สลับรักสลักรอยเสน่หา 30++nc
17
ตอน
57.8K
เข้าชม
263
ถูกใจ
128
ความคิดเห็น
192
เพิ่มลงคลัง

 บทนำ

 

                  กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกกระดังงากำจรหอมฟุ้งในบรรยากาศยามค่ำคืน ชวนให้ผ่อนคลายอารมณ์เมื่อยล้า และความกังวลได้เป็นอย่างดี  

                  ควันสีขาวขุ่นลอยโขมงออกมาจากครัวไฟของตัวเรือน ลอยขึ้นไปในอากาศจนเกิดเป็นเปลวควันสีขาวขุ่นมากมาย  หญิงชราที่นั่งอยู่ตรงโถงระเบียงเอียงคอมองควันที่ลอยโขมง พลางส่ายศีรษะไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย แม่หลานสาวตัวดีคงจะโชว์ฝีมืออีกแล้วล่ะสิวันนี้ คราวนี้คงได้นั่งชิมจนลิ้นชาเป็นแน่หญิงชราคิดพลางโบกพัดในมือไปมาอย่างเดิม

                    “คุณยาย วันนี้มีแกงเรียงกับน้ำพริกกะปิที่คุณยายชอบด้วยนะคะ” เสียงใสเอ่ยขึ้นอย่างปริ่มเปรม พร้อมกับถือถาดสังกะสีซึ่งมีลายเป็นดอกดวงโต ๆ  และโถข้าวติดมือมาด้วย

                       “ยายยังไม่อยากถูกหามส่งโรงพยาบาลเหมือนคราวก่อนหรอกนะแม่จัน แล้วนี่เราจะกลับมาอยู่เรือนเมื่อไหร่ล่ะ ยายจะได้ให้ไอ้บุญมันไปเรียกคนมาสร้างเรือนหลังใหม่ให้”  หญิงชราพูดพลางพิศดูหลานสาวตนที่ย่างเข้าสู่วัยสาวสะพรั่งอย่างเต็มตัว ผิวพรรณเกลี้ยงเกลานวลปลั่งอย่างมีน้ำมีนวลจนหญิงชรายิ้มกริ่ม

                       เธอภูมิใจที่หลานสาวของตนเติบโตมาอย่างสมบรูณ์ มีพร้อมทั้งหน้าตา ทั้งรูปทรัพย์ แต่ยิ่งมองเธอก็หวนนึกถึงพนิดาลูกสาวเพียงคนเดียวที่มาด่วนจากไปเพราะให้กำเนิดหลานสาวเพียงคนเดียวของเธอ

                      พนิดาเป็นเด็กสาวที่มองโลกในแง่ดีเสมอ เธอมักยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้คนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งชาวบ้านหรือแม้แต่คนใช้ในเรือนก็ตาม จนกระทั่งสัตถาปลัดหนุ่มคนใหม่ เข้ามาประจำที่นี่ พนิดาก็เริ่มมีท่าทีที่เปลี่ยนไป เธอมักจะเก็บตัว และไม่ร่าเริงเหมือนก่อน บ่อยครั้งที่ปลัดหนุ่มเข้ามาวนเวียนป้วนเปี้ยนกับลูกสาวของเธอ จนเธอเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ และให้บุญคนสวนคอยตามสืบเรื่องของทั้งคู่อย่างเงียบ ๆ จนในที่สุดพนิดาก็ตั้งท้อง แต่ทว่าปลัดหนุ่มกลับปฏิเสธว่าตนไม่ได้เป็นคนทำให้พนิดาตั้งท้อง จนคุณหญิงอมรผู้เป็นแม่อย่างเธอรู้สึกโกรธ เธอจึงสั่งให้ทางการจำคุกปลัดหนุ่มเป็นเวลายี่สิบปี นั้นคือความอัปยศของวงศ์ตระกูลที่มีมาช้านานอย่างสหัสรังสี ข่าวลือเรื่องพนิดาดาตั้งท้องถูกแพร่กระจายออกไปอย่างหนาหู ทำให้คู่หมั้นของพนิดาถอนหมั้นเธอ ด้วยเพราะกลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล  ยิ่งนานวันเข้าอาการของพนิดาก็เริ่มย่ำแย่ลง เธอมักจะกรีดร้องในยามค่ำคืนอยู่เป็นประจำ นับตั้งแต่ปลัดหนุ่มถูกสั่งให้จำคุก จนคนเป็นแม่อย่างเธอเองก็พาลปวดใจไปด้วยที่เห็นลูกสาวตนเป็นเช่นนี้  

                 เธอเอื้อมมืออันเหี่ยวย่นที่เริ่มหมดเรี่ยวแรงของตนออกไปสัมผัสใบหน้าของหลานสาวที่เธอรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ และเป็นเสมือนหัวใจของเธออีกดวงนับตั้งแต่ลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอจากไป

                “ ชั่งเหมือนกันเสียจริง ๆ” มืออันหยาบกร้านและเหี่ยวย่นของหญิงชราลูบไปตามโครงหน้าของผู้เป็นหลานพร้อมพึมพำกับตัวเอง ขอบตาของหญิงชราเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองดวงหน้าของหลานสาวที่คล้ายคลึงเหมือนกับพนิดา หยดน้ำใส ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นที่ดวงตาอันฝ้าฟางก่อนจะพรั่งพรูไหลอาบแก้มของหญิงชราอย่างน่าเวทนา

                  มัสลินมองแววตาของผู้เป็นยายอย่างนึกสงสาร ในหัวใจพลันบีบรัดจนเธอรู้สึกเจ็บขึ้นมาอย่างยากที่จะฝืนทนต่อไป ความรู้สึกของเธออาจไม่ถูกแสดงออกมาให้ใครได้เห็น นั้นเป็นเพราะเธอไม่อยากให้ใครประณามว่าเธออ่อนแอ ถึงเธอจะไม่มีแม่และพ่อเหมือนอย่างที่คนอื่น ๆ มี แต่เธอก็ยังมีคุณยายคนที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับเธอในคราวเดียวกัน

                “คุณยายอย่าร้องไห้นะคะ คุณยายยังมีลูกจันอยู่นะ ถึงแม้วันนี้เราจะไม่มีคุณแม่อยู่ แต่วันนี้คุณยายยังมีลูกจันอยู่เป็นเพื่อนนะคะ” เสียงหวานใสของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำจนแหบแห้ง เสียงที่เปล่งออกมาจึงสั่นเครือจนน่าปวดใจ ถึงแม้เธอจะพยายามสร้างภาพเป็นคนเข้มแข็งเพียงไร แต่เมื่อมาเจอสถานการณ์บีบคั่นแบบนี้ต่อให้เธอแข็งกล้าดั่งอิฐปูนก็ย่อมทลายลงมาอยู่ดี

                “ยายเสียใจ เสียใจที่ไม่สามารถยื้อให้พนิดาอยู่กับพวกเราได้ ยาย..” หยดน้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ยามที่หญิงชรากล่าว คำพูดมากที่อยู่ในหัวตีกันจนเธอสับสนมึนงงไปเสียหมด ไม่สามารถอธิบายให้หลานสาวฟังได้ดั่งที่ใจคิด  มืออันหยาบกร้านและเหี่ยวย่นของหญิงชราสั่นระริกจนไม่อาจควบคุมได้ เธอมองหน้าหลานพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาอย่างมากมาย จนสองตาของเธอแดงก่ำอย่างน่าเวทนานัก

              มัสลินที่ถือถาดอาหารและโถข้าวอยู่ในมือรีบนำมันไปวางไว้บนตั่งไม้ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส  โดยที่ไม่เหลียวมองไปทางผู้เป็นยาย ด้วยเกรงว่าตนจะเกิดความรู้สึกเหล่านั้นขึ้นมาอีก เธอรีบใช้มือปาดลวก ๆ  เช็ดคราบน้ำตาที่ไหลซึมออกมาจากทางหางตาของตน ก่อนจะหมุนตัวกลับมาส่งยิ้มให้ผู้เป็นยายแม้ว่าในใจของเธอจะเจ็บปวดรวดร้าวก็ตาม

               “ยายจ๋า มากินข้าวกันดีกว่านะ รับรองยายจะต้องขอลูกจันเพิ่มแน่ เพราะว่ามันอร่อยมาก” เธอรีบตักข้าวที่อยู่ในโถใส่จานกระเบื้องที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้อย่างพิถีพิถัน แต่ทว่าสายตาก็ยังคงแอบชำเลืองมองผู้เป็นยายอยู่เป็นระยะอย่างห่วงใย

                “ยายไม่หิวหรอกลูก  จันกินไปก่อนเถอะเดี๋ยวยายจะไปสวดมนต์ก่อน” แววตาอันแดงก่ำของเธอ เหลียวมองไปทางหลานสาวที่ตนรักดั้งดวงใจ ก่อนจะฝืนพูดออกมาเสียงขื่น แล้วรีบเดินจ้ำพรวดหายเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว แต่เสียงครางสะอึกสะอื้นของผู้เป็นยายก็ยังดังเล็ดลอดออกมาให้เธอได้ยิน

                  มัสลินกำทัพพีที่ถืออยู่ในมือจนแน่น ดวงตาอันสุกใสเริ่มเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ สะกดกลั้นมันไว้อย่างที่มันควรจะเป็น แต่กลับปล่อยให้มันไหลออกมาอย่างอดสู มือเรียวเล็กเลื่อนขึ้นไปปิดปากตัวเองเอาไว้แน่น ด้วยกลัวว่าจะมีใครผ่านมาได้ยินเข้า มันคงจะดูไม่ดีเป็นแน่หากว่าเธอ จะถูกมองว่าเป็นพวกอ่อนแอในสายตาคนอื่น เธอหลับเปลือกตาลงก่อนจะปล่อยด้ามทัพพีในมือลงช้า ๆ  น้ำตามากมายพากันไหลพรั่งพรูออกมาจนเปรอะแก้มนวลผุดผาดเกิดเป็นประกายระยับ

                   เคล้ง! เสียงบางอย่างดังมาจากทางใต้ถุนเรือน เปลือกตาที่หลับลงเมื่อสักครู่ลืมขึ้นในทันที ก่อนจะกลอกตาไปยังที่มาของเสียง เธอใช้มือปาดน้ำตาออกลวก ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน มองไปทางที่มาของเสียงดังกล่าว เท้าบางรีบก้าวฉับ ๆ เดินลงบันไดไปอย่างรีบร้อน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วอย่างระแวดระวัง เพราะนี่ก็ล่วงเข้าสู่ยามวิกาลแล้ว

                “ มีใครอยู่ตรงนั้นรึเปล่า” เสียงที่เปล่งออกมาเบาจนแทบจะไม่ได้ยินอะไรเลย แต่กระนั่นกระพยายามที่จะพูด

บรรยากาศโดยรอบเริ่มปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด มาพร้อมกับความหวาดหวั่นจนเธอรู้สึกตื่นกลัว มือเรียวเริ่มเอื้อมไปหยิบไม้เนื้อแข็ง ที่วางกองไว้ข้างบันไดทางขึ้นช้า ๆ ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับกระชับไม้ที่อยู่ในมือไว้แน่น  เสียงหายใจของเธอเริ่มถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นกระถางต้นไม้ที่แตกกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นเต็มไปหมด มัสลินเพ่งมองไปยังเศษกระถางต้นไม้ที่มีสภาพแหลกละเอียดกระจายเกลื่อนอยู่บนพื้น ก่อนที่เธอจะสะดุดตาเข้ากับเงาดำทะมึนที่ซ้อนตัวอยู่ด้านหลังเสาไม้กลางเรือน มือเรียวกระชับไม้ก่อนจะฟาดกระหน่ำลงไปสุดแรงเกิด จนได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดของเจ้าของเงาทะมึนนั้นแผดเสียงดังลั่น

                “โอ๊ย !!!” ร่างทั้งร่างของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับเลือดสีแดงข้นจนน่าใจหาย

               “ หือ ไอ้หัวขโมยแกตายซะเถอะ!” เธอว่าพลางยกไม้ขึ้นจนสุดและกระหน่ำลงไปยังหัวไหล่ซ้ายของเขาอย่างจัง จนได้ยินเสียงดังกึกเมื่อไม้ถูกฟาดไปยังบริเวณหัวไหล่ซ้ายของชายหนุ่มจนมันหัก ความเจ็บปวดเหล่านั้นลุกลามมาจนเขาขยับร่างกายไม่ได้ มันกัดกร่อนความรู้สึกจนเขาทรมานเหลือเกิน เขาพยายามเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ทำร้ายร่างกายของตนก่อนจะหมดสติไป

                “หยุดนะจัน! หนูกำลังทำอะไร” เสียงตวาดของผู้เป็นยายดังขึ้นจากทางด้านหลังของผู้เป็นหลานสาว

                มัสลินหันหลังกลับไปมองทางผู้เป็นยาย ก่อนจะทิ้งไม้ในมือจนมันตกลงไปบนพื้นปูน จนเกิดเสียงดังลั่น เธอรีบวิ่งไปหาผู้เป็นยายด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าจะถูกโจรพวกนี้ทำกหฟหกพักหแปอืายเข้า มือบางคลำสะเปะสะปะไปตามร่างกายของผู้เป็นยาย แต่ทว่าผู้เป็นยายกลับสะบัดมือของเธอออก  พร้อมกลับจ้องมองเธอด้วยความผิดหวัง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมยายถึงมีท่าทีกับเธอเช่นนี้ จนได้ยินคำพูดต่อมาของผู้เป็นยาย เธอกลับรู้สึกจุกจนพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ

                 “หนูทำร้ายลลิตมันทำไม ทำไมหนูถึงทำแบบนี้จัน หนูทำแบบนี้ ถ้ามันตายขึ้นมาแล้วหนูกลายเป็นฆาตกร ยายจะทำยังไง” เธอพูดเสียงสั่น หัวใจพาลจะหลุดออกจากอกอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้ว ก็กลับพรั่งพรูออกมาอาบแก้มอย่างมากมาย

                เสียงฝีเท้านับสิบกำลังวิ่งกรูกันเข้ามายังเรือนไทยหลังนี้ คุณหญิงอมรมองไปยังกลุ่มคนหมู่มากอย่างใจหาย ก่อนที่เธอจะเดินไปหยิบท่อนไม้ที่ผู้เป็นหลานทำมันตกไว้ขึ้นมาถือในมือแทน มัสลินที่ยืนอยู่ในระยะใกล้ ๆ ถึงกับตกใจที่คุณยายของเธอทำแบบนั้น แต่มันไม่สมควรจะเป็นแบบนี้ เพราะว่าที่จริงแล้วในคนที่ทำคือเธอ ไม่ใช่คุณยาย

                 “คุณยาย! อย่านะคะ” เธอโพรงขึ้นอย่างใจเสีย ก่อนจะวิ่งไปยื้อแย่งไม้ในมือของผู้เป็นยาย

                 แต่การกระทำเหล่านั้นเป็นเสมือนเครื่องยืนยัน ว่าเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นความจริง หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายังร่างที่หมดสติจมกองเลือดอยู่ สีหน้าของเธอบ่งบอกถึงความเจ็บปวดและความโศกเศร้า ที่เห็นร่างของผู้เป็นลูกนอนจมกองเลือด

                 “ ลลิตฟื้นสิลูก ลลิต! ฮือ ๆ คุณหญิงทำไมถึงทำกับมันแบบนี้ มันไม่ใช่คนสมประกอบ คุณหญิงก็รู้ ทำไม ทำไม ฮือ ๆ”น้ำตาของเธอไหลบ่าออกมาราวกับสายธาร เมื่อต้องมาทนเห็นผู้เป็นลูก นอนจมกองเลือดต่อหน้าต่อตา

                “ไม่ใช่นะคะ คุณยายท่านไม่..” เธอพูดออกมาอย่างปวดใจ เพราะที่สุดแล้วความจริงก็เป็นเธอเองที่ทำ  แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ เสียงของผู้เป็นยายก็ดังขึ้นเสียก่อน

                “ ฉันเป็นคนทำเอง เรื่องทั้งหมดนี้ฉันยินดีจะรับผิดชอบ”

                 “ คุณยาย!”

                  ร่างบางอุทานออกมาออกมาอย่างตกใจ ร่างกายของเธอชาวาบ สาเหตุของเรื่องทั้งหมดก็ล้วนมาจากเธอเป็นคนก่อขึ้นทั้งนั้น ต้นเหตุทั้งหมดเป็นเธอไม่ใช่คุณยาย ที่เรื่องทุกอย่างมันย่ำแย่ลงก็คงเป็นเพราะเธอด้วยเช่นกัน หญิงสาวคิดพลางใช้มือปาดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างยากลำบาก  เธอก้มลงมองไปยังพื้น ที่มีร่างของชายหนุ่มที่เธอได้ทำร้ายอย่างเจ็บปวดใจ เธอพยายามบังคับให้สองขาของเธอก้าวเดินไปยังร่างของชายผู้นั้น แต่ทว่ามันกลับไม่ขยับเอาสักนิดเลย เธอร้องไห้หนักขึ้นเมื่อสิ่งที่ตนได้กระทำ ทำให้ชายคนหนึ่งมีสภาพไม่ต่างจากตายไปแล้วสักนิด

                “ ฮือ ๆ ลลิต ลลิต ฮือ ๆ ได้ยินที่แม่พูดไหม ลลิต  สมใจพวกคุณรึยัง ฮือ ๆ พวกคนรวยอย่างพวกคุณ ไม่รู้จักหรอกใช่ไหมความเจ็บปวด ถึงได้ทำกับลูกชายฉันแบบนี้ ฮือ ๆ คุณคงไม่รู้หรอกว่าฉันเจ็บปวดใจแค่ไหน ที่เห็นลูกชายฉันมีสภาพปางตายแบบนี้ ” เธอว่าพลางกอดลูกชายของตนไว้แนบอก น้ำตาแห่งความเสียใจพากันไหลพรั่งพรูออกมาดั่งทำนบแตก เลือดสีแดงสดไหลชโลมอาบร่างของเธอจนเป็นสีแดงฉาน

               ผู้คนที่ยืนมุงอยู่ต่างมองภาพเหล่านั้นด้วยความสลดใจ มัสลินเองก็เช่นกัน เธอก้าวเท้าเดินเรื่อย ๆจนมาหยุดอยู่ที่ร่างของชายหนุ่ม เธอมองดูร่างกายที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนหรือเคลื่อนไหวอะไรได้ของเขาอย่างปวดใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ร่างที่นอนแน่นิ่งจมกองเลือดของเขา มือเรียวเล็กพยายามเลื่อนไปอังที่จมูกของเขาก่อนน้ำตามากมายจะหลั่งไหลลงมาอาบแก้มนวล เขาตายแล้ว!

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว