ปี XXXX ณ หมู่บ้านริมทะเลแห่งหนึ่งในแดนอาทิตย์อุทัย ท่ามกลางสายฝนอันชุ่มฉ่ำชาวประมงหนุ่มผู้หนึ่งเดินถือร่มมุ่งหน้าไปตามทางอันนำไปสู่เรือนของตน แต่แล้วเขาก็พลันต้องชะงักกึก เมื่อเห็นหญิงสาวผมยาวในชุดกิโมโนสีแดงงดงามนางหนึ่งเดินฝ่าฝนมาในทิศทางตรงข้ามโดยปราศจากร่ม
สัญชาตญาณของสุภาพบุรุษทำให้ชายหนุ่มรีบเดินจ้ำเข้าไปแบ่งกำบังน้ำฝนในมือของตนให้ฝ่ายหญิง และแล้วความงามของสตรีผู้นั้นก็ทำให้ชาวประมงหนุ่มเผลอส่งยิ้มให้เธอไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม ซึ่งหญิงสาวผู้เปียกปอนไปด้วยน้ำฝนนั้นก็แย้มยิ้มกลับมาเช่นกัน
“ ข้าจะขอติดตามท่านไปตลอด... ” คือประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากของหญิงงามผู้นั้น ซึ่งส่งผลให้ชายหนุ่มรู้สึกปลาบปลื้มใจราวกับได้สมบัติอันมีค่าที่สุดในชีวิตมาครอบครองโดยไม่ทันได้ตั้งตัวก็ไม่ปาน
ทว่าเพียง ๗ วัน หลังจากแต่งงานและอยู่กินกันแบบข้าวใหม่ปลามันที่ใครๆในหมู่บ้านก็อิจฉา รุ่งเช้าของวันที่ ๘ ฝ่ายชายก็เหลือเพียงร่างอันไร้วิญญาณซึ่งนอนเปลือยอยู่บนที่นอนของตนเอง โดยปราศจากเงาของภรรยาผู้เลอโฉม และสิ่งที่ชาวบ้านคนอื่นๆทั้งสงสัยและหวาดวิตกยิ่งกว่าการที่สาวงามลึกลับผู้งดงามอันเป็นคู่ขวัญของชายหนุ่มผู้วายชนม์ได้หายตัวไปอย่างลึกลับและไร้ร่องรอย ก็คือ ร่างอันดูซูบผอมผิดปกติของผู้ตาย อันมีลักษณะผิดไปจากยามยังมีชีวิตเมื่อช่วงเย็นของวันที่เพิ่งผ่านมาราวฟ้ากับดิน...!!
.................................
ค.ศ. ๑YYY ณ โบสถ์แห่งหนึ่งในเบอร์ลินในยามดึกสงัด บาทหลวงหนุ่มผู้ย้ายมาประจำอยู่หมาดๆ เพิ่งจะสามารถหลับตาลงไปบนที่นอนแห่งใหม่ซึ่งยังไม่คุ้นเคยได้ และในคืนแรกของการค้างอ้างแรมต่างถิ่นนั้นเอง นักบวชหนุ่มผู้หล่อเหลาก็ฝันเห็นสาวน้อยรูปงามนางหนึ่งมาเสนอสัมพันธ์สวาทให้ถึงที่นอน และด้วยเหตุที่ทั้งสติและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ยามหลับอยู่ในห้วงฝันนั้น ช่างเลือนลางและไร้อำนาจกว่าตอนตื่นมากนัก บาทหลวงหนุ่มจึงปล่อยตนเองให้ไปตามกระแสแห่งอารมณ์กามในความฝันดังกล่าวจนสำเร็จความใคร่ทั้งที่ยังหลับอยู่ จากนั้นในรุ่งเช้าของวันถัดมาบาทหลวงหนุ่มก็ถูกพบในสภาพของศพอันขาวซีดซึ่งนอนตายอยู่บนเตียงของตนเอง โดยปราศจากร่องรอยของการทำร้ายใดๆ...!!
....................................
พ.ศ. ๒๕ZZ ในประเทศไทย ผู้คนทั้งหลายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งต่างพากันประณามเด็กหนุ่มต่างถิ่นผู้มีวัยเพียง ๑๙ ซึ่งมาแต่งงานกับเศรษฐีนีชราวัยเกือบ ๘๐ ผู้ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน
ชาวบ้านทั้งหลายต่างคะเนว่า อีกไม่นานภรรยาที่แก่จนเรียกว่าเข้าสู่ช่วงแง้มฝาโลงก็จะตายไป และไอ้หนุ่มแมงดาปีกทองรูปหล่อนั่นก็จะกลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร
และเพียงแค่ผ่านคืนแรกของการอยู่กินกันฉันสามีภรรยาไป งานศพก็ถูกจัดขึ้น แต่มิใช่งานศพของเศรษฐีนีชราตามที่ทุกๆคนคาดคิด หากกลายเป็นงานศพของไอ้หนุ่มรูปงามต่างถิ่นผู้เป็นสามีแทน และสภาพศพอันเปลือยเปล่าของฝ่ายชายที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งบ่งชัดว่าเขาตายหลังจากมีสัมพันธ์สวาทกับภรรยารุ่นยายก่อนตายอย่างแน่นอน ก็ทำให้ชาวบ้านทุกคนสงสัยยิ่งนักว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ไอ้หนุ่มคนนี้ตายได้...?
.............................
เดือนกุมภาพันธ์ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ กลางป่าลึกในเขตแม่น้ำอะเมซอน นักวิจัยสาวผู้หนึ่งซึ่งพลัดกับพวกพ้องขณะเดินทางจนหลงเข้าไปในป่าลึก กำลังนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
เข็มทิศก็ชำรุด อาวุธติดตัวและเสบียงอาหารก็ไม่มี แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือร่างกายของเธอไม่มีแรงพอจะขยับไปไหนได้อีกแล้ว และในวินาทีของความเป็นความตายที่หนาวเหน็บและน่ากลัวนั้นเอง หญิงสาวก็ตัดสินใจภาวนาต่อทุกสรรพสิ่งซึ่งสถิตอยู่ ณ บริเวณนั้นว่า หากเธอสามารถรอดกลับออกไปได้ไม่ว่าจะต้องแลกกับสิ่งใดเธอก็ยอม
สิ้นคำอ้อนวอนดังกล่าว สรรพสำเนียงอันวังเวงหวิววู่ก็ดังขึ้นที่รอบกายเธอว่า
“ ลูกของเจ้า...สายเลือดของเจ้า...จะมอบให้ข้าได้ไหม...? ”
.....................................
๑๕ ธันวาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ ในโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อแห่งหนึ่งในประเทศไทย นักวิจัยสาวผู้รอดชีวิตมาจากป่าอะเมซอนได้ราวปาฏิหาริย์เมื่อ ๑๐ เดือนก่อน กำลังออกแรงเบ่งสุดฤทธิ์ในห้องคลอด
ไม่มีใครรู้ว่าเธอท้องกับใคร ทราบกันแต่เพียงว่าหลังจากกลับมาที่ไทยในเดือนมิถุนายนได้ไม่กี่วัน หญิงสาวก็เข้าฝากครรภ์ที่ท้องได้ ๓ เดือนแล้วกับโรงพยาบาลแห่งนี้ทันที ผู้คนที่รู้เรื่องจึงคาดเดากันว่า เธอน่าจะท้องกับฝรั่ง แต่ฝ่ายชายไม่ยอมรับเป็นพ่อ จึงต้องบากหน้ากลับมาคลอดลูกที่เมืองไทย ซึ่งความเป็นไปได้ก็มีสูง เพราะหญิงสาวไม่มีทีท่าจะสนใจความเป็นไปของทารกในครรภ์เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเธอมีความต้องการแค่จะคลอดเด็กในท้องให้ออกมาเป็นผู้เป็นคนได้โดยปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งก็ไม่มีใครเดาออกอีกว่าทำไม เพราะปกติวิสัยของหญิงที่ท้องไม่มีพ่อมักจะเลือกการทำแท้งเป็นทางแก้ปัญหาเสียมากกว่า
สุดท้ายนักวิจัยสาวก็ให้กำเนิดทารกฝาแฝดต่างเพศที่น่ารักออกมา ๑ คู่ในตอนเที่ยงคืน เธอแจ้งนามสกุลของทารกทั้งสองเป็นอักษรไทยว่า “ เฮลล์ ” ผู้คนทั้งหลายจึงเดาว่าน่าจะเป็นนามสกุลของพ่อเด็กซึ่งอยู่ต่างประเทศ ซึ่งหลังจากเด็กทั้งสองเข้าสู่ช่วงหย่านม นักวิจัยสาวก็ฝากทายาททั้งคู่ไว้กับแม่บ้านและเดินทางไปสานงานต่อที่ต่างประเทศทันที