ตายกระตุกขวัญ
0
ตอน
2.14K
เข้าชม
206
ถูกใจ
3
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง

 

       “ตายกระตุกขวัญ”

 

 

 

โดย อรรถกมล

(หมายเหตุ เคยลงในหนังสือขายหัวเราะ ราวปี2540)

 

 

 

“ดร.ชัยยุทธ์”นักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องแห่งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแห่งชาติดูจะมีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัดในขณะนั่งรอที่จะเข้าพบกับเลขาฯคนสนิทของท่านรัฐมนตรีชายชาญ นักการเมืองผู้ซึ่งมีไอคิวไม่ถึงครึ่งของเขาแต่กลับเป็นผู้กุมชะตากรรมของเขาและทีมงานระดับอัจฉริยะกว่ายี่สิบสามคนเอาไว้ในกำมือ

 

หลังจากรอมานานกว่าสามชั่วโมง ดร.ชัยยุทธ์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและระบบสมองของมนุษย์ก็ได้เข้าพบกับท่านเลขาฯวงศ์เทพผู้ซึ่งเป็นนักการเมืองหนุ่มอนาคตไกล

 

“ดร.ชัยยุทธ์ ขอโทษนะครับที่ทำให้ต้องรอ คือมีปัญหานิดหน่อยในเขตเลือกตั้งของผมน่ะครับคุณคงเข้าใจ.. เรื่องที่ดอกเตอร์ขอนัดผมในวันนี้คงเป็นเรื่อง...งบวิจัยของโครงการวิเคราะห์คลื่นสมอง..ที่คุณเป็นหัวหน้าโครงการอยู่ใช่มั้ยครับ  คุณเสนอของบมาตั้งร้อยแปดสิบล้านแถมยังขอใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์กับโครงการนี้ถึงสิบเครื่อง ผมเกรงว่าท่านรัฐมนตรีชายชาญคงไม่สามารถอนุมัติให้ได้ตามที่ขอแน่...หากไม่มีคำอธิบายที่น่าพอใจ”เลขาฯวงศ์เทพกล่าวขึ้นเป็นประโยคแรกยืดยาว แต่ด้วยท่าทีเฉื่อยเนือยไม่เห็นความสำคัญ

 

“แต่ว่า...ท่านครับ  ผมมีคำอธิบายที่ดีพอนะครับ งบประมาณโครงการของผมที่เสนอไปนี่น่ะแทบจะเป็นค่าเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นเท่านั้น ผมและทีมงานเกือบจะไม่ได้เงินเดือนกันเลยด้วยซ้ำ และเราก็กำลังเข้าใกล้ความสำเร็จเต็มทีแล้ว ถ้างานนี้ต้องล้มเหลงลงเพราะเรื่องเงินละก็ ผมเกรงว่าทีมงานของผมคงต้องแตกกระจัดกระจายไปยังสถาบันวิจัยของประเทศอื่นๆกันหมด  มันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศเราเราทีเดียวนะครับ”ดร.ชัยยุทธ์พูดวิงวอน

 

“ผมว่าประชาชนคงสนใจเรื่องปากท้องกันมากกว่าการค้นพบเรื่องคลื่นสมองอะไรนั่นของดอกเตอร์นะครับ”

 

คำพูดของนักการเมืองหนุ่มรุ่นลูกทำให้ดร.ชัยยุทธ์ร้อนฉ่าขึ้นด้วยความโกรธ แต่จำต้องข่มเอาไว้อย่างสุดฝืน

 

“งานวิจัยของผมไม่ใช่แค่การวิจัยคลื่นสมองธรรมดานะครับ ผมขออธิบายงานของผมแบบคร่าวๆนะครับ คงเสียเวลาอันมีค่าของท่านเลขาฯไม่มากนัก..”ดร.ชัยยุทธ์พยายามพูดเสียงนุ่มนวล พลางนึกหาคำอธิบายให้กับนักการเมืองหนุ่มที่เป็นเพียงน้ำเน่ารุ่นใหม่ฟัง ที่จะไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ากำลังถูกดูหมิ่นภูมิความรู้ของตนอยู่

 

“คงจะตำหนิท่านเลขาฯไม่ได้ที่เข้าใจผิดเรื่องงานวิจัยของผม  เพราะท่านคงนึกว่างานวิจัยของผมเป็นเหมือนกับเครื่องวิเคราะห์คลื่นสมองเบรน แอตลาสที่แปลงคลื่นสมองเป็นความถี่แล้วแยกออกมาให้เห็นทางจอภาพ  เช่นคลื่นสมองเบต้าหรือแอลฟ่าเป็นคลื่นสมองของคนที่ตื่นอยู่ ส่วนคลื่นเธต้าหรือคลื่นเดลต้าเป็นคลื่นสมองของคนนอนหลับหรือเข้าสู่ภวังค์ แต่งานวิจัยคลื่นสมองในโครงการของผมมันละเอียดและซับซ้อนกว่านั้นแบบเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว  ความละเอียดนั้นต่างกันเป็นล้านๆเท่า เพราะเหตุนี้แหละครับเราถึงต้องการเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ถึงสิบตัวต่อเข้าด้วยกันทั้งในแบบเวคเตอร์และแบบขนานด้วยเทคนิคพิเศษ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วในการวิเคราะห์สัญญาณจากสมองอันสลับซับซ้อนของมนุษย์  ตอนนี้ความสำเร็จของโครงการเราใกล้เข้ามาทุกทีแล้วครับ  ซอฟต์แวร์วิเคราะห์สัญญาณคลื่นสมองถึงระดับควอนตัม เอ้อ...ผมหมายถึงการวิเคราะห์ที่ละเอียดถึงระดับการสั่นและสปินของอิเลคตรอนในเซลสมองนั้นสมบูรณ์กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว  แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรามีอยู่มีประสิทธิภาพต่ำเกินกว่าจะสร้างภาพจากคลื่นสมองออกมาให้เห็นได้”

 

“สร้างภาพจากคลื่นสมอง  คุณหมายถึงภาพแบบไหน”เลขาฯวงศ์เทพนั่งเท้าคางยื่นหน้าออกมานิดหนึ่งด้วยความสนใจมากขึ้น

 

“ผมหมายถึงว่า  เราจะสามารถสร้างภาพที่สมองกำลังคิดอยู่น่ะสิครับ เราจะสามารถดูความฝันของแต่ละคนได้ในจอทีวีเหมือนกับกำลังดูหนัง  คอมพิวเตอร์จะแปลสัญญาณจากสมองที่กำลังคิดกลายเป็นภาพให้เห็นได้อย่างคมชัด นั่นแหละครับเป้าหมายที่กำลังจะสำเร็จแล้วของโครงการวิจัยของผมและทีมงาน  สิ่งนี้จะทำให้เราเข้าใจสมองของมนุษย์อย่างทะลุปรุโปร่งซึ่งอาจจะนำมาซึ่งวิธีการรักษาแบบใหม่ๆ หรืออาจจะทำให้เราค้นพบขอบเขตอาณาจักรที่ยังไม่เคยมีมนุษย์คนใดไปถึง”เขาอธิบายพลางชำเลืองมองแววตาของนักการเมืองหนุ่ม เพื่อหวังจะปรับคำพูดให้สามารถโน้มน้าวความสนใจของเขาได้

 

“ซึ่ง...เมื่องานของผมสำเร็จ  เราคงต้องขอรบกวนท่านเลขาฯวงศ์เทพและท่านรัฐมนตรีชายชาญไปกล่าวสุนทรพจน์กับสภาวิทยาศาสตร์โลกเพื่อเป็นเกียรติในฐานะตัวแทนประเทศ  ไม่ทราบว่า....”

 

ประโยคสุดท้ายของเขาก็หยอดลงตรงกลางใจของท่านเลขาฯวงศ์เทพจนได้

 

สองสัปดาห์ต่อมา โครงการวิจัยของดร.ชัยยุทธ์ก็ได้รับการอนุมัติงบประมาณ

 

 

 

ความก้าวหน้าของงานวิจัยคลื่นสมองพัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยความปราดเปรื่องของหัวหน้าโครงการและด้วยทีมงานอัจฉริยะที่ทุ่มเทชีวิตและจิตใจทั้งหมดให้กับมัน

 

สามเดือนให้หลัง ซอฟต์แวร์วิเคราะห์สัญญาณคลื่นสมองอันสลับซับซ้อนก็ถูกปรับปรุงให้ใช้ได้กับเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์  สมรรถนะและความเร็วของเครื่องในการคำนวณข้อมูลนับล้านล้านบิทต่อวินาทีทำให้สามารถสร้างภาพจากคลื่นสมองได้สำเร็จเป็นครั้งแรก  แม้ว่าภาพนั้นจะรางเลือนเหมือนกับสัญญาณทีวีในคืนฝนตกฟ้าคะนองก็ตาม  แต่ก็ทำให้ทีมงานทุกคนพากันเปิดแชมเปญฉลองชัยกันล่วงหน้าด้วยความยินดีและมั่นใจในความสำเร็จมากยิ่งขึ้น   และหลังจากการทำงานที่หนักหน่วงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพิ่มขึ้นทุกวัน  ภาพสัญญาณจากสมองก็ถูกปรับปรุงให้คมชัดมากขึ้นตลอดเวลา

 

จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็สามารถสร้างภาพจากคลื่นสมองที่แม่นยำชัดเจนราวกับกำลังดูภาพยนตร์บนจอหรือเหนือกว่าด้วยซ้ำ  บัดนี้แทบไม่มีใครในโครงการกล้าเป็นอาสาสมัครให้คนอื่นๆได้ชมความฝันของตนอีกแล้ว  เพราะเครื่องวิเคราะห์สมองที่ถูกพัฒนาขึ้นจนมีประสิทธิภาพน่าตื่นใจนี้นั้น  มันสามารถที่จะเจาะเปลือกที่หุ้มห่อความลับในใจของคนเราไปยังส่วนที่ลึกที่สุดในก้นบึ้งแห่งจิตใจได้อย่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก  สภาพเช่นนั้นมันแย่กว่าการให้ไปยืนแก้ผ้ากลางสนามหลวงเสียด้วยซ้ำ

 

แล้ววันหนึ่ง นายแพทย์วิฑูรย์หนึ่งในทีมงานก็เดินตรงเข้าไปหาดร.ชัยยุทธ์หัวหน้าโครงการด้วยสีหน้าสับสนลังเล

 

“ดอกเตอร์ครับ วันนี้เพื่อนหมอคนหนึ่งของผมติดต่อเข้ามา เขาบอกว่าอดีตคนไข้ของผมคนหนึ่งนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล แต่อาการของเขาหนักมากจนหมดหวังแล้ว คงไม่เกินวันสองวันนี้แน่”

 

“ผมเสียใจด้วยครับคุณหมอวิฑูรย์ ถ้าคุณต้องการจะลาพักงานสักวันสองวันละก็ไม่มีปัญหานะครับ เพราะงานของเราก็เรียกได้ว่าเกือบสมบูรณ์พร้อมจะประกาศกับโลกแล้ว”

 

“เอ้อ...ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นหรอกครับดอกเตอร์  แต่ว่าคนไข้ของผมคนนั้นน่ะผมเคยคุยกับเขาเรื่องโครงการที่กำลังทำอยู่นี่และเขาก็สนใจมันมากด้วย  เขาเป็นคนดีมากนะครับ แม้แต่ร่างกายและอวัยวะต่างๆก็ได้บริจาคให้โรงพยาบาลหมด เขารับทราบผลการป่วยของเขาอย่างสงบและเสนอผ่านมาทางผมเพื่อว่าบางที..  ช่วงสุดท้ายในชีวิตของเขาอาจจะเป็นประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์บ้าง  ผมหมายถึง  เอ้อ....”คุณหมอวิฑูรย์พูดอึกอักขึ้นด้วยความลังเลใจในสถานะภาพจรรยาแพทย์ของเขาต่อคนไข้

 

“คุณหมายถึง..คนไข้ของคุณยินดีที่จะเข้าเครื่องวิเคราะห์สัญญาณสมองของเราในขณะที่เขากำลังใกล้จะเสียชีวิตอย่างนั้นเหรอ  นั่นมันวิเศษจริงๆเลย เราจะมีโอกาสได้เห็นสิ่งที่คนใกล้ตายมองเห็นก่อนที่สมองจะหยุดทำงานหรือ..วิญญาณจะหลุดจากร่าง ผมว่ามันต้องเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่เคยพบมาเลยทีเดียว”ดร.ชัยยุทธ์ละล่ำละลักพูดอย่างตื่นเต้นดีใจเมื่อได้ยินข้อเสนอที่ไม่คาดฝันจากหมอวิฑูรย์

 

 

 

ในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น  อุปกรณ์พร้อมทีมงานจากสถาบันวิจัยก็เดินทางไปยังโรงพยาบาลซึ่งคนไข้ของหมอวิฑูรย์รักษาตัวอยู่เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณคลื่นสมองผ่านเคเบิ้ลไฟเบอร์ออฟติกเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์คลื่นสมองที่สถาบันวิจัย

 

ในขณะที่ลมหายใจของคนไข้ผู้เสียสละซึ่งนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลกำลังอ่อนล้าลงทุกที  ตรงข้ามกับที่ห้องถ่ายทอดสัญญาณของสถาบันวิจัย เหล่านักวิทยาศาสตร์ทุกคนต่างพากันหายใจแรงด้วยความตื่นเต้นมากขึ้นๆในทันทีที่สัญญาณถ่ายทอดคลื่นสมองระหว่างโรงพยาบาลและสถาบันวิจัยสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างสมบูรณ์  ทุกคนพากันจ้องมองจอภาพขนาดยักษ์บนผนังห้องที่จะแปลสัญญาณคลื่นสมองของคนไข้หนักผู้นั้นเป็นภาพในช่วงเวลาแห่งการนัดหมายกับความตายออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรกในสายตาของคนปรกติ

 

ภาพบนจอเป็นแสงมัวๆดูสับสนในขณะที่คลื่นสมองของคนป่วยจากจอภาพของเครื่องเบรนแอตลาสเป็นคลื่นโคซายน์แอลฟาที่มีความเร็วรอบไม่เกินสิบสามเซอเคิลบ่งบอกให้รู้ว่าคนป่วยที่โรงพยาบาลนั้นยังตื่นอยู่  แต่แล้วไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาเสียงของหนึ่งในทีมงานวิจัยก็ตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า

 

“คลื่นเธต้า...เขาหมดสติแล้ว  คลื่นเดลต้า..ช้าลงเรื่อยๆแล้ว...แล้วก็..”

 

ทุกคนในห้องต่างวิ่งเข้ามาประจำที่ของตนด้วยความตื่นเต้นจนหัวใจแทบจะดันทะลุหน้าอกออกมา  ในขณะที่คลื่นสัญญาณแสดงความชีวิตของคนไข้ผู้นั้นมีความถี่ต่ำลงจนกลายเป็นเส้นตรงพร้อมกับภาพชวนอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นบนจอภาพขนาดยักษ์

 

“แฟลตลายเนอร์...เขาตายแล้ว!เสียงร้องอย่างสุดตื่นเต้นดังขึ้นอีกครั้งเมื่อสัญญาณแห่งชีวิตเป็นเส้นตรงสมบูรณ์  และในขณะที่หมอและพยาบาลพยายามจะยื้อชีวิตคนไข้คนนั้นให้กลับมาอีกครั้งด้วยจรรยาบรรณและวิญญาณแห่งวิชาชีพแม้จะรู้ว่ามันไร้ผล  ส่วนที่สถาบันวิจัยที่อยู่ห่างไปหลายกิโลเมตร  เหล่านักวิทยาศาสตร์กำลังตะลึงลานมองดูภาพที่แปลสัญญาณมาจากคลื่นสมองที่ส่งผ่านเส้นใยแก้วนำแสงนั้นราวกับต้องมนต์สะกด

 

ภาพที่แปลจากคลื่นสมองของคนไข้ที่กำลังจะตายนั้น ในขณะที่สัญญาณแห่งชีวิตกลายเป็นเส้นตรงนั้นทุกคนที่จ้องมองดูอยู่รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างถูกผลักอย่างแรงให้หลุดลอยออกจากที่ที่มันเคยสถิตอยู่มาชั่วชีวิต...หรือว่าสิ่งนั้นคือวิญญาณ!

 

แล้วภาพบนจอก็พลันคล้ายกับล่องลอยสูงขึ้น สูงขึ้น อ้างว้างและอาลัย  แต่เพียงชั่วครู่ความรู้สึกแบบนั้นก็จางลงเมื่อบางสิ่งนั้นคล้ายจะถูกดึงดูดให้ล่องลอยเข้าไปในอุโมงค์ลึกและแคบ ประกายแสงเกิดขึ้นเจิดจ้าร้อยพัน เกิดแล้วดับแล้วเกิดขึ้นใหม่ไม่สิ้นสุด อุโมงค์กว้างขึ้นงดงามยิ่งขึ้น   แล้วสิ่งนั้นดูเหมือนจะวิ่งผ่านอุโมงค์ไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน  ความงามอันตระการตาเจิดจรัสเหลือเชื่อลอยผ่านสายตาของนักวิทยาศาสตร์ทุกคนในห้องนั้นไปราวกับว่าร่างของพวกเขาหมุนคว้างอยู่กลางเวหา  แล้วทุกคนก็แว่วเสียงอันแผ่วพลิ้วเชิญชวน ไพเราะราวกับดนตรีแห่งสวรรค์

 

พระเจ้าช่วย!  วินาทีนั้นเองที่ดร.ชัยยุทธ์รู้สึกตัว เขาหายใจไม่ออก หัวใจและชีพจรเต้นช้าลงคลื่นสมองของเขากำลังเข้าสู่ภวังค์สุดลึกเหมือนคนไข้อาการโคม่า  ภาพบนจอนั้นมีปฏิกิริยากับ...สมองหรือวิญญาณของเขาและของทุกคนด้วยหรือนี่!

 

จิตต่อต้านที่กระตุกขึ้นวูบหนึ่งของเขาคือนิวรณ์ที่ยังกังวลต่อโลกอยู่กระตุ้นให้เขาคิดที่จะพยายามปิดเครื่องแปลสัญญาณคลื่นสมองนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป  ดร.ชัยยุทธ์ตะเกียกตะกายไปที่ปุ่มปิดเครื่องซึ่งอยู่ห่างจากเก้าอี้ของเขาเพียงแค่สองช่วงแขน  แต่ยามนี้ดูเหมือนว่ามันช่างไกลแสนไกลราวกับนิรันดร์  ขณะที่พยายามขยับร่างที่ราวกับเป็นอัมพาตไปแล้วนั้น  เขากลับไม่อาจละสายตาไปจากภาพอันมหัศจรรย์บนจอไปได้เลยแม้แต่วินาที  และแล้วปลายนิ้วของเขาก็สัมผัสกับปุ่มปิดเครื่องระบบวิเคราะห์คลื่นสมองอันเย็นเฉียบ

 

ในวินาทีนั้นเอง  บนจอภาพเขาก็ได้เห็นแสงสว่างสีทองเป็นประกายเจิดจ้าเย็นตา  และรู้สึกว่าความเจ็บปวดรวดร้าวและความทุกข์กังวลนานาในชั่วชีวิตนั้นพลันปลาสนาการไปจนสิ้น  ความสุขสงบไหลบ่าท่วมท้นล้นหัวใจ  รู้สึกปีติอิ่มเอิบบอกไม่ถูก  และแล้วสิ่งนั้นก็พลันหลุดพ้นสุดปลายอุโมงค์ออกมาในที่สุด  เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางครั้งสุดท้ายของคนไข้ผู้นั้น!

 

นิ้วที่แตะอยู่บนปุ่มปิดสัญญาณของดร.ชัยยุทธ์ชะงักค้างอยู่เพียงนั้น  และค่อยๆเย็นลงทุกทีๆ  และแล้วทุกสิ่งภายในห้องนั้นก็เงียบงันลงสิ้น  เหลือเพียงจอภาพที่ว่างเปล่าเปิดทิ้งไว้อยูเช่นนั้น  นานแสนนาน

 

 

 

ขณะที่ท่านรัฐมนตรีชายชาญและเลขาฯวงศ์เทพกำลังเดินลงจากกระทรวง  นักข่าวนับร้อยทั้งไทยและต่างประเทศก็วิ่งกรูกันเข้าหานักการเมืองทั้งสองทันที

 

“ท่านรัฐมนตรีครับ  ท่านมีความคิดเห็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์เสียชีวิตทั้งหมดภายในห้องเดียวกันในตึกของสถาบันอย่างลึกลับว่าเกิดจากอะไรรึเปล่าครับ”นักข่าวชายคนหนึ่งตะโกนแย่งถามขึ้นก่อน

 

“ท่านคะ เป็นความจริงรึเปล่ากับข่าวที่ว่านักวิทยาศาสตร์ทุกคนขณะที่หัวใจวายตายอย่างกะทันหันนั้น  ใบหน้าของทุกคนต่างก็ยิ้มแย้มออกมาราวกับมีความสุขมาก  มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่คะ”นักข่าวหญิงอีกคนร้องถามขึ้นบ้าง

 

“ขอโทษนะครับ  ตอนนี้ท่านรัฐมนตรียังไม่สามารถให้คำตอบพวกคุณได้นะครับ”เลขาฯวงศ์เทพพูดขึ้นพร้อมกับพยายามจะกันท่านรัฐมนตรีไปขึ้นรถ

 

“แต่ประชาชนสนใจเรื่องนี้มากนะคะ  รัฐบาลควรจะตอบคำถามนี้ให้เร็วที่สุด”

 

“อ๋อ..เรื่องนี้แน่นอนครับ   รัฐบาลมาจากประชาชน ดังนั้นเราต้องมีคำตอบให้ประชาชนแน่นอนอย่างเร็วที่สุด  ตอนนี้รัฐบาลได้ค้นพบบันทึกภาพบนจอที่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนได้ดูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนทุกคนจะเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาแล้ว  เราจะทราบสาเหตุการตายของทุกคนในไม่ช้านี้แหละครับ”เลขาฯวงศ์เทพตอบเสียงฉะฉาน ภาคภูมิใจ

 

“แล้วเมื่อไหร่ล่ะครับที่พวกเราจะได้ทราบสาเหตุ”นักข่าวอีกคนหนึ่งซัก

 

“คืนนี้...”นักการเมืองหนุ่มยืนยัน  ขณะนึกถึงชื่อเสียงของเขาที่จะปรากฏในทุกสื่อต่อจากนี้  และอนาคตทางการเมืองอันสดใสที่รอเขาอยู่

 

“คืนนี้ผมจะนำเทปบันทึกภาพที่ได้มาเปิดถ่ายทอดสดทางทีวีทุกช่องไปทั่วประเทศพร้อมๆกันตามคำเรียกร้อง  ผมแน่ใจว่าหลังจากได้ชมภาพหลักฐานชิ้นนี้แล้ว  ทุกคนคงจะพอใจแน่ครับ...”

 

 

 

   จบ

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว