Title: Love Rain
Short Fic (PG-13)
Writer: talingping
credit pic : google
แผ่นกระดาษบนโต๊ะว่างเปล่ามาหลายชั่วโมงแล้วและจางอูยองก็คิดว่ามันก็คงจะอยู่ในสภาพนั้นต่อไปอีกนาน
เขาเริ่มประสาทเสียจนเห็นเลขศูนย์ลอยอยู่เต็มหน้ากระดาษ ถึงจะไม่อยากได้แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้อย่างน้อยเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์ว่าเขาอาจได้เกรดศูนย์จากวิชาบังคับของอาจารย์ปาร์คจินยอง
อูยองถอนใจยาวขณะเหยียดแขนบนโต๊ะในร้านคอฟฟี่ชอป ปลายคางมนกดลงบนพื้นโต๊ะกระจกเย็นเฉียบ มือยังคงฝนลายตัวหนังสือด้วยดินสอสองบีบนแผ่นกระดาษพร้อมวาดวงกลมล้อมหัวข้องานที่เขาต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนสัปดาห์หน้าจะมาเยือน
เพลงรัก
ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาชิงชังคำนี้เท่าวันนี้มาก่อน ไม่รู้เพราะมันยากเกินไปสำหรับคนถนัดเต้นอย่างเขา หรือเพราะยังพยายามไม่พอกันแน่ เด็กหนุ่มนั่งเซ็งพยายามเค้นอารมณ์ที่คาดว่ามันน่าจะเป็นความรู้สึกที่เรียกว่ารักออกมา แต่จนแล้วจนรอดอูยองก็ทำไม่สำเร็จ
“นายก็ลองเขียนเพลงจากประสบการณ์ของตัวเองดูสิ”
อูยองเบะปากใส่กระดาษที่น่าสงสารออกแรงฝนดินสอตรงคำว่ารักให้ดำมากขึ้นจนแทบทะลุแผ่นกระดาษ เมื่อนึกถึงคำแนะนำของคิมจุนซู รุ่นพี่ปีสามเอกดนตรี ถ้ามันง่ายขนาดนั้นเขาคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจอยู่แบบนี้หรอก
ตั้งแต่เรียนมัธยมจนกระทั่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เขาไม่เคยมีคนรัก ไม่เคยมีแฟน นอกเหนือจากความรักของพ่อแม่ พี่สาวและเพื่อนฝูงอันน้อยนิดแล้ว เขาก็ไม่รู้จักความรักประเภทอื่นอีก
“ยากตรงไหน ไม่มีแฟนก็หาเข้าสิ นายจะได้รู้ไง ว่าความรักน่ะเป็นยังไง”
นี่ก็อีกคน...
ถ้าการหาแฟนมันง่ายอย่างที่อีจุนโฮแนะนำล่ะก็ เขาคงมีแฟนไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องเอาคำว่าโสดแปะหน้าผากพกพาไปทุกที่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก
อูยองถอนใจหนักหน่วง งานก็ไม่คืบหน้าแล้วก็ยังต้องมากลุ้มใจเรื่องไร้สาระที่ไม่ควรจะมาเป็นประเด็นในชีวิตในตอนนี้ด้วยอีกต่างหาก ก็อย่างว่าใครจะมาชอบผู้ชายหน้าตาจืดชืดอย่างกับเต้าหู้ยัดไส้อย่างเขากัน หน้าตาก็ไม่หล่อ หุ่นก็ไม่ดี กินเข้าไปเท่าไหร่ก็ลงพุงกับไปชุมนุมรวมกันในกระพุ้งแก้มซะอย่างนั้น การเรียนก็งั้น ๆ กีฬาก็ไม่ได้โดดเด่น ฐานะทางบ้านก็ไม่ร่ำรวย แถมยังไม่ชอบสุงสิงกับใครก็เลยไม่ค่อยมีใครคบอีกต่างหาก ใครจะมาคบกับเขาก็บ้าแล้ว ถ้าจางอูยองเป็นแบบรุ่นพี่นิชคุณก็ว่าไปอย่าง
สองร้อยเมตร...
อูยองผงกศีรษะขึ้นทันทีเมื่อจู่ ๆ รุ่นพี่ที่เขานึกถึงก็ปรากฏตัวขึ้นที่พิกัดสิบสองนาฬิกา ดวงตารีเรียวจ้องมองร่างสูงโปร่งที่เดินฝ่าสายฝนออกมาจากห้องสมุดซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน อูยองขยับเก้าอี้ให้ชิดกระจกร้านอย่างลืมตัว เบิกตากว้างขึ้นเพื่อมองให้ชัดว่าชายคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่เขากำลังคิดถึง
และก็ใช่อย่างที่เขาคิด...
อูยองท้าวแขนขวาลงบนโต๊ะก่อนจะเอาหน้ากลมวางลงบนฝ่ามือและเอียงคอมองออกไปนอกร้าน แสร้งทำเป็นมองเม็ดฝนที่พร่างพรมไปทั่วมหาวิทยาลัย แกล้งกวาดสายตามองนักศึกษาหลายคนที่กางร่มเดินออกจากหอสมุดเป็นคู่ ๆ ทว่าเพียงไม่กี่นาทีต่อมาท่าทีเพิกเฉยและทำทีไม่สนใจชายหนุ่มที่ดึงดูดใจเขาตั้งแต่แรกพบก็มีอันต้องพังทลายลง
ร้อยเมตร...
อูยองจำใจต้องยอมรับกับตัวเองว่าไม่อาจละสายตาไปจากนิชคุณที่กำลังเดินก้มหน้าฝ่าสายฝนมาตามทางเดินจากหอสมุดได้ ยังคงจ้องมองแม้จะไม่ได้เห็นซีกหน้าหล่อเหลาสมกับเป็นพระเอกละครเวทีประจำมหาวิทยาลัยเพราะถูกอำพรางไว้ด้วยหมวกเสื้อคลุมสีฟ้าหม่น
ไม่ได้เห็นคิ้มคมเข้มรับกับนัยน์ตาหวานมีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาชวนหลงใหล ไม่เห็นแม้กระทั่งริมฝีปากอุ่นได้รูปน่าสัมผัส เขาอยากเห็นดวงตาคู่นั้น ดวงตาแสนซื่อ สดใส ทว่ามีอำนาจมากพอจะดึงดูดให้ใครหลายคนหลงใหลและหวาดหวั่นกับพลังอำนาจในตัวผู้ชายคนนั้นจนต้องยอมสยบให้อย่างง่ายดาย
“พี่คุณอาจจะเป็นปีศาจแปลงกายมา”
อีจุนโฮ เคยพูดกับเขาอย่างนั้น ทว่าเขาไม่เคยเชื่อคำพูดเหนือจินตนาการของจุนโฮเลย ถึงบางครั้งเขาจะหวาดหวั่นกับสายตาคู่นั้น แต่ไม่ได้กริ่งเกรงเสียจนหวาดผวาจนต้องถอยห่าง นิชคุณเหมือนดั่งดวงตะวันสำหรับเขา ดวงตะวันที่ฉายแสงเจิดจ้าแม้ยามสายฝนจะโปรยปรายในวสันตฤดู
ห้าสิบเมตร...
กาแฟแก้วใหม่ถูกเอามาเสริ์ฟไว้ตรงหน้าเมื่อหลายนาทีก่อน หากอูยองไม่ได้ใส่ใจให้สมกับเงินที่เสียไป กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นไม่ได้เรียกสติเขาให้กลับเข้าร่าง ไม่สนใจเสียงกระซิบจากจิตใต้สำนึกว่าเขาควรลงมือทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นก่อนฝนซา อูยองอิดออดและแกล้งทำเป็นไม่สนใจ เพราะรุ่นพี่ที่กำลังวิ่งฝ่าสายฝนน่าสนใจกว่าเป็นไหน ๆ
อูยองไม่เคยชอบบรรยากาศขมุกขมัวของฤดูฝน ไม่ชอบความชื้นแฉะที่ปูพรมไปทุกที่ที่เขาเหยียบย่าง ไม่ชอบแม้ว่าหยาดฝนจะนำสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ให้เติบโตและมีชีวิต แต่เมื่อแล้วความคิดของเขาได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะอูยองรู้ว่าผู้ชายที่สาว ๆ ในมหาวิทยาลัยทุกคณะหมายปองชื่นชอบฤดูฝน
เขารู้ว่านิชคุณไม่กลัวการเปียกฝน ไม่กลัวว่าเสื้อผ้าจะชุ่มชื้นไปด้วยละอองน้ำอย่างที่ใครต่อใครหรือแม้กระทั่งเขาไม่ปรารถนาจะเฉียดใกล้ ทั้งที่อูยองไม่นึกชอบฤดูฝน ไม่ชอบเม็ดฝนที่ตกกระหน่ำไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่เขากลับชอบมองภาพนิชคุณเดินฝ่าสายฝนด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับเดินเล่นอยู่ใต้แสงแดด เขามองทุกความเคลื่อนไหวของนิชคุณภายใต้สายฝนพรำยามบ่ายด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม
ทุกครั้งที่เขาเห็นสายฝนโปรยปรายลงมา เขาจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเสมอ วันที่เขาพบนิชคุณติดฝนที่ตึกคณะเมื่อตอนเขาอยู่ปีหนึ่ง และเป็นเขาเองที่เอ่ยปากชวนนิชคุณเดินออกมาด้วยร่มสีเหลืองคันเดียวกัน เขายังจำอาการประหม่าของตัวเองได้ ทั้งยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ชัดเจนและระลึกถึงมันเสมอ แต่เขาไม่มั่นใจว่านิชคุณจะยังจำเรื่องพวกนั้นได้หรือเปล่า
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเขาก็ยิ่งไม่มั่นใจว่านิชคุณจะจำเขาได้ เพราะถึงเราจะเจอกันอีกครั้งทว่าท่าทีของนิชคุณทำให้อูยองคิดเอาเองว่า เหตุการณ์เล็ก ๆ ที่เป็นความทรงจำอันยิ่งใหญ่ของเขาได้เลือนหายไปจากความทรงจำของนิชคุณหมดแล้ว
อูยองเหลือบมองร่มสีเหลืองที่เขาใส่ในถังหน้าร้านด้วยแววตาโหยหา มันไม่ใช่ร่มคันเดียวกับที่เราเคยเดินฝ่าสายฝนกลับตึกเรียนมาด้วยกัน แต่เขาก็เลือกที่จะซื้อสีเดียวกันมาใช้ในทุกครั้งที่ของเก่ามีอันต้องพังจนใช้การไม่ได้ นิชคุณลืมไปแล้วก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็ยังจำได้ก็พอแล้ว
สิบเมตร...
อูยองมองนิชคุณที่ก้มหน้ามองพื้นขณะวิ่งเหยาะ ๆ มาตามทาง มองเรียวขายาวคู่นั้นกระโดดข้ามแอ่งน้ำก่อนจะวิ่งมาตามทางโค้งที่ลาดต่ำลง อูยองกังวลเล็กน้อยเมื่อเสื้อผ้าที่รุ่นพี่ใส่อยู่ไม่สามารถช่วยปกป้องกล้ามเนื้อล่ำสันจากสายฝนได้ เขานั่งลุ้นราวกับดูนักกีฬาโอลิมปิควิ่งฝ่าสายฝนที่เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น เด็กหนุ่มนั่งอมยิ้มมองเรียวขายาวคู่นั้นก้าวสลับทีละข้าง มองกระเป๋าเป้กระเด้งกระดอนบนแผ่นหลัง มองดูเสื้อแขนยาวที่ชุ่มชื้นไปด้วยหยดน้ำฝน ถ้าเขาต้องนั่งมองนิชคุณแบบนี้ทุกวันเขาก็ทำได้ไม่รู้เบื่อ
เมื่อระยะห่างระหว่างเขากับรุ่นพี่เริ่มสั้นลงจนจะเห็นทุกอย่างชัดเจน อูยองมองฝีเท้าที่วิ่งเหยาะๆ ผ่านทางโค้งคับแคบและตรงมายังคอฟฟี่ชอปประจำคณะที่อูยองยึดโต๊ะริมผนังกระจกติดทางเดินริมฟุตบาทสิงสถิตย์อยู่ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา
สามเมตร...
เมื่อระยะทางสั้นลงจนมองเห็นนิชคุณวิ่งฝ่าสายฝนชัดขึ้น อูยองรีบคว้ากระดาษแผ่นใหม่ไร้รอยเปื้อนมาวางไว้ตรงหน้าก่อนจะตั้งท่าถือดินสอดำสองบีเหมือนกับว่ากำลังขะมักเขม้นกับแผ่นกระดาษว่างเปล่าตรงหน้า พยายามควบคุมไม่ให้สายตามองไปยังร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินย่ำแอ่งน้ำบนถนนด้วยรองเท้าคอนเวิสเก่าเยินคู่เดิมที่รุ่นพี่ใส่เป็นประจำ พยายามไม่มองมือที่กุมสายสะพายเป้สีแดงไว้มั่น ไม่มองเสื้อยืดสีขาวสกรีนลายแดงตรงกลางภายใต้เสื้อคลุมที่เปียกฝนจนแนบกับลำตัว พยายามห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้เต้นเร็วแรงขึ้นเมื่อนิชคุณหยุดฝีเท้าและหอบหายใจอยู่หน้ากระจกที่เขานั่งอยู่
แต่มันสายไปแล้ว...
แก้มอูยองแดงซ่านเมื่อนิชคุณเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นสบตาเขาผ่านม่านกระจก
จางอูยองทำอะไรไม่ถูก นอกจากมองดวงตาคู่นั้นนิ่งนาน ...
พลันในช่วงวินาทีสั้น ๆ นั้น
จางอูยองก็ตระหนักว่า เขารักนิชคุณ
รักมาโดยตลอด...
ôôôôôô
ฝนลงเม็ดแรงขึ้นเมื่อนิชคุณวิ่งออกมาจากห้องสมุดลัดเลาะไปตามทางเพื่อไปให้ทันนัดกับรุ่นพี่คิมจุนซู ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำฝนบนหน้าผาก เขานึกว่าน่าจะวิ่งไปถึงคณะดุริยางคศิลป์ได้ก่อนที่ฝนจะตกหนัก แต่เมื่อมาถึงตอนนี้เขาก็หมดหวัง แม้จะวิ่งมาถึงร้านคอฟฟี่ชอปของคณะซึ่งห่างจากตึกเรียนของรุ่นพี่อีกแค่สองตึกแล้วก็ตาม
น้ำฝนไหลโกรกผ่านหลังคาร้านลงมาไม่ขาดสาย เขากระโดดหลบเข้าในชายคาไม่ให้ตัวเองต้องเปียกไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มก้มตัวต่ำหอบหายใจช้า ๆ เขาถอดหมวกเสื้อคลุมที่เต็มไปด้วยละอองน้ำออก ใช้มือขวาเสยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ชุ่มฉ่ำแรง ๆ วูบหนึ่งเขารู้สึกว่ามีใครจ้องมองเขาอยู่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและสบตาเข้ากับจางอูยอง
ได้เจอกันอีกแล้ว...
นิชคุณยิ้มกริ่ม แต่ก็ต้องทำหน้านิ่งเก็บอารมณ์ที่ลิงโลดให้มันเพลา ๆ ลงบ้าง จะตื่นเต้นอะไรนักหนา มันก็แค่เรื่องบังเอิญที่ได้พบกับรุ่นน้องของพี่จุนซู พี่ชายต่างคณะที่เขาทั้งรักและเคารพ ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบกันซักหน่อยและคิดว่าคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะได้พบใบหน้าหวานยังกับเด็กผู้หญิงของอูยองด้วย ตราบใดที่เรายังคงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกัน ตราบนั้นเขาก็ยังคงใบหน้าทรงกลมของเด็กคนนั้นต่อไปอีกเรื่อย ๆ คิดได้ดังนั้นนิชคุณก็เลยผลักประตูเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกปอนเป็นลูกหมาตกน้ำหรือไม่
“ขอโทษนะ ตรงนี้มีใครนั่งหรือเปล่า”
ชายหนุ่มพูดเสียงนุ่มเป็นเอกลักษณ์ แต่หางเสียงทิ้งท้ายกวน ๆ อย่างตั้งใจ เมื่อหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างที่เล็กกว่าเขาเล็กน้อย พลางยื่นมือออกไปแตะบ่าเจ้าของร่าง เขานึกหาเรื่องที่จะเริ่มต้นบทสนทนา ก่อนเอ่ยต่อ
“ว่าไง เก้าอี้ตรงนั้นน่ะ ว่างหรือเปล่า”
นิชคุณชี้ไปเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเด็กหนุ่มที่ตอนนี้มีกระเป๋าเป้สีขาวใบใหญ่ยึดครองพื้นที่อยู่
คนที่กำลังก้มหน้านิ่งถึงกับสะดุ้ง และเงยหน้าขึ้นมองผู้ถือวิสาสะอย่างตกใจ นิชคุณเลิกคิ้วมอง นิ้วชี้เคาะบนแก้วเซรามิกที่บรรจุคาปูชิโน่ร้อนในมือที่เขาหาเรื่องซื้อติดมือจากหน้าเคาน์เตอร์มาด้วยอย่างอดทน
เด็กหนุ่มคลายความตระหนก เขามองดูชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างคาดคะเน เราประสานสายตากัน กระทั่งนิชคุณกระแอมดัง ๆ จนอูยองสะดุ้ง นิชคุณมองกริยานั้นอย่างนึกขำปนเอ็นดู รอคอยคำตอบอย่างอดทน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ถ้าจะไปขอโต๊ะอื่นนั่ง นิชคุณก็มั่นใจว่าไม่มีผู้หญิงโต๊ะไหนในร้านนี้ปฏิเสธ แต่เขาก็ไม่ทำ
“โต๊ะอื่นไม่ว่างเหรอครับ” อูยองถามหวาด ๆ
“ก็ถ้าว่าง พี่จะถามเราเหรอ”
และก็ไม่รอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ นิชคุณถือวิสาสะหยิบกระเป๋าที่นอนนิ่งอยู่บนเก้าอี้ออกแล้วยื่นส่งให้เจ้าของที่นั่งอ้าปากค้าง เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนที่อีกฝ่ายจะโวยวายปฎิเสธ จัดแจงถอดเสื้อคลุมชุ่มน้ำฝนออกพาดไว้กับราวเก้าอี้หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้จากห้องสมุดมาอ่านต่อโดยไม่สนใจ ดวงตาเบิกโตของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“นี่...ทำไรอยู่น่ะ” นิชคุณถามขึ้นลอย ๆ
“ทำงานส่งอาจารย์จินยอง” เด็กหนุ่มก้มหน้าตอบขณะเอ่ยชื่ออาจารย์กอริลล่าที่ขึ้นชื่อถึงความโหดหินของการให้คะแนนแก่นักศึกษาประจำภาควิชานัก นิชคุณนึกขอบคุณที่ชีวิตเขาไม่ต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นเดียวกับนักศึกษาในคณะที่จินยองเป็นอาจารย์สอนอยู่
ชายหนุ่มยื่นหน้ามองกระดาษว่างเปล่าแล้วก็หัวเราะเบา ๆ มองอูยองก้มหน้าต่ำลงแถมดึงหมวกแก๊บปิดบังหน้าขาว ๆ แก้มกลม ๆ นั่นอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าอูยองรำคาญเขาหรือเขินกันแน่ แต่เห็นแล้ว...น่ารัก
ปกติรุ่นพี่อย่างเขาใช่ว่าจะเป็นยียวนกวนประสาท ใคร ๆ ก็รู้ว่านิชคุณนิสัยดีจะตายไป อ่อนโยนมีน้ำใจ รักเด็ก น่ารักกับรุ่นน้องทุกคน เว้นแต่กับจางอูยองเท่านั้นแหละที่เขาเห็นแล้วหมั่นเขี้ยว อยากแกล้ง อยากจีบ แต่ก็นะ ถ้าความกล้ามันมีมากกว่านี้อีกซักหน่อย เขาคงไม่ปล่อยให้อูยองเป็นโสดมาจนถึงเรียนปีสองหรอก
ใช่เขาชอบอูยอง
ชอบมานานแล้ว
โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้ และไม่รู้เหมือนกันว่าจะรู้เมื่อไหร่
ôôôôôô
ฝนไม่มีทีท่าจะหยุดตก และเขาก็เลยเวลานัดกับคิมจุนซูมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ปกตินิชคุณเป็นคนที่ตรงต่อเวลาและไม่เคยให้ใครต้องรอ เขาส่งข้อความไปบอกรุ่นพี่แล้วว่าจะไปช้าสักครึ่งชั่วโมง อ้างเหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าติดฝนอยู่ ไม่สนใจว่าคิมจุนซูจะโวยวายแค่ไหน เรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะสนใจในขณะนี้ เพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่ารุ่นพี่ที่ชอบแหกปากโวยวายเป็นไหน ๆ
“มีเรียนช่วงบ่ายหรือเปล่า แล้วจะไปยังไง”
“เดินไป”
“ฝนตก ๆ อย่างนี้เนี่ยนะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” นิชคุณทำเสียงดุเล็กๆ เขาอยากจะต่อท้ายประโยคว่า พี่เป็นห่วง แต่ก็เกรงว่าจะไม่เหมาะ แล้วก็กลัวจะถูกสวนกลับมาว่า อย่ามายุ่ง
“รอให้ฝนซาก่อนแล้วค่อยไป” นิชคุณสั่ง
อูยองนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบพร่าน่าฟังว่า
“ผมมีร่ม”
“งั้นไปด้วยคนสิ”
“ว่าไงนะครับ”
“พี่มีนัดกับรุ่นพี่จุนซู” นิชคุณโน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ อธิบายสั้น ๆ แต่ทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้งจนต้องกระเถิบตัวถอย
อูยองเม้มปากเงียบไปครู่หนึ่ง รอบกายได้ยินเพียงเสียงฝนและเสียงคนในร้าน เสียงแก้วและเสียงช้อนกระทบกันเป็นครั้งคราว
“เอาล่ะ” นิชคุณก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่สนใจแววตาสงสัยของรุ่นน้อง และยกแก้วกาแฟร้อนขึ้นจิบเพื่อคลายความหนาวโดยไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
“ฝนซาเมื่อไหร่เราจะเดินไปคณะนายด้วยกัน แต่ถ้านายอยากอยู่ที่นี่ต่อก็ตามใจนะ ได้ข่าวว่าวิชาอาจารย์จินยองสายไม่ได้แม้แต่นาทีเดียวไม่ใช่เหรอ”
ทันทีที่นิชคุณผลักประตูร้านออกไป ชายหนุ่มก็ยื่นมือดึงร่มที่อูยองหยิบออกมาจากถังใส่ร่มที่ตั้งอยู่หน้าร้านออกมากางเสียเอง เด็กหนุ่มเอียงคอมองด้วยความประหลาดใจ ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่ยอมเข้ามาในร่ม ทำราวกับกำลังจะถูกรุ่นพี่ล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายซักแห่ง
นิชคุณมองดูเด็กหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์ เรียวแก้มแดงซ่านจนนิชคุณเห็นแล้วก็อดจะใจสั่นไม่ได้ เขามองอูยองยืนกัดริมฝีปากแล้วก็นึกอยากจะเป็นคมฟันประทับบนเรียวปากบางสวย อยากจะเป็นปลายลิ้นที่เลียอยู่บนริมฝีปากบางแห้งผาก เขาอยากทำแม้กระทั่งกอดอูยองให้คลายหนาว แต่นิชคุณก็ทำไม่ได้ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากกางร่มให้รุ่นน้องคนนี้เท่านั้น
นิชคุณหลับตาลงและถอนใจอย่างอ่อนแรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่ออูยองไม่ยอมกระถดตัวเข้ามาใกล้จึงเป็นเขาเองที่เถิบตัวเข้าหา เขาหวังอะไรถึงได้ทำเหมือนเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นอะไรกับเขานอกเสียจากน้องชายของรุ่นพี่ที่สนิท
นิชคุณคลายมือที่กำคันร่มเมื่อเราเดินใกล้ถึงปลายทางและนึกอยากให้ตึกเรียนของจุนซูอยู่ไกลออกไปอีกซักสองสามตึก เขานึกขอบคุณฟ้าฝนที่เป็นใจให้เขาได้พบเจอกับอูยอง ถ้าไม่ใช่เพราะฝนเขาก็อาจจะไม่เจอกับอูยองก็ได้ เขาหาโอกาสมาเจออูยองที่คณะตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบ ลองเลียบเคียงถามพี่จุนซูก็เฉไฉไม่ยอมบอก
เขาไม่มีเวลาจะมานั่งเฝ้าอูยองทั้งที่อยากเจอวันละหลาย ๆ ครั้งได้ เพราะเขามีทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน ไหนจะกิจกรรมของคณะอีก โชคอย่างเดียวที่พอจะช่วยเขาได้คือการที่คิมจุนซูโทรให้ไปหาที่คณะด้วยเรื่องไร้สาระที่คิดว่าก็คงไม่พ้นเรื่องชวนไปกินเหล้า
“มึงไม่มาก็ตามใจนะ กูว่าจะชวนอูยองไปด้วย”
โอกาสมาถึงแล้วมีหรือเขาจะยอมปล่อยให้หลุดลอยไป
เขายืดกายขึ้นพลางสะบัดปรอยผมที่ตกลงมาเคลียหน้าผากให้เข้าที่ สายตาของชายหนุ่มเหล่มองไปยังเด็กหนุ่มที่เดินคู่มากันภายใต้ร่มสีเหลืองคันเล็ก เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนสะอาดตากับกางเกงยีนส์สีขาวเข้ารูปที่อูยองสวมอยู่ เริ่มมีหยดน้ำเปียกชื้นเป็นวง เมื่อฝนลงหนาเม็ดขึ้นอีกครั้งในสองสามนาทีต่อมาไหล่ของอูยองก็เปียกฝน นิชคุณเอนร่มให้อูยองและปล่อยให้ตัวเองเปียกฝนแทน อูยองพูดเขิน ๆ เป็นครั้งแรกหลังจากเงียบมานานว่า
“เขยิบมาใกล้ ๆ สิครับ”
ไม่ต้องรอให้อูยองพูดซ้ำ นิชคุณก็เถิบตัวเข้าหาจนไหล่ของเราเริ่มแตะกันท่ามกลางสายฝนแห่งความรักกำลังโปรยปรายลงมา
ชายหนุ่มรักสายฝน
และรักอูยองด้วยเช่นกัน
ครั้งหนึ่งอูยองเคยหยิบยื่นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยยอมให้เขาหลบฝนในร่มคันเดียวกันระหว่างเดินไปที่ตึกเรียนสมัยอูยองยังเรียนอยู่ปีหนึ่ง มันเป็นความประทับใจแรกที่เขาไม่เคยลืมตราบจนถึงวันนี้ แต่นิชคุณไม่รู้ว่าอูยองลืมเหตุการณ์เล็กน้อยในครั้งนั้นไปแล้วหรือยัง
ชายหนุ่มจับตาดูท่าทางของเด็กหนุ่มที่เดินคู่กับเขาทีละก้าว ไม่เคยมีใครทำให้เขาเกิดความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เขาไม่รู้ว่าอูยองรู้สึกยังไง จะถามก็ไม่กล้า นิชคุณนึกอยากให้ปลายทางมันยาวไกลอีกสักหน่อย อยากให้วันพรุ่งนี้ หรือวันต่อ ๆ ไปมีเรื่องบังเอิญเหมือนวันนี้ เขาอยากเดินร่วมไปกับอูยองในทุก ๆ วัน ในทุก ๆ สถานที่ อยากใช้เวลาเหล่านั้นอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าวันนั้นฝนจะตกแดดจะออกหรือไม่ แต่มันจะมีวันเป็นจริงอย่างนั้นหรือ จางอูยองจะยอมเดินเคียงข้างกับเขาไปในทุกที่อย่างนั้นหรือเปล่า เขาอยากรู้เหลือเกิน
“ถ้ามึงชอบอูยองก็รีบจีบซะ เพราะถ้ามึงไม่จีบกูจะจีบมันเอง”
เขาไม่ชอบคำขู่ของจุนซูเลยให้ตายสิ แต่ถ้ารุ่นพี่ไม่ได้ขู่ล่ะ...
บรรยากาศยามบ่ายของเส้นทางสายเล็ก ๆ ที่ทอดสู่ตัวอาคารสีขาวทรงแปลกตาค่อนข้างจะเงียบสงบ ลมเย็นชื้นของสายฝนพัดโชยมาต้องใบหน้าและเนื้อตัวให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด เขาเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ลอบสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของรุ่นน้องโดยไม่ทันรู้ตัว ฟังเสียงสายฝนกระทบกับร่มและเสียงหัวใจตัวเองที่ดังตึกตักตามจังหวะการเดินของเรา
นิชคุณชำเลืองดูอูยองที่เดินข้างเขาอย่างเงียบ ๆ มาตลอดทาง ถ้าไม่ดูเป็นการเข้าข้างตัวเองจนเกินไป อูยองเองก็ดูจะมีความสุขกับการได้เดินร่วมทางกับเขาแบบนี้
“ขอบคุณนะ”
นิชคุณโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้พูดเสียงนุ่มจริงใจกับรุ่นน้องที่ไม่ยอมพูดจาอะไรนอกจากพยักหน้ารับเบา ๆ อูยองยื่นมือจะขอร่มคืน แต่นิชคุณกลับยื้อร่มคันนั้นเอาไว้ จนอูยองไม่กล้าที่จะพูดอะไรและลดระดับมือลง แต่กลับถูกนิชคุณดึงข้อมือข้างนั้นมากุมไว้แทน
“กว่าพี่จะคุยกับพี่จุนซูเสร็จ ฝนอาจจะตกอีกรอบ พี่อยากจะขอยืมร่มอูยองไว้ก่อนจะได้มั้ย”
อูยองเม้มปากแน่น พวงแก้มกลมแดงซ่านจนเห็นเลือดฝาดเป็นริ้ว ๆ นิชคุณอมยิ้ม เขายืนเกาท้ายทอยแก้เขินเมื่ออูยองช้อนตามองเขา แววตาคู่นั้นหวั่นไหวและเต็มไปด้วยคำถาม แต่นิชคุณเลือกที่จะไม่ตอบ ทว่ากลับเอ่ยประโยคอื่นที่ทำให้อูยองถึงกับเขินจนนิชคุณอยากจะยื่นหน้าไปหอมแก้มซักฟอด
“แล้วถ้าบ่ายนี้อูยองเรียนเสร็จ เรากลับด้วยกันนะ พี่จะไปส่ง”
เขาอาจไม่จำเป็นต้องใช้ตัวช่วยอย่างคิมจุนซูแล้วก็ได้ บางทีอาจไม่ต้องรอให้ฝนหรือบังเอิญมาพบอูยองในที่ใดที่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะมีโอกาสดี ๆ แบบในวันนี้อีกไหม แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ เขาจะทำยังไง
“นะ..”
“ครับ...ผมจะรอ..”
The End