พวกคุณเคยตายกันบ้างไหม?
แน่นอนว่าร้อยทั้งร้อยต้องตอบว่า “ไม่”
มนุษย์เรามีชีวิตเดียว ตายแล้วจะไปไหน? ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ คนตายไม่อาจตอบเราได้
แต่ผมตอบได้ เพราะผมเคยตาย
เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว
...
......
...........
“อะ... อะไรนะ แม่… แม่พูดว่าอะไรนะ!! พี่… พี่ตายแล้วงั้นเหรอ”
โทรศัพท์ทางไกลจากครึ่งโลกปลุกให้ชายหนุ่มลุกขึ้นมารับด้วยอาการงัวเงียและตื่นเต็มตาเมื่อได้ยินข่าวร้ายว่าพี่ชายฝาแฝดเสียชีวิตลงแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ พี่ชายที่เขาเพิ่งจะวีดีโอคอลคุยกันอย่างสนุกสนานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทำให้เลือดคั่งในสมองจนยากต่อการรักษา
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากปลายสาย
“ไอ… ไอเพิ่งคุยกับเขาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แม่อย่ามาอำกันเล่น มันไม่สนุกเลยนะ”
“มุติ แม่ไม่ได้โกหก”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่ใหญ่ ความรู้สึกบางอย่างจุกแน่นอยู่ที่อกจนเหมือนจะอาเจียนออกมาราวกับว่าอีกครึ่งของชีวิตถูกใครบางคนพรากมันไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เขาอยากกลับลงไปนอนแล้วตื่นขึ้นมาใหม่เพื่อพบว่าข่าวของพี่ชายเป็นเพียงแค่ฝันร้าย ไม่ใช่ความจริง
“มุติได้ยินแม่ไหม ลูก”
“คะ… ครับ”
“แม่รู้ว่าลูกกับพี่สนิทกันมาก ลูกมางานศพพี่ได้ไหม พี่เขาต้องอยากให้ลูกมาลาเป็นครั้งสุดท้าย”
“แม่ ไอก็อยากจะไปแต่ไอไม่ได้ลางานเอาไว้ ไอคงไปงานศพพี่ไม่ได้”
ปลายสายเงียบไปอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่พยายามเก็บซ่อนความเสียใจเอาไว้ในนั้น “แม่เข้าใจ”
“ยังไงไอก็กลับไปหาเขาแน่แต่ขอไอเคลียร์ทุกอย่างที่นี่ให้เรียบร้อยก่อนนะ ไอจะบอกแด๊ดให้แต่ไอไม่รับปากว่าแด๊ดจะกลับไปได้ไหม ชีวิตแด๊ดหมกมุ่นอยู่แต่กับงาน”
“เรื่องนั้นแม่เข้าใจ เราถึงได้เลิกกันไง”
“งั้นถ้าไอจะกลับเมื่อไรแล้วจะโทรบอกนะ ตอนนี้ขอไอไปนอนก่อน อีกไม่กี่ชั่วโมงต้องไปทำงานแล้ว”
หลังจากที่สายทางไกลถูกวางไป มุติไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ การตายของไม้ พี่ชายฝาแฝดเป็นเรื่องไม่คาดฝันในชีวิตต้อนรับปีใหม่ ต้อนรับวันเกิดของพวกเขา
รูปถ่ายคู่กันครั้งล่าสุดเมื่อสิบปีที่แล้วในวันรับปริญญาของไม้บนหัวเตียงถูกหยิบขึ้นมาดู มุติใช้เวลาอยู่กับมันเกือบครึ่งชั่วโมง แม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะมีหน้าตาเหมือนกันจนแทบจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครแต่นิสัยกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม้เป็นคนสุภาพ อ่อนโยน รักเด็กซึ่งตรงข้ามกับมุติที่ทำตัวไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งใดและเกลียดเด็ก
ในขณะที่มุติจมจ่ออยู่กับรูปถ่ายใบนั้น ในหัวก็คิดเพียงแค่ว่ามันคงเป็นเรื่องที่แม่แกล้งกันเล่นๆ และอีกไม่นานพี่ชายฝาแฝดจะต้องวิดีโอคอลกลับมาเพื่อกล่าวสุขสันต์วันเกิดให้แก่เขา แก่พวกเราที่เกิดในวันเดียวกันแต่มันกลับกลายเป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ไม่มีสายโทรเข้า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นนอกเสียจากความเศร้าเสียใจที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
“ไม้ นายตายจริงๆ เหรอวะ” มุติเอ่ยถามกับบุคคลในภาพถ่ายแต่ไม่ได้รับตอบใดๆ
“ถ้ามุติไปงานศพไม้ไม่ได้จะไม่โกรธใช่ไหม มุติ…” มุติเงียบไปครู่หนึ่ง พยายามกลืนก้อนสะอื้อที่จุกแน่นอยู่ตรงคอ “อยากไปหาไม้นะ แต่อยากให้เข้าใจว่าคงไปทันทีไม่ได้ ไม่โกรธกันนะ พี่ชาย”
มุติจ้องมองบุคคลที่ยืนกอดคอเขาในภาพถ่าย ไม้เป็นพี่ชายที่ยิ้มสวย ไม่ว่าใครเห็นรอยยิ้มนั้นเป็นต้องหลงใหลกันทุกคนเช่นเดียวกับเขาที่ชอบรอยยิ้มของพี่ชายมากเป็นพิเศษ มันทำให้เขาอารมณ์ดีและผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้เห็นแต่ทว่ากลับไม่เคยได้พูดออกไปแม้แต่คำเดียว
“มุติชอบรอยยิ้มของไม้ที่สุดเลยนะ ต่อแต่นี้ไปคงเห็นได้แค่ในรูปถ่ายแล้วใช่ไหม”
มุติซบหน้าลงกับกรอบรูปที่อยู่ในมือ สิ่งที่เขาพยายามมาตลอดชีวิตคือการไม่ร้องไห้ต่อหน้าพี่ชายฝาแฝด ไม่ว่าตนจะเจ็บปวดแค่ไหน เสียใจเท่าไร เพราะเมื่อได้เห็นไม้เสียใจไปกับเขา ร้องไห้ไปพร้อมกันกับเขาในวันที่เราสองคนต้องถูกแยกให้จากกัน เขาได้สัตย์สาบานกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นในชีวิตก็จะยิ้มให้ไม้เสมอ แต่ทว่าในวันนี้เขาผิดคำสาบานที่ตัวเองได้ให้เอาไว้ เขาร้องไห้อย่างห้ามไม่อยู่ หยาดน้ำตาหลั่งรินไหลลงกระทบกระจกกรอบรูปจนมันพร่ามัว
“มุติขอโทษที่ร้องไห้ ขอแค่วันนี้วันเดียวนะ แล้วมุติจะยิ้มให้ไม้เหมือนเดิม”
มุติปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย เขารู้ว่ามันไม่อาจนำพาความเสียใจให้จากไปได้แต่ก็ไม่รู้จะหาทางไหนระบายมันออกมาได้เช่นกัน
“มุติ… ขอโทษ มุติโกหกแม่อีกแล้ว ไม้ยกโทษให้ด้วยนะ มุติแค่อยากให้แม่รู้แค่ว่าแด๊ดยุ่งกับงานมากแต่ไม่อยากให้แม่รู้ว่าแด๊ดไม่เคยสนใจพวกเรา ตั้งแต่ที่มุติมาอยู่ที่นี่ แด๊ดก็ส่งเข้าโรงเรียนประจำ พอปิดเทอมก็ไม่เคยมารับ มุติไม่เคยได้กลับบ้าน พอเรียนจบมุติก็พยายามทำงานเก็บเงินแล้วย้ายออกมาเอง ไม่ค่อยได้ติดต่อกับแด๊ดอีก อย่าไปเข้าฝันแม่แล้วบอกเรื่องนี้นะ มุติอยากให้มันเป็นความลับระหว่างเราสองคน มุติ… มุติกลับไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเรื่องงานแต่มุติไม่มีเงิน ขอเวลาให้มุตินะ แล้วมุติจะรีบไปหา”
-------------------------------------------------------------