กว่าจะรักเท่าวันนี้
ผู้เขียนมีเจตนาเพียงสร้างผลงานเพื่อความบันเทิงและเป็นเพียงผู้เริ่มฝึกหัดเขียนนิยายมิได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือละเมิดผู้ใด ชื่อ-รูปภาพประกอบรวมถึงสถานที่ในเรื่องล้วนสมมติขึ้นและไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงทั้งสิ้น.. รู้นะ
เรื่องราวความรู้สึกมุมมองต่อประสบการณ์ชีวิตแปลกใหม่ของเด็กสาวตัวยาวขายาวจากต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนต่อชั้นมัธยมปลายในกรุงเทพกับการค้นพบและทำความรู้จักดำดิ่งลงไปในจิตใจของตัวเองท่ามกลางสังคมที่หลากหลายและสับสน รูปลักษณ์สวยงามภายนอกจะนำจิตใจของเด็กสาวให้ออกไปศึกษาเรียนรู้พบปะผู้คนมากมายกับเรื่องราวบ้าบอคอแตกที่คนเมืองมองว่ามันเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกๆวัน
น้องต้น .. น้องสาวคนสุดท้องที่ต้องย้ายมาเรียนต่อม.ปลายในเมืองใหญ่อย่างปัจจุบันทันด่วน จากสังคมเล็กๆในต่างจังหวัดโลกของเธอจะค่อยๆหมุนกลับหัว
พี่โบว์ .. อดีตนางแบบติสท์แดกงานน้อยจนผันตัวมาเป็นแฟชั่นนิสต้าบล็อคเกอร์แฟชั่นชื่อดัง
บทนำ
มองเวลาจากโทรศัพท์บอกเวลาเกือบห้าทุ่มหลังงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสพี่โบว์เจ้าสาวคนสวยนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่โต้ะกับคุณแม่และพี่ตองบริกรของโรงแรมจัดอาหารแบ่งใส่จานเล็กมาให้สองสามอย่างตามคำร้องขอของคุณแม่ส่วนพนักงานคนอื่นๆก็เริ่มเก็บกวาดทำความสะอาด
"แล้วคุณพ่อคุณแม่ของลูกโบว์ล่ะ" คุณแม่ถามลูกสะใภ้
"เพิ่งกลับไปเมื่อซักครู่ค่ะ โบว์เดินไปส่งขึ้นรถเรียบร้อย"
"เอ้า..กินซะหน่อยลูกตั้งแต่เย็นแล้วยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ"
"โบว์ทานไม่ค่อยลงค่ะแม่มันแน่นๆเหนื่อยๆหรือชุดมันรัดก็ไม่รู้"
"เหนื่อยน่ะสิเดี๋ยวก็พักผ่อนซะที่นี่ไม่ต้องกลับไปบ้านหรอกพ่อกับแม่ก็นอนที่นี่แต่หกโมงเช้าก็ต้องไปกันแล้ว"
"คุณพ่อเพิ่งมาน่าจะอยู่ต่ออีกซักวันสองวัน หนูเพิ่งได้เจอกับท่านเมื่อวานนี้เอง"
"โอ้ย.. รายนั้นน่ะเหรออยู่ที่นี่เฝ้าแต่กล้องวงจรปิดดูพนักงานเค้าห่วงร้านเค้าจะตาย แต่ก็อย่างว่านะทำร้านอาหารมันก็ปล่อยยากจริงๆนี่ถ้าไม่ใช่งานสำคัญขนาดลูกชายเค้าแต่งงานนะเค้าไม่มาหรอกแถมมาคราวนี้ขากลับยังไงก็จะเอาแม่ไปอยู่ด้วยให้ได้เค้าบอกเค้าทำคนเดียวเหนื่อยแล้ว"
"แล้วแม่กับพวกน้องต้นน้องตองเคยไปที่ร้านกันมั่งรึเปล่าคะ" เจ้าสาวคนสวยคีบหอยจ๊อจ้าวอร่อยจากชลบุรีฟังคุณแม่เล่าไปด้วยสังเกตุจากอาหารบนโต้ะก็จะมีแค่ไวน์สามสี่แก้วนี่แหละมั้งที่เหมือนจะถูกปากเจ้าสาวดีไซเนอร์ที่สุด
"ไปสิ.. ไปกันแทบทุกปีแหละนายเต้ยกับยัยตองนี่เค้าเรียนประถมที่โน่นเลยแต่พอคุณตาเสียแม่ก็เลยต้องหอบเด็กๆกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณยายเค้าที่นี่คลอดยัยต้นได้สามสี่เดือนก็หอบหิ้วพากันกลับไปอยู่ขอนแก่นหมดเลยปล่อยพ่อเค้าทำอยู่คนเดียวต้องรอจนโรงเรียนปิดนั่นแหละถึงได้ไปช่วยกัน"
"ปีนี้ตองไม่ไปเมกานะแม่จะไปค่ายกับที่คณะ" ตองเงยหน้าจากโทรศัพท์
"แล้วนี่แม่ไปเนี่ยให้เธอดูแลน้องด้วยไม่ใช่ให้ทะเลาะกันทุกวันนะสงสารน้องมันบ้าง" คุณแม่หันไปกำชับลูกสาวคนกลางนิสิตสาวปีสามมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านปทุมวัน
"ตองไม่เคยหาเรื่องเลยไม่เคยเป็นคนเริ่มก่อนเลยนะแม่"
"แม่ก็ไม่ได้ถามสักหน่อยว่าใครหาเรื่องใครก่อนแต่แม่บอกให้ดูแลน้องเราก็คิดเอาเองสิว่าเออเนี่ยเราเป็นพี่ในวันที่แม่ไม่อยู่แล้วจะดูแลน้องยังไงรักน้องยังไงให้น้องมันเชื่อเราฟังเราอีกหน่อยเธอก็ต้องมีครอบครัวมีลูกมีเต้าเธอจะเลี้ยงลูกยังไงเลี้ยงให้ลูกเธอมันเกลียดเธอรึไง"
"ก็ไม่ได้เริ่มก่อนนี่" ตองก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อไป
"ยัยต้นเค้าลูกคนเล็กน่ะจ้ะหนูโบว์ไม่เชื่อไม่ฟังใครทั้งนั้นตาเต้ยเค้าห่างจากพวกนี้เยอะเค้าก็อยู่ของเค้าแต่ยัยต้นยัยตองนี่อยู่ด้วยกันไม่ได้เลยเถียงกันทะเลาะกันทั้งวันพอยัยตองเข้ามหาลัยแม่ก็ให้มาอยู่กับเต้ยก็มาทะเลาะกันกับเต้ยอีก"
"แม่พูดอย่างกับตองเป็นตัวปัญหา นี่แหละน้าาเค้าว่าเด็กวันพุธ" ลูกสาวคนกลางทำน้ำเสียงน้อยใจ
"แล้วแม่ไม่อยู่นี่อย่าทุเรศทำตัวรุ่มร่ามนะโตเป็นสาวเป็นแส้แล้วแม่ไว้ใจให้อยู่กันเองจะมีแฟนแม่ก็ไม่ว่าแต่น้องเราเป็นผู้หญิงต้องดูด้วย"
"แม่อ่ะ.. อายพี่โบว์เค้า"
"ความจริงน้องๆไปอยู่กับหนูที่บ้านก็ได้นะคะแม่โบว์อยู่กันกับเต้ยสองคนเอง"
"โอ้ย..เหลือทนลูกพวกนี้มันไม่มีใครถูกกับใครซักคน ลูกเพิ่งแต่งงานอยู่กันสองคนนั่นล่ะดีแล้วอย่าชักศึกเข้าบ้านให้ปวดหัวเลย แม่นะเลี้ยงลูกสั่งสอนมาให้ได้ดีๆทุกคนเสียอย่างเดียวสามคนมันอยู่ด้วยกันแป๊ปเดียวก็กัดกันแล้ว พี่น้องบ้านอื่นเค้ามีแต่จะรักสามัคคีกัน"
"แล้วนี่เค้าไม่ต้องมีแบบฤกษ์ส่งตัวอะไรงี้เหรอแม่" ตองรีบเปลี่ยนเรื่อง
"ฤกษ์อะไรล่ะพ่อแกขึ้นไปนั่งดูไอแพดเฝ้ากล้องที่ร้านตั้งแต่แขกเหรื่อยังไม่กลับแม่ล่ะอายครอบครัวทางหนูโบว์เค้าจะตาย" แม่โบกมือเรียกลูกสาวคนเล็กแต่สูงเกือบเท่าเจ้าสาวนางแบบคนสวย "ยัยต้น.. ตาเต้ยล่ะเห็นตาเต้ยมั้ยนี่ก็อีกคนหายตัวไปไหนเนี่ยพ่อลูกพอกันเลย"
"พี่เต้ยเค้าเดินไปส่งเพื่อนที่ห้องมั้งแม่แต่เห็นไปสักพักแล้วนะ" ต้นเพิ่งล้างเครื่องสำอางแต่ยังใส่ชุดเดิมเดินกลับลงมาจากห้องพักยื่นการ์ดกุญแจคืนให้พี่สาวคู่กัดรูมเมทคืนนี้
"เห็นเพื่อนเค้ามาจากขอนแก่นกันหลายคนสงสัยเดินไปส่งเพื่อนนั่นและ" แม่ผัวมองแก้วไวน์เปล่าวางอยู่สี่ห้าแก้ว "นี่ขนาดแม่แก้วเดียวยังมึนเลยนะเนี่ยหนูโบว์นี่เก่งจริงๆไม่เห็นเมา"
"เดี๋ยวลุกก่อนสิคะแม่ถึงจะรู้.. นั่นไง" เจ้าสาวคนสวยเซต้องนั่งลงก่อนแล้วลุกขึ้นทรงตัวใหม่อีกครั้ง
"โทรเรียกเต้ยมาซิ อาไรกัน..อยู่ไหนเนี่ย" แต่แม่ก็ไม่ได้ระบุว่าจะให้ใครเป็นคนโทร
"ไม่เป็นไรหรอค่ะแม่โบว์เห็นเพื่อนเค้าแล้วสงสัยจะไม่ได้เจอกันนาน"
"สงสัยจะเมาแล้วด้วยนะตาเต้ยน่ะ"
"ถ้างั้น..หนูขอผู้ช่วยถอดชุดเป็นน้องต้นดีกว่าเดินเฉียดกันไปเฉียดกันมายังไม่เคยได้คุยกันซักที" พี่โบว์ยิ้มมองสบตาต้น "น้องต้นยังไม่ง่วงนะ" ต้นส่วยหน้า
"ไปพักผ่อนเถอะลูก แล้วยังไงโทรคุยกันมีช่วงว่างยาวๆก็ชวนเต้ยไปเยี่ยมแม่บ้าง"
"เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูไปส่งที่สนามบินค่ะแม่"
"ไม่เป็นไรจ้ะตองเค้าไปส่งอยู่แล้วต้องขับรถแม่กลับมาด้วย"
ลูกสะใภ้ดีไซเนอร์สาวสวมกอดลากันไว้ก่อนกับแม่สามีแนบแน่นจริงๆโบว์ไม่ค่อยจะได้มีโอกาสทำความรู้จักกับครอบครัวของเต้ยสามีหมาดๆสักเท่าไหร่จะเจอก็แค่ตองน้องสาวที่เต้ยให้มารับงานเป็นแบบภาพนิ่งคู่กับสินค้าในบางงานที่ลูกค้าของเต้ยไม่ได้ระบุว่าต้องการใครเป็นพิเศษ โบว์รู้จักกับเต้ยในฐานะเพื่อนเก่าสนิทสนมกันมาหลายปีตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยเธอได้เป็นดีไซเนอร์สมความตั้งใจตามสายเส้นทางที่เรียนมาส่วนเต้ยเป็นช่างภาพแฟชั่นและทำกิจการสตูดิโอถ่ายภาพของตัวเอง
"น้องต้นกับพี่..เราเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้ไหมคะ" โบว์ตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มทำลายความเงียบภายในลิฟท์ที่มีกันอยู่สองคน
"ที่พารากอน"
"เดี๋ยวนะ..คุ้นๆ นึกออกแล้ว ขอโทษทีพี่ยังขอถ่ายรูปน้องต้นเก็บเอาไว้เลยนี่นา"
ประตูลิฟท์เปิดออกพร้อมเสียงสัญญาณต้นเดินตามหอบช่อดอกไม้และถุงข้าวของอีกสองสามถุงเดินตามเจ้าสาวที่ก็พะรุงพะรังไม่แพ้กันหลังจากหาวิธีเปิดประตูการ์ดกุญแจโดยไม่ต้องวางของอยู่สักพักสาวสวยสองวัยก็เข้ามาในห้องจนได้
"ไหน.. น้องต้นถอดรองเท้าแล้วมายืนข้างๆพี่โบว์ซิ" พี่โบว์วางข้าวของรวมทั้งขวดไวน์ที่คุณแม่คะยั้นคะยอให้ถือติดมือมาด้วยเพราะไม่มีใครอยู่ข้างล่างแล้วชวนสาวรุ่นน้องหลายปีให้มายืนเทียบไหล่กันหน้ากระจกยาวเต็มตัว "พี่สูงร้อยเจ็ดสิบมั้งน้องโบว์ล่ะ" ดีไซเนอร์สาวมองไหล่ของต้นที่เตี้ยกว่านิดหน่อย
"ร้อยหกสิบแปด มั้ง"
"ปีนี้น้องต้นอายุเท่าไหร่"
"สิบหก เข้าสิบหก"
"โอ้ย..ยังสูงได้อีกหุ่นแบบนี้เป็นนางแบบสบายเลยเคยอยากเป็นป่ะพี่โบว์ช่วยแนะนำได้"
"เดี๋ยวนี้เป็นนางแบบเค้าต้องประกวดไม่ใช่เหรอ" ต้นเอียงตัวซ้ายขวามองตัวเองสะท้อนกระจกเห็นด้วยกับพี่โบว์ว่าตัวเองมีแววอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
"พวกประกวดก็มีพวกที่ไม่ประกวดก็มีหรือน้องต้นอยากประกวดเดี๋ยวพี่โบว์บอกเพื่อนที่ทำรายการทีวีให้" โบว์เริ่มจัดการคลี่คลายทรงผมสุดสลับซับซ้อนจากฝีมือแต่งหน้าทำผมของเพื่อนสาวเก้งกวางคนสนิท ต้นเห็นแล้วเดินมาช่วยดึงกิ๊บออกทีละตัวจนหมดจนมองดูเจ้าสาวทรงผมกระเซอะกระเซิงแปลกตา
"ชุดนี่พี่โบว์ออกแบบเองรึเปล่า"
"ใช่จ้ะก็พี่เป็นดีไซเนอร์นี่ชุดแต่งงานตัวเองทั้งที" ต้นมองสาวรุ่นพี่ค่อยๆใช้สารพัดน้ำยาทีละขวดเช็ดล้างเครื่องสำอางที่น่าจะหนาหนักหน้าพอสมควรอยู่ดูจากกองก้อนสำลี "แล้วนี่เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วเนี่ย"
"เพิ่งเข้าม.สี่"
"เพิ่งม.สี่เองเหรอยังสวยได้อีกนะเนี่ย" ต้นได้ยินแล้วต้องสะกดตัวเองไม่ให้ยิ้มตามคำชม "เห็นคุณแม่น้องต้นบอกว่าเพิ่งย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพสงสัยต้องให้พี่เต้ยพามาเทสเก็บโพไฟล์ไว้ให้เป็นเรื่องเป็นราวซะหน่อยแล้ว ไหนขอพี่โบว์ดูมือหน่อยสิ" ต้นยกมือให้แบบงงๆพี่สะใภ้คนสวยจับมือต้นพลิกไปพลิกมาตอนที่พี่โบว์จับเอาฝ่ามือของต้นลูบแก้มต้นรู้สึกเสียววาบแปลกๆเหมือนสัมผัสผิวแก้มนุ่มเนียนมันจี๊ดผ่านฝ่ามือตรงเขาสู่หัวใจ "มือนิ่มดีอ่ะนิ้วเรียวสวยด้วยนางแบบมือของพี่โบว์มือยังไม่สวยเท่ามือน้องต้นเลย ไหนมายืนข้างหลังพี่ซิ" พี่สะใภ้ขยับเข้าใกล้บานกระจกเงาอีกหน่อย "ยืนข้างหลังพี่ชิดๆเลยเหมือนกอดเลยอ่ะ น้องต้นลองกอดพี่สิ ชิดๆหน่อย.." ต้นกอดเอวพี่โบว์จากทางด้านหลังอย่างงงๆแต่ก็เริ่มนึกสนุกอยู่บ้าง "กอดแน่นๆชิดๆไม่งั้นในกล้องมันจะดูหลอกๆ" พี่สะใภ้กระชับสองแขนของต้นให้แนบแน่น "ทีนี้ก็ลองเอาสองมือถูๆกันเหมือนถูสบู่อ่ะแล้วก็ลูบแก้มพี่เหมือนลูบแก้มตัวเอง ดูในกระจกสิ"
"ตลกดีอ่ะพี่โบว์ ในโฆษณาตอนถ่ายเค้าทำกันแบบนี้เหรอ" ต้นมองสะท้อนกระจกตลกกับท่าทางเก้ๆกังๆของตัวเอง
"นี่แบบนี้.. น้องต้นมายืนนี่เดี๋ยวจะทำให้ดู" พี่โบว์คงกำลังสนุกสนานกับน้องสาวคนใหม่จนลืมไปว่าตัวเองยังอยู่ในชุดแต่งงานชายกระโปรงยาวลากพื้นจัดท่าทางแอ่นอกบิดเอวให้สาวน้อยวัยสิบห้าเหมือนพวกนางแบบอาชีพ "ปกติเค้าจะมีฐานให้นางแบบยืนด้วยนะ นี่กอดแน่นๆแบบนี้แล้วก็หลบๆกล้อง" ต้นรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นของสาวรุ่นพี่ที่ซบหน้าลงกับต้นคอของเธอ "นี่แล้วก็ทำมือแบบนี้ ..หืม แก้มนุ่มดีจัง น้องต้นดูในกระจกสิแต่มือพี่โบว์ไม่สวยไง นี่.. ชูสองนิ้วก็ได้ นี่..หน้าแมว นี่กระต่าย" ต้นหัวเราะเบาๆขำตัวเองที่ก็ยังยืนนิ่งให้พี่โบว์แกล้งเล่นอยู่ได้พลางนึกไปว่าตอนที่เป็นฝ่ายกอดหน้าอกหน้าใจของเธอก็คงจะบดเบียดไปกับหลังของพี่โบว์แบบนี้แหละ
ชายสามคนเดินผ่านพื้นที่สวนหย่อมเล็กๆขึ้นลิฟท์มาหยุดที่หน้าห้องพักในโรงแรมเดียวกันแต่คนละตึก คนนึงในนั้นจุดบุหรี่สูบมองตามควันสายยาวกระทบกับแสงไฟสปอตไลท์ส่องสนามท่าทางเพลิดเพลินระหว่างรอเพื่อนเปิดประตูห้อง
"เข้าห้องเลยไหมคุณ ส่วนคุณเจ้าบ่าว..พี่เดาว่าเค้าคงอยากจะส่งเราแค่ตรงหน้าประตูนี่แหละค่ะ" ชายคนที่เปิดประตูพูดยิ้มๆ
"เดี๋ยวสิ ผมสูบบุหรี่ก่อน" ชายใส่แว่นผิวขาวหวีผมเรียบร้อยดูจากรูปร่างก็รู้ว่าดูแลตัวเองต่อเนื่องอย่างดี "พี่วินเล่าให้ผมฟังเรื่องคุณ..นี่คุณถึงกับแต่งงานจริงๆเลยเหรอ"
"ขอบุหรี่ตัวดิ" ชายในชุดเจ้าบ่าวหรูต้องยืนทรงตัวพิงกำแพงระเบียงทางเดินเพื่อประคองตัวเอง
"แต่งไปเลยดีกว่า แฟนผมเค้าเป็นคนน่ารักนะ"
"ใช่..เห็นแล้วล่ะ น่ารักจริงๆ"
"บางเรื่องก็ไม่ต้องคุยไม่ต้องถามเห็นกันมาตั้งแต่เรียนแล้ว"
"แล้วคุณคิดว่าชีวิตมันจะเป็นยังไงเหรอผมว่ามันแปลกๆนะ"
"ไม่แปลกหรอกพ่อผมอยู่ที่โน่นเวลาเบื่อๆเค้าแต่งหญิงออกมาเอนเตอร์เทนลูกค้าเลยนะถือแก้วช็อตเรียงใส่ถาดขนตาเด้งมาเลยนะคุณ ยังมีผมได้เลยแถมมีน้องสาวอีกสองคน"
"เดี๋ยวนะ.. นี่คุณจะบอกว่าพ่อคุณก็ใช่เหรอ"
"นี่แหละเรื่องที่ผมบอกคุณว่าไม่ต้องถามไม่ต้องคุยไง แต่พวกผมก็มีความสุขกันดีนะแม่ผมก็ดูเค้าไม่ได้มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไร"
"อ๋อ ถึงว่า..ที่คุณบอกว่าพ่อคุณไม่กลับมาเมืองไทยเลยเพราะอยู่ที่โน่นเค้าเป็นคุณแม่อะไรแบบเนี้ยเหรอ"
"มั้ง.. แต่ผมไม่เคยถามเค้านะเค้าก็ไม่เคยบอก"
"เซอไพรส์นะเลยเนี่ยเต้ย"
"อ้าว..สองคนนั้นอ่ะจะเข้าหรือไม่เข้าหรือจะต้องรออัญเชิญให้ยุงมันเข้ามาก่อน" เต้ยกับเพื่อนหนุ่มรีบดับบุหรี่ลงกับพื้นอมยิ้มมองหน้ากัน
"ไหนพี่วินบอกผมว่าเราจะไม่ชวนเต้ยจอยอะไรกับเราแล้วไงนี่เพิ่งชวนเข้าห้องอีกแล้ว"
"แหม.. หรือคุณเคนนี่อยากให้ยุงเข้าแทนคนคะจะหาเรื่องเกาให้พี่ทั้งคืนเหรอ" พี่วินเปลี่ยนจากกางเกงสแล็คเป็นพันผ้าเช็ดตัวถือกล่องเหล้าติดมือมาด้วยสองกล่อง "ของขวัญแต่งงานค่ะน้องเต้ยของพี่วินกับคุณเคนนี่กล่องนี้เบอร์เบิ้ลยี่สิบห้าปีกล่องนี้ซิงเกิ้ลมอลต์ค่ะถ้าไม่อยากจะเข้าห้องพี่น้องเต้ยก็รับไปเลยเพราะเดี๋ยวพี่จะลืมขี้เกียจแบกกลับขอนแก่นคุณเคนเค้าอุตส่าห์หิ้วจากดิวตี้ฟรีมาให้"
"นี่คุณเคนนี่มีงานในเมืองไทยพอดีเลยเหรอครับ แหม..ผมโชคดีจัง"ด้เจอตัวจริงซักทีพี่วินเค้าคุยให้ผมฟังถึงเรื่องสุดหล่อชาวสิงคโปร์ของเค้าจนบางทีพูดถึงบ่อยๆผมหึงเลยนะครับ" เต้ยยังไม่ตอบว่าจะเข้าหรือจะรับเอาของขวัญเพราะพี่วินยืนรอจะปิดประตูห้อง
"แหม..เลิกกับพี่ทิ้งพี่ไปเป็นปีเป็นชาติจะมาหึงอะไรคะน้องเต้ย"
"ผมก็มางานแต่งงานคุณเต้ยนี่แหละครับ พี่วินเค้าได้การ์ดเค้าเลยโทรไปชวน" เคนนี่ยิ้มมีเลศนัย
"โห..เป็นเกียรติมากๆเลยครับอยู่หลายๆวันนะเดี๋ยวผมพาเที่ยว"
"ชั้นไม่อยู่ด้วยหรอกจ้ะพรุ่งนี้คุณเคนนี่เค้าก็จะกลับสิงคโปร์แล้ว อ่าว..แล้วยังไงเนี่ย!! เธอรีบมาเอาเหล้าแล้วกลับไปที่ห้องเลยดีกว่าแม่ชะนียอดรักภรรยาของเธอเค้าคงนอนรอน้ำเหือดน้ำแห้งไปแล้วมั้งป่านนี้" พี่วินเดินเท้าเปล่าออกมาดึงมือคุณเคนนี่ "สงสัยเรากับน้องเต้ยจะไม่ได้อยู่บนโลกใบเดียวกันแล้วล่ะค่ะคุณเคนพี่ง่วงแล้วเงี่ยนแล้วด้วย"
"อ๊าว.. เดี๋ยวสิพี่วิน อ๋อ ผมก็ยังว่าพี่วินจะงอนอะไรผมนักหนา"
"เอาไว้น้องเต้ยมีผัวแล้วผัวเก่าน้องเต้ยไปแต่งงานกับชะนีน้องเต้ยจะรู้เองค่ะ แหม..ชะนีก็สวยหยอกซะเมื่อไหร่ล่ะแม่โบว์อะไรนั่นน่ะเอาเป็นว่าพี่ขอให้น้องเต้ยสมหวังกับชีวิตรักโชคดีกับชีวิตครอบครัวก็แล้วกันนะคะ"
"ผมก็ยินดีด้วยนะครับ จริงๆแอบมีหวังว่าจะมีเซอไพรส์เล็กๆกับเจ้าบ่าวในคืนวันแต่งงานเหมือนกันนะมันคงเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดในชีวิตผมเลยทีเดียว..แต่ไม่เป็นไร ยินดีด้วยนะครับถ้ามีธุรกิจการงานอะไรต้องการความช่วยเหลือประสานงานในสิงคโปร์ก็บอกผมได้เลยครับผมยินดีอำนวยความสะดวกให้คุณเต้ยกับภรรยาเต็มที่บอกผ่านพี่วินก็ได้" คุณเคนนี่จับมืออำลากับเต้ยเนิ่นานจนปล่อยมือแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง
"ห้องพี่วินห้องอาบน้ำมันซีทรูต่อกับระเบียงหรือเปล่าห้องผมแม่ง..ไม่กล้าอาบน้ำกันเลย" เต้ยรับกล่องใส่เหล้าสองกล่องมาถือไว้
"ห้องพี่เหรอคะ.. เด็ดกว่านั้นอีกค่ะเดี๋ยวสองสาวจะเอ้าท์ปาร์ตี้กันเอาท์ดอร์ตรงนั้นล่ะค่ะ ราตรีสวีต..นะคะคุณเจ้าบ่าว" พี่วินปิดประตูแต่เต้ยเอามือดันต้านแรงไว้
"สองสาว..เคนนี่เค้าไม่ใช่แฟนใหม่พี่วินเหรอ.." ทั้งที่ตั้งใจว่าจะขอเป็นคำถามสุดท้ายแล้วจะกลับไปหาโบว์เหตุเพราะไม่อยากให้แม่มีเรื่องมีราวให้ไม่ไว้ใจเขาก่อนเดินทางไปอยู่ยาวที่อเมริกาแต่ก็ยังอยากรู้ข้อมูลของหนุ่มแว่นหน้าใสวัยสามสิบกว่าหน้าตี๋ผิวขาวละเอียดสูงโปร่งชาวสิงค์โปร์ที่พี่วินคู่ขาเก่าตั้งแต่สมัยอยู่ขอนแก่นของเต้ยพูดถึงให้ฟังบ่อยๆ
"คุณเคนเค้า.. คืนนี้เป็นสาวค่ะ"
"อ้าว.. "
"เค้าก็เป็นได้ทั้งนั้นแหละคะแต่เห็นว่าเจอน้องเต้ยแล้วอยากเป็นเจ้าสาว ไม่รู้ชีเตรียมชุดเจ้าสาวมาด้วยรึเปล่านะ นึกแล้วพี่ขนลุก ไม่เอาแระไม่อยากโฆษณาขายยาพี่ไม่อยากจะทำลายครอบครัวใครตั้งแต่คืนแต่งงาน"
ต้นยิ่งมองพี่โบว์ยิ่งปลื้มกิริยาอาการประกอบเวลาเล่าเรื่องตลกๆอันซีนในวงการแฟชั่นได้น่ารักน่ามองน้ำเสียงน่าฟังทรวดทรงรูปร่างไหล่กว้างแบบพวกสปอร์ตเกิร์ลที่ดูแลตัวเองอย่างดีหน้าอกหน้าใจขาวเนียนวับๆแวมๆออกมาเวลาพี่โบว์กระโดดหรือชี้ไม้ชี้มือออกท่าทางชวนให้ติดตาม เคยสงสัยไปตามประสาเด็กว่าพวกผู้ใหญ่ที่ใส่ชุดเกาะอกเค้าใส่เสื้อชั้นในกันไหม
"ใส่สิ.. ถ้าแต่งเกาะออกออกไปเดินตามห้างพี่ก็ใส่เสื้อในนะไม่ใส่ไม่ไหวหรอกไม่กล้าเดินแน่ๆ"
"อะไรนะคะ.." ต้นงงๆ
"อ่าว.. ก็ที่น้องต้นถามว่าพวกผู้ใหญ่เวลาใส่เสื้อเกาะอกเค้าใส่เสื้อชั้นในกันรึเปล่าเมื่อกี๊นี้ไง" ต้นเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปอย่างไม่รู้ตัว "พี่ใส่นะ.. แต่คนไม่ใส่ก็มีแหละแต่ถ้าเนื้อผ้าไม่อยู่ทรงพอก็รู้เลยนะ" ดีไซเนอร์สาวอธิบายไปถอดเครื่องประดับไป "จริงๆชุดแต่งงานชุดนี้ตอนแรกก็กะว่าจะไม่ใส่บรานะเพราะมันจะเป็นรอยขอบข้างหลังไงแต่..ไม่เสี่ยงดีกว่า"
"อ๋อ เปล่าค่ะ..ไม่มีอะไร"
"เอาล่ะผู้ช่วยคะ..รูดซิปหลังให้พี่ทีรูดลงให้สุดเลย" เด็กสาวรูดซิปกลางหลังชุดแต่งงานสีขาวครีมตามคำสั่ง "ทีนี้แหวกให้หน่อยจ้ะรูดซิปแล้วไม่แน่นแล้ว" ต้นแหวกเสื้อให้จนพี่โบว์เอื้อมถึงดึงพ้นหัวไหล่ต้นเบือนหน้าไม่อยากมองเสียมารยาทพี่สะใภ้จัดการปลดเปลื้องชุดแต่งงานฝีมือออกแบบและตัดเย็บของตัวเองเองลงไปกองที่พื้น ต้นมองถุงน่องสีขาวชุดชั้นในผ้าซาตินสีครีมประดับลูกไม้น่าหลงไหลบวกกับถุงน่องยิ่งทำให้ทุกอย่างประกอบรวมกันเป็นประสบการณ์พิเศษที่น้อยคนนักจะได้เห็นว่ามีส่วนประกอบสิ่งใดบ้างที่อยู่ภายในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องสวยงาม
"ความจริงคนที่ช่วยถอดให้พี่โบว์น่าจะเป็นพี่เต้ยนะ" เด็กสาวมองดูพี่สะใภ้วัยยี่สิบเจ็ดก้มลงถอดถุงน่องรูปร่างอย่างพี่โบว์ก็น่าจะจัดว่าเป็นผู้หญิงในฝันของใครหลายๆคน
"โอ้ย.. เต้ยน่ะเหรอ ขืนพี่รอก็ไม่รู้เช้าจะได้ถอดรึยังน้องต้นช่วยแหละดีแล้วถ้าให้พี่ถอดเองคนเดียวคงไหล่หลุดก่อนพอดี พี่รบกวนหยิบถุงกับกล่องใหญ่ๆนั่นให้หน่อยค่ะ" ต้นเขยิบเอื้อมหยิบของที่พี่โบว์ต้องการ
"พี่โบว์หุ่นดีจังเลยค่ะ" ต้นไม่อยากแอบๆมองพี่โบว์ที่เหลือติดตัวเพียงชุดชั้นในตัวจิ๋วอีกแล้วจึงเอ่ยปากขอมองแบบเต็มๆถึงแม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันแต่การเจอกันแค่สองวันทั้งยังไม่เคยพูดจากันมาก่อนแต่พี่โบว์ก็เกือบจะเปลือยต่อหน้าเธอเดินไปเดินมาก้มๆเงยๆเก็บข้าวของได้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเขินอายต้นเลย
"น้องต้นก็หุ่นดีนะ อาจจะดูอวบๆไปหน่อยแต่พี่โบว์ว่าก็สวยแล้วล่ะเพราะน้องต้นไม่ใช่คนเตี้ยไม่ต้องมารูปร่างแบบพี่โบว์หรอกอดทานของอร่อยตั้งหลายอย่างตอนนี้ยังเด็กสิบหกใช่ป่ะอยากทานอะไรทานไปก่อนเลยเดี๋ยวสิบแปดสิบเก้าอยากจะเป็นนางแบบจริงๆแล้วค่อยอด" สาวรุ่นพี่ยกสองมือรวบมวยผมทุกอากับกิริยาอยู่ภายในสายตาของเด็กสาววัยต่างกันหนึ่งรอบพอดี "ผู้ชายเค้าไม่ได้ชอบผู้หญิงที่ผอมจนจะเหลือแต่กระดูกหรอกนะพวกผู้หญิงเราชอบกันไปเองยิ่งถ้าเป็นคนออกแบบเสื้อผ้าแบบพี่นะจะรู้เลย.. นี่ที่พี่ยอมอดของอร่อยก็เพราะมันเป็นอาชีพได้เงินไงอ่ะ..งานแต่งงานด้วย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นอาชีพไม่ใช่ได้เงินนะพี่โบว์กินแหลกไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกเราเจอกันเรื่อยๆเดี๋ยวพี่โบว์ช่วยเตือน"
"ขอบคุณค่ะ"
"น้องต้นเป็นคนที่ชอบพวกแฟชั่นอะไรแบบนี้บ้างไหม" พี่โบว์เก็บชุดแต่งงานลงกล่องกระดาษใบใหญ่
"ก็ชอบค่ะแต่ที่บ้านมันไม่ค่อยมีอะไรต้นไม่ค่อยได้ออกไปไหนด้วย ถ้าจะดูก็ดูในเน็ตแต่ไม่ได้ดูแล้วชอบจนแต่งตามอะไรนะคะ"
"แล้วสาวๆที่บ้านพวกเพื่อนๆอ่ะเค้าแต่งตัวยังไงกัน"
"ก็ถ้าเสาร์อาทิตย์ออกจากบ้านส่วนใหญ่ก็จะใส่ชุดพละ"
"ชุดพละ!! เสาร์อาทิตย์เนี่ยนะ"
"ค่ะ ก็ไม่เชิงชุดพละหรอกแต่แบบพวกเสื้อกีฬาสี"
"เนื้อผ้าแบบเสื้อกีฬาผู้ชายแบบนั้นน่ะเหรอ"
"ค่ะ.. มีสกรีนชื่อโรงเรียน"
"กางเกงล่ะ"
"กางเกงวอร์ม"
"น้องต้นมองเพื่อนๆแล้วไม่คิดว่ามีแต่คนแต่งตัวน่าเบื่อบ้างเหรอนั่นมันไม่ใช่แฟชั่นเลยนะ"
"ต้นก็แต่งแบบนั้น มันก็ดีนะพี่โบว์เวลาขี่มอเตอร์ไซค์ก็สะดวกดีไม่โป๊ไม่ต้องคอยปิด"
"แล้วมีเพื่อนแบบสวยๆใส่กางเกงขาสั้นๆโชว์ขาบ้างไหม"
"ก็มีนะแต่ก็เป็นอีกกลุ่มนึงไปเลยกลุ่มต้นก็เคยนัดใส่ขาสั้นกันไปห้างในตัวจังหวัดแล้วดันไปเจอเพื่อนผู้ชายโอ้ยอายขาวิ่งหนีแอบกัน แต่พวกพี่โตที่จบไปแล้วเค้าก็ใส่กางเกงขาสั้นกันนะ"
"แสดงว่าจบมัธยมเมื่อไหร่ก็คือคำอนุญาติว่าแต่งหน้าแต่งตัวได้" พี่โบว์นึกถึงแบบสอบถามตอนทำปริญญาโทของตัวเองหัวข้อเรื่องเกี่ยวกับแฟชั่นของวัยรุ่น
"ก็ต่างจังหวัดมันก็เป็นแบบนั้น พี่โบว์ไม่หนาวเหรอ" ต้นมองกางเกงชั้นในของสาวรุ่นพี่ที่บางจนเห็นเป็นร่องก้นเป็นไรขนสีดำเกือบจะซีทรู
"หนาวเหรอ เวลาทำงานหนาวกว่านี้อีกจ้ะแทบจะแก้ผ้าเดินชนกันเลยอ่ะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่รู้กี่ชุดแล้วเดินกันทีนึงยี่สิบคน" ต้นคลายสงสัยว่าทำไมดีไซเนอร์สาวรุ่นพี่ถึงไม่เขินอายเลย
"แสดงว่าตอนนี้น้องต้นก็เลือกใช้เสื้อผ้าโดยคำนึงตามประโยชน์ใช้สอยเป็นอันดับแรก"
"มั้ง.. ไม่รู้สิต้นไม่เคยคิดเหมือนกันตัวไหนพับไว้อยู่บนสุดก็ใส่"
"แล้วเวลาน้องต้นมองกระจกอ่ะ โอเค..เอาใหม่ แบบว่าเรามองกระจกเราก็รู้ว่าเราน่ารักเราแก้ผ้าอาบน้ำเราก็รู้ของเราว่าเรารูปร่างดีเพราะฉะนั้นเรารู้อยู่ว่าเรามีความพิเศษไม่ธรรมดาแต่เวลาออกจากบ้านน้องต้นมีวิธีทำยังไงให้คนอื่นประทับใจในความพิเศษไม่ธรรมดาของเราได้ล่ะในเมื่อเสื้อผ้าก็ต้องใส่เหมือนคนอื่นๆแต่งหน้าก็ไม่ได้"
"ยากไปป่าวพี่โบว์ ต้นจะตอบยังไงอ่ะไม่เคยคิดเลยอ่ะ ก็..อาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้าน"
"นั่นสิเวลาเห็นสาวๆคิ้วปลิงแล้วพี่โบว์เศร้าปัญหาคือวัยรุ่นของเรายังไม่รู้ว่าความพิเศษไม่ธรรมดามันคืออะไรไง อืม.. เอางี้ อย่างมางานแต่งงานพี่โบว์เนี่ยคืนนี้น้องต้นแต่งตัวแต่งหน้าสวยน่ารักมากมายขนาดเพื่อนพี่โบว์ยังถามถึงเลย ชุดที่น้องโบว์เลือกใส่มางานมันก็ต้องพิเศษกว่าชุดใส่อยู่บ้านปกติใช่ป่ะล่ะ" สาวสวยรุ่นพี่สังเกตุว่าต้นกำลังตั้งใจฟัง "พี่ว่าชุดชั้นในของน้องต้นก็ต้องพิเศษพนันได้เลย อย่างน้อยก็ต้องสวย..อาจเป็นแบบเข้าชุดกันหรือไม่เป็นตัวที่ชอบที่สุดในตะกร้า"
"ก็ธรรมดานะ ที่ต้นใส่มาก็ธรรมดาๆ" เด็กสาวรีบปฏิเสธ
"ก็ทั้งที่ไม่มีใครเห็นใช่ป่ะแสดงว่าการเลือกชุดชั้นในไม่ได้เกี่ยวกับประโยชน์ใช้สอยเพราะเรารู้ของเราคนเดียว สวยๆอย่างน้องต้นพี่ว่าที่เลือกใส่คืนนี้ยังไงก็พิเศษพนันกันกับพี่โบว์ก็ได้"
"ต้นก็ใส่ธรรมดาเองพี่โบว์"
"อ่ะ..ให้ธรรมดาคือกางเกงในแบบเต็มตัวยกทรงเป็นแบบรับเต็มเต้าบ้านๆใช่ป่ะ พี่ว่าน้องต้นรู้อยู่ว่าตัวเองสวยรู้อยู่ว่ามีหนุ่มๆมองเวลาเดินไปไหนมาไหนมีคนสนใจอยากจีบอยากรู้จัก เพราะฉะนั้นโอกาสที่ได้แต่งตัวสวยเป็นพิเศษแบบนี้ยังไงชุดชั้นในก็ต้องพิเศษ หรือจะให้พี่โบว์พิสูจน์เอง" พี่โบว์กางนิ้วทำท่าหื่นจนเด็กสาววัยสิบห้าหยกๆสิบหกหย่อนๆในชุดแซ็กสั้นหัวเราะคิกคักกลิ้งไปบนเตียงเบี่ยงตัวหนี
"ต้นใส่ธรรมดาจริงๆพี่โบว์ "
"เอ..หรือว่าเคสน้องต้นนี่พี่จะพลาด นี่ปริญญานิพนธ์พี่เลยนะ ถ้าเรียบๆงั้นก็ต้องเป็นสีดำ"
"นี่เห็นต้นเป็นงานวิจัยหรือไงคะ"
"เดี๋ยวสิ..ตอบก่อน สีอะไร"
"สีดำ.."
"แล้วรู้ป่ะว่าผู้หญิงที่ใส่กางเกงในสีดำคือพวกที่คิดว่าเค้าไม่ใช่เด็กแล้ว"
"แล้วกางเกงในต้นมันเกี่ยวอะไรด้วยอ่ะพี่โบว์"
"ก็เด็กๆเค้าไม่ใส่กางเกงในสีดำกันนี่ กางเกงในสีดำตัวแรกส่วนใหญ่ก็แอบแม่ซื้อกันเองทั้งนั้น เห็นป่ะมันมีสตอรี่มีที่มาที่ไปนะน่าสนุกออก พี่ว่าเริ่มจากเราต้องรู้ก่อนว่าเราไม่ต้องการแบบธรรมดาเพราะในเมื่อในใจเรามันไม่ธรรมดาแล้วจะให้แต่งตัวแบบคนธรรมดาได้ยังไง ชุดชั้นในสวยๆถึงได้ขายดีไม่ว่าเศรษฐกิจจะขึ้นจะลงทั้งๆที่ซื้อแพงๆแถมใส่ไปก็ยังไม่มีใครเห็นนอกจากใจเราเองที่เห็นที่ชอบที่มีความสุขกับมันทั้งวัน"
"แล้วพี่โบว์รู้ได้ยังไงหรือแน่ใจได้ยังไงว่ามันเป็นแบบนั้น"
"พี่ก็ขอดูสิ.."
"ห่ะ.. อะไรนะพี่โบว์ ขอดูชุดชั้นในกันซื่อๆเลยเนี่ยนะ"
"แหม.. มันก็ไม่ใช่ว่าจะขอดูไปทั่วหรอกค่ะจริงๆมันก็ต้องรู้จักกันประมาณนึงหรือถ้าเราอยากจะรู้ว่าคนคนนี้ประมาณนี้ขับรถรุ่นนี้แต่งตัวแบบนี้นิสัยท่าทางบุคลิคแบบนี้ชอบใส่ชุดชั้นในแบบลักษณะไหนไหนสียังไง ก็อย่างที่ขอดูน้องต้นน่ีแหละ"
"ก็นั่นแหละแบบธรรมด๊าธรรมดาสีดำ"
"พี่โบว์ถึงได้ชอบงานเสื้อผ้าไงมันเหมือนได้เรียนรู้คนไปด้วย"
"แบบนี้แสดงว่าคนรูปร่างหน้าตาธรรมดามีเงินน้อยก็ไม่มีสิทธิ์หรือไม่คู่ควรกับแฟชั่นเหรอคะ"
"ที่พี่บอกว่าแฟชั่นมีไว้สำหรับคนพิเศษคนไม่ธรรมดาพี่ไม่ได้หมายถึงรูปร่างหน้าตาหรือฐานะเงินทองแค่นั้นนะนะ พี่หมายถึงฟีล.. ความรู้สึกเชื่อว่าแฟชั่นจะทำให้เขาดูดีขึ้นมั่นใจขึ้นมีคุณค่ามากเริ่มอยากเอื้อมมือไปแตะกรอบขอบเขตความไม่ธรรมดาของเขาเพราะเขาอยากจะสวยอยากน่ารักอยากเซ็กซี่อยากจะแปลกประหลาดหรืออยากจะอะไรซักอย่างที่ทำให้คนอื่นสนใจ ง่ายๆเลยก็คือเรียกร้องความสนใจนั่นแหละ"
"แต่ถึงเราจะรู้ว่าเราชอบแบบไหนแต่ก็ยังไงก็ยังต้องถูกตัดสินด้วยสายตาของคนอื่นอยู่ดี"
"เอางี้.. สมมติว่ามีคนเมาเหล้าจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายถ้าน้องต้นเป็นตำรวจได้รับมอบหมายให้เข้าไปไกล่เกลี่ยต่อให้สวยน่ารักแค่ไหนแต่แต่งชุดตำรวจเดินเข้าไปแค่เขาเห็นเขาอาจกระโดดก่อนเลยก็ได้ยังไม่ทันเกลี้ยกล่อม" พี่โบว์หยุดพักจังหวะให้ต้นได้คิดตาม "แต่ถ้าน้องต้นอยากจะช่วยเหลือเขาจากใจจริงน้องต้นแค่ไปยืนถอดชุดตำรวจออกทีละชิ้นไม่ต้องพูดอะไรเลยจนเหลือแต่ชุดชั้นในพี่ว่าเค้าเห็นน้องต้นแล้วเค้าไม่อยากกระโดดหรอกเผลอๆจะเอาแต่จ้องตาแทบหลุดจนลืิมความเศร้าทั้งหมดและถ้าใจถึงน้องต้นก็ถอดชุดชั้นในออกซะด้วยเลยนอกจากงานจะสำเร็จแล้ววันรุ่งขึ้นลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับสัมภาษณ์รายการเล่าข่าวทุกรายการดังเป็นพลุแตกแน่นนอน แต่ถ้าน้องต้นยืนแก้ผ้าต่อหน้าคนเป็นสิบเป็นร้อยด้วยเหตุผลอื่นพี่ว่าอาจโดนด่ายับเยิน"
"ใครทำแบบนั้นก็บ้าแล้วพี่โบว์"
"ก็ขอบเขตของความไม่ธรรมดาไงได้แก้ผ้าในหน้าที่โอ้ยเผลอๆจะฟิน..มันจะมีซักกี่คนในประวัติศาสตร์โลกที่เคยทำแบบนี้ ในทางกลับกันถ้าเราห่วงหวงร่างกายของเรามากต้นอาจใส่ชุดตำรวจเดินเข้าไปเร่งให้เขารีบๆโดดฆ่าเขาเลยจะได้จบงานก็เป็นสิทธิของน้องต้นที่จะเลือกใช้แฟชั่นให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อที่จะส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งกับคนอื่นๆ"
"ต้นฟังไม่รู้เรื่องหรอกพี่โบว์"
"สงสัยน้องต้นโตไปน่าจะเหมาะกับงานที่ใช้เหตุและผลมากกว่า"
"ก็เรื่องนี้มันเข้าใจยากจริงๆนะพี่โบว์ มันแบบเป็นเรื่องอารมณ์ส่วนบุคคลมากๆเลย"
"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะสงสัยพี่จะเมาแล้วพูดไปเรื่อยเปื่อยนี่ก็หาทางลงอยู่เนี่ย ขอบคุณมากที่มาช่วยถอดชุดค่ะน้องต้นไปพักผ่อนเถอะเดี๋ยวเจอกันส่งคุณแม่เช้าเจ็ดโมงนะพี่โบว์จะอาบน้ำนอนล่ะไม่รอพี่เต้ยแล้ว"
จริงๆต้นก็กำลังฟังพี่โบว์เพลินๆแถมยังได้สำรวจรูปร่างของคนในระดับที่ใช้ส่วนโค้งเว้าเป็นอาชีพให้กลับห้องไปก็เจอแต่พี่ตองขี้บ่นแต่ก็รู้สึกเหนื่อยๆอยู่เหมือนกันเพราะตื่นมาร่วมงานภาคเช้าตั้งแต่ตีสี่ยังดีที่ห้องอยู่ฝั่งตรงข้ามประตูแค่นี้ ระหว่างรอพี่ตองเปิดห้องได้ยินเสียงสัญญาณลิฟท์เปิดพี่เต้ยเดินออกจากลิฟท์หน้ามุ่ยเกาคอเกาแขนมาตลอดทางเดินพรมสีน้ำเงินนุ่มเท้า
"แหม.. พี่โบว์เค้ายังสงสัยอยู่ว่าพี่เต้ยจะกลับเช้าเลยรึเปล่าน้าา" น้องสาวคนเล็กแซวพี่ชายกระทบกลุ่มเพื่อนหนุ่ม
"ยุงแม่งโคตรเยอะเลยอยู่ไม่ไหวว่ะเสือกเปิดประตูไว้ เป็นเด็กเป็นเล็กจะตีหนึ่งแล้วไปนอนไป!! แล้วถ้าฟ้องแม่ล่ะน่าดู"
"ใครเป็นอะไรวะ.." พี่ตองเปิดประตูโผล่หน้าตาหยีเหมือนจะหลับไปแล้ว
"ไม่มีอะไรแก๊งค์หนุ่มหล่อเค้าปล่อยตัวเจ้าบ่าวกลับมาแล้ว" ต้นเดินสวนเขาไปในห้อง "โห.. โนบรานอนเลยเหรอเซ็กซี่นะเนี่ยเจ๊ แม่บอกนอนแต่งตัวไม่เรียบร้อยระวังไฟไหม้แล้วต้องไปยืนโป๊ริมถนนนะ"
"ชั้นก็แต่งของชั้นนอนแบบนี้อยู่ทุกวันแกอย่าบ้าไปหน่อยเลยจะนอนแล้วก็ปิดไฟด้วย"
เสื้อสายเดี่ยวสีขาวบางจนเห็นหัวนมสีน้ำตาลไหม้มองไม่เข้าชุดกันกับกางเกงในตัวจิ๋วสีฟ้าสดตกไซส์จนอะไรต่ออะไรดูรัดติ้วไปหมดเซ็กซี่แบบสไตล์เด็กบ้านแสดงว่าพี่ตองเป็นประเภทใช้แฟชั่นแค่ตามฟังชั่นการใช้งานแค่นั้นซึ่งถึงแม้จะปิดไฟนอนมืดตึ๊ดตื๋อไม่มีใครมาเห็นว่าเราใส่ชุดอะไรนอนแต่แค่เราคนเดียวที่รู้ว่าเราใส่อะไรนอนและมันทำให้เราฝันดีแค่นั้นก็มากพอชุดนอนสวยๆแพงๆมันถึงยังขายดีตลอดกาลอยู่นี่ไง
ต้นถอดชุดแซ็กสั้นใส่งานกลางคืนออกมองสะท้อนภาพตัวเองในชุดชั้นในสีดำทั้งชุดที่เพิ่งสั่งจากเน็ตโดยเฉพาะเพื่อใส่กับชุดแซ็กสั้นสีน้ำเงินเข้มเจ้ากางเกงในจีสตริงตัวจิ๋วสีดำก็เพิ่งเคยใส่แบบนี้เป็นครั้งแรกจะได้ไม่เห็นเป็นรอยขอบกางเกงในเพราะชุดค่อนข้างรัดและสั้น โถ..แฟชั่นหนอแฟชั่น
ต้นกับพี่ตองเก็บข้าวของส่วนตัวลงมาพร้อมกันเจอพี่เต้ยและพี่โบว์ที่แต่งตัวง่ายๆนั่งอ่านหนังสือพิมพ์คุยกันกับพ่อแม่ที่เก้าอี้รับแขกโถงห้องล็อบบี้รออยู่แล้ว
"อ่ะ.. มากันแล้ว อีกห้านาทีนี่ชั้นโทรตามแล้วนะ" แม่บ่นรับอรุณ
"ตกลงพ่อจะทำร้านที่พาโมน่ามั้ยอ่ะเผื่อหนูจบแล้วไม่มีงานทำ" พี่ตองลงไปนั่งเกาะขาอ้อนพ่อ
"ถ้าแกจะทำร้านกับพ่อแล้วแกจะรอเรียนจบไปทำไมล่ะที่ร้านลองบีชน่ะเด็กเสริฟพ่อจบปริญญาโทกันทั้งนั้นแกไปคุมมันก่อนเลยก็ได้นะ" พ่อจัดหนังสือพิมพ์ให้เข้าที่ตองรีบประจบรับไปแขวนไว้ให้
"พวกนั้นมันก็ดูถูกหนูกันสนุกเลยดิ เอาไว้เรียนจบอีกสองปีเองพ่อหนูขี้เกียจอยู่นี่แล้วเหมือนกัน""แล้วเธออยู่กับน้องน่ะรักน้องดูแลน้องนะเงินทองก็อย่าไปกวนพี่เต้ยพี่โบว์เค้ารู้มั้ย" แม่กำชับตองลูกสาวคนกลาง "ไปเถอะไปได้แล้วชั้นเตรียมเรื่องไว้สั่งแกสองคนอีกเป็นชุดเดี๋ยวค่อยไปว่ากันในรถ ไป..เดินนำไปขึ้นรถเลยพ่อเค้าเอามาจอดหน้าทางเข้าเรียบร้อยแล้ว" พี่โบว์กอดกับแม่และยกมือไหว้สวัสดีลาอีกครั้ง "พาหนูโบว์กับหลานตัวน้อยๆไปเยี่ยมแม่บ้่างนะลูก"
"สวัสดีค่ะแม่" เต้ยกับโบว์ยืนโบกมือส่งแม่จนสุดสายตายังไม่ทันจะกลับหลังเดินเข้าโรงแรมพี่วินกับคุณเคนนี่ก็เดินตามกันออกมาพอดี
"อรุณสวัสดิ์ค่าา แหมเพิ่งแต่งงานไม่น่าจะตื่นเช้ากันเลยนะเนี่ยใส่บาตรเหรอคะ" พี่วินทักทายก่อนโบว์สักเตุว่าสองคนนี้เกาตามเนื้อตามตัวยุกยิกตลอดเวลา
"อ๋อ.. ผมกับโบว์ลงมาส่งพ่อกับแม่บินกลับอเมริกาครับ" เต้ยจับมือภรรยาไว้
"พี่กับคุณเคนนี่ก็กำลังจะกลับเหมือนกันค่ะโชคดีมีบุตรนะคะทั้งคู่น่ารักมากๆเลย" พี่วินรับไหว้ท่าสายันห์แล้วเดินนำไปขึ้นรถบริการของโรงแรม
"ซียูอินสิงค์โปร์นะครับ" เคนนี่ยกมือโบกลาทักทายตามขึ้นรถไปอีกคน
"เรานึกว่าเต้ยจะอยู่ส่งเค้าถึงเช้าซะอีก" โบว์ถามยิ้มๆ
"ตามไปเอาเหล้า..แค่นั้น ชิบหาย!! เหล้าอยู่ไหนวะ"
"อยุ่ในห้องน้ำอ่ะสองกล่องตอนกลับมาเมาไม่รู้เรื่องเลยมั้งเต้ยมาตอนน้องต้นกลับไปพอดีนี่ตอนนั้นโบว์ว่าจะอาบน้ำพอดีพอเข้าไปเจอเหล้าวางอยู่ในอ่างอาบน้ำอ่ะ"
"เต้ย.."
"หืม"
"แกยังไม่ได้เป็นเอสด์ใช่ไหมวะ" โบว์ถามเพื่อนซี๊ตั้งแต่เรียนศิลปากรปีหนึ่ง
"เอสด์พ่อง.. อีนี่ ปากอัปมงคลแต่เช้าเลย"
"เราต้องเช็คเอาท์กี่โมงวะ" โบว์มองประตูลิฟท์ค่อยๆสบกันสนิทขยับเคลื่อนที่เบาๆ
"โรงแรมเค้าให้อีกคืน.. พรุ่งนี้เที่ยงแกจะทำไม"
"ชั้นจะให้แกจัดให้หน่อย.. " โบว์ยิ้มมีเลศนัย
"ทำไม.. เจอแม่ชั้นกล่อมซะเคลิ้มเลยเหรอ"
"ไม่หรอก เห็นพ่อแกเห็นพวกแกแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย"
"แม่ชั้นก่อนแต่งงานก็เป็นทอมนะ"
"เห่ย.. จิงดิ"
"เออ.. ปัญหาของวัยรุ่นยุคหกศูนย์..เราไม่เข้าใจเค้าหรอก" เต้ยมองไปที่สระว่ายน้ำของโรงแรมเริ่มมีแขกพักลงมาออกกำลังยามเช้ากันหนาตาเพราะมีห้องฟิตเนสอยู่ข้างสระด้วย "เดี๋ยวลงมาล่าฝรั่งกันดีกว่าว่ะโบว์"
"จัดก่อนสิแล้วค่อยลงมาว่ายอย่าบ่ายเบี่ยง แต่ประตูหลังไม่เอานะเว่ย"
"อีนี่มึง..แอบหื่นนะเนี่ยนี่ดาร์คไซด์มึงใช่มั้ยเนี่ย"
"เออ..เมื่อคืนชั้นคุยกับน้องแกเค้าก็ไม่ได้ดื้ออย่างที่แแม่แกบอกนะ"
"น้องคนไหน อะไรวะชั้นตามไม่ทัน" เต้ยมัวแต่คิดว่าเมื่อขึ้นไปบนห้องจะทำวิธีไหนให้ปืนประจำกายของตัวเองแข็งขึ้นมาพร้อมใช้งาน
"น้องต้นอ่ะ แม่แกบอกชั้นเมื่อคืนว่าเป็นเด็กขบถไม่ค่อยคุยกับใคร"
"อีนี่.. มึงกะจะเทครัวบ้านกูเลยเหรอ"
"อีฟาย.. "
"แกว่าเราจะไปกันรอดรึเปล่าวะ" เต้ยถาม
"ถ้าไปกันแบบเพื่อนเหมือนตอนมากูว่ารอด" นางแบบสาวตอบเพื่อนซี๊คนสนิทที่เธอกำลังจะเลื่อนสถานะเป็นสามีในทันทีที่เดินถึงห้องนึกภาพไว้ว่าอยากให้มันร้อนแรงเหมือนในหนัง
"จริงๆมันก็แค่การที่แม่แกขอให้แกแต่งงานก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดครั้งสุดท้ายเองนะเว่ยนี่เราเลยเถิดมาไกลขนาดนี้"
"อ๋อ.. ลืมบอก แม่ชั้นเค้าไม่ผ่าแล้วว่ะเค้ารักษาทางสมุนไพรดีกว่าค่อยไปหาหมอตามอาการ"
"แบบนี้ที่เค้าว่าเสียโอกาสในการรักษานะแก.."
"เออ จริงๆอาการเค้าก็ดีขึ้นกว่าเดิมนะพอไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลอะไรๆก็ดีขึ้น"
"ดีขึ้นนานรึยัง"
"ดีขึ้นสักพักแล้วล่ะ เมื่อวานก็มางานได้" โบว์แปะการ์ดกุญแจได้ยินเสียงสัญญาณปลดล็อคประตู
"ดีขึ้นก่อนหรือหลังวันที่แกขอให้ชั้นแต่งงานกับแก..พูด!!"
"ตอนนั้นยังทรุดไงพอกูบอกโอเคจะมีผัวแค่นั้นแหละอีกวันลุกขึ้นมาปิ้งบาร์บีคิวกับพ่อกูเลย"
"แล้วทำไมแกไม่บอกชั้น"
"ก็..ชั้นเห็นว่าพ่อแกบินมาจากอเมริกาเลยนี่หว่า แบบจริงจัง เลยไม่กล้าบอก แหะๆ.." โบว์ทำหน้าบ้องแบ๊วตาใส "แต่เมื่อคืนชั้นก็ปลื้มแกนะเว่ยที่แกกลับมาห้องอ่ะไม่งั้นเช้ามาชั้นคงไม่รู้จะมองหน้าใครยังไง"
"เออๆ.." เต้ยติดในใจว่าถ้ายุงไม่เยอะนะ
"ทำยังไงให้มันแข็งวะ" โบว์ถามทะลึ่ง
"กูหมดอารมณ์แล้วเนี่ย หลอกกูได้นังโบว์"
"ชั้นแก้ผ้าแกจะแข็งรึเปล่าวะ"
"ฝันไปเถอะนังชะนี"
"แล้วจะทำยังไงให้แกหายโกรธได้วะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้แกจะให้ชั้นไปขอให้ใครช่วยล่ะ"
"แต่นี่มันงานแต่งงานจริงๆมีแขกเหรื่อของบ้านแกบ้านชั้นมาจริงๆนะนังโบว์"
"ถ้าถามชั้นว่าวันเวลาที่เหลือในชีวิตถ้าเลือกได้อยากจะใช้ร่วมกับใครซักคนชั้นก็เลือกแกแหละว่ะ"
"แล้วมึงถามกูมั่งรึยัง!!"
"ถามแล้ว..แกบอกโอเค ที่แกโทรไปหาพ่อที่เมกาเลยอ่ะ"
"เชี่ย.. นั่นกูสงสารแม่มึง"
"เออ.. ก็ที่ชั้นบอกแกไง คนเดียวที่ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวปัญหาใหญ่โตแค่ไหนเค้าก็จะไม่มีวันทิ้งชั้นนั่นก็คือแก"
"กูเป็นเกย์ มึงจะเอากับเกย์เหรอ"
"แต่มึงยังมีกะจู๋ กูเป็นดีไซเนอร์!! กูเอากับมึงได้แน่นอนเพราะมันจะเป็นอะไรที่นำเทรนด์มากๆ" โบว์ขยับเข้ามาใกล้ "ว่าแต่ยังไงดีอ่ะ"
"ยังไงเหี้ยอะไร"
"เริ่มอ่ะ"
"กูไม่มีอารมณ์"
"แล้วทำไงอ่ะ ใช้ปากป่ะ"
"แล้วผัวเก่ามึงอ่ะยังไง"
"ก็เค้าเริ่มก่อนชั้นอ่อยนิดๆหน่อยๆก็แข็งแล้ว"
"สำหรับกูอารมณ์มันต้องมาเว่ย มันมีค่ากว่านั้น"
"ไหนแกเคยเล่าว่าเดินสวนกันสบตาก็ชวนกันเข้าห้องน้ำชายเลยไง"
"ก็นั่นมันคนอื่นไม่ใช่ชั้น ของชั้นอารมณ์มันต้องได้ต้องมา"
"งั้นเดี๋ยวกูโทรเรียกพนักงานที่เค้าท์เตอร์มาบิวท์ให้แกแล้วกันเห็นมองกันตาเป็นมันเลยนะพอแข็งแล้วค่อยเอามาใส่ของชั้น"
"ใส่ตูดเหรอ"
"เออ..ลืมบอกไป ขอไม่ก้นได้ป่าววะ"
"เอาวะ.. ขอเอาตูดเมียซักวันนึงเฮอะ" เต้ยลุกขึ้นถอดเสื้อยืดเห็นกล้ามแผงหน้าอกมีไรขนสีดำเล็กบางๆ "มานี่เลยตัวแสบ!!" เต้ยไล่จับโบว์ที่วิ่งหนีไปรอบห้อง
"ไม่ก้นไม่ได้เหรอ อย่า..55"
"ลองซักนิดสิจ้ะคนสวยแล้วจะติดใจพี่เห็นติดใจกันทั้งนั้นแหละ อย่าหนีเลยมันเหนื่อย" เต้ยทำเสียงโหดแบบตัวร้ายในหนัง
บทนำ: อุทิศแแด่.. พี่โบว์ ภัทรวดี อุบัติเหตุทางรถยนต์ประเทศสหรัฐอเมริกา 2011