รักโรแมนติก
9 แพร่ง ตอน คนละภพ (ไว้รวมเล่มครบ 9 เรื่อง ค่อยให้ทีมงานช่วยกันเรียงแพร่งอีกทีเอาเน้อ 55555)
Exdeath
รักโรแมนติก
เรื่องสั้น เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อร่วมกิจกรรมถุงมือนักเขียน เพราะผลงานเก่าของผมในถนนนักเขียนนั้น หลุดหายไปจากโปรไฟล์ของผม T T หากจะให้คณะกรรมการไปกดหาเอาจาก google เพื่อจะลิงค์เข้ามาในพันทิพนี้อีกที ก็ดูจะไม่เหมาะสม ประกอบกับความคิดถึง GTH ซึ่งสรรสร้าง 4 แพร่ง และ 5 แพร่งขึ้นมา ทำให้ผมได้มีโอกาสเขียน " 7 แพร่ง " ลงในถนนนักเขียนเป็นครั้งแรก เมื่อหลายปีก่อน รวมถึงความผูกพันทางใจที่มีต่ออาจารย์ ทมยันตี (คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์) และความประทับใจในผลงานเรื่อง ทวิภพ ของท่านอาจารย์ ผมจึงอาศัย " ทวิภพ " เป็นแรงบันดาลใจในการได้เขียนเรื่องสั้น " คนละภพ " นี้ขึ้น เพื่อบอกเล่าถึง แนวคิดเรื่อง " ความรัก " ในอีกรูปแบบหนึ่ง และเพื่อความบันเทิงเพลิดเพลินใจ ของคณะกรรมการและผู้ร่วมกิจกรรมถุงมือนักเขียนทุกท่าน ครับผม
และสำหรับทุกๆท่าน ที่ปรารถนาจะเข้าไปอ่านผลงานของผม เมื่อหลายปีก่อน ก็เชิญตามลิงค์ 4 ลิงค์ข้างล่างนี้ได้ครับผม
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/11/W9906041/W9906041.html
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/11/W9911969/W9911969.html
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/11/W9950098/W9950098.html
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/11/W9974896/W9974896.html
คนละภพ
ณ สะพานข้ามแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ร่างสูงอ้วนใหญ่ผิดสัดส่วนในชุดผ้าลูกไม้สีชมพูของหญิงสาวผมหยักศกกำลังยืนอยู่ตรงขอบสะพาน ขณะที่เบื้องหลังของเธอก็คือบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้พยายามเกลี้ยกล่อมสาวอ้วนผู้นี้มาพักใหญ่แล้ว
“ ติดต่อคนรู้จักของเธอได้บ้างรึยัง ” นายตำรวจผู้เป็นหัวหน้าทีมเอ่ยถามลูกน้องด้วยท่าทีร้อนรน ขณะที่ลูกน้องอีกคนกำลังขอร้องให้สาวร่างอ้วนล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตาย เจ้าของร่างอ้วนกลมนั้นจึงหันกลับมาตะโกนตอบด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ หุบปากไปเลย พวกแกจะเข้าใจอะไรฉัน...!! พวกแกไม่เห็นเหรอว่าฉันอ้วนขนาดไหน คนไร้ค่าอย่างฉัน ถึงจะตายไปก็ไม่มีใครเดือดร้อนหรอก...!! ”
“ อย่าคิดแบบนั้นสิครับ ถ้าคุณเป็นอะไรไป คนที่บ้านคุณจะเสียใจมากนะครับ...!! ” นายตำรวจคนเดิมพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างไม่ย่อท้อ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองนายได้อาศัยมุมลับตา แอบปีนข้ามรั้วสะพานเข้าไป ก่อนจะค่อยๆย่องเข้าหาหญิงสาวจากทางด้านหลัง
“ จะมีใครเสียใจอีกล่ะ ในเมื่อแม่ฉันตายไปตั้งแต่เมื่อต้นปีแล้ว...!!! ” สาวอ้วนตะเบ็งเสียงตอบ โดยไม่ทันระวังสิ่งที่อยู่ด้านหลัง ดังนั้นเพียงแค่ไม่กี่อึดใจถัดมา เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคนก็เข้าล็อคตัวเธอได้สำเร็จ
............................
หลังจากได้รับการติดต่อฉุกเฉินจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ติ๊ดตี่ก็รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุด้วยมอเตอร์ไซค์คันเก่งของเธอ และเมื่อถึงที่หมาย ร่างในชุดหนังสีดำของหญิงสาวก็เดินก้าวฉับๆเข้าไปหาเพื่อนร่างอ้วนซึ่งกำลังอยู่ในความควบคุมของตำรวจ จากนั้นเสียงเผียะก็ดังขึ้นเมื่อฝ่ามือที่แลดูบอบบางของติ๊ดตี่ได้ฟาดลงบนใบหน้าของสาวอ้วน
“ อ้าว...!! คุณ...!!! ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะครับ...!? ” เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เป็นหัวหน้าทีมเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง ก่อนที่สาวเปรี้ยวร่างเพรียวจะตอบด้วยถ้อยเสียงขุ่นปนสะอื้น
“ ก็ต้องทำแบบนี้แหละ เผื่อมันจะได้สติ แต่ถ้ามันยังไม่หายบ้า ดิฉันก็จะตบมันซ้ำให้แรงกว่าเดิม...!! คนอะไร...!? แค่ถูกผู้ชายชั่วๆปฏิเสธ ก็ถึงกับจะฆ่าตัวตาย ไม่คิดถึงหัวอกของคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยบ้าง..!! ” ว่าพลางติ๊ดตี่ก็เงื้อมือขึ้นอีกครั้งพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม ทว่าก่อนที่หญิงสาวร่างผอมจะทันได้ลงมือซ้ำ นายตำรวจอีกคนก็ปราดเข้ามาคว้าแขนเธอไว้เสียก่อน และสุดท้ายหญิงสาวทั้งสองคน ก็ถูกบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไปสงบสติอารมณ์ด้วยกันที่โรงพัก
.........................
ราวสามชั่วโมงถัดมา ทางตำรวจจึงปล่อยให้ติ๊ดตี่พาเพื่อนร่างอ้วนกลับไปยังที่พักได้ และเมื่อมอเตอร์ไซค์ของติ๊ดตี่แล่นจากไปแล้ว ท่านสารวัตรก็ถอนใจให้กับโศกนาฏกรรมที่เกือบจะเกิดขึ้นเพียงเพราะช็อคโกแลตวาเลนไทน์ชิ้นเดียวเท่านั้น...
.........................
“ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยซะ...!! แล้วอย่าได้คิดทำอะไรบ้าๆอีก เพราะคืนนี้ฉันจะอยู่โยงเฝ้าแกทั้งคืนเลย...!! ” ติ๊ดตี่บอกกับรูมเมทร่างอ้วนด้วยน้ำเสียงและประกายตาที่เด็ดขาด อีกฝ่ายจึงได้แต่ทำตามคำสั่งของเธอ โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น
ติ๊ดตี่รู้จักและสนิทกับโยทะกา มาตั้งแต่ปี ๑ จึงรู้ดีว่า แม้โยทะกาจะตัวอ้วนใหญ่ จนแลดูน่ากลัวสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย แต่แท้จริงแล้วจิตใจของโยทะกานั้นเปราะบางกว่าที่ใครๆคิดเสียอีก
โยทะกานั้นมีปมด้อยเรื่องรูปร่างของตนเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทว่าจนแล้วจนรอด...หญิงสาวก็ยังไม่อาจจัดการกับร่างกายของตนเองได้ดังที่คิด อย่างไรก็ตาม ปมด้อยดังกล่าวก็เป็นเหตุให้โยทะกาเลือกที่จะเรียนหมอ ด้วยหวังว่าการได้ทำอาชีพช่วยเหลือผู้คน จะทำให้บรรดาคนรอบข้างมองข้ามปมด้อยของเธอไป แต่ยังไม่ทันจะเรียนจบ มารดาซึ่งเป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ก็พลันจากไปด้วยโรคร้าย โดยที่โยทะกาไม่อาจช่วยอะไรได้ ซึ่งเหตุไม่คาดฝันดังกล่าวก็ทำให้โยทะกาจิตตกไปมากแล้ว ดังนั้น...เมื่อมาผนวกกับประสบการณ์เลวร้ายซึ่งสาวอ้วนได้รับจากบุรุษที่ตนเองหลงใหลในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา โยทะกาจึงถึงกับหมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพราะหลังจากที่โยทะกาตัดสินใจมอบช็อคโกแลตให้นิสิตหนุ่มต่างคณะผู้นั้นแล้ว แทนที่ฝ่ายชายจะเปิดดูหรือกล่าวขอบคุณตามมารยาทสักนิด เขากลับเขวี้ยงมันทิ้งแถมกระทืบซ้ำอย่างไม่ใยดี ซึ่งนอกจากจะสร้างความอับอายให้โยทะกาอย่างร้ายกาจแล้ว มันยังทำให้เธอหัวใจสลายอีกด้วย และเมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ติ๊ดตี่ก็แน่ใจว่า สิ่งแรกที่เธอจะต้องทำให้สำเร็จ ก็คือ การให้สติโยทะกาและชี้นำให้อีกฝ่ายกลับไปสนใจเรื่องเรียน แล้วค่อยหาทางจัดการกับ “ อีตาหล่อเลือกได้ ” นั่น
.............................
เหตุผลซึ่งติ๊ดตี่กล่าวกับโยทะกาก็คือ “ แกต้องกลับไปเรียนให้จบ คุณแม่ที่อยู่บนฟ้าท่านจะได้ภูมิใจ แล้วแกก็จะได้ส่งผลบุญจากการช่วยเหลือคนอื่นๆให้ท่านได้เรื่อยๆด้วย ” และเมื่อโยทะกายอมกลับไปเรียนตามปกติ หลังจากที่ซึมอยู่แต่ในห้องมาเป็นสัปดาห์ บทเรียนที่รอคอยเธออยู่ ก็คือการผ่าศพ
ข้อมูลที่โยทะกาได้รับคร่าวๆ จากติ๊ดตี่และเพื่อนร่วมทีมก็คือ ผู้อุทิศร่างให้กลุ่มของเธอได้ทำการศึกษานั้น เป็นนายตำรวจหนุ่มซึ่งตายในหน้าที่เพราะการยิงต่อสู้กับคนร้าย
“ วันก่อนโน้น...พวกตำรวจเขาช่วยชีวิตแกไว้ก่อนที่ฉันจะไปถึงนะ ดังนั้นวันนี้แกก็ดีๆกับเพื่อนร่วมอาชีพของพวกเขาหน่อยก็แล้วกัน ” ติ๊ดตี่ให้เหตุผลด้วยถ้อยเสียงหนักๆ เนื่องจากเกรงว่าความเปราะบางในจิตใจของโยทะกา จะทำให้สาวอ้วนเกิดความคร้ามเกรงจนไม่กล้าแตะต้องหรือว่ามองดูศพ
และเหตุการณ์ก็เป็นดังที่ติ๊ดตี่คะเนไว้ล่วงหน้า เพราะเมื่อไปถึงห้องปฏิบัติการจริงๆ โยทะกาก็หวาดผวาจนไม่กล้าแม้แต่จะดูหน้าศพ แต่เพราะติ๊ดตี่คอยยืนคุมอยู่ข้างๆด้วยประกายวาวโรจน์ ในที่สุดสาวอ้วนจึงตัดสินใจข่มความกลัวและเปิดผ้าคลุมหน้าศพออก ซึ่งสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของสาวอ้วนและเพื่อนร่วมทีมก็คือ ใบหน้าคมเข้มของบุรุษร่างสูงผู้มีผิวออกโทนคล้ำ ซึ่งหากปราศจากรอยกระสุนปืนที่บริเวณใต้ดวงตาและขมับซ้ายแล้ว เขาก็แลดูไม่ผิดอะไรจากคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง
“ หล่อกว่าที่คิดแฮะ ” ติ๊ดตี่ปรารภเบาๆกับร่างซึ่งนอนอยู่ตรงหน้า ขณะที่โยทะกาก็ถึงกับยืนอึ้งกับรูปโฉมของผู้ซึ่งอุทิศกายให้เธอกับเพื่อนๆได้ศึกษา
“ ทำไมคนดีๆแบบนี้ ถึงต้องรีบตายด้วย...? ” สาวอ้วนแอบรำพึงในใจ ก่อนที่เสียงแหลมดุของติ๊ดตี่จะสำทับขึ้นว่า
“ มัวยืนบื้ออะไรอยู่ล่ะ หรือว่าแกกลัวกระทั่งคนหล่อขนาดนี้ ฮึ...? ” และคำพูดดังกล่าว ก็เรียกสติของโยทะกาให้กลับมาสู่กิจกรรมตรงหน้าอีกครั้ง
........................
การผ่าศพเสร็จสิ้นไปนานแล้ว แต่โยทะกาก็ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆร่างของนายตำรวจผู้นั้น ด้วยความตั้งใจว่า “ ก่อนจะส่งตัวเขาคืนให้ญาติ เราจะต้องทำให้หน้าของเขากลับเป็นเหมือนเดิม ”
ทว่าในขณะที่โยทะกากำลังรอจังหวะซึ่งเธอจะสามารถเข้าไปตกแต่งแผลให้นายตำรวจหนุ่มได้โดยไม่สะดุดตาเพื่อนๆนั้นเอง นิสิตชายคนหนึ่งซึ่งในอยู่กลุ่มอื่นก็พาพรรคพวกกันเข้ามา “ รังแก ” ร่างที่ปราศจากลมหายใจของ “ คุณตำรวจ ” ของเธอด้วยความคะนอง
“ นี่พวกแกดูนะ ไอ้นี่น่ะ มันเป็นตำรวจว่ะ ตอนมีชีวิตเนี่ย พวกตำรวจมันบ้าอำนาจ ชอบหาเรื่องแจกใบสั่งพวกเราใช่ไหม? แต่...ดูสิพอเป็นศพแล้ว มันก็นอนนิ่งหมดสภาพไม่หืออืออะไรเลย ดังนั้น...ถึงเราจะจับมันแหกแข้งแหกขา หรือว่าทำแบบนี้ มันก็ลุกขึ้นมาทำอะไรเราไม่ได้ ” นิสิตผู้นั้นพูดพลางใช้นิ้วมือแหกส่วนปลายของริมฝีปากและหางตาของร่างที่นอนอยู่บนเตียง ให้เปลี่ยนไปตามอำเภอใจของตน ขณะที่นิสิตสาวอีกคน ก็เดินเข้ามาบีบจมูกของเขาให้ผิดรูปไปจากเดิม พร้อมกับแสร้งเอ่ยเสียงแหลมด้วยความคะนองว่า “ อุ๊ยตาย...ผีตำรวจหลอก จะกลัวกันดีไหมเนี่ย ”
เพียงเท่านั้น สติของโยทะกาก็ขาดผึง ความโกรธเกรี้ยวพลันปะทุออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอหยิบมีดผ่าตัดซึ่งพกติดตัวไว้แต่แรกออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะวิ่งปราดเข้าไปหาพวกนิสิตกลุ่มนั้น แล้วใช้มีดที่อยู่ในมือชี้หน้าด่าฝ่ายตรงข้ามด้วยเสียงตวาดอันดังลั่น ซึ่งรูปร่างที่ใหญ่โตและแลดูน่ากลัวของโยทะกา ก็สร้างความครั่นคร้ามให้กับนิสิตทั้งกลุ่มนั่นได้มากกว่าที่ใครๆคิด โดยเฉพาะเมื่อโยทะการะเบิดอารมณ์โกรธแบบที่ไม่เคยแสดงให้ใครเห็นมาก่อนเช่นนี้ ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงของเธอ ก็ยิ่งทวีความน่ากลัว จนทำให้บรรดานิสิตต่างกลุ่มเหล่านั้น รวมถึงเพื่อนคนอื่นๆที่ยังคงอยู่ในห้องถึงกับขวัญกระเจิง และรีบหนีเอาตัวรอดออกจากห้องไปกันหมด
เมื่อขับไล่ “ พวกอันธพาล ” ออกไปได้หมดแล้ว โยทะกาก็หันกลับไปปลอบโยนร่างที่นอนอยู่บนเตียงๆเดิมด้วยความอ่อนโยน ราวกับอีกฝ่ายคือคนไข้ที่ยังมีชีวิต พร้อมกับจัดใบหน้าของเขาให้กลับเป็นปกติเหมือนคนกำลังนอนหลับ ก่อนจะกล่าวกับร่างนั้นด้วยกระแสเสียงนุ่มนวล
“ โยจะทำแผลให้คุณนะคะ ”
จากนั้น โยทะกาก็ตกแต่งบาดแผลบนใบหน้าของ “ เขา ” ด้วยความประณีต จนกระทั่งดวงหน้าของชายหนุ่มมีสภาพอันแลดูเป็นปกติ หญิงสาวจึงห่มผ้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะผละจากไปเงียบๆ
..............................
ค่ำคืนนั้น หลังจากอธิบายเหตุผลว่าทำไมอยู่ดีๆก็ “ ของขึ้น ” จนเพื่อนๆแตกกระเจิงกันหมดให้ติ๊ดตี่หายข้องใจแล้ว รูมเมทสาวซึ่งมีทัศนะว่า โยทะกากำลังอยู่ในช่วงคุ้มดีคุ้มร้าย เพราะพึ่งจะผ่านประสบการณ์เลวร้ายมาหมาดๆ จึงขอตัวไปอาบน้ำ ฝ่ายโยทะกาซึ่งอาบเสร็จก่อนแล้ว จึงเข้านอนตามปกติ ทว่าในขณะที่ระบบการรับรู้ต่างๆของสาวอ้วนกำลังค่อยๆพร่าเลือนลงนั้นเอง โยทะกาก็พลันรู้สึกว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ที่ปลายเตียง...