Everlasting Emotions
หลังสงครามยกแรกจบลง ไม่ว่าใครที่ไหนก็พบแต่ความสูญเสีย ทุกคนต่างหายไปโดยไร้สาเหตุ ไม่มีใครบอกได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร รอบตัวกำลังเกิดอะไรขึ้น ได้แต่ตั้งคำถามว่าผงธุรีที่ลอยไปตามอากาศนั้นจะสามารถกลับมาเป็นคนที่รักได้รึเปล่า หรือนี่จะเป็นการจากลาที่ไร้ซึ่งทางกลับกัน?
ภาพของคนเป็นที่รักมากมายหายไปต่อหน้าต่อตา ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ไม่มีใครอธิบายความรู้สึก ณ ตอนนั้นได้ ไม่มีเสียงใดเอื้อนเอ่ยออกมา ความรู้สึกต่างๆได้ถาโถมเข้ามา ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยคำถาม ที่ไร้ซึ้งคำตอบ บางที นี่อาจเป็นความฝันที่ทุกอย่างไร้เหตุผล หรืออาจเป็นเพียงมายากลอะไรสักอย่างที่แค่เพียงดีดนิ้ว "เป๊าะ" ทุกอย่างก็หายวับไป ไม่มีเหตุผล ไม่มีสาเหตุ เพียงแค่ดีดนิ้ว ได้แต่ตั้งข้อสงสัยไว้ในใจ
แต่ทุกคน ที่เหลืออยู่ต่างรู้ดีว่านี่ไม่ได้เป็นแค่ฝัน ไม่ได้เป็นเพียงมายากลตามข้างถนนที่หายวับไปแล้วเรียกกลับมาได้ ไม่ใช่มายากลที่ไว้หลอกให้ผู้คนได้สนุกสนาน และหัวเราะชอบใจ พร้อมกับโปรย เศษ เหรียญ เงิน ทองต่างๆนานา และปรบมือพร้อมสีหน้าอัศจรรย์ใจถึงกลวิเศษที่ได้เชยชม นี่ไม่ใช่ความฝัน และไม่ใช่มายากล มันคือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชาวไททันคนนั้นก็คงดีดนิ้วอยู่ดี
ท่ามกลางความว่างเปล่าที่ทุกคนยังหาคำตอบไม่ได้ จนได้แต่คร่ำครวญหาคนที่หายไป หรือจะเรียกว่าสูญสลายไปดี? พยายามไขว่คว้าอากาศที่ว่างเปล่า ทั้งๆที่ไร้ซึ้งสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องหน้า บางทีนี่อาจเป็นการเยียวยารูปแบบนึง การสร้างภาพมายาในจิตใจ ราวกับว่าคนเบื้องหน้ายังอยู่ ปลอบประโลมจิตใจ แล้วไขว่คว้าอากาศที่อยู่เบื้องหน้า
หรือนี่อาจเป็นการหาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เหมือนทุกที เป็นอุโมงค์ที่เห็นแสงแห่งความหวังเสมอ แค่วิ่งตามแสงอุโมงค์ที่ปลายทางไป เราทั้งหมดก็จะพบกับทางออก ทางออกที่คลี่คลายทุกข้อสงสัย และนำพาคนมากมายให้หวนกลับมา เพียงแต่ตอนนี้อุโมงค์ที่ว่าเป็นเพียงอุโมงค์ที่ถูกถล่มลงมากลางคัน ปราศจากทางออก และไร้วี่แววแสงที่ปลายทาง..
ความมืดมิดในยามนี้ปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ไม่แน่ใจว่า ความมืดเหล่านี้เป็นเพราะกาลเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปจนถึงยามราตรีที่ไร้แสง หรือความเศร้าหมองในจิตใจที่ปิดบังดวงตาให้ มืดบอด
ทุกอย่างที่วูบเป็นสีดำหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด ชายหนุ่มผมทองไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน และไม่อยากจะคิดอะไรแล้วด้วยเช่นกัน เขารู้แค่ว่าตอนนี้เขานั้นไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนหยัด ไร้คำพูดใดๆที่จะเอื้อนเอ่ย ตอนนี้เขาทำได้แค่นั่ง.. นั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างหมดแรง หมดหนทาง และบอบช้ำ นั่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่รายล้อมรอบกาย
"ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกนะ พี่ข้า" เสียงๆนึงได้เอื้อนเอ่ยท่ามกลางสถานที่ ที่ไร้แสง เสียงนั้นเป็นเสียงที่เขาได้ยินมาร่วมนานนับพันปี เป็นเสียงที่เขายากจะลืม ได้แต่คิดว่า หากเสียงนั้นเป็นของจริง เขาคงดีใจมากกว่านี้ เพราะสิ่งที่เขาเห็นกับตา ไม่สามารถลบล้างได้ด้วยเสียงที่ได้ยิน
บางทีนี่อาจเป็นนิมิตเหมือนเมื่อครั้งแรคนารอค พอคิดแล้ว แววตาว่างเปล่า หม่นหมองลงเรื่อยๆ เพราะครั้งล่าสุดที่เขาได้ฝันถึงนิมิตนั้น มันไม่เคยมีเรื่องดีเกิดขึ้นเลย มีแต่สูญเสีย ความสูญเสียที่ได้ก่อนคลื่นลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำ และถึงแม้จะได้ยินเสียงนั้นเต็มสองหู ก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของคนผู้นี้ดีขึ้นได้ นี่อาจเป็นแค่ความฝันของสภาวะจิตใจที่เป็นอยู่ ความฝันที่ทำให้เขาคิดว่า บางทีอาจเป็นเพราะความคิดถึงต่อคนผู้นั้นที่มีมากเกินไป มากจนเกินเยียวยา คิดถึงมากเสียจนทำให้โลกทั้งใบแตกสลาย คิดถึงบุคคลที่ตนช่วยไว้ไม่ได้
ร่างกายรู้สึกด้านชาไปหมด ไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ ไร้พละกำลังที่ผู้มีสายเลือดเทพควรมือ ไร้คำพูดใดๆที่จะเอื้อนเอ่ยราวกับลำคอได้แห้งผากเสียจนไม่สามารถขับเสียงใดออกมาได้ อารมณ์ขันที่มีมลายหายไป เขามีโอกาส มีโอกาสแล้วที่จะนำชีวิตของไททันผู้นั้น แต่เขาทำพลาด เขาทำพลาดอีกแล้ว
ดวงตาสีอ่อนอ้อยอิงมองคนที่อยู่ตรงหน้า ที่ไม่แม้แต่จะขยับตัว ถ้าเป็นแต่ก่อนชายผู้นี้คงเงยหน้าขึ้นมาแค่นยิ้ม ให้กับตนแล้ว ยิ้มโง่ๆ แบบที่เขาทำมาตลอด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ธอร์คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นคือความฝัน เพราะแม้จะอยากให้เป็นจริงสักเท่าไร ก็มิอาจหวนคืนความจริงที่เห็นกับตาได้ ธอร์ได้แต่นั่งใจจดใจจ่อนิ่งๆ เพราะไม่รู้ว่าตนจะทำเช่นไร มันมืดบอดไปหมด มันคือการสูญเสียครั้งใหญ่ที่เขาไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เขามันไร้ความสามารถสิ้นดี
"ข้ารู้ว่าข้าทำอะไรอยู่" เจ้าของเสียงขยับปลายเท้าเข้ามาหาชายที่นั่งคุกเข่าอย่างคนสิ้นหวัง ท่ามกลางความมืดรอบกายที่ค่อยๆสว่างสไวขึ้นมาที่ละนิด ราวกับว่า แสงที่ปลายอุโมงค์นั้นได้เปิดออก ให้เห็นถึงแสงตะวันก่อนลาลับไป เจ้าของเสียง คุกเข่าลง เขารู้ว่าสภาพจิตใจของคนตรงหน้านั้นใกล้สลายเต็มทน และอาจคิดว่านี่เป็นความฝันหรืออาจเป็นภาพมายาอะไรสักกอย่างในภวังค์ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาก็อาจจะใช่ และคนตรงหน้าอาจปักใจเชื่อว่านี่คือความฝันก็ไม่ผิดเสียทีเดียว
"ท่านก็รู้ ว่าข้าไม่ทำอะไรโดยไม่มีแผน และเป็นท่านเองไม่ใช่เหรอ เป็นท่านเอง ที่บอกข้า.." ใบหน้าของเทพมุสาเคลื่อนหาชายที่ยังแน่นิ่ง สำรวจใบหน้าที่คุ้นเคยก่อนแตะหน้าผากชนกันเบาๆ "ว่าข้า.. เป็นอะไรได้มากกว่านั้น" ผู้เป็นน้องหลับตา ส่งผลให้ผู้เป็นพี่หลับตาตาม เขารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกที่ว่างเปล่าค่อยๆถูกเติมเต็ม รอยแหว่งภายในใจเหมือนถูกเยียวยาให้กลับมาอีกครั้ง เหมือนเมื่อครั้งยังอยู่เคียงข้าง ความรู้สึกหลากหลายได้สลายไป ได้แต่จดจ่อกับช่วงเวลาตอนนี้
ธอร์ที่ไม่ทราบว่าสิ่งที่เห็น และได้สัมผัสนั้นเป็นของจริงหรือภาพมายา ความสับสนได้เกิดขึ้นมาแทนที่ในหัว ทั้งสภาวะจิตใจที่ย่ำแย่เกินรับไหว ได้แต่ภาวนา ให้ทุกอย่างเป็นจริง ทั้งๆที่ถึงแม้สิ่งที่ได้เห็นมากับตาจะเป็นหลักฐานชั้นเลิศในการพิสูจน์ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นคือความฝัน เป็นเพียงฝันที่ต้องตื่น
ดวงตาสีเขียวอ่อนของคนตรงหน้าเปิดขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆนำมือของตนเคลื่อนเข้าหามือหยาบของผู้เป็นพี่ชายทั้ง2ข้าง ทาบทับมือของตนกับมือข้างซ้ายของอีกฝ่าย บีบมือหนาเบาๆพร้อมกับพยุงเลื่อนให้มาแตะลำคอของตนเองเหมือนเช่นดั่งวันวาน เหมือนดั่งวันที่ผู้พี่ต้องการคำตอบจากเขา ซักไซร้ถึงความจริงด้วยการจับเขาอย่างอ่อนโยนไม่ว่ายามไหน
ส่วนมืออีกข้างก็วางทาบทับกับมือขวาที่จับขวาน เป็นขวานที่แตกต่างจากค้อนMjonir ที่เคยเห็นมาตลอด ค้อนที่เคยอยู่เคียงคู่ท่านพี่ จนเคยคิดหลายครั้งว่าถ้าหากท่านขาดค้อนนั้นไป ท่านจะเหลืออะไร จะสามารถพิชิตทุกสงครามแล้วคว้าชัยกลับมาได้มั้ย จะสามารถปกป้องผู้เป็นที่รัก ปวงประชาได้หรือไม่ และจะสามารถเสียสละสิ่งนั้นเพื่อแลกกับใครบางคนได้รึเปล่า? แต่บัดนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว ธอร์ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว.. เพราะถึงแม้จะไร้ซึ่งMjonir เขาก็สามารถปกป้องทุกคนได้.. ปกป้องได้
ดวงตาสีอ่อนเปิดกว้าง มองคนตรงหน้า ที่เริ่มลืมตาขึ้นช้าๆหลังตนถูกนำมือเลื่อนมาตรงคออีกฝ่าย ต่างคนต่างรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้ง 2ได้แต่ซึมซับช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันอย่างช้าๆ ซึมซับความอบอุ่นแก่กัน เยียวยากันและกัน เหมือนเวลาในยามนี้ได้หยุดเดินลง
เรา 2พี่น้องได้อยู่ด้วยกันมาร่วมนับพันปี เคียงคู่เคียงข้างกันไปทุกสถานที่พเนจร ช่วยเหลือดูแล ประคองกันไปอย่างทุลักทุเล แต่กลับไม่เคยทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เรา2คนผ่านกันมาขนาดนี้ ดูแลกันขนาดนี้ รักกันขนาดนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า อนาคตข้างหน้าที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นยังไง จบลงแบบไหน และจะค้นพบกับความสูญเสียขนาดไหนกัน
"นี่พี่ข้า ท่านอาจไม่รู่ว่าทุกๆอย่างที่ข้าทำ ข้าทำเพื่อใคร และข้าทำไปทำไม.." มันยากเกินไปราวกับสารภาพบาป โลกิพยายามสูดหายใจ แล้วกล่าวต่อ "สิ่งที่ข้าทำท่านอาจไม่ตระหนักถึง อาจไม่สังเกตเห็นแต่ข้ามีเหตุผลที่ทำนะ ข้ามีเหตุผลเสมอ" ผู้เป็นน้องแค่นยิ้ม แล้วพูดต่อ "ที่ผ่านมา ที่อยู่ด้วยกันมาท่านไม่เคยรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของข้า นี่พี่ข้า ท่านรู้หรือไหม ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับท่าน ทำให้ข้ารู้สึกยังไง แน่นอนว่าท่านไม่รู้ เพราะแม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้ ข้ายังสับสนอยู่เลยท่านรู้รึเปล่า?" มันเป็นความสับสนที่ข้ายังหาทางออกไม่ได้.. ความสับสนภายในใจที่เกิดขึ้นเพราะท่าน..
"แต่สิ่งนึงที่เป็นของจริงคือ ท่านรู้ว่าข้ามีเหตุผล ท่านรู้ว่าข้ามีแผนตลอดเวลา แล้วท่านรู้มั้ยว่าแผนทั้งหมดนั่นเริ่มตอนไหน?" เหมือนเป็นปัญหาเชาว์ แต่ไม่ใช่ เวลาหลายพันปีที่ผ่านมาไม่เคยมีครั้งไหนที่น้องของเขาจะไม่มีแผน และเป็นเขาเองที่ตามไม่ทัน ได้แต่รับรู้ผลรับภายหลัง
"และท่านรู้รึเปล่า ไอ้การที่ข้าต้องมาเปิดใจกับท่าน พูดความจริงกับท่าน ปลอบประโลมท่าน มันลำบากข้านะ การพูดคุยกับตรงๆไม่ใช่ธรรมเนียมของบ้านเรา ท่านจำได้มั้ย?" โลกิแค่นหัวเราะพอนึกถึงช่วงเวลาที่เขา และพี่อยู่ที่ซาคาร์ "แล้วอีกอย่างท่านก็รู้ว่าข้ามีพรสวรรค์แค่การชักจูง หลอกล่อ โน้มน้าวจิตใจผู้คน.. บดขยี้ความรู้สึกของคนเหล่านั้น บุคคลเหล่านั้นที่รวมถึงท่านด้วย" คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก ธอร์มักเชื่อใจน้องชายของตนเสมอ เชื่อว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหน้า ยังคงเป็นน้องชายที่เขารักมากที่สุด และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าน้องชายของตนสามารถต้อนความรู้สึกของใครต่อหลายคนให้จนมุม และหมดหนทางได้ด้วยเพียงคำพูดธรรมดาๆ เพียงแค่เอ่ยคำๆใดออกมาก็สามารถบดขยี้ความรู้สึกของคนเหล่านั้นให้เจ็บช้ำยิ่งกว่าใครจะทำได้ เจ็บช้ำจนไม่สามารถเยียวยาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
ดวงตาสีอ่อนหม่นลง มืออีกข้างเลื่อนมาประกบที่ข้างแก้มผู้เป็นพี่ สูดหายใจลึกๆ พร้อมหลับตา สะกดกลั้นจิตใจไว้เหมือนที่ผ่านๆมา โดยที่สายตาสีฟ้า ที่พร้อมด้วยสีน้ำตาอีกข้างยังคงจดจ้องทุกการกระทำของคนที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาสีอ่อนสบตากับคนตรงหน้าที่มองตนไม่วางตา แม้แววตานั้นจะไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ มีเพียงแต่ความโศกเศร้า ความโกรธ ความรู้สึกผิดมากมาย ที่แผ่ออกมา อยู่ๆม่านตาของตนก็เอ่อล้น จนอธิบายความรู้สึกไม่ได้ ราวกับตนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหล่านั้นที่ท่วมท้น ออกมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
"บางที่ตัวท่านเองอาจไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำ ว่าข้าคิดอะไรอยู่ และอาจไม่รู้ด้วยว่า เป้าหมายของข้าคืออะไร จุดหมายที่ข้าทำมาทั้งหมดเพื่ออะไร" แววตาสิ้นหวังของผู้เป็นพี่มองหยดน้ำใสที่ไหลลงจากดวงตาของคนเบื้องหน้า โลกิหลับตาช้าๆสะกดกลั้นอารมณ์ไว้เขาทำได้ดี ใช่เขาทำได้ดีแล้ว แต่เหตุใดกลับไม่ดีพอ
น้ำใสไหลลงไม่หยุด และเมื่อลืมตากลับขึ้นมา ก็พบพี่ชายของตนที่อยู่ตรงหน้าเริ่มร้องไห้ด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นแต่ก่อน ก่อนถึงยามนี้ เขาคงพูดเหย้าหยอกผู้พี่ของตนไปแล้ว.. น่าเสียดาย โลกิไม่รู้ว่าสาเหตุที่ธอร์ร้องไห้นั้น เป็นเพราะอะไร เพราะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว หรือเพราะเห็นตนร้องไห้เลยไม่อาจหยุดน้ำใสให้ไหลตามได้
โลกิพยายามที่จะพูดอย่างนิ่งๆแต่กลับทำได้เพียงอ้าปากแล้วผลันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์เหมือนแต่ก่อน หากแต่ตอนนี้ กลับไม่หลงเหลือความเจ้าเล่ห์ให้นึกถึงอีกแล้ว
' เจ้าก็มีแต่ความเจ้าเล่ห์ ไม่เคยพัฒนาอะไรขึ้นเลย ' คำพูดของผู้เป็นพี่ผุดขึ้นมาในหัว นั่นก็จริง เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะนอกจากด้านนี้แล้วเขาก็คงไร้ความสามารถใดๆ ให้หยิบยกขึ้นมาปกป้องคนที่ตนรัก
ธอร์เริ่มบีบต้นคอผู้เป็นน้องแบบเบามือ ได้แต่คิดว่าบางทีเขาอาจรู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่เป็นเขาเองที่ไม่อาจรับรู้ว่าแท้จริงแล้ว ตนเองต้องการสิ่งใดกันแน่ บางทีแม้แต่ตอนนี้เขาอาจจะไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ และบางทีตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเขาอาจไม่เคยเข้าใจคนเป็นน้องที่ชื่อว่าโลกิเลยเช่นกัน
ภาพเมื่อวันวานยังวนเวียนในหัวเหมือนม้วนเทปที่เล่นต่อเนื่องไม่มีหยุด พอนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ใจของธอร์ ที่ได้ชื่อว่าเทพเจ้าสายฟ้า กลับสั่นไหว ทำให้เขาคิดว่าบางทีการที่ตนบีบต้นคอของคนเบื้องหน้า อาจทำไปเพื่อเป็นการยืนยันว่านี่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่มโนภาพที่เขาสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ภาพมายาที่ใครเขาทำกัน เพราะสิ่งที่เห็นและได้สัมผัสอยู่นั้นเหมือนจริงราวกับไม่ใช่ฝัน
"ข้าน่าจะช่วยเจ้าได้ น้องข้า ข้าน่าจะ.." เสียงหนาเอ่ยสะอึกอื้น สะกดกลั้นตัวเองเอาไว้ด้วยการบดเบียดหน้าผากที่ยังแตะกันอยู่ หลับตาแน่นพยายามห้ามหยดน้ำใส เหมือนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามา
"น่าจะช่วยเจ้า" น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้กลับไหลรินหนักกว่าเดิม เขาอาจไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกยังไง และอาจไม่รู้ด้วยว่าโลกิรู้สึกยังไง เพราะเขาเป็นแค่พี่โง่ ที่ไม่สามารถช่วยใครเอาไว้ได้ ขึ้นชื่อว่าเทพแห่งสายฟ้า แต่มิอาจปกป้องใครไว้ได้ เป็นกษัตริย์แห่งแอสการ์ดแต่กลับปกป้องประชาชนไม่ได้..
' นี่หรือสิ่งที่แต่ก่อนเขาเฝ้าฝัน นี่หรือสิ่งที่ตอนนี้เขาได้เป็น เป็นกษัตริย์ที่ปกป้องใครไม่ได้ '
"ข้าผิดเอง ข้า..." ดวงตาสีฟ้าที่หม่นหมองสบตากับดวงตาสีอ่อน ราวกับว่าตัวเองกำลังสารภาพบาปกับความฝันที่อยู่ตรงหน้า บาปที่หนักหนาเกินให้อภัย บางทีที่ใช้ความฝัน เพราะมันไม่ใช่ความจริง ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจแต่กลับอดคิดไม่ได้ว่าเหมือนจริงเหลือเกิน แต่นี่ก็เป็นเพียงฝัน เป็นเพียงฝันที่ไม่นานเมื่อเขาลืมตาขึ้น ฝันนี้ก็จะสลายไป
"ข้าผิด ที่.. ที่ช่วยเจ้าไว้ไม่ได้" มือเรียวบางของคนตรงหน้าเลื่อนมาซับน้ำตาของพี่ชายก้มหน้าลงเล็กน้อย พยายามยิ้ม หรืออาจหัวเราะ เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไง เพราะหากนี้เป็นความจริง เขาคงกอดพี่ชายไปแล้ว
' ถ้าเจ้าอยู่ตรงนี้จริงข้าคงกอดเจ้าไปแล้วโลกิ '
ดวงตาสีอ่อนสั่นไหวมากกว่าเดิม หากเป็นแต่ก่อนเขาคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เฉกเช่นคนเสียสติ แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่คนเดิม เหมือนแต่ก่อน เขาเป็นได้มากกว่าที่เป็นอยู่เมื่อครั้งในอดีต เป็นได้มากกว่า..
"ท่านก็รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของท่าน ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย ข้าเลือกเอง และยอมรับผลที่ตามมา เพราะงั้นเสีย อย่าร้องสิพี่ข้า มิดการ์ดทำให้ท่านอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ" โลกิพยายามแค่นหัวเราะ กลืนน้ำลายกลับลงคอด้วยความยากลำบาก
"ท่านพี่อย่าสิ้นหวังเพียงเพราะท่านไม่สามารถช่วยข้าได้ อย่าจมปรักกับอดีตที่ท่านเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เพราะมันไม่คุ้มค่าเลย" ดวงตาสีอ่อนพรุบลง
"หากแม้ตอนนั้นข้าไม่ตาย อีกไม่นานข้าก็ตายอยู่ดี แต่ความตายที่ว่าอาจเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนนี้"
"เมื่อถึงตอนนั้นแล้วท่านจะเศร้าบ้างมั้ย? นั่นสิข้าไม่น่าถามเลย.. " เป็นคำถามที่ไม่ควรถาม แต่ก็เป็นคำถามที่เขาอยากได้ยินคำตอบ.. "พี่ข้าความอึดถึกบึกบึนของท่านหายไปไหนเสียแล้ว เรี่ยวแรงที่มีกลายเป็นผงธุลีเหมือนเฉกเช่นคนพวกนั้นงั้นหรือ อย่าปล่อยให้ตนสิ้นหวังเสียสิ ถึงไม่มีข้าอยู่ท่านก็ทำได้ ไม่สิ" โลกิพลุบตาลงมองคนตรงหน้าอีกครั้ง มืออีกข้างเลื่อนมาประคองหน้าอีกฝ่าย "ข้าไม่เคยไปจากท่าน ข้าไม่เคยหายไปไหน เพราะตัวข้า อยู่กับท่าน พี่ข้า แม้แต่ตอนนี้ก็เช่นกัน" แววตาสีอ่อนมองดวงตาสีฟ้า และประดับดวงตาสีน้ำตาลของคนตรงหน้า ที่ตอนนี้มีความรู้สึกมากมายแผ่ออกมา
"มันไม่ใช่ความผิดของพี่เลย" ลมหายใจเบาๆ แผ่วข้าหากัน ไม่รู้ว่าลมหายใจอุ่นๆนี้เป็นของคนที่อยู่เบื้องหน้า หรือของเรา2คนกันแน่ "ทุกคนต่างรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ข้าเองก็รู้ ข้ารู้มานานแล้ว นานจนท่านอาจไม่ทันได้สังเกต" โลกิเลื่อนใบหน้าเข้าซบไหล่อีกฝ่าย เลื่อนมืออีกข้างเข้ามาประกบกับมือของผู้พี่ที่กระชับอยู่ตรงต้นคออีกครั้ง
"จดจำข้าไว้เหมือนเช่นดั่งวันวานรำลึกถึงข้าตราบเท่าที่ท่านทำได้ คิดถึงข้ามากกว่าใครที่ท่านสูญเสีย ข้าไม่ได้บังคับท่าน และสิ่งที่ข้าพูดนั้น ไม่ใช่เกม หรือเงื่อนไขที่ข้าสร้างขึ้นมาเพื่อปั่นหัวท่านเหมือนที่ผ่านๆมา" โลกิหลับตาลงพร้อมน้ำใสๆ "แต่นี่คือข้อเสนอที่ท่านจะได้เจอข้าอีกครั้ง แม้มันจะไม่ใช่ความจริงเหมือนดั่งที่ท่านหวังไว้ แต่อย่างน้อยท่านก็ได้เจอข้า และข้าเอง.." ดวงตาสีอ่อนว่างเปล่า ความรู้สึกเคว้งคว้างเข้ามาแทนที่ภายในจิตใจ "..ก็ได้เจอท่าน"
โลกิตัวสั่นเครือ คนผู้พี่กลั้นอารมณ์เอาไว้ "บางทีท่านเองอาจเข้าใจข้ามากขึ้น เข้าใจข้ามากกว่าใครในจักรวาลนี้จะเข้าใจได้" โลกิเลื่อนหน้าออก ม่านน้ำตาเอ่อล้นสบตากับดวงตาสีฟ้า พร้อมกับชักมีดสั้นออกมา.. แล้วแทงเข้าหาพี่ชายอีกครั้ง ราวกับนี่คือการบอกลา ที่ซึ่งไร้คำกล่าวอาลัย
"อ๊อก.." ธอร์ที่จิตใจย่ำแย่ไร้เรี่ยวแรงได้แต่พิงกับตัวน้องชาย คางเกยไหล่ของคนเป็นน้อง โลกิแค่นหัวเราะ ยิ้มทั้งน้ำตา ฉีกยิ้มกว้างราวกับนี่เป็นเรื่องตลก ราวกับว่าสถานการณ์ตอนนี้อดขำเสียไม่ได้ "ท่านนี่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ ไม่ว่าจะกี่ปีที่เราอยู่ด้วยกันมา ผ่านอะไรกันมา ท่านไม่ระวังตัวเลย.." โลกิหยุดรำลึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาหลับตาลง แล้วลืมตาอีกครั้ง "ไม่ระวังตัวเลย.. เมื่ออยู่กับข้า" ดวงตาสีอ่อนเต็มไปด้วยม่านน้ำตา ความรู้สึกหน่วงๆภายในใจได้ก่อตัวขึ้น
"จำที่ท่านพูดได้มั้ยที่ท่านพูดว่า ท่านหวังจะไว้ใจข้าได้" น้ำตาหยดใสไหลลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ริมฝีปากพยายามกล่าวพูดต่อไปอย่างช้า แม้มันจะไม่มีเสียงใดออกมาเลย โลกิสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมคำพูด หลังจากที่พี่ชายนำมือของตนมาทาบทับมือของโลกิที่ใช้มีดสั้นแทงเขาอยู่
' ไม่ใช่ฝัน หรือนี่เป็นฝันกัน ที่ข้าเห็นเป็นมายา อย่างงั้นหรือ ' คำถามมากมายเกินขึ้นในตัวธอร์ ตัวเขากักเก็บความรู้สึกมายมายมากเกินไปแล้ว
"แล้วท่านเชื่อข้ารึเปล่า ตอนที่ข้าบอกว่า ข้าสัญญา ดวงตะวันจะส่องสว่างต่อพวกเราอีกครั้ง" น้ำหยดใสไหลลงเรื่อยๆ ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะออกเสียง แม้แต่โลกิเองก็ไม่มั่นใจในคำพูดนั่นด้วยซ้ำ เจ้าของดวงตาสีอ่อน เริ่มสงบจิตใจเลื่อนใบหน้าออกจากไหล่ มองผู้พี่ที่ก้มหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
' คนที่ข้าไม่ควรเชื่อใจมากที่สุดคือเจ้า แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ข้าไม่ไว้วางใจเจ้าเลย ' นั่นคือสิ่งที่เทพสายฟ้าคิด ความคิดของธอร์ผู้เป็นพี่ชาย
"พี่ข้า อย่าลืมสิ่งที่ข้าบอกนี่ คือข้อเสนอที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่แน่.." โลกิพลุบตาลง สูดหายใจเข้าอีกครั้ง แล้วลืมตา พยายามพูดไปกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล หลังสัมผัสถึงเลือดอุ่นๆที่เริ่มไหลออกมามากขึ้น ผู้เป็นน้องมองบาดแผลที่ตนเองเป็นผู้สร้าง อารมณ์ทุกอย่างปั่นป่วนอย่างที่เคยเป็นเมื่อยามสับสน และเหมือนเมื่อครั้นตอนที่พบความจริงว่าตนเองแท้จริงมาจากไหน
ริมฝีปากสั่นแล้วเอ่ยต่อ กดเก็บทุกความรู้สึกที่มี "ไม่แน่ว่า.. บะ บางทีท่านอาจพบหนทางที่.. ที่ช่วยข้าได้ หรือบางทีข้า.." โลกิ หยุดคำพูด ก้มหน้าลงแบบเดียวกับผู้เป็นพี่ ไม่รู้ว่าจะเอ่ยดีมั้ย ได้แต่หลับตาลงพร้อมความรู้สึกมากมายในใจ รู้สึกผิดเหลือเกิน โลกิลืมตาเพียงนิด แต่แววตาบ่งบอกถึงคำขอโทษมากมายเกินจะเอ่ยออกมา เมื่อคุมอารมณ์ได้แล้วก็เงยหน้ามองคนตรงหน้าที่ ตอนนี้กลับมองเขาอยู่เต็มตา
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของผู้เป็นพี่แต่เดิมที่สงสัยอยู่แล้วกลับเพิ่มทวีคูณขึ้น ในทางกลับกันคำพูดเหล่านั้นเหมือนจุดประกายความหวังเล็กๆให้กับธอร์ 'ข้าเชื่อเจ้าได้ใช่มั้ย โลกิ ตัวข้ายังพอมีหวังอยู่ใช่มั้ย ความหวังที่จะได้เจ้ากลับมา'
โลกิพยายามพูดต่อด้วยความกระอักกระอ่วน ขณะ ที่คนตรงหน้าเริ่มขยับเข้าใกล้ตนเรื่อยๆ "บางทีข้าอาจจะยัง.. ไม่จากท่านไปก็เป็นได้" โลกิพยายามถอยห่าง มือของผู้เป็นพี่ชาย สอดประสานนิ้วของตน แววตาบ่งบอกถึงความหวังมากมาย บ่งบอกถึงความคิดถึงมากกว่าใครที่จะคิดถึงได้
' ใช่เจ้าจริงๆใช่มั้ย จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ บอกข้าทีว่าข้าไม่ได้ฝัน บอกข้าทีว่าดวงตาคู่นั้นที่ข้าสบตาอยู่ไม่ใช่ภาพมายา ' คำถามผุดขึ้นมาในหัวของธอร์ จากที่คิดว่านี่เป็นฝัน ความหวังเล็กๆได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้เป็นพี่ขยับเข้าใกล้ผู้เป็นน้องมากกว่าเดิม จ้องมองดวงตาสีอ่อนที่อยู่เบื้องหน้า มองใบหน้าของผู้เป็นน้องชัดๆ สำรวจดวงหน้าที่เขาคุ้นเคย เลื่อนเข้ามาใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ไม่รู้ว่าเป็นตนที่รู้สึกไปเอง หรือเป็นของคนเบื้องหน้าและเขากัน
ดวงตาสีอ่อนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ผู้เป็นน้องบีบมือพี่ชายเบาๆเหมือนเป็นการยืนยันคำตอบให้กับคนตรงหน้า แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไรในยามนี้ เพราะดวงตาสีฟ้านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายเหมือนกับเขา ความรู้สึกมากมายที่เอ่ยกล่าวหาคำอธิบายใดๆออกมาไม่ได้ รวมถึงความสับสนภายในจิตใจที่แผ่ออกมา แต่ที่ทำ เพราะเขาเพียงแต่กลั้นอารมณ์เอาไว้ อารมณ์มากมายที่มีให้คนเบื้องหน้า
' ท่านพี่ ท่านรู้ตัวหรือไม่ ว่ายามนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ ถ้าท่านยังขยับเข้ามาใกล้ข้าเช่นนี้ อาจเป็นข้าเองที่ทนไม่ไหว.. ' ว่าแล้วผู้เป็นน้องก็ใช้มืออีกข้างลูบผมของพี่ชาย เม้มปากแน่นพร้อมเก็บความรู้สึกไว้ในใจ ได้แต่คิดว่าไม่อยากเลย.. ไม่อยากห่างจากคนเบื้องหน้าเลย.. แล้วนำมือเลื่อนมาปิดดวงตาของผู้เป็นพี่ ดวงตา 2สีที่เปลี่ยนไป พร้อมรายเวทย์มายา เพื่อสร้างภาพให้เป็นที่จดจำในจิตใจของพี่ชาย
ภาพที่ปรากฏตอนนี้เป็นเพียงโลกิวัยเยาว์ รอยยิ้มสดใสที่อยู่ตรงหน้า เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีพิษไม่มีภัย เป็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา.. การใช้คำว่าไร้เดียงสาคงไม่ผิดเมื่อใช้กับโลกิผู้เป็นน้องของเขา.. ภาพที่เห็นทำให้คนเป็นพี่ที่ก่อนหน้าค่อยๆเลื่อนเข้าหาคนเป็นน้องกลับตกตะลึง ชะงักท่าทีที่เป็นอยู่ เหมือนทุกอย่างได้หยุดลง น้ำใสไหลลงโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสับสน หรือความรู้สึกโหยหา ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจกัน
ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้าง เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้า พุ่งเข้ามากอด แขนเล็กๆโอบรอบคอของตน ตัวธอร์โอนเอียงไปด้านหลังตามแรงที่ปะทะ ราวกับว่านี่คือชนวนจุดระเบิด เพราะหยดน้ำตาไหลทะลักออกมา เป็นสายธาร ธอร์เม้นริมฝีปาก พยายามหยุดยั้งความรู้สึกที่ได้ปะทุออกมา พยายามห้ามหยดน้ำใสที่ไหลลงมาอย่างหยุดไม่อยู่เมื่อยามนี้คนที่เขาได้สัมผัสนั้นคือคนที่เขารักมากที่สุด
ร่างสูงของเทพแห่งสายฟ้าพยายามบอกกับตัวเองว่านี่หาใช่เรื่องจริงมั้ย เป็นเพียงแค่ฝันที่สมจริงเกินไป เพราะสัมผัสที่ได้นั้นสมจริงเหลือเกิน ไม่ได้ เขาห้ามไม่ได้ ธอร์รีบโอบรัดคนเป็นน้องที่เป็นเพียงภาพมายาด้วยความรู้สึกถวิลหา พร้อมกับความรู้สึกกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไปอีกครั้ง ลืมเลือนทุกอย่างที่คิดหยุดยั้งทุกข้อที่สงสัย จดจ่ออยู่กับคนตรงหน้า ความอบอุ่นที่เขาถวิลหามาแสนนาน
เสียงสะอึกสะอื้นถูกปลดปล่อยออกมา เหมือนกับเด็กที่ร้องไห้ออกมาไม่หยุด ได้แต่พร่ำพูดคำคิดถึง คำพรรณนาความรู้สึกที่เป็นอยู่ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน ธอร์นึกถึงภาพครอบครัวเมื่อครั้งแต่ก่อน ภาพประชาชนสรรเสริญในวันที่เขาจะได้เป็นราชา ภาพของสหายที่ร่วมรบทำสงคราม ภาพมารดาที่คอยกล่อมตอนหลับนอน ภาพบิดาที่คอยสั่งสอนเขาถึงวิธีชีวิต ถึงการเป็นกษัตริย์ที่แท้จริง และภาพของน้องชายที่อยู่ตรงหน้า บุคคลที่เคียงข้างด้วยกันมานานนับพันปี
แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว เวลาเพียงนิดที่ได้สัมผัสถึงไออุ่นนั้นกลับมลายหายไป เมื่อเสียงของคนที่อยู่ตรงหน้าดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา กระซิบที่ข้างหูของเขา ดั่งสายลมที่ค่อยๆพัดผ่านไป
"พี่ข้า ทุกครั้งที่ท่านหลับไหล อย่าลืมนึกถึงข้านะ" ร่างโลกิเมื่อวัยเยาว์สลายวับไปกลายเป็นผงสีขาวเหมือนเมื่อยามดวงวิญญาณของท่านพ่อ และท่านแม่ที่จากไป ธอร์ได้แต่ตกตะลึง ค้างอยู่ท่าเดิมที่ได้โอบกอดผู้เป็นน้อง ความรู้สึกที่ว่าหายไปแล้ว สูญเสียอีกแล้วทำให้สมองขาวโพลน อ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อตระหนักได้ถึงสถานการณ์ ธอร์ก้มมองดูมือทั้ง2ข้างที่ว่างเปล่า แล้วพยายามไขว่คว้าอากาศที่เคว้งคว้าง ปราศจากคนตรงหน้า ปราศจากครอบครัว ปราศจากสหาย ทุกๆภาพหายวับไปเป็นผุยพง สถานที่สว่างสไวกลับมีความมืดคืบคลานเข้ามา
เพียงชั่วอึดใจเดียว ความรู้สึกที่ถูกเปิดออก ความอ่อนแอของเขามากมายได้ทะลักออกมา แต่กลับไม่มีใครช่วยปิดได้ ความรู้สึกว่างเปล่า และโดดเดี่ยว กลายเป็นคนๆเดียวที่เหลือรอดกลับเข้ามาแทนที่ เพียงชั่วอึดใจนึงเท่านั้นที่เขาได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของครอบครัว ถึงความเชื่อใจที่มีให้กับสหาย ถึงความรุ่งโรจน์ของแอสการ์ด ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงอากาศที่มองไม่เห็น เป็นผงละอองที่หายไปกับสายลม ไม่ว่าเขาจะพยายามไขว่คว้าอากาศที่อยู่ตรงหน้ามากแค่ไหน ก็ไม่สามารถไขว่คว้าสิ่งใดกลับมาได้
ทุกอย่างดำมืด จนไม่มีทางออก เหมือนโลกสีขาวได้แตกสลายลงกลายเป็นความว่างเปล่า ความรู้สึกของตนดำดิ่งราวกับตนจมลงไปในมหาสมุทร ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการแหวกว่ายขึ้นมาหาท้องนภา ความรู้สึกมากมายที่ไหลรินเข้ามา ถาโถมเข้าหาอย่างไม่หยุดหย่อน แสงจากดวงอาทิตย์ค่อยๆจางหายไปทดแทนด้วยความมืดมิดใต้มหาสมุทร ความหวังน้อยๆเริ่มดับลง พร้อมกับความรู้สึกมากมายที่เข้ามาแทนที่
ร่างดำดิ่งลงไปเหมือนคนที่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยจิตใจให้จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ หายใจไม่ออก ขยับตัวไม่ได้ ทำได้แต่โรยริน ปล่อยให้ตนดำดิ่งลงไปสู่ก้นมหาสมุทร ก้นมหาสมุทรผืนใหญ่ที่ไร้ซึ่งแสงตะวันจากท้องฟ้า และไร้ซึ่งหนทางในการกลับมา
ยิ่งลึกมากเท่าไรยิ่งทรมาณมากเท่านั้น ความรู้สึกมากมายยังถาโถมเข้าหาอย่างไม่หยุดหย่อน ความมืดมิดรอบกายมันน่ากลัวเหลือเกิน พยายามหนีแต่กลับไร้เรี่ยวแรง แม้แต่ดวงตาคู่นี้ ก็ใกล้ปิดเต็มทีแล้ว อึดอัด.. ได้แต่ภาวนาขอให้ใครสักคนช่วยดึงตนขึ้นมือ ไขว่คว้าข้อมือหนาของตน ให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง
หมับ
' โลกิ '
ดวงตาสีฟ้าลืมตาขึ้น กลางดึก กระเด้งตัวขึ้นมานั่ง หายใจหืดหอบ เหมือนไม่ได้หายใจมานาน ความรู้สึกเหมือนกับตนนั้นได้จมลงไปในมหาสมุทรที่ไร้ทางออกนั้นจริงๆ ทั้งสิ่งที่ได้เห็น และสัมผัส ความรู้สึกมากมายที่ได้ถาโถมเข้ามาเมื่อจมลงไป
หยดน้ำใสไหลทะลักออกมาจากดวงตาทั้ง 2ข้าง ไหลออกมาไม่หยุด แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไหลจนห้ามไม่ได้ เขาไม่ใช่คนอ่อนแอและเปราะบาง ออกจะเป็นเทพที่สามารถมองทุกอย่างเป็นเรื่องสนุก แต่ในยามนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว มือทั้งสองข้างซับน้ำตาเบาๆ ได้แต่คิดว่าเหมือนจริงเหลือเกิน เหมือนจริงราวกับว่า.. นั่น.. ไม่ใช่เพียงแค่ฝัน
สัมผัสที่เขาได้รับมันไม่ใช่เรื่องโกหก ความรู้สึกที่เขารับรู้มันได้ มันไม่ใช่แค่ฝันแต่มันคือของจริง ของจริงที่ไม่ได้เปฌนเพียงภาพมายา เป็นของจริงที่ทำให้ ความรู้สึกจริงๆของเขาที่ไม่เคยเปิดให้ใครรับรู้ ไหลทะลักออกมา เป็นความรู้สึกมากมายที่เขาเก็บมันไว้
ธอร์พยุงร่างของตนให้ลุกขึ่น ออกจะยากลำบากนิดหน่อยเมื่อยามนี้เขาไร้เรี่ยวแรง ชายร่างสูงพยายามพยุงตัวเองไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ผ่านหน้าต่าง โดยมือทั้งสองได้พาดไว้ที่ขอบระเบียง พอมองแบบนี้แล้วทำให้เขานึกถึงครั้งแรกที่เจอน้องชาย น้องที่ตอนแรกเขาเชื่อสนิทใจว่าเป็นน้องชายแท้ๆของเขา
ฮาา ธอร์นึกทบทวนเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นทั้งแต่ก่อนจนถึงตอนนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงพันปีที่ผ่านมา อะไรเปลี่ยนไปมากจริงๆ
ดวงตาของธอร์มองท้องฟ้าอย่างเหม่อหมอง มองไปอย่างไร้จุดหมาย ตอนนี้เขาไร้บ้าน ไร้ทรัพย์สมบัติ หมดอำนาจ และไร้ซึ่งคนข้างกายอย่างแท้จริง เหมือนคนเร่ร่อนไม่มีผิด ความรู้สึกอ้างว้างนี้ทำให้ เขาไม่อยากคิดอะไร ไม่อยากนึกถึงอะไร อยากอยู่เงียบๆ อยู่กับตัวเองเพียงลำพัง สงบสติ
' กลับไปเป็นธอร์คนเดิม '
ธอร์หลับตาลง สูดหายใจเข้าเพื่อสงบสติตนเอง เรียกพละกำลังที่ตนเองมี พละกำลังที่สายเลือดเทพควรมี รวมถึงคำอวยพรที่พระบิดาและมารดาทรงมอบให้ แต่น้ำหยดใสกลับไหลออกมาเสียดื้อๆ ได้แต่คิดว่า มันยากเหลือเกิน ถ้าหากเป็นเรื่องการรบเขาคงชนะ และคว้าชัยกลับมาได้อย่างงดงาม แต่เมื่อเกี่ยวกับความรู้สึก อะไรที่เปิดมาแล้วคงยากที่จะปิดหากขาดคนช่วย
เขาผ่านอะไรมาเยอะจริงๆในช่วงเวลาไม่ถึง10ปี ที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่สิ่งรอบตัวที่เปลี่ยนไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ด้วยที่เปลี่ยน ใช่แม้แต่ตัวข้าเองก็ด้วย ทุกคนล้วนเปลี่ยนไปหมด ธอร์แค่นหัวเราะ อยู่ๆเขาก็นึกถึงผู้เป็นน้อง ที่จริงมันไม่ใช่แค่อยู่ๆก็นึกเสียด้วยซ้ำ เขานึกถึงใบหน้านั้นมาตั้งแต่ตื่นแล้ว ภาพของบุคคลที่ยากจะเปลี่ยนแปลงไปได้ ทุกอย่างทุกการกระทำของผู้เป็นน้องยังติดตาไม่หาย ภาพของผู้เป็นน้องที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจากเดิม..
' โลกิเจ้าเป็นน้องที่เฮงซวยที่สุด ' แต่ข้าก็รักเจ้ามากที่สุด
' ข้าไม่ได้บังคับท่าน และสิ่งที่ข้าพูดนั้น ไม่ใช่เกม หรือเงื่อนไขที่ข้าสร้างขึ้นมาเพื่อปั่นหัวท่านเหมือนที่ผ่านๆมา ' เจ้าพูดถูก เจ้ามักปั่นหัวข้า ด้วยคำพูดคำจาที่น่าเชื่อถือ รวมถึงภาพมายาที่สมจริง สมจริงยิ่งกว่าความจริงที่เป็นอยู่
' พี่ข้า ทุกครั้งที่ท่านหลับไหล อย่าลืมนึกถึงข้านะ '
เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน เป็นเหตุการณ์ที่เป็นเพียงฝัน แต่สิ่งที่เห็นและได้สัมผัสกลับไม่ใช่ฝันอย่างที่คิด ภาพเหล่านั้นได้หลั่งไหลออกมา ถูกเรียบเรียงให้ออกมาทบทวนอีกครั้ง
ข้าอาจจะเพี้ยนไปแล้วที่เลือกเชื่อเจ้า หรือไม่ข้าก็โง่เกินที่ให้เจ้าหลอกอยู่ซ้ำซากและเชื่อทุกครั้งที่เจ้าพูดเชื่อถูกคำบอกกล่าวที่เจ้าเอ่ย ราวกับคนบ้าที่ไร้ซึ่งสติพิจารณาระหว่างความเป็นจริงกับความฝัน
พอคิดแล้วธอร์ก็นึกถึงรอยยิ้มของโลกิที่อยู่ในฝัน แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ "บางทีอย่างที่เจ้าบอกข้ามันโง่เอง" ร่างคนตัวสูงนำมือข้างนึงมาซับน้ำตา "ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะอยู่หรือตาย ไม่ว่าภาพที่ข้าเห็นนั่นจะเป็นของจริงหรือเป็นภาพมายาที่เจ้าสร้างขึ้นมา ข้าไม่รู้หรอกนะว่า สิ่งที่ข้าได้เห็นหรือได้ยิน หรือแม้แต่ร่างของเจ้าที่ข้าได้สัมผัสนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม" ธอร์สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามพูดถอยคำที่ค้างอยู่ในปากนั่นออกมา
"ถ้านั่นเป็นของจริง แม้ข้าจะไม่รู้เหตุผลที่เจ้าทำ" มันเป็นการตัดสินใจที่โง่ แต่ธอร์ได้ก้าวข้ามคำว่าโง่ไปหลายขุมแล้ว เขาเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน..
"แต่ โลกิ.."
"ไม่ว่าเจ้าจะได้ยิน หรือไม่ได้ยินข้า ก็ตาม น้องข้า" ดวงตาสีฟ้าจับจ้องไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหม่อมองดวงดาราราวกับว่าไกลออกไปนอกโลกน้องชายของเขาจะอยู่ที่ไหนสักแห่งโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้เป็นพี่เม้มปากแน่น
"ข้ารับข้อเสนอเจ้า" ม่านตาเอ่อล้นอีกครั้ง ร่างสูงแค่นหัวเราะออกมาแล้วก้มหน้าลง น้ำใสไหลลง เปาะแปะๆ อย่างต่อเนื่อง ถึงจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ฝันไม่ใช่เรื่องจริงเป็นเพียงภาพที่ละเมอพร่ำเพ้อไปเอง หลังจากการสูญเสียครั้งใหญ่ แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อตอนนี้ตัวเขาเอง ก็ไม่มีอะไรให้เสียแล้วเช่นกัน..
' I assure you, brother. The sun will shine on us again. '
"ข้าเชื่อเจ้า"