ดารารัก ตอน ๑
ในขณะที่กำลังทำหน้าที่ขับรถ ชายร่างเล็กที่กำลังจับพวงมาลัยรถแน่น อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองลูกค้าของเขา ที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง
หญิงสาวแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทันสมัย ดูเพียงผ่านๆ ก็รู้ว่าเป็นเสื้อผ้ามีราคา แถมผู้ที่สวมใส่มัน ก็สวยจัด ใบหน้ารูปไข่นั้นเกลี้ยงเกลา ขาวราวกับไข่ปอก คิ้วโก่ง คม จมูกได้รูปสวย แต่ไม่ได้ถึงกับตรงเป็นไม้บรรทัด ริมฝีปากนั้นอิ่มเย้ายวน แต่เขาไม่ได้เห็นแววตา เพราะถูกบังไว้ด้วยแว่นดำกันแดดอันกะทัดรัด
รูปร่างของหญิงสาวก็ราวกับหุ่นโชว์ชุด ที่เขาเห็นตามร้านขายเสื้อผ้านั้นทีเดียว เรียกว่าสวยเสียเขาต้องแอบมองมาถี่ๆ อย่างอดใจไม่ได้
แล้วหญิงสาวก็ถอดแว่นตาออก เอนตัวมาข้างหน้า
“แน่ะ ลุง รู้หรอกว่าจีน่าสวย แต่มองทางมากๆหน่อยนะคะ เดี๋ยวก็พาจีน่าไปผิดทาง”
หญิงสาวว่ายิ้มๆ แววตานั้นแจ่มใส เป็นประกาย ลุงคนที่ทำหน้าที่ขับรถยิ้มอย่างเก้อๆ เขานึกว่าจะโดนหญิงสาวตำหนิเสียอีก เพราะเห็นการแต่งตัว ดูเป็นสาวสังคมชั้นสูง จนต้องแอบนึกในใจว่าเจ้าตัวคงเย่อหยิ่ง แต่ก็ผิดคาด
“ขอโทษครับ คือลุงรู้สึกคุ้นๆหน้า ก็เลยเผลอมอง”
“จีน่าไงคะ ลุงไม่รู้จักหนูเหรอ จีน่า จินาภา นางเอกละครหลังข่าวไงคะลุง”
หญิงสาวพรีเซนท์ตัวเองเต็มที่ รีบบอกมาเหมือนกลัวคนขับรถแท็กซี่จำเธอเป็นคนอื่นไป แล้วโชเฟอร์วัย ๖๐ เศษ ก็ร้องอ๋อออกมาได้
“อ๋อ...จีน่า ลุงว่าแล้วว่าคุ้นเหลือเกิน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”
“ลุง...จีน่าไม่ดังหรือไง ลุงถึงจำไม่ได้” หญิงสาวพูดอย่างน้อยใจ ทำท่าเหมือนจะงอน
“โอ๊ย เปล่านะครับ คุณจีน่าดังมาก แต่ลุงไม่นึกว่าจะได้มาเจอตัวจริง แล้วแถมคุณดูท่าไม่ถือตัวเลย ผมนึกว่าตัวจริงจะต้องหยิ่งแน่ๆ อย่างน้อยๆ ก็คงไม่มาพูดคุยเสวนากับคนขับแท็กซี่บ้านนอกอย่างลุง..”
“โธ่ ลุง บ้านเก่าจีน่าก็อยู่ที่ที่ใครเรียกว่าบ้านนอกนั่นแหละค่ะ”
จินาภารีบบอก ไม่ทันให้โชเฟอร์พูดจบประโยคเสียด้วยซ้ำ หล่อนยิ้มหวานส่งไปให้ทางกระจกหลัง แล้วก็พอดีโทรศัพท์ที่อยู่ในมือสั่นเรียกขึ้น มองดูเห็นเบอร์ที่โทรเข้าแล้วก็กดรับสาย
“ฮัลโหล คุณพ่อหรือคะ ค่ะ..จีน่ากำลังไปอู่รถค่ะ”
“..................”
“จีน่ายังไม่กลับบ้านนะคะ บ่ายนี้จีน่ามีคิวถ่าย ๗ ฉากแน่ะค่ะ คงเลยไปถึงมืดค่ำนั่นแหละค่ะ กว่าจะเสร็จคงดึก จีน่าจะนอนที่คอนโด คงไม่กลับไปบ้านหรอกค่ะ แค่นี้นะคะพ่อ ถึงอู่แล้วค่ะ”
จินาภา กดปุ่มปิดวางสายบิดาลงเมื่อแท็กซี่จอดลงหน้าอู่รถยนต์ขนาดไม่ใหญ่นัก โชเฟอร์วัยใกล้เกษียณ แอบเห็นนางเอกสาวถอนหายใจ แววตามีรอยหม่นเศร้า แต่ก็ชั่วพริบตาเดียว ก็กลับมายิ้มให้ ก่อนจะถามราคาค่าโดยสาร
เมื่อจ่ายค่าโดยสารเสร็จแล้วนางเอกสาว จึงลงมายืนด้วยท่วงท่าสง่างามราวนางหงส์ กวาดสายตามองผ่านๆไปยังภายเบื้องหน้า เจ้าของอู่รูปร่างอ้วนกลมกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าสมุดบัญชีและเครื่องคิดเลขบนโต๊ะทำงานอยู่มุมหนึ่ง จินาภาเดินตรงเข้าไปอยู่หน้าโต๊ะวางท่าสง่าอยู่ แต่เจ้าตัวก็ยังหารับรู้ไม่ จนเธอต้องกระแอม ด้วยนิสัยที่ชอบให้คนอื่นเป็นฝ่ายทักทายก่อน
“อ้าว คุณจินาภา ขอโทษทีครับผมไม่ทันเห็น มาเมื่อไหร่ครับนี่ เชิญๆนั่งก่อนสิครับ เดี๋ยวผมให้เด็กยกน้ำมาให้”
เถ้าแก่ฮงหันไปตะโกนเรียกสาวใช้เอาน้ำมารับแขก แล้วหันมายิ้มให้หล่อนด้วยสายตาแสดงความชื่นชม จินาภา ยังคงยืนอยู่เช่นนั้น ไม่ได้นั่งลงตามคำเชื้อเชิญแต่อย่างใด หล่อนไม่ได้รังเกียจจะเสวนากับเจ้าของอู่ซ่อมรถ แต่หล่อนรังเกียจเก้าอี้ที่เห็นฝุ่นจับอยู่ค่อนข้างหนา
“ไม่เป็นไรค่ะเถ้าแก่ จีน่า แวะมาดูรถเฉยๆน่ะค่ะ บังเอิญผ่านมาแถวนี้ รถจีน่าเสร็จหรือยังคะ”
“เอ่อ..ง่า..คือว่ายังไม่เรียบร้อยดีน่ะครับ” เถ้าแก่ฮงอึกอัก
“ทำไมหรือคะ หรือว่าซ่อมไม่ได้ยังไง”
“โอ๊ย เปล่า เปล่าครับแหม ทำไมจะซ่อมไม่ได้ คือ..คือว่า..ช่างน่ะครับ มาสาย บ่ายลา อะไรกันนักหนาก็ไม่รู้ ผมพยายามเร่งให้แล้ว แต่แหม ผมไม่รู้จะว่ายังไง เป็นนายคนบางทีก็ลำบากใจน่ะครับ จะพูดจะบ่นจะว่ามากไป ก็สไตรค์กันอีก ไอ้งานผมก็ล้นมือจะลงไปทำเองก็ไม่ทัน พอไม่ไปดูแล พวกก็อู้กันยาว ผมละต้องขอโทษคุณจีน่าจริงๆ ที่ต้องเสียเวลามาดูรถ ด้วยตัวเองอย่างนี้ เอาไว้เสร็จเมื่อไหร่ ให้ผมโทรไปบอกคุณเองดีกว่านะครับ”
จินาภา ขมวดคิ้วมุ่น พยายามจะซ่อนความไม่พอใจไว้เต็มที่ เธอจ้องหน้าเถ้าแก่ฮงพยายามหาพิรุธภายใต้รอยยิ้มจืดเจื่อน และเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากของเจ้าของอู่ซ่อมรถ
“งั้น จีน่าขอไปดูรถหน่อยได้ไหมคะ ไม่ได้เจอหน้าร่วม ๒ อาทิตย์ ออกจะคิดถึง”
จินาภาประชดการทำงานของเถ้าแก่ด้วยคำพูดและรอยยิ้มที่อ่อนหวาน
“คิดถึงรถเนี่ยนะครับ” เถ้าแก่ฮงพาซื่อ ไม่ได้นำพาต่อการเหน็บแนมนั้น
“อย่าดีกว่าครับ คุณจีน่า พวกช่างกำลังทำงานกันอยู่เลอะเทอะสกปรก เดี๋ยวจะเปื้อนเสื้อผ้าคุณจีน่าเปล่าๆ”
“ไม่หรอกค่ะ จีน่าจะระวัง จีน่าง่ายๆสบายๆอยู่แล้วค่ะ เถ้าแก่ไม่ต้องห่วง”
“ง่า..แต่..เอ่อ พวกช่างน่ะสิครับ ผมเกรงว่าจะพูดจาหยาบคายกับคุณจีน่า พวกนี้ไม่ค่อยรู้มารยาทครับเกรงจะทำให้คุณจีน่า...”
กริ๊ง..ง...ง.....ง...
เถ้าแก่ฮงพูดไม่ทันจบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน พอเอื้อมมือไปรับสาย จินาภาก็ถือโอกาสเดินเข้าไปภายในบริเวณที่ซ่อมรถด้านหลังอย่างรวดเร็ว เถ้าแก่ฮงจะอ้าปากเรียกก็ไม่ทันเสียแล้วได้แต่บ่นพึมพำอยู่คนเดียว
“เวร เวรแล้วสิกู” ก่อนจะกรอกเสียงทักทายลงในกระบอกโทรศัพท์
“อ่า..ฮัลโหล สวัสดีครับ....ง่า..เปล่าครับ ผมไม่ได้ว่าคุณ...”
..........................................................................
จินาภาเดินอย่างมั่นใจด้วยท่วงท่าสง่างาม ความสวยและชื่อเสียงของหญิงสาวเรียกสายตาช่างในอู่ให้มองมาเป็นตาเดียวกัน เธอแจกยิ้มให้เป็นการตอบแทนสายตาชื่นชมเหล่านั้นที่ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข ด้วยรอยยิ้มหวานๆ ถูก..และได้ผลคุ้มค่าเสมอ
เธอเดินตรงเข้าไปที่รถตัวเองโดยไม่ต้องมองหา รถหรูราคาแพงที่เธอลงทุนทำสีใหม่เป็นสีชมพูทั้งคันจอดอยู่ในสุดของอู่ เมื่อเข้าไปใกล้เธอก็เห็นศีรษะของช่างกำลังทำอะไรขยุกขยิกอยู่ที่ใต้ท้องรถ เดินเข้าไปจนใกล้ เจ้าของร่างนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจกับการมาหยุดยืนของหญิงสาว จินาภารีรออยู่ครู่หนึ่งก็ลดตัวลงนั่งยองๆ ข้างๆศีรษะที่เห็นนั้น
“ช่าง ช่างคะ”
“คะ..ครับ”
ความที่กำลังทำงานเพลินอยู่ พอได้ยินเสียงเรียกนั้นก็ตกใจ หัวที่รีบร้อนจะออกจากใต้ท้องรถจึงโขกเข้ากับขอบหน้ารถพอดี ชายหนุ่มคลำหัวตรงที่ปะทะเหล็กทั้งแท่ง เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียงหวานใส สายตาของทั้งคู่จึงประสานกันพอดี ..........แล้วก็เหมือนโลกหยุดหมุน....ต่างไม่มีใครยอมถอนสายตาไปจากกัน..
“พี่..พี่ภัทร..” จินาภาพึมพำเสียงเบาราวกับพูดกับตัวเอง
“ยัยจิ ตัวซวย” ชนภัทรเอ่ยออกมาชัดถ้อยชัดคำ แม้จะไม่ดังแต่จินาภาก็ได้ยินเต็มสองรูหู เป็นผลให้ประโยคถัดมาเสียงหวานใส เปลี่ยนเป็นเสียงกระด้างในทันที
“อ้าว ไอ้พี่ภัทร ไหงทักแมวๆอย่างนี้ล่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน นึกว่าจะดีขึ้น ทั้งปาก ทั้งหน้าตายังแย่เหมือนเดิม”
“ย่ะ..ใครจะไปเหมือนเธอละ..แม่จิ้งจก”
ชนภัทรดึงตัวเองออกมาจากใต้ท้องรถด้วยสภาพขะมุกขะมอม ลุกมาประจันหน้ากับหญิงสาวเต็มความสูง ๑๘๐ เซนติเมตร ด้วยท่าองอาจ จินาภามองกวาดไปตั้งแต่หัวจรดเท้าของชายหนุ่ม
“อ้อ..ยังดีที่สูงขึ้น นึกว่าจะเตี้ยตะแมะแคะ”
“ขอบใจ..แล้วเธอมาที่นี่ทำไม่ยัยจิ”
“จีน่า...ค่ะ” จินาภาเน้นชื่อตัวเองอย่างภูมิใจ
“จีน่า ดาราสาว สวย นางเอกผู้โด่งดัง ติดอันดับท๊อปไฟท์ของนางเอกแถวหน้าของเมืองไทย นิสัยดี ง่ายๆ สบายๆ เป็นกันเองกับทุกคน” จินาภายิ้มหวาน ทำโบกไม้โบกมือไปรอบๆ ราวกับอยู่ท่ามกลางแฟนละครและนักข่าว ชนภัทรทำหน้าเซ็ง
“อ้อ พึ่งเคยได้รู้กับตัวเอง ที่เขาว่าเวลาหมามันจะขี้ มันยกหางของมันเองเป็นอย่างนี้นี่เอง”
“หยาบคาย ปากดีอย่างนี้นี่เอง ถึงได้เป็นแค่ช่างกระจอกๆ เจริญฮวบๆ”
“ช่างฉัน ฉันจะเป็นอะไร ว่าแต่แกมาทำอะไรที่นี่ยัยจิ”
“จี...น่า..”
“ถ้าไม่ให้เรียก จิ ฉันจะเรียกว่าจิ้งจก”
“มาซักผ้ามั๊ง มาอู่รถเนี่ย แล้วพี่ภัทรเข้าไปทำอะไรใต้ท้องรถจีน่า จีน่าว่าจีน่าเอารถมาทำหม้อน้ำไม่ใช่เหรอ แล้วลงไปทำอะไรใต้ท้องรถ”
จินาภาเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงปกติ หยุดสงครามน้ำลายลงชั่วคราวด้วยความอยากรู้
จินาภากับชนภัทร เคยมีบ้านอยู่ใกล้กัน ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีแต่ทุ่งนา ตอนที่จินาภาขึ้นประถมหนึ่ง ชนภัทรก็อยู่ประถม ๖แล้ว แม้จะเป็นเด็กต่างรุ่น ห่างกันหลายปี แต่จินาภาก็ไม่มีใครคนอื่นที่จะเป็นเพื่อนนอกจากชนภัทร แล้วเธอก็ออกจะแก่น เกินวัย ทั้งชนภัทรก็ไม่เคยเอาใจ โดยเห็นว่าเป็นเด็กเลย ทั้งรังแกกลั่นแกล้ง สารพัด แต่ก็เหมือนจะยิ่งทำให้เด็กหญิงจินาภาทั้งแกร่ง ทั้งแก่นมากขึ้นไปอีก
ชนภัทรจบม.๓ ไปเรียนต่อช่างกล แล้วเขาก็ได้ข่าวจากบ้าน เด็กหญิงจินาภาย้ายออกจากหมู่บ้านไปแล้ว เธอไปอยู่กับบิดาที่ย้ายมาทำงานในกรุงเทพฯ แต่มารดายังอยู่ที่หมู่บ้านเดิม เพื่อดูแลตากับยายที่ชรามากแล้ว
จากนั้น ชนภัทรก็ไม่เคยได้เจอจินาภาอีก ไม่ว่าจะกลับไปที่บ้านกี่ครั้ง นอกจากข่าวที่ว่าเธอกลับไปเยี่ยมมารดาเมื่อแรกๆ ตอนที่จากไปไม่นาน แต่จากนั้นมาก็ไม่ได้กลับไปอีก และไม่ได้ข่าวเธออีกเลย จนกระทั่งในที่สุดเขาก็เห็นเธอในจอทีวี เป็นดารา...
ชนภัทรส่ายสายตาไปโดยรอบก่อนจะกวักมือให้จินาภาขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก ก่อนจะกระซิบด้วยเสียงอันเบา
“แกเป็นช่างเหรอไง จะต้องมารู้ว่าฉันจะทำอะไรตรงไหน เดี๋ยว...จุ๊ๆ อย่าเพิ่งด่า อย่าบอกใครนะว่าฉันเป็นคนบอกแก ตรงไฟขวาท้ายรถแกน่ะ เมื่อวันก่อนไอ้เอียดเด็กอู่ มันเพิ่งหัดขับรถใหม่ๆ เลยถอยรถลูกค้าอีกคันมาชนซะไฟแตก พอชนเสร็จมันก็วิ่งอ้าวหนีไปเลย แล้วเถ้าแก่ยังหาอะไหล่มาเปลี่ยนให้ไม่ได้ แกดันใช้ของนอก เขาเลยหามาเปลี่ยนให้ไม่ทัน หม้อน้ำซ่อมเสร็จไปเป็นชาติ”
จินาภาทำตาเหลือก กำลังจะก้าวไปดูไฟท้ายรถที่เธอไม่ทันสังเกต นึกถึงหน้าเจ้าของอู่ที่ไม่อยากให้เธอเข้ามาดูรถ แต่ชนภัทรคว้าข้อมือเอาไว้
“จะบ้าเหรอแก ทำเป็นว่าบังเอิญเห็นจะได้ไหม เดี๋ยวใครๆก็รู้ว่าฉันฟ้อง เอ็ย เรียนผู้มีอุปการคุณทราบเรื่องที่เขาไม่อยากให้ทราบกันพอดี”
“อ้อ กลัวเดือดร้อนเป็นเหมือนกันเหรอ แต่ก่อนไม่เคยเห็นจะกลัวอะไร คอยดูจีน่าคนนี้ก็แล้วกัน ชะหนอย..เล่นกะใครไม่เล่นรู้จักจีน่าน้อยไปซะแล้ว”
จินาภาทำหน้าเครียดแค้นจริงจัง ชนภัทรกำลังบอกว่าไม่ใช่ความผิดของเจ้าของอู่ ก็พอดีเจ้าตัวคนที่จะพูดถึงเดินมาหาด้วยความเร่งรีบ จึงรีบถอยห่างจินาภาออกไปสองสามก้าว
จินาภาก็เหมือนนกรู้ รีบปรับสีหน้าเป็นปกติแม้จะยืนหันหลังให้เสียงที่ก้าวเข้ามาใกล้นั้น ทำแสร้งถามชนภัทรราวกับคนที่ไม่รู้จักกัน
“ช่างคะ รถจีน่าซ่อมเสร็จหรือยังคะ”
ยังไม่ทันที่ชนภัทรจะตอบ เถ้าแก่ฮงก็รีบชิงตอบขึ้นมาเสียเอง
“อ่า..คุณจีน่ามาอยู่ตรงนี้เอง ผมบอกแล้วว่าในนี้ออกจะสกปรก เลอะเทอะ คุณจีน่าออกไปข้างนอกดีกว่าครับ เดี๋ยวชุดสวยๆของคุณจะเปื้อนซะหมด รถยังไม่เรียบร้อยดีหรอกครับ ผมบอกคุณแล้วช่างพวกนี้ชอบอู้จะตาย ผมต้องตัดเงินเดือนซะให้เข็ด”
พูดแล้วก็หันมามองชนภัทรด้วยสายตาตำหนิ ชนภัทรขยับปากร้องอ้าวแต่ไม่มีเสียง เขาตั้งใจจะกันจินาภาไม่ให้เล่นงานเถ้าแก่เรื่องที่ทำไฟรถแตกก็เลยหมดความตั้งใจไป
“โธ่ เถ้าแก่ละก็ จีน่าบอกแล้วไงคะว่าจีน่าเป็นคนง่ายๆสบายๆอยู่แล้ว เถ้าแก่ไม่ต้องเป็นห่วงจีน่าหรอกค่ะ จีน่าแค่คิดถึง “โซอี้” ขึ้นมาเท่านั้น ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ขอจีน่าอยู่อีกแป็บนึงนะคะ”
จินาภาแกล้งเดินไปท้ายรถ ทอดสายตาเหมือนรักใคร่นักหนา(ถึงขนาดตั้งชื่อให้อย่างปัจจุบันทันด่วนว่าโซอี้) แล้วก็อุทานขึ้นมาอย่างใส่จริตเมื่อเห็นไฟท้ายแตกยับเยิน
“ว้าย ตายแล้วโซอี้ ทำไมไฟแตกอย่างนี้ ตายแล้ว ใครทำโซอี้เป็นแบบนี้”
“อ่า คุณจีน่าครับคือ...คือ...เด็กในอู่น่ะครับมันถอยรถมาชน แล้วมันก็เผ่นแนบไปเลย แต่คุณจีน่าไม่ต้องกลัวนะครับ ผมสั่งอะไหล่มาเปลี่ยนให้แล้ว แต่ว่ายังมาไม่ถึง เมื่อกี้เขาโทรมาบอกแล้วว่าพรุ่งนี้อะไหล่จะมาถึง รับรองครับว่าเปลี่ยนแล้วอาโซอี้ของคุณจีน่าจะหล่อเหมือนเดิม ผมเอาอะไหล่แท้เปลี่ยนให้เลยนะครับไม่ได้มั่วนิ่มเอาของปลอมมาใส่รับรองด้วยเกียรติของเถ้าแก่ฮงเลยครับ รับรองรับผิดชอบเต็มที่”
จากท่าทีเหมือนโกรธเกรี้ยวในตอนแรกอยู่ๆ จินาภาก็ทำตาแดงๆก่อนที่น้ำตาหยดแรกจะไหลลงมาและตามด้วยหยดต่อๆมารวมกันเป็นสายอาบแก้มราวกับเปิดก๊อก ชนภัทรทำสีหน้าทึ่งจัด ส่วนเถ้าแก่ฮงตกใจด้วยปรับอารมณ์ไม่ทัน
“จีน่าก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่จีน่าสงสารโซอี้ โซอี้ไม่ใช่แค่รถธรรมดาๆนะคะ สำหรับจีน่า โซอี้เป็นเหมือนเพื่อนเหมือนคนรัก โซอี้เจ็บ จีน่าก็เลยรู้สึกเจ็บไปด้วย ขอโทษนะคะเถ้าแก่ จีน่าไม่น่าร้องให้ให้เถ้าแก่เห็นเลย แต่...แต่..จีน่าอดไม่ได้จริงๆ ขอบใจเถ้าแก่นะคะที่รับผิดชอบโซอี้เป็นอย่างดี ไม่คิดมั่วเอาของปลอมๆมาเปลี่ยนเท่านี้ก็ขอบคุณแล้วค่ะ แต่จีน่า จีน่า...ฮือๆ”
จินาภาสะอึกสะอื้นจนตัวโยน เอาหน้าซบลงตรงไฟที่แตก ทำท่าเสียใจราวกับไฟไหม้บ้านก็ไม่ปาน เถ้าแก่ฮงเงอะงะทำอะไรไม่ถูก สักครู่จึงนึกออกมาได้
“อ่า..คุณจีน่าครับ คือผมเสียใจจริงๆ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง เอาอย่างนี้นะครับเพื่อแสดงความขอโทษจากใจจริงที่ทำไฟรถคุณจีน่าแตก และทำให้คุณจีน่าต้องเสียเวลาและต้องเสียใจขนาดนี้เอาเป็นว่าค่าซ่อมรถคุณจีน่า สองหมื่นกว่านี้ผมไม่คิดคุณจีน่าสักบาทเลยแล้วกัน แล้วผมจะแถมเงินเติมน้ำมันรถให้อีก ๕๐๐๐ ค่าที่ทำให้คุณจีน่าต้องเสียเวลา”
“จริงหรือคะ แต่ไม่ดีกว่านะคะมันมากไป จีน่าไม่ได้ต้องการอะไร”
“ไม่มากไปหรอกครับ นะครับคุณจีน่า ได้โปรดรับไว้เถิดครับ แค่คุณจีน่าจะไม่ร้องไห้”
“อ่า..ก็ได้ค่ะ จีน่าขอบคุณเถ้าแก่นะคะที่กรุณากับจีน่า”
จินาภากระพุ่มมือไหว้เถ้าแก่ฮงด้วยกิริยาแช่มช้อยส่วนน้ำตานั้นก็แห้งไปราวกับใครปิดก๊อก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับไม่ได้เพิ่งร้องไห้มาก่อน เถ้าแก่ฮงอ้าปากค้างด้วยความงงสนิท ไม่ทันจะได้ว่าอะไรต่อไป จินาภาก็กล่าวคำอำลา บอกว่าต้องไปถ่ายละครต่อ แถมยังบอกให้ชนภัทรนำรถไปคืนเธอตามที่อยู่ของคอนโดที่ให้ไว้เมื่อซ่อมเสร็จเรียบร้อย แต่ก็ไม่ลืมจะเรียกชนภัทรเหมือนคนที่ไม่รู้จักกันว่า “คุณช่างคนนี้”
.......................................
ที่กองถ่ายละคร “บาปปริศนา”กำลังวุ่นวายเพราะปาเข้าไปเกือบสามโมงเย็น นางเอกของเรื่องก็ยังไม่โผล่ศีรษะมาให้เห็น ธุรกิจกองถ่ายกำลังไล่บี้เอากับนัตโตะผู้จัดการส่วนตัวของจินาภาที่ยืนหน้าซีดหน้าเซียว มือที่กดมือถือสั่นไปด้วยทั้งความโกรธและความเมื่อย เพราะเธอเฝ้าโทรหาจินาภามาร่วมสองชั่วโมง หลังจากนั่งใจเย็นรอมาก่อนหน้านั้นแล้วชั่วโมงกว่า
จินาภาไม่ได้รับสายนั้นสักครั้งเดียวปล่อยให้โทรศัพท์สั่นอยู่อย่างนั้นราวกับมีเจ้ามาประทับทรง จนเมื่อนัตโตะใกล้จะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ เธอก็โผล่เข้ามาด้วยสีหน้ารีบร้อน ตรงเข้าไปหาทีมงานพลางยกมือไหว้กราดไปทั่ว
“จีน่า ขอโทษทุกคนนะคะที่ต้องเสียเวลารอจีน่า เมื่อเช้าจีน่าปวดหัวน่ะค่ะก็เลยไปหาหมอ หมอให้ยากินแล้วจีน่าเผลอหลับนานไปหน่อย ตื่นมาอีกทีก็รีบมานี่ล่ะค่ะ ขอโทษทีมงานทุกคนนะคะที่ต้องเสียเวลากันไปหมด จีน่าผิดเองค่ะที่ไม่ดูแลร่างกายให้ดี ทำให้ไม่สบายอยู่เรื่อย ตอนนี้ก็ยังปวดหัวอยู่นิดๆนะคะแต่จีน่าไหวค่ะ”
“โธ่ จีน่า ถ้าไม่สบายโทรมาบอกกันก็ได้ ไม่น่าต้องฝืนร่างกายตัวเองมาอย่างนี้ แค่โทรบอกพี่คำเดียว พี่สั่งยกกองไปเลยก็ได้ สุขภาพของจีน่าสำคัญกว่านะจ๊ะ”
ธนพล ผู้กำกับวัยดึกตรงเข้ามาโอบไหล่จินาภา พลางแสดงความเอาอกเอาใจ ไม่สนใจสายตาของทีมงานที่มองค้อนหน้าคว่ำกันถ้วนหน้า ก่อนที่จะสั่งให้ทุกคนเตรียมถ่ายฉากต่อไป
“จีน่าจะทำอย่างนั้นได้ยังไงคะ แค่นี้จีน่าก็เหมือนคนเห็นแก่ตัว เรื่องของตัวเองคนเดียวแท้ๆ ทำให้คนอื่นเดือดร้อนกันไปหมด อีกอย่างวันนี้ก็จะปิดกล้องแล้วด้วย”
“โถ แม่คุณ ไม่ต้องคิดมากไปหรอกจ๊ะ ไม่มีใครว่าจีน่าหรอก นะ ไปแต่งตัวแต่งหน้าเถอะ เก่งๆอย่างจีน่ายังไงเราก็ถ่ายทันฉากจบแน่นอน เปลี่ยนจากพระเอกนางเอกสารภาพรักตอนพระอาทิตย์ตกดิน เป็นสารภาพรักกันตอนดาวขึ้นเต็มท้องฟ้า ออกจะโรแมนติคดีออกไม่มีเรื่องไหนเขาทำกันด้วย”
ปลอบนางเอกที่เพิ่งจะโผล่มาตอนใกล้จะหมดแสงเสร็จ ผู้กำกับก็หันไปสั่งงานทีมงานต่อ จินาภาจึงเดินหน้าเชิดไปให้ช่างแต่งหน้า มีนัตโตะเดินตามไปติดๆ
“จีน่า บอกพี่นัตโตะมาตามตรงนะคะ ว่าคุณน้องไปไหนถึงมาถึงเอาป่านนี้”
“ก็จีน่าบอกแล้วไงคะว่าจีน่าไม่สบาย พี่นัตโตะไม่เชื่อจีน่าเหรอคะ”
“เชื่อก็ได้ค่ะ แต่ทำไมไม่รับสายพี่สักครั้งละคะรู้ไหม พี่โดนทีมงานว่าไม่รับผิดชอบหน้าที่ ไม่รู้ว่าน้องจีน่าหายไปไหนทั้งๆที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวแท้ๆ พี่ชักน้อยใจแล้วนะคะ มีอะไรทำไมไม่บอกพี่สักคำ”
“ก็ตอนนั้นจีน่ายังคิดคำแก้ตัวไม่ออก เอ๊ย..จีน่ายังปวดหัวยังมึนๆอยู่น่ะค่ะ แล้วก็ดันเผลอตั้งระบบสั่นเอาไว้ จีน่าขอโทษนะคะพี่นัตโตะ คราวหน้ามีอะไร จีน่าจะบอกพี่นัตโตะทันทีเลยค่ะ”
“พี่ว่า อาจจะไม่จำเป็นแล้วมั้งคะ”
“อ้าว..ทำไมล่ะคะ” จินาภามองนัตโตะผ่านกระจกแต่งหน้าตาค้าง เห็นนัตโตะยืนก้มหน้าทำท่าลำบากใจ
“พี่ว่า...เอ่อ..พี่อาจจะขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการส่วนตัวของน้องจีน่าน่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ พี่นัตโตะ หรือว่าจีน่าให้ส่วนแบ่งพี่นัตโตะน้อยเกินไป จีน่าเพิ่มให้อีกก็ได้นะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องเงินหรอกค่ะ คือพี่นัตโตะว่า พี่ดูแลน้องจีน่าได้ไม่ดีพอ พี่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีไม่สมกับการเป็นผู้จัดการของน้องจีน่า แล้ว..แล้ว...พ่อพี่ที่บ้านนอกก็ไม่ค่อยสบายแกเจ็บออดๆแอดๆ มานาน พี่อยากจะกลับไปดูแลแกน่ะค่ะ”
“อ้าว..ไหนพี่นัตโตะบอกว่า พ่อพี่รับไม่ได้ที่พี่เป็นกระเทยไงคะ แล้วกลับไปแกจะไม่โมโหพี่เอาอีกเหรอ”
“แกเลิกโกรธพี่แล้วล่ะค่ะ ตอนหลังพี่โทรคุยกับแกบ่อย แกเลยอยากให้พี่กลับไปอยู่บ้าน แกบอกพี่ว่า...”
พอดีทีมงานมาตามจินาภาไปเข้าฉาก เมื่อหญิงสาวลุกไปแล้ว นัตโตะมองเงาตัวเองในกระจก พูดประโยคที่พูดค้างไว้ต่อเหมือนจะบอกกับตัวเอง
“ถ้ามันลำบากยากเข็ญ เหนื่อยใจเหนื่อยกายขนาดนั้น นัทกลับบ้านเถอะลูก ฟังที่ลูกเล่ามา กลับมาเลี้ยงควายที่บ้านเรา สบายกว่าเยอะนะลูกนะ พ่อให้อภัยทุกอย่าง อย่าทนทรมานตัวเองเป็นทาสยัยนั่นอีกเลย”
.......................................................................................
เสียงโทรศัพท์ดังจนเงียบไปเป็นรอบที่สาม ชายหนุ่มจึงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา เขาคว้ามือถือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะกดดูเลขหมายที่โทรเข้ามา พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง การตื่นสายไม่ใช่นิสัยของเขาแต่อาชีพการเป็นนักแสดงที่ทำงาน เลิกไม่เป็นเวลาทำให้ พีรวีร์ ต้องกลายเป็นคนนอนดึกตื่นสาย หรืออาจจะตื่นบ่าย จนกว่าจะรู้สึกว่าได้พักผ่อนเพียงพอ ชดเชยกับการทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่นบ่อยๆ
วันนี้เขาไม่มีคิวถ่ายละครจึงถือโอกาสนอนยาวจนกระทั่งถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์ ชายหนุ่มโทรกลับไปยังหมายเลขที่โทรเข้ามา ถือสายรออยู่ครู่สั้นๆ ปลายทางก็รับสาย
“แม่หรือฮะ...สวัสดีครับแม่ แม่สบายดีหรือเปล่าครับ โทรหาพีแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าฮะ....อ้อ...บ่ายแล้ว...แหมก็พีเพิ่งตื่นนี่ฮะเมื่อคืนอยู่ถ่ายจนตีสามกว่าจะได้กลับมานอน...แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ...พีสบายดีครับแม่ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่เคยปวดหัวตัวร้อนเลยครับ ลูกแม่แข็งแรงอย่างกับควายถึก...โธ่แม่พีเปล่าประชดนะครับ ก็แม่พีดูแลเอาใจใส่ดีขนาดนี้ ลูกแม่จะไม่แข็งแรงได้ยังไง แต่พีอยากจะนอนต่ออีกสักงีบ ตุนเอาไว้คืนนี้มีถ่ายอีกหลายฉาก...ครับ จะดูแลตัวเองอย่างดีครับ...คิดถึงแม่นะครับ...ราตรีสวัสดิ์ครับแม่....”
วางสายมารดาแล้วก็นอนต่อไม่หลับ พระเอกหนุ่มพลิกตัวไปมาสองสามรอบก็ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ จัดการอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อย รู้สึกหิว เปิดตู้เย็นดูก็เห็นแต่ความว่างเปล่าในนั้น จึงปิดห้องลงไปหาอาหารสำเร็จรูปที่มินิมาร์ทที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโด
เมื่อได้อาหารกล่องสำเร็จรูปที่ต้องการจึงเดินกลับ แล้วก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังส่งเสียงตะโกนมาแต่ไกล
“พีพีจัง พีพีจังจริงๆด้วย”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว หันซ้ายแลขวา หาเจ้าของเสียง แล้วก็เห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงมา ด้วยอาการร่าเริง เขาผงะถอยไปสองก้าวเมื่อเธอเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะหยุดหายใจหอบถี่อยู่ตรงหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าตัวเองไม่รู้จัก หรือคุ้นหน้าแม้แต่น้อย
ร่างผอมบาง ใบหน้านั้นเกือบเหมือนจะกลมด้วยแก้มอิ่ม มีแว่นตากรอบดำเชยๆครอบอยู่บนตากลมโตผมยาวหยิกฟูไปทั้งศีรษะราวกับสิงโต มีย่ามสีม่วงที่ทำจากไหมถักคล้องอยู่ที่ไหล่ สวมรองเท้าผ้าใบและถุงเท้าสีขาว เพราะเป็นรองเท้าผ้าใบที่เองที่ทำให้เธอสามารถวิ่งมาเร็วๆได้โดยไม่กลัวล้ม
“พีพีจัง พีพีจังตัวเป็นๆ โอ๊ย หล่อกว่าในทีวีอีก ตายแล้วฝันไปหรือเปล่าเนี่ย”
“เอ่อ..อ่า น้อง เรียกพี่เหรอ”
ชายหนุ่มเอานิ้วชี้ตัวเอง ทำหน้าเหรอหรา มองหญิงสาวตรงหน้าที่ยังทำท่าตื่นเต้นดีใจ จนเก็บอาการไม่อยู่
“พี่ว่าน้องจำคนผิดหรือเปล่า พี่ชื่อ พีรวีร์ครับ ไม่ใช่ พีพีจัง คนไทยแท้ๆครับไม่ใช่คนญี่ปุ่น”
“ก็นี่ล่ะค่ะ พีพีจัง โธ่ ทำไมจำไม่ได้ล่ะคะ น้ำฝนก็เรียกแบบนี้ทุกที”
คราวนี้พระเอกหนุ่มถึงกับเกาศีรษะ มาอีกชื่อหนึ่งแล้วที่เขาไม่รู้จัก น้ำฝน ใครวะ ความงงทบเท่าทวีคูณ หันซ้ายหันขวาเหมือนจะหาตัวช่วย ผู้คนเริ่มมองมา เหมือนจะมีรอยยิ้มขบขันส่งมาให้เขากันถ้วนหน้า ผู้คนแถวนี้คุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดีเพราะอาศัยอยู่ในย่านนี้มานานพอสมควร แต่ท่าทางของสาวน้อยที่เหมือนได้พบเทพบุตรในฝันคนที่อยู่ตรงหน้านี่สิ ทำให้ผู้คนสนใจ เมื่อชายหนุ่มทำท่าว่าไม่เข้าใจจริงๆ สาวน้อยก็เริ่มฟื้นความจำให้เขา
“นี่ น้ำฝน ไงคะ น้ำฝน ศลิลา ที่เขียนจดหมายมาหาพีพีจังบ่อยๆ ที่บอกพีพีจังว่าน้ำฝนจะตั้งใจเรียน จะสอบให้ติดจะได้เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ มาอยู่ใกล้ๆพีพีจัง ตอนนี้น้ำฝนสอบติดแล้วนะคะ แล้วก็มาหาหอพักอยู่แถวนี้ มันไกลมหาวิทยาลัยไปหน่อย แต่ใกล้คอนโดพีพีจัง น้ำฝนว่าจะต้องได้เจอพีพีจังสักวันหนึ่งแน่ๆ แต่ไม่นึกว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้ โอย น้ำฝนดีใจจัง”
สายตาของศลิลาบอกว่าไม่ได้โกหกเลยสักนิด เขาเห็นความตื่นเต้นดีใจระริกไหวอยู่ในนั้น ในตากลมโตภายใต้แว่นเชยๆ
“อ่า...พี่ดีใจด้วยนะที่น้องสอบติด แต่พี่ว่า...เอ่อ...ไม่มีเรียนหรือจ๊ะวันนี้”
ชายหนุ่มไม่รู้จะปิดการสนทนานี้อย่างไร เขาอยากจะกลับให้ถึงคอนโดเต็มทนแต่สาวน้อยไม่มีทีท่าว่าจะถอยไปไหน ยังคงจ้องมองมาที่เขาตาเขม็ง ราวกับเขาเป็นวัตถุแปลกจากนอกโลก
“ไม่ค่ะ น้ำฝนไม่มีเรียน เพิ่งจะไปรายงานตัวมาค่ะ”
“อ้อ..เหรอจ๊ะ เอ่อ จะเอาลายเซ็นพี่ไหม เดี๋ยวพี่เซ็นให้”
“ไม่ค่ะ น้ำฝนมีแล้ว ที่พีพีจังส่งไปให้ทางจ.ม.ไงคะ”
“อ๋อ เหรอ แล้วน้องอยากได้อะไรจ๊ะ พี่จะได้จัดให้ ถ่ายรูปไม๊ มีกล้องหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ แต่น้ำฝนกำลังบันทึกภาพพีพีจังไว้ในใจน้ำฝนอยู่นี่ไงคะ”
ตายแล้ว เป็นเอามาก ทำยังไงดีวะกู พีรวีร์นึกอยู่คนเดียวในใจ พยายามหาทางไปให้ตัวเอง ขาเขาเริ่มขยับพาตัวเองคืบหน้าไปทางที่จะไปก้าวหนึ่ง
สาวน้อยก็ขยับตามไปก้าวหนึ่งเหมือนกัน ชายหนุ่มมองตามเห็นขาที่มองอย่างไรก็สั้นกว่าเขาแน่ๆ แล้วก็สูดหายใจลึก มือกระชับถุงอาหารที่ถือไว้แน่นอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว ที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ใบหน้าของตัวเอง ไม่ปรากฏเป็นเงาอยู่ในแว่นตาของเด็กมหาวิทยาลัยหมาดๆที่ยืนยิ้มยิงฟันอยู่ตรงหน้า
พีรวีร์เริ่มก้าวออกห่างช้าๆ เขาส่งยิ้มไปให้ สาวน้อยก็พยายามจะยิ้มให้มากขึ้นจากที่ก็ยิ้มเสียจนจะไม่เห็นตาดำอยู่แล้ว เพื่อเป็นสัญญาณว่ากำลังยิ้มตอบเขาอยู่
“เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไร พี่ขอตัว...”
ยังพูดไม่ทันจบสาวน้อยก็แทรกมา
“งั้นหัวใจ ขอให้เอาไว้ที่น้ำฝนได้ไหมคะ”
พระเอกหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เหงื่อเริ่มตก ทั้งๆที่อากาศก็ไม่ร้อนสักเท่าไร
“อ่า...พี่หมายถึง พี่ต้องกลับแล้ว ถ้าน้ำฝนไม่มีอะไร...”
“กรี๊ด!!!พีพีจังเรียกชื่อน้ำฝนด้วย”
พระเอกหนุ่มตาเหลือก เบิกตาโตอย่างตกใจ แอบชายตาไปมองผู้คนที่อยู่รอบข้าง คราวนี้มีบางคนถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แอบหันหน้าไปขำบ้าง แต่บางคนก็ขำให้เขาเห็นซึ่งหน้ากันเลย
ถ้าไม่ได้เป็นเขาที่ยืนเครียดอยู่ตรงนี้ ใครจะไม่ขำก็คงผิดปกติไป สาวน้อยคนนี้กรี๊ดอย่างเดียวก็พอว่า นี่แม่คุณกระโดดสองขาตัวลอยแถมเข้าให้ด้วย ชายหนุ่มพยายามทำสัญญาณมือให้เธอสงบลง แต่เหมือนเป็นอย่างเดียวของเขาที่ศลิลาจะไม่ใส่ใจ
แต่พอชายหนุ่มเริ่มก้าวออกห่างเท่านั้น ศลิลาก็ก้าวตามได้อย่างทันกันทันที หล่อนกลับมาจ้องเขาตาวาวอีกครั้ง เหมือนจะบอกเขาเป็นนัยว่า ยังไงวันนี้เขาก็ไม่อาจหนีรอดไปจากสายตาของหล่อนได้ เหมือนสิงโตที่กำลังจ้องเล่นงานเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น
พีรวีร์อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขาเผลออาจโดนเด็กสาวคนนี้กระโดดกอดคอเอาดื้อๆก็เป็นได้ เขาจ้องตอบตาเธอไม่กระพริบ เพราะกลัวจะเป็นอย่างที่คิด
สำหรับสาวน้อยก็กลัวว่าพีรวีร์จะหายไปจากสายตา การได้เจอดาราคนโปรดจะมีสักกี่ครั้งในชีวิตของสาวบ้านนอกอย่างศลิลา
ฉะนั้นเมื่อเขาก้าว ศลิลาก็ก้าวตาม เมื่อเขาเริ่มวิ่ง ศลิลาก็วิ่งตาม เธอคิดว่านี่เป็นโอกาสที่เธอจะได้รู้แน่ว่าพีรวีร์อยู่ตึกไหนท่ามกลางตึกที่ขึ้นราวกับดอกเห็ด
ส่วนพีรวีร์คิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอหายนะของการเป็นคนดังแบบเต็มๆ เขาวิ่งสุดฝีเท้า ก้าวให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหลือบตามองเหลียวหลัง เด็กสาวในชุดนักศึกษายังกวดตามเขามาอย่างไม่ลดละ พระเอกหนุ่มวิ่งหนีเหมือนเจอผีหลอกกลางวันแสกๆ
และในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายชนะ เมื่ออาศัยความชำนาญในพื้นที่หลบเข้าซอกตึก หลุดรอดพ้นการตามล่าของศลิลาไปได้แบบหวุดหวิด
ยังแอบมองเห็นเธอมาหยุดมองเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อหาเขาไม่เจอ พีรวีร์แทบไม่กล้าหายใจ พยายามย่องเงียบจรดฝีเท้า ขึ้นห้องไปได้ในที่สุด
พอปิดประตูอยู่ในห้องตัวเองได้สำเร็จ ชายหนุ่มยกถุงอาหารที่มีอาหารสำเร็จรูปหลายอย่างอยู่ในนั้นขึ้นดู แล้วก็ต้องหย่อนทั้งหมดลงถังขยะ เพราะทุกอย่างทั้งอาหารคาวอาหารหวาน ต่างเทรวมกันลงมาปนกันหมดสิ้น จากเหตุการณ์หนีตายที่เขาประสบมาเมื่อครู่
พีรวีร์ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ล้มตัวลงนอนหมดแรงบนโซฟา แล้วก็หลับตา ทำอาเมนนึกถึงพระเจ้า ก่อนจะหลับไปจริงๆอีกครั้ง..
.......................................................................