‘รักแท้แพ้ธุรกิจ’
ประโยคนี้คงไม่เกินจริง แม้จะเข้าสู่ยุคปี 202x แล้วก็ตาม ความทันสมัยของโลกที่พัฒนามากขึ้น ความคิดที่ออกจากกรอบเดิมๆ ตีความบทใหม่กันอย่างอิสระ แต่กลับกันในมุมซอกมืดๆ กลับยังคงมีความคิดอันโบร่ำโบราณ อย่างเช่นการคลุมถุงชน การตกลงพร้อมใจกันเพียงฝ่ายผู้ใหญ่ ที่เล็งเห็นว่าการที่สองตระกูลจะมาดองกันจะมีแต่ผลดีมากกว่าผลเสีย การเห็นยอดเงินในบัญชีพุ่งขึ้นสูงอย่างไม่มีอะไรมาขวางกัน มากกว่าความสุขของลูกตัวเองหลานตนเอง
“ได้ฤกษ์แต่งงานของแกกับคุณชายนวินมาแล้ว” เศษกระดาษสีขาวที่ขอบเหลืองอยู่หน่อยๆ ถูกวางลงบนตรงหน้าของผม
“ครับ” ผมรับคำและก้มลงเล่นโทรศัพท์ของตัวเองต่อ ไม่ได้สนใจหรือตื่นเต้นอะไรกับมันอยู่แล้ว
“คุณคะ ทำแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอคะ” แม่ที่ยืนอยู่ข้างพ่อเอ่ยขึ้นมา
“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้ชายแต่งงานกันเยอะแยะจะตายไป สังคมเขาก็ยอมรับกันแล้ว ไม่เห็นมีอะไรที่ไม่ดีเลยสักนิดเดียว” พ่อปลอดกระดุมชุดสูทของตัวเองและนั่งลงโซฟาถัดไปจากผม
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น...ฉันหมายถึงความรู้สึกของเมฆ” จังหวะนี้ผมเม้นปากเล็กน้อย ทำเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งที่พวกท่านทั้งสองกำลังคุยกัน
“อยู่ด้วยกันไปเดี๋ยวก็รักกันไปเอง เมฆมันก็ชอบผู้ชาย คุณชายนวินก็ชอบผู้ชาย ดีซะอีกที่เราเลือกคนดีๆ ให้ลูก ถ้าไม่ใช่คุณชายนวิน ฉันก็ไม่เห็นเด็กหนุ่มคนไหนเข้าตาสักคน”
“แต่เมฆมีแฟนอยู่แล้วนะคะคุณ"
“ไอ้เด็กเจ้าของร้านคาเฟ่นั่นนะเหรอ! อย่าหวังจะได้มาหลอกเอาเงินตระกูลเราได้เลย” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงที่หัวเสียสุดๆ
“เกรทไม่ได้จะมาหลอกเอาเงินผมนะพ่อ” เมื่อเอ่ยถึงแฟนหนุ่มของผม ตัวผมเองก็อดที่จะพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้ ผมกับเกรทถึงจะรู้จักกันมาไม่กี่ปี แต่เขาก็ไม่เคยยืมเงินผม แถมทุกครั้งที่ไปเดท ไปเที่ยว เกรทก็เป็นคนจ่ายให้ผมทุกครั้งเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้มีเงินมากกว่าผมเลย
“ฉันไม่สนว่ามันจะมาหลอกหรือไม่หลอก แต่แกต้องไปเลิกกับมัน ก่อนที่งานแต่งจะถูกจัดขึ้น” ผมตวัดสายตามามองผมอย่างแข็งกร้าว “อย่าให้มันมาทำให้แกขายหน้าในวันแต่งเด็ดขาด” ท่านว่าไว้เพียงเท่านั้นก็เดินขึ้นไปชั้นสองของบ้านทันที
“แม่ขอโทษนะ ที่ช่วยอะไรเมฆไม่ได้เลย” ใบหน้าของหญิงสาววัยห้าสิบห้าช่างดูเศร้าสร้อย มือนิ่มยื่นมาลูบแก้มผมอย่างปลอบประโลม
“ผมรู้ครับว่าพ่อทำเพื่อเรา” ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นจากมือแม่
ตั้งแต่สถานะการณ์โรคระบาดในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา มันส่งผลต่อธุรกิจทัวร์ของครอบครัวเราเป็นอย่างมาก มากจนต้องขายทรัพย์สินมากมายเพื่อประคับประคองให้ทุกคนได้อยู่รอด แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ราวกับแสงของวันใหม่พ่อก็ไขว้ขว้าทุกโอกาสที่พอจะเป็นได้ทั้งหมด จนธุรกิจเรากลับมายืนได้อีกครั้ง ผมที่เป็นผู้ช่วยประสานงานต่างๆ ก็เห็นว่าพ่อเหนื่อยเพื่อเรามากขนาดไหน
เมื่อหลายเดือนก่อนพ่อถูกเรียกให้ไปงานเลี้ยงของตระกูลอภินันทรที่มีเชื้อเจ้าผู้สูงศักดิ์ ซึ่งเป็นเจ้าของธุระกิจโรงแรมหมื่นล้าน ที่ก็โดนพิษของโรคระบาดไปไม่น้อยเช่นกัน พอกระแสการท่องเที่ยวกลับมา ก็เหมือนจะรีบสร้างความสัมพันธ์กับธุรกิจย่อยๆ มากมาย เพราะเมื่อก่อนหยิ่งจนไม่เห็นหัวใครเลยทีเดียว
หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงในครั้งนั้น พ่อก็ดูเปลี่ยนไป แต่ผ่านไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ผมก็ได้ทราบความเปลี่ยนแปลงนั้น เมื่อครอบครัวผมถูกเชิญให้ไปกินมื้อค่ำที่บ้านของตระกูลอภินันทร และระหว่างที่กำลังกินไปและคุยเรื่องธุระกิจไป ท่านชายกลม ก็เอ่ยถึงเรื่องงานแต่งขึ้นมา ตอนแรกก็ตกอกตกใจกันทั้งโต๊ะกินข้าว เหมือนจะไม่มีใครรู้มาก่อน แต่คนที่นิ่งเฉยก็มีเพียงพ่อของผมกับท่านชายกลม
ในใจผมตอนแรกนึกว่าจะเป็นท้องฟ้า เธอเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของผม เพราะตระกูลอภินันทรมีลูกชายอยู่สามคน คนแรกคุณชายนราซึ่งก็อายุสามสิบแปดแต่งงานมีลูกแล้วสองคน ผมเลยตัดรายชื่อของท่านชายนราออกจากหัวเป็นคนแรก คนที่สองคุณชายนวินที่ดำรงตำแหน่งรองประธานของอภินันทร์กรุ๊ปและยังโสด คนที่สามคุณชายนดลที่กำลังเรียนอยู่ต่างประเทศ ถ้าไม่ใช่คุณชายนวินก็คุณชายนดล
“พ่อ...” ผมหันไปเรียกพ่อ ซึ่งท่านเองก็มองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว ในใจของผมตอนนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะ รับรู้ได้ในทันทีว่าคนที่ต้องแต่งงานในหัวข้อการพูดคุยนี้คือตัวผมเอง...
และก็เป็นจริงอย่างที่ผมหวั่นใจ เมื่อท่านชายพูดชื่อของผมกับคุณชายนวินออกมา ไม่รู้ว่าตอนนั้นผมทำหน้าแบบไหนออกไป แต่ที่แน่ๆ คุณชายนวินมองผมด้วยความไม่ชอบใจอย่างปิดไม่มิด คุณชายนวินมองผ่านๆ จะดูเหมือนผู้ชายเจ้าเสน่ห์ขี้เล่น ยิ้มหวานละลายใจ แต่ถ้ามองดีๆ แล้วจะเห็นถึงความนิ่งเงียบราวกับคลื่นใต้น้ำ ที่รอวันกลืนทุกสรรพสิ่งลงสู่ท้องทะเลลึก
การกินข้าวหลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยบบรรยากาศชวนกระอั่กกระอ่วน ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของคุณชายนวินที่ลอบมองผมเป็นครั้งคราว ผมจะโดนฆ่าตายก่อนได้แต่งงานหรือเปล่าครับเนี่ย...