เหอปิงเหยาสิ้นอายุขัยในโลกปัจจุบัน แต่วิญญาณดันข้ามกาลเวลามายังโลกในอดีตหนำซ้ำยังยืนอยู่หน้าวิญญาณสตรีที่นอนสลบไสลบนเตียงที่มีรูปร่างอวบกำลังน่ากอด นางมองเตียงที่มีสีแดงมงคลม่านมุ้งเป็นผ้าแพรสีเดียวกัน แต่ทว่าวิญญาณของร่างเอาแต่ร่ำไห้ไม่พูดอะไรผลักตนเข้าร่างของนาง จากนั้นเหอปิงเหยาคล้ายกำลังถูกวางยา ร่างกายร้อนผ่าวรุนแรงแต่นั่นเป็นอาการทางกาย นางเป็นอีกวิญญาณจึงมีสติครบถ้วน
‘นางถูกวางยาให้ตายทำไมนะ’
เพียงแค่สงสัยความทรงจำของเหอปิงเหยาก็วิ่งเข้าชนราวกับถูกหมัดเป็นร้อยหมัดชกเข้าที่หัว นางมึนงงและเวียนหัวที่สุดจนภาพจำสุดท้ายของเหอปิงเหยาในร่างเก่าคือนางตายหลังจากร่วมรักกับบุรุษที่เพิ่งแต่งงาน จุดที่น่าสงสัยคือยาบำรุงที่แม่นมขององค์ชายสี่นำมาให้นางดื่มก่อนเข้าหอและช่วงเวลานี้ดูเหมือนกาลเวลาย้อนมาตอนที่ให้ร่างนี้ยังไม่ได้เข้าหอแต่ดื่มยาไปแล้ว ดังนั้นยังพอมีเวลาแก้ไขนี่นา
แต่ยามนี้นางขยับตัวไม่ได้ และความทรงจำเหอปิงเหยาเจ้าของร่างแท้จริงคือคิดว่าองค์ชายสี่เหยียนฮ่าวคือผู้วางยาอยากให้นางตาย
“โธ่! ผู้ชายซาดิสม์ผู้นี้ร้ายกาจนัก” เหอปิงเหยาพูดเสียงดังแต่ทว่าไม่มีใครได้ยิน นางจึงนึกถึงชะตาชีวิตของร่างที่นางเข้ามาสิงและต้องใช้ชีวิตต่อ
เหอปิงเหยามีรูปร่างอวบก็จริงแต่ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู ใครหลายคนต่างก็หลงรัก นางเติบโตในค่ายทหารของบิดาเนื่องจากตระกูลเหอไม่ยอมรับหลานผู้นี้ เพราะชาติกำเนิดต่ำต้อย มารดาเป็นเพียงลูกสาวชาวนา เหอเจี้ยนรักแม่ของนางมากจึงพาไปเลี้ยงดูที่ค่ายทหารชายแดนเมืองเฉียนชาน หลังท่านแม่ของนางเสียชีวิต แม้นางจะเป็นสตรีแต่แม่ทัพเหอรักเอ็นดูนางมากจึงให้นางกินแต่ของดี ๆ จนร่างกายอวบอ้วนตั้งแต่เด็ก เมื่อถึงวัยปักปิ่นบิดาพลีชีพตายในสนามรบ ฮ่องเต้แคว้นเฉิงฮั่น ‘เหยียนเฉาเสวียน’จึงประทานสมรสให้เหอปิงเหยาแต่งงานกับองค์ชายสี่เหยียนฮ่าว
เด็กสาวอย่างเหอปิงเหยาไม่เคยมีความรัก จึงคิดมอบใจให้กับชายผู้ที่เป็นสามี แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจแต่งก็ตาม ก่อนแต่งงานสามเดือนในตำหนักองค์ชายสี่มีว่าที่พระชายาอย่างเหอปิงเหยาเข้ามาเรียนวิชาของสตรีที่ออกเรือน ทั้งเรื่องการปรนนิบัติดูแลสามี นางรู้ว่าเขาชอบสาลี่ตุ๋นเห็ดหูหนู นางก็หัดทำจนเก่งกาจ แล้วก็ยกไปให้เขาดื่มแต่เมื่อเขายกขึ้นชิมเพียงหนึ่งคำ คำชมเชยที่รับสุดจะเสียดแทงใจ
“อย่าคิดว่ายั่วยวนข้าด้วยอาหารแล้วข้าจะหลงรัก เจ้าก็แค่สตรีน่าเกลียด”
เหอปิงเหยาที่ถูกประคบประหงมจากเหล่าแม่ทัพนายกอง ดูแลดุจไข่ในหิน คำพูดระคายหูสักครึ่งคำไม่เคยได้ยินนางจึงเสียใจไปร้องไห้อยู่หลายวัน ก่อนจะลุกขึ้นมาทำแบบเดิมอีกครั้ง อย่างไม่คิดยอมแพ้ด้วยคำสั่งเสียของบิดาก่อนตาย
“ห้ามร้องไห้ให้ใครเห็น ห้ามอ่อนแอ ใช้ชีวิตอยู่ให้มีความสุข”
เหอปิงเหยาทบทวนความทรงจำถึงตรงนี้ของอดีตเจ้าของร่างพลันรู้สึกเศร้าเสียใจนัก
“สามเดือนที่อยู่กันแล้วหากข้าโดนเช่นนี้ทุกวันข้าเก็บของกลับชายแดนไปอยู่กับเหล่าพี่ ๆ ทหารแล้ว!” พูดแล้วเหอปิงเหยาถึงกับอารมณ์ขึ้นทั้งกรุ่นโกรธยิ่งนัก บุรุษเฮงซวยทำกับสตรีแสนดีเช่นนี้ได้อย่างไร
“ดี...ข้าขยับตัวได้เมื่อไหร่ข้าจะหย่าผัวชั่วทิ้งเสีย!”
แต่คล้ายกับสิ่งที่นางคิดนั้นจะหลังจากที่นางร่วมหอกับบุรุษเฮงซวยเหยียนฮ่าวเสียก่อน...
ร่างกายที่เหมือนมีสติแต่ดวงตาแดงก่ำคล้ายเลือดนกเดินเข้ามาแม้ว่าใบหน้าจะหล่อเหลา ร่างกายกำยำแต่เหอปิงเหยาก็ไม่คิดอยากได้ผู้ชายเฮงซวยผู้นี้เป็นสามี!
“หึ...เจ้าอยากเป็นเจ้าสาวของข้างั้นรึ...ได้ข้าจะจัดการเจ้าตั้งแต่คืนนี้”
“อย่านะ...เหยียนฮ่าว...หยุด”
“ทำไมเรียกแค่ชื่อข้าล่ะ แต่ว่าอื้ม...ข้ารู้สึกว่ามันเร้าใจข้ามิใช่น้อย” เหยียนฮ่าวคล้ายติดอยู่กับห้วงฝัน เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ร่างกายต้องการปลดปล่อย จากนั้นสองเรือนร่างหยินหยางสอดประสานลึกซึ้งไม่พอท่วงท่านี้ในความทรงจำของเจ้าของร่างสุดจะทนเกินไปแล้ว
“ไอ้องค์ชายหมาบ้าปล่อยข้านะ”
“รัดข้าแน่นเช่นนี้ให้ข้าปล่อย เจ้าปากช่างไม่ตรงกับใจ แต่เจ้าด่าข้าหมาบ้า...ได้...เช่นนั้นข้าจะเป็นหมาให้สมใจเจ้า”
เหยียนฮ่าวจับนางพลิกคว่ำแล้วใช้ท่วงท่าดุจดั่งสุนัขร่วมสวาทยาวนานจนตนเองปลดปล่อยน้ำเชื่อมประสานความสุขออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เกือบรุ่งสางถึงปล่อยเหอปิงเหยาให้เป็นอิสระ
เหอปิงเหยาสลบไปทันที นางไร้เรี่ยวแรงจะหยัดยืนคิดว่าพักเอาแรงสักหน่อยก่อนค่อยตื่นมาจัดการองค์ชายหื่นกาม
แต่ทว่า...
“นี่เจ้า...เจ้าเป็นใครคิดปีนเตียงข้า!”
เหอปิงเหยาที่ชอบนอนให้เต็มอิ่ม หากไม่เต็มอิ่มมักจะหงุดหงิด เมื่อคืนไอ้บุรุษเฮงซวยผู้นี้จัดการกลืนกินนางทั้งคืน ยังจะมาทำเป็นไม่รู้จักนางอีก ตื่นมาก็หาเรื่องข้าเช่นนี้ตบคืนสติสักสองทีหน่อยเป็นไง
เพียะ!! เพียะ!!
เสียงฝ่ามือของเหอปิงเหยาฟาดหน้าของเหยียนฮ่าวดังสนั่นจนไปถึงข้างนอก พร้อมกับรอยแดงขึ้นข้างแก้มห้านิ้ว จากนั้นเสียงอรุณสวัสดิ์สามีก็ดังขึ้น
“แล้วเมื่อคืนหมาตัวไหนขึ้นข้าทั้งคืน!”