเลิกกันเถอะ คุณกลับไปหาคุณแม่ของคุณซะ” เสียงของแม่ดังออกมาจากห้องครัว ซึ่งน้ำเสียงนั้นสั่นเทาไปด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของคนเป็นพ่อ
“ไม่! ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณกับลูกเด็ดขาด!” คนเป็นพ่อพูดเสียงดังไม่แพ้กัน ซึ่งนั่นสามารถอธิบายความรู้สึกเจ้าของคำพูดได้เป็นอย่างดี
“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง! ให้ฉันทนเวลาที่แม่ของคุณมาต่อว่าถึงบ้านงั้นเหรอ!”
“...” คนเป็นพ่อไม่ได้ตอบกลับคำภรรยาตัวเองไป เพียงแต่มีสีหน้าตกใจขึ้นมาแทนคำตอบเท่านั้น
“ไปซะเถอะ ฉันมันไม่มีอะไรคู่ควรกับคุณเลย...” เสียงของคนเป็นแม่เบาลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงสะอื้นไห้
“แต่ผมรักคุณนะ...”
“รักแล้วมันยังไง มันกินได้ไหม!” และคำพูดนั่นก็ดังขึ้นในบ้านหลังนี้อีกครั้ง อันที่จริงมันไม่ได้เป็นประโยคติดปากของแม่เหนือสมุทรเลยสักนิด แต่มันเป็นประโยคของคุณย่าที่พูดกรอกหูแม่ของเขาทุกครั้งที่มาเหยียบบ้านหลังนี้
ภาพและเหตุการณ์แบบนี้ทำให้เหนือสมุทรซึมซับแต่เรื่องแย่ๆ จากเด็กที่ร่าเริง สดใส กลับกลายเป็นเด็กที่ไม่ยอมพูดจา เก็บตัวเงียบ อยู่ในห้องเวลาอยู่ที่บ้าน
และเหนือสมุทรก็ได้ยินเสียงที่พ่อกับแม่ของเขาทะเลาะกันแบบนี้ทุกเย็น จนในที่สุดพ่อของเขาก็ยอมปล่อยมือจากแม่และเขาไป
พ่อเขาได้ออกไปจากบ้านหลังนี้ พร้อมกับร่างของคนเป็นย่าที่ไม่เหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น...

“แม่รักลูกนะ...” มันคือเสียงของคนเป็นแม่ที่โอบกอดร่างของลูกชายตนไว้ พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้าง ซึ่งเด็กชายที่อยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ก็ทราบดี ถึงต้นสายปลายเหตุของความทุกข์ใจนี้
“แม่ครับ...” เด็กชายที่รับรู้ถึงความอึดอัดนั้น พูดออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของเขาอย่างช้าๆ
“พ่อขอโทษนะ ‘ปลาวาฬ’ ที่พ่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้” ผู้เป็นพ่อพูดก่อนจะดึงภรรยาและลูกชายของเขาเข้ามากอดแน่น พร้อมกับซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดพวกนี้ให้ได้มากที่สุด
เด็กชายวัยสิบขวบเขารู้ดีว่าต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพแบบนี้เป็นเพราะอะไร มันเกิดขึ้นเมื่อพ่อของเขาถูกหลอกให้กู้หนี้นอกระบบจนเป็นหนี้สินใหญ่โต ซ้ำร้ายที่ครอบครัวของเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย นั่นเลยทำให้เป็นปัญหาแสนปวดใจที่พวกท่านทั้งสองพยายามจะปิดบังเขาไว้
“ไปกันเถอะ...” 

Special Interview (เหนือสมุทร)
Interviewer : ช่วยแนะนำตัวให้พวกเรารู้จักด้วยค่ะ
เหนือสมุทร : เหนือสมุทรครับ
Interviewer : ช่วยเล่าเหตุการณ์หลังจากที่พ่อของคุณทิ้งไปได้มั้ยคะ
เหนือสมุทร : ผมกับแม่พวกเราย้ายออกจากบ้านหลังนั้น แล้วไปอยู่ที่บ้านของตากับยายแทน
Interviewer : แล้วยังไงต่อคะ
เหนือสมุทร : หลังจากนั้นผมกับแม่ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนผ่านไปได้หลายเดือน แม่ผมก็ได้จากไป
Interviewer : จากไป...ยังไงคะ
เหนือสมุทร : หลังจากที่ได้ยินข่าวว่าพ่อของผมประกาศแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แม่ของผมก็ฆ่าตัวตาย เธอทิ้งผมไปด้วยการกินยาเกินขนาด
Interviewer : เอ่อ...พวกเราของแสดงความเสียใจด้วยนะคะ และขอโทษที่ถามแบบนั้นออกไป
เหนือสมุทร : ไม่เป็นไรครับ
Interviewer : แล้วหลังจากนั้นคุณทำยังไงต่อไปคะ
เหนือสมุทร : ผมหนีออกจากบ้านหลังนั้น และประสบอุบัติเหตุเข้า ซึ่งตอนนั้นผมจำอะไรไม่ได้เลยครับ
Interviewer : แล้วตอนนี้จำได้หรือยังคะ
เหนือสมุทร : ถึงจะจำได้ตั้งแต่แรกผมก็ไม่มีทางพูดออกไป...
Interviewer : หมายความว่าไงคะ 
เหนือสมุทร : ผมรู้ว่าถ้าเกิดคนพวกนั้นออกตามตัวญาติให้ ผมก็ไม่มีทางหนีไปจากผู้ชายที่ทำร้ายแม่และผมไปด้วย ผมต้องไปอยู่กับผู้ชายแย่ๆ คนนั้น เพราะฉะนั้นผมเลยแกล้งทำเป็นจำอะไรไม่ได้ครับ
Interviewer : สรุปแล้วก็คือการแกล้งว่าความจำเสื่อมสินะคะ แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ
เหนือสมุทร : ผมก็ถูกเข้าส่งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่มีชื่อว่า ‘บ้านไออุ่น’ ครับ

Special Interview (ปลาวาฬ)
Interviewer : ช่วยแนะนำตัวให้พวกเรารู้จักด้วยครับ
ปลาวาฬ : ชื่อปลาวาฬครับ
Interviewer : ช่วยเล่าเรื่องหลังจากวันนั้นได้มั้ยครับ
ปลาวาฬ : ผมคิดว่าทุกคนคงเคยเจอเรื่องคาดไม่ถึง วันนั้นเป็นวันที่ผมสูญเสียคนเป็นพ่อแม่ไปเพราะอุบัติเหตุ...ไม่สิ ต้องเรียกว่าฆ่าตัวตายยกครอบครัวมากกว่าครับ
Interviewer : ช่วยเล่าให้ละเอียดหน่อยได้มั้ยครับ
ปลาวาฬ : หลังจากที่ผละออกจากอ้อมกอดของพ่อกับแม่ในวันนั้น ก็เป็นวันที่พายุฤดูร้อนเข้าพอดี พวกท่านได้พาผมขี่รถกระบะเก่าๆ ไปบนถนนด้วยความเร็วสูง ด้วยความที่พายุเข้า ถนนก็เลยลื่น ในที่สุดรถก็พลิกคว่ำ
Interviewer : แย่จังเลยนะครับ แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ
ปลาวาฬ : หลังจากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย จนพอมารู้ตัวอีกที ตัวเองก็นอนอยู่ที่เตียงพักฟื้นของโรงพยาบาลแถวๆ นั้น พร้อมกับข่าวร้ายที่พ่อกับแม่ของผมได้จากไปแล้ว ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหก แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ กว่าจะทำใจและยอมรับมันได้นี่ใช่เวลาสักพักเลยครับ
Interviewer : พวกเราแสดงความเสียใจด้วยครับ แล้วตอนนี้คุณปลาวาฬอาศัยอยู่ที่ไหนเหรอครับ
ปลาวาฬ : ครับ ส่วนเรื่องหลังจากนั้น ทางโรงพยาบาลที่รักษาให้ผมฟรีก็ได้ส่งให้ผมเข้าไปอยู่ใน ‘บ้านไออุ่น’ ครับ
Interviewer : แล้วเป็นยังไงบ้างครับ กับการอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้น
ปลาวาฬ : ก็มีความสุขดีครับ พวกเขาดูแลผมดีมาก แต่ก็มีอีกเรื่องหนึ่ง...อ๊ะ เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก...

วันแรกที่ปลาวาฬได้เข้ามาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่มีชื่อว่า ‘บ้านไออุ่น’ เขามีอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น เขาเป็นเด็กที่เข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลการสูญเสียครอบครัวไปเพียงคนเดียว นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งด้วยสักเท่าไหร่ แถมไอ้อาการแปลกๆ ที่ปลาวาฬเป็นบ่อยๆ นั่นอีก ซึ่งมีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร และเจ็บปวดมากแค่ไหนเมื่ออาการประหลาดนั่นกำเริบ
มือเล็กๆ ที่ตอนนี้กำลังกอบกุมใบหน้าของตัวเอง พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ในหัวของปลาวาฬมันอื้ออึงไปหมด เรี่ยวแรงเหมือนถูกสูบฮวบออกไปจนหมดสิ้น และนั่นก็คืออาการของโรคแทรกซ้อนจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น
หลังจากวันที่เขาได้เข้ามาอยู่ที่นี่ เขาก็คอยแต่หมกตัวอยู่กับการถักไหมพรม ที่พวกผู้แลเขาสอนให้และเข้าศึกษาต่อโดยใช้ทุนของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนเวลาและฤดูกาลได้ผ่านไปเรื่อยๆ ซึ่งการอยู่คนเดียวนั้นก็ไม่ได้แย่อะไรอย่างที่ปลาวาฬคิดไว้ตั้งแต่แรกเลย มันออกจะดีกว่าการอยู่ร่วมกับเพื่อนที่ไม่มีใครจริงจังและจริงใจกับเขาเลยสักคน พอผ่านไปได้สองปีก็มีเด็กผู้ชายท่าทางประหลาดคนหนึ่งได้เข้ามาในสถานเลี้ยงกำพร้าแห่งนี้อีกครั้ง
ผู้ดูแลจัดการแนะนำตัวเขาให้กับพวกเด็กๆ รู้จัก ซึ่งเขาเองก็ได้รับการปฏิบัติจากเด็กคนอื่นเช่นเดียวกับปลาวาฬ 
“กินมั้ย” มันคือประโยคที่ปลาวาฬได้เปิดปากพูดคุยกับเด็กใหม่พร้อมกับยื่นขนมถุงออกไป แต่ปลาวาฬก็ได้รับการตอบรับเป็นหางตาของนัยน์ตาคู่สวยคมสีรัตติกาลเช่นเดียวกับสีผมของเขา ก่อนจะถูกเมินโดยสมบรูณ์แบบ
นายเองก็คงจะเจอเรื่องร้ายๆ อะไรมาเยอะเหมือนกันสินะ...
มันคือสิ่งที่ปลาวาฬคิดอยู่ในหัวตอนนั้น แต่ปลาวาฬก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น เมื่อเด็กใหม่ตรงหน้าที่ทำเป็นเมินเขาแต่แรก คว้าหมับเข้าที่ซองขนมในมือเล็กก่อนจะดึงไปอย่างรวดเร็ว
ปลาวาฬที่เห็นท่าทางนั่นก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเด็กที่ดูมืดมนอย่างเหนือสมุทร จะมีมุมน่ารักแบบนี้ด้วย

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว