Fic ROV - Rose and Time [Arduin]
กุหลาบงามและกาลเวลา
กุหลาบเป็นดอกไม้ที่สวยงาม ละมุนละไม มีเสน่ห์ สื่อความหมายไปในด้านที่ดี มีกลิ่นหอมหวานชวนหลง มีรสนิยม มีราคา และชนชั้นสูงมักใช้กัน
แล้วตะกอนกุหลาบที่เป็นของเหลือใช้จากมันล่ะ?
โดยส่วนตัว เขาจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ว่าตัวเองเกิดขึ้นมาอยู่บนโลกนี้ได้กี่ปีแล้ว แต่เท่าที่พอจะยังจำได้ เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลขุนนางใหญ่ที่รับใช้กษัตริย์โดยตรง
กุหลาบเพลิง, เฟลมมิ่งโรส
ตัวเขานั้นเป็นอัศวินผู้สู้เคียงข้างกษัตริย์แห่งมวลมนุษยชาติ เธน ไม่ต้องสืบเลยว่ายศตำแหน่งของตัวเขานั้นสูงแค่ไหน แม้ในตอนนั้นจะยังไม่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ด้วยเกมการเมืองก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ว่าทำไมถึงแย่งชิงบัลลังก์มาได้
หรืออาจเพราะมันเป็นลิขิตฟ้า….ของชายผู้เป็นผู้นำแห่งมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
เขาในตอนนั้นคือผู้นำตระกูล, ผู้นำในขณะนั้น ในฐานะลูกคนโต และพี่ชาย….
ตั้งแต่เกิดมาเขาก็ได้ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตขุนนางมาโดยตลอด นั่งเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของใครต่อใคร, เกมการเมือง, และการแก่นแย่งชิงกันภายในราชสำนัก เหมือนกับสลัมของชนชั้นสูงไม่มีผิด, เน่าเฟะ
แต่ต่อให้บ่นแบบนั้นไปก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยโดนฝึกมารยาทหรือการสอนให้เข้าสังคม การเป็นผู้ดี เล่นเกมการเมือง ฉาบหน้ากากของราชสำนัก….ถึงแบบนั้นก็ต้องขอบคุณที่ราชวงค์ของอาณาจักรนี้เป็นการปกครองโดยกษัตริย์นักรบ นั่นทำให้มีธรรมเนียมว่าหากตระกูลใดมีลูกชายให้ส่งไปเป็นอัศวินเพื่อรับใช้อาณาจักรต่อไป
และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เขาได้รับการฝึกฝนจากเวด้าที่คิดว่าน่าจะเป็นจอมเวทหรือผู้วิเศษ เพราะยังไงซะชนชั้นสูงก็มักมีจอมเวทประจำตระกูลไว้ประดับบารมีอยู่แล้ว ยิ่งจอมเวทผู้นั้นมากฝีมือเท่าใด ยิ่งทำให้มองเห็นเกียรติยศศักดิ์ศรีของตระกูลชัดเจนมากเท่านั้น, เฟลมมิ่งโรสก็เช่นเดียวกัน
ไม่ได้จะเยินยอตัวเอง, แต่ก็นับว่าฝีมือของเขานั้นพัฒนาไวมาก และก็คงจะเพราะได้มาเป็นอัศวิน ชีวิตก็เริ่มติดดิน ทำอะไรหลายๆอย่างได้ตามใจมากขึ้นโดยไม่ต้องห่วงหน้ากากของราชสำนัก และด้วยความเป็นผู้นำของตระกูลสูงสุดในการรับใช้กษัตริย์รวมถึงความสามารถในการพูดชักนำเพื่อสร้างแรงผลักดัน เขาในตอนนั้นไม่ต่างอะไรจากผู้นำของมวลมนุษยชาติเลยด้วยซ้ำ
ทว่าตัวเขาที่ก้าวขึ้นไปถึงจุดนั้นได้ เขาไม่ได้ใช้ดาบประจำตระกูลแต่อย่างใด โดยส่วนตัวแล้วแค่คิดว่ามันไม่เหมาะกับตัวเองเท่าไหร่ เลยเลือกจะปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นแล้วเลือกใช้ขวานแทน โดยตั้งใจไว้ว่าควรให้มันไปอยู่ในมือของคนที่เหมาะสม….คนที่เหมาะสมกับมัน และเหมาะสมกับการเป็นคนตระกูลโรสอย่างแท้จริง….
เขาไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าเธนในขณะนั้น, ขณะที่ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ เพียงผู้นำทัพแนวหน้าของอาณาจักร ถึงได้น่าหมั่นไส้จนเผลอนับเป็นคู่ปรับได้ถึงเพียงนั้น….
ทั้งที่ตำแหน่งหน้าที่และยศก็เท่าๆกันแท้ๆ….
จุดเปลี่ยนของเส้นทางชีวิตเริ่มขึ้น ยามเมื่อเขาตัดสินใจจะเข้าต่อสู้กับเธน ถึงผลการตัดสินจะไม่แน่ชัดเท่าไหร่ แต่ก็แว่วๆมาว่าเขาสามารถชนะใจเธนได้ในเรื่องของกุลยุทธ์ที่ไร้ความกลัว….แต่ถึงแบบนั้นก็ยังเจ็บใจอยู่ดี
ตลอดหลายปีที่ร่วมงานมาด้วยกัน กำแพงได้ถูกกร่อนลงไปอย่างช้าๆ เมื่อเริ่มรู้จักกันมากขึ้นและเริ่มเห็นด้านต่างๆของอีกฝ่ายมากขึ้น รวมถึงความกล้าที่จะเผชิญกับความมืดโดยไม่ท้อถอย แม้ตัวของคนคนนั้นจะไม่ได้ยิ่งใหญ่คับฟ้า ไม่ได้สูงเกินจะเอื้อมถึง แต่มันก็ทำให้เขาตระหนักรู้ได้ทันทีและพร้อมจะเข้าสวามิภักดิ์อย่างไม่สนศักดิ์ศรีหรือแม้แต่ใครจะมองยังไง
นี่แหละกษัตริย์ที่แท้จริง….
อัศวินนั้นไม่ก้มหัวต่อหน้าใครนอกจากนายของตนและกษัตริย์แห่งอาณาจักร….แต่กับเขานั้นไม่ใช่….เขาก้มหัวให้กับแม่ทัพที่ยืนอยู่จุดเดียวกับตน เรียบง่าย เงียบเชียบ แต่หนักแน่น
แด่ผืนฟ้า….
และหลังจากตอนนั้น มิตรภาพของพวกเขาก็เริ่มเติบโตเรื่อยมา….แม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำสาบานใดออกไป แต่ก็ตระหนักรู้อยู่ในใจว่าควรจะทำอะไรและอยู่ในฐานะไหน….
ระหว่างนั้นเอง ตระกูลโรสได้มีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เธอเป็นเด็กผู้หญิง สายเลือดเดียวกันกับเขา และในตอนนั้นเองเช่นกันที่เขาได้เป็นพี่ชายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้จะไม่อยากเท่าไหร่ก็ตาม
ยิ่งเติบโตเธอยิ่งดูสมกับเป็นคนตระกูลโรสมากกว่าตัวเขาโข เรือนผมสีแดงกุหลาบทว่าก็ราวกับเป็นสีของเปลวเพลิงครุกครุ่น, งดงาม มากความสามารถ มากเสน่ห์ และฉายแววความเป็นผู้นำออกมา….ไวกว่าตัวเขาในวัยเยาว์ซะอีก
อิจฉา…. ใช่, เขาค่อนข้างคิดอิจฉาอยู่พอสมควรเลย หากว่าเธอคนนี้เติบโตขึ้นมาแล้วพิเศษกว่าเขา กลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะต้องถูกมองข้าม แต่ทว่าเขาก็โตเกินกว่าจะมานั่งน้อยใจหรือคิดมากอะไรกับเรื่องแบบนี้แล้ว
หลายครั้งหลายคราวที่เขาได้กลับมาพักผ่อนและดูแลสาวเจ้า สำหรับเขาแล้วกาลเวลานั้นน่ากลัว….มันกัดกร่อนความรู้สึกในอกให้หายไปได้เหมือนกับสายน้ำที่เซาะหินผาจนพังทลาย, ไม่แปลกใช่ไหมหากเขาคิดจะรักเธอ เป็นห่วงเธอ และหวงเธอ….แบบที่พี่น้องทั่วไปเป็นกัน
ต้องขอบคุณอีกครั้งที่ตระกูลของเขาเป็นตระกูลที่ซื่อตรงต่อกษัตริย์ มิเช่นนั้นเธอก็คงถูกทำเป็นตุ๊กตาในการแย่งชิงตำแหน่งราชินีแบบลูกสาวตระกูลอื่นๆของพวกขุนนางโลภมาก แต่กระนั้นเธอก็ยังต้องฝึกมารยาทและฉาบหน้ากากของราชสำนักไว้อยู่ดี
เธอคนนั้นเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสียและเด็ดเดี่ยว, ยิ่งกว่าเขา….เพราะเธอได้ให้คำสัตย์สาบานกับเธนไปอีกคนว่าจะรับใช้ว่าที่กษัตริย์องค์นี้ตั้งแต่ตัวเองยังอายุไม่ถึงสิบแปดด้วยซ้ำ ใช่, เธอเลือกเดินทางเดียวกับเขา การเป็นอัศวิน
กาลเวลาที่หมุนเวียนไปอย่างยาวนาน กองทัพของมวลมนุษย์ชาติได้ดำเนินมาถึงศึกสุดท้ายกับเหล่าปีศาจ ระยะเวลาหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้ทะเลาะกับสหายร่วมรบของตน และนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีนั้น, ในศึกสุดท้าย….
เพราะความคิดต่างกันเกินไป ต่างกันคนละขั้วจนไม่สามารถทำให้มันสมานเข้าหากันได้ ดังนั้นแล้วกองกำลังจึงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย, ฝ่ายหนึ่งล่าถอยกลับไป, ส่วนอีกฝ่ายเดินหน้าต่อ
แต่ว่าการตัดสินใจครั้งนั้นของเขาผิดพลาดอย่างมหันต์
กองทัพถูกล่อลวงเข้าไปยังพื้นที่อันหนาวเหน็บ, ไอซี่ เทอร์เรียน โดยฝีมือของราชินีแห่งรัลติกาลผู้เป็นท่านหญิงแห่งเหล่าปีศาจทั้งปวง ถึงแบบนั้นก็ยังมีแววอยู่ดีว่าจะได้รับชัยชนะ
หากว่าเปลวเพลิงเยือกแข็งไม่ถูกจุดขึ้น….
หากว่าปีศาจผู้บ้าคลั่งยังถูกจองจำ….
อาจเป็นเพราะตัวเขาด้วยที่ไม่ได้เตรียมแผนการใดไว้ล่วงหน้าเลย เพื่อนนักรบหลายนายต้องทิ้งชีวิตไปในที่แห่งนี้ ทั้งด้วยความหนาวเย็นของเปลวเพลิงและความบ้าคลั่งของปีศาจที่ถูกปลุกขึ้นมา
….เขาได้แต่โทษตัวเอง
ปลายทางสุดท้ายของตัวเขาคือตราบาปที่พากองทัพมาเจอสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่ตราบาปสูงสุด แต่มันก็เป็นหนึ่งในตราบาปที่หากเขายังมีสติครบถ้วน เขาจะไม่มีวันลืมมัน….
เปลวเพลิงสีน้ำเงินแผดเผาฟ้าครึ้มเหนือหัว ภาพสมรภูมิน้ำแข็งเลือนลาง ผนึกศักดิ์สิทธิ์อาจปกป้องเขาจากเปลวเพลิงได้ในช่วงแรก แต่ไม่อาจปกป้องเขาจากเปลวเพลิงมหาศาลที่ถูกอัดเข้ามาในร่างได้
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเปลวเพลิงแต่มันก็หนาวเย็นจนสุดปลายขั้วหัวใจ, แม้มันจะหนาวเย็นสุดปลายขั้วหัวใจแต่ก็แผดเผาร่างกายให้มอดไหม้เป็นธุลี, แม้แต่หยาดน้ำตาก็แปรเป็นไอเย็นของน้ำแข็งก่อนได้รินไหลลงมา
『 ꧁❦༻✛༒✛༺❦꧂ 』
กลิ่นบางเบาลอยมาแตะจมูกทำให้อาร์ดูอินตื่นจากภวังค์ ดวงตาสีน้ำเงินที่ตอนนี้เปล่งแสงอ่อนๆเป็นสีฟ้าเรืองรองค่อยๆปรือขึ้นก่อนจะตวัดขึ้นช้อนมองตัวต้นเหตุที่นั่งอยู่บนมือปีศาจยักษ์สีทึบทะมึนน่าสะอิดสะเอียน นางเป็นหญิงงามในชุดเสื้อผ้าน้อยชิ้นยั่วเย้าราคะ รัศมีอำนาจรอบตัวของเธอคนนั้นทำให้มือปีศาจนั่นไม่ต่างอะไรกับบัลลังก์อันยิ่งใหญ่เลยแม้แต่น้อย
ในมือของสาวเจ้ามีโถเครื่องหอมลวดลายเรียบๆที่ถูกจุดไว้แล้วอยู่ในมือ ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีเลยว่าเจ้ากลิ่นที่รบกวนเขานี้มันเป็นฝีมือของอะไร
“ รสนิยมห่วยชะมัด ” อดีตอัศวินศักดิ์สิทธิ์อดไม่ได้ที่จะบ่นออกไป อีกฝ่ายหัวเราะรับเบาๆก่อนจะวางโถเครื่องหอมลงกับพนักวางแขนข้างตัว ปล่อยให้กลิ่นหอมหวานลอยอวลไปทั่วแบบนั้น
“ พูดยังกะว่าเจ้ามีรสนิยมนะ ” หล่อนแขวะกลับอย่างไม่จริงจังนัก จากนั้นจึงขยับขาขึ้นไขว้กันแล้วเผยรอยยิ้มออกมาเช่นทุกครา
“ เออ ข้ารู้น่า ” ได้ยินเช่นนั้นอาร์ดูอินก็เดาะลิ้นอย่างขัดใจเสียไม่ได้ เขาไม่น่าไปคุยกับหล่อนเลย ให้ตายสิ “ หมายถึงว่าไม่มีกลิ่นอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ ตะกอนกุหลาบนี่โคตรจะเลี่ยนพิลึก ”
วีร่าหัวเราะในลำคอ แววตาพราวระยับด้วยเล่ห์กลจนคนมองชักจะชินชากับมันไปแล้ว “ อยากได้กลิ่นอื่นก็ไปหามาสิ ข้าใช้ได้หมดนั่นแหละ แมคแกงก้าน่าจะทำให้ได้ด้วยนะ ” หญิงสาวว่าแล้วจึงเลื่อนมือมาประสานกันไว้ที่หน้าตักของตน
“ เหมือนเจ้ารู้ว่าข้ากำลังคิดอะไร ” หลังจากประโยคนี้ชายเจ้าของเรือนผมสีฟ้าเรืองแสงในความมืดสลัวเคล้าจากเปลวเพลิงสีม่วงรอบบริเวณก็ชะงักเงียบไป กลิ่นหวานเลี่ยนของตะกอนกุหลาบยังคงอบอวลไปทั่ว ฉุน หวานเลี่ยน หยาบ เบาบาง มีหน้าที่เพียงแค่ให้ความหอม ไร้ราคา แม้แต่สามัญชนยังไม่ค่อยจะเห็นใช้กัน ต่างจากกลิ่นกุหลาบหอมที่รวยรื่น ละมุนละไม เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ชวนหลงใหล แอบแฝงมารยา ยิ่งคุณภาพดียิ่งมีราคา ชนชั้นสูงมักใช้กันทั่วไปโดยเฉพาะในหมู่ของสตรี
เขาละสายตาออกมาพลางเอนตัวพิงขวานประจำกายที่ยันไว้อยู่ข้างตัว ก่อนจะถอนหายใจยาวจนสาวงามต้องเหลือบสายตามองอย่างสงสัย
“ ถ้าไม่ไหวจริงๆข้าเปลี่ยนให้ก็ได้นะคุณเฟลมมิ่งโรส ” วีร่าเอ่ยแซวกระซิกด้วยน้ำเสียงหวานหยด จากนั้นจึงทำท่าจะหันไปหาโถเครื่องหอมเตรียมดับกลิ่นแล้วหากลิ่นใหม่มาจุดแทน
อาร์ดูอินเบือนหน้ากลับไปสบตากับเจ้าหล่อน ทั้งคู่ไม่มีเล่ห์ใดหรือความนัยแอบแฝงในดวงตา จากนั้นก็เป็นฝ่ายของชายผิวซีดขาวที่หลุดหัวเราะขึ้นมาก่อนในลำคอ ริมฝีปากระบายยิ้มบางๆ
จริงอยู่ที่ตะกอนกุหลาบมันหวานเกินไป หยาบเกินไป ฉุนเกินไป ตรงไปตรงมาเกินไป และดาดดื่น แถมเป็นของเหลือใช้อีก ไม่เหมือนกุหลาบที่มีดีกว่าทุกอย่าง แต่ว่าบางที….
“ ช่างเถอะ ข้าว่าข้าน่าจะเหมาะกับกลิ่นนี้ที่สุดแล้วมั้ง…. ”