ท่ามกลางแดดแผดจ้าและอากาศร้อนจนแทบไหม้เกรียมหากไปยืนอยู่กลางแจ้งของช่วงเดือนเมษายน แต่ภายในสตูดิโอถ่ายภาพนั้นเย็นฉ่ำเพราะเปิดแอร์คอนนิชันช่วยปรับอุณหภูมิ ทุกคนณะสตูกำลังสนุกสนานกับการถ่ายภาพสองแม่ลูกสุดฮอทจากช่องยูทูปชาแนล ‘ลูกจ๋าแม่ขามาแล้ว’ โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กนั้นดูจะเอ็นจอยเป็นพิเศษแถมโพสท่าถ่ายรูปคู่กับคุณแม่ได้อย่างไม่แพ้นางแบบมืออาชีพ
“อย่างนั้นแหละครับ หันซ้ายหน่อย ดีมากครับ ดี” ตากล้องบอกพร้อมกับลั่นชัตเตอร์ไปพลางเพื่อกำกับท่าทางของทั้งคู่
“ทีนี้เดี๋ยวเปลี่ยนให้คุณแม่อุ้มน้องนะครับ” ผู้ช่วยตากล้องบอก คุณแม่ยังสาวก็ก้มตัวลงเพื่อจะอุ้มลูกสาวตัวเล็กเข้าเอวตามปกติที่เคยทำ แต่เด็กหญิงกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้แม่อุ้มเสียอย่างนั้น
“มาค่ะจ๊ะจ๋า แม่อุ้มนะ”
“ไม่เอา!” เด็กหญิงเบี่ยงตัวหลบจนคนเป็นแม่ต้องแปลกใจว่าทำไมจู่ๆ ลูกสาวเกิดดื้อขึ้นมา
“ทำไมละคะ มามะ...พี่ๆ เขารออยู่นะ” ถึงหญิงสาวจะพูดแบบนั้นแต่ลูกสาวก็ยังไม่ยอมอยู่ดี จนแล้วจนรอดเด็กน้อยก็ไม่ยอมให้แม่อุ้มเหมือนเคย จนทำให้ทุกคนได้แต่มองหน้ากันอย่างปรึกษา เพราะนี่ก็เป็นการถ่ายแบบชุดสุดท้ายแล้วด้วย
“บางทีน้องอาจจะเหนื่อยนะคะคุณเมขลา เดี๋ยวพักสักแป๊บก็ได้ค่ะ” ดีไซน์เนอร์ผู้จัดการดูแลเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมกล่าวบอกด้วยรอยยิ้มเอ็นดูสาวน้อย
“จะเสียเวลาพวกคุณหรือเปล่าคะ เห็นคุณกุมภาบอกว่าเดี๋ยวจะต้องมีถ่ายแบบปกอื่นต่ออีก”
“พักสักเดี๋ยวคงไม่เป็นไรหรอกคะ นี่...จ๊ะจ๋า พี่มีขนมให้กินด้วยนะ”
ถึงจะหลอกล่อด้วยขนมแต่ก็ทำอะไรเด็กหญิงดวงชีวันหรือจ๊ะจ๋าไม่ได้แน่ๆ เพราะเธอเติบโตมาในร้านขนมไทยของแม่ที่อร่อยที่สุดดังนั้นขนมอะไรก็มาเทียบไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อตากล้องให้พักได้ชั่วครู่เมขลาจึงดึงร่างนุ่มนิ่มของลูกสาวมากอดเพราะเธอรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
จ๊ะจ๋าเป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริงและกล้าแสดงออกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรนั่นทำให้เจ้าตัวเล็กกลายเป็นขวัญใจของเหล่าบรรดาแฟนคลับ ความน่ารักของเด็กหญิงถูกถ่ายทอดผ่านช่องยูทูปของเมขลาที่เกิดปิ๊งไอเดียตอนถ่ายคลิปทำขนมที่ร้านแล้วมีลูกสาวเข้ามาช่วยด้วย มือน้อยๆ ช่วยหยิบจับของในครัวเพื่อมาทำขนมไทยสูตรเฉพาะของตาและยาย แม้จะเลอะเปรอะเปื้อนไปบ้างแต่หากมองที่ความตั้งใจของเด็กน้อยแล้วก็พอจะให้อภัยได้ และเมื่อผู้เป็นแม่อัพคลิปนั้นลงในช่องของตัวเองก็กลายเป็นว่ามีคนถูกใจจำนวนมากจนกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กน้อย
“ทำไมถึงไม่ให้แม่อุ้มละคะ” เมขลากระซิบถามลูกน้อยให้พอได้ยินกันสองคน
“จ๊ะจ๋ากลัวชุดสวยจะยับค่ะ” พูดพลางเหลือบมองผู้เป็นแม่อย่างรู้สึกผิด แล้วก็ก้มมองชุดพลางใช้มือลูบๆ อย่างถนอม
“ชุดสวย ชุดนี้เนี่ยเหรอ” หญิงสาวใช้มือจิ้มชุดกระโปรงบานฟูฟ่องสีเหลืองอ่อน
จากนั้นเด็กหญิงก็บอกกับแม่ของเธอว่าเธอชอบชุดสีเหลืองนี่มาก แต่ถ้าแม่อุ้มเธอขึ้นชุดนี้ก็จะยับและไม่สวยอีกต่อไป เมขลาได้ยินแบบนั้นก็อดขำไม่ได้เพราะนานๆ ทีจ๊ะจ๋าจะได้ใส่ชุดสวยๆ แบบนี้สักครั้ง เนื่องจากส่วนใหญ่เด็กหญิงจะอยู่กับแม่ที่ร้านไม่ก็ที่โรงงานทำขนม น้อยครั้งที่จะได้ใส่ชุดสวยไปเที่ยวไหนต่อไหน และอีกอย่างชุดเจ้าหญิงฟูๆ แบบนี้ใครๆ เขาก็ใส่ไปเที่ยว ไปไหนต่อไหนกันมากกว่าจะหมกตัวอยู่แต่ในที่ทำงาน นึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกสลดใจที่เธอไม่อาจดูแลหัวใจดวงน้อยได้อย่างเต็มที่ เพียงเพราะต้องรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว
เมื่อรู้ว่าลูกหวงชุดเมขลาจึงให้สัญญากับลูกสาวว่าจะอุ้มเธออย่างดีที่สุดและจะไม่ให้ชุดสวยยับเป็นอันขาด ความจริงที่จ๊ะจ๋ายังไม่รู้ก็คือพอถ่ายรูปเสร็จแล้วเธอต้องคืนชุดสวยนี้ให้กับทีมงานไม่ใช่ใส่กลับบ้านไปด้วย
“อ่า อย่างนั้นเลยครับ ลูกโป่ง....ไปจัดกระโปรงให้น้องหน่อยสิ” ช่างภาพบอก
ทีมงานเจ้าของชื่อวิ่งไปจัดแจงกระโปรงสีเหลืองอ่อนให้เข้ารูปแล้วจากนั้นตากล้องก็ลั่นชัตเตอร์จนได้ภาพที่น่าพอใจ และก็เป็นอย่างที่เมขลาคาดเอาไว้ เมื่อการถ่ายรูปเสร็จสิ้นลงและต้องคืนชุดสวยสีเหลืองอ่อน เจ้าตัวเล็กก็เริ่มเบะปากเพราะเธอหลงรักชุดเหลืองฟูฟ่องนี้จนหัวปักหัวปำ
“ไม่เอานะคะ มันไม่ใช่ของเราสักหน่อย”
“แต่จ๊ะจ๋า...ชอบ”
“เดี๋ยวแม่ซื้อให้ใหม่นะคะ ชุดนี้คืนพี่ลูกโป่งไปนะ” เมขลายื่นชุดคืนให้กับทีมงานพร้อมกับสายตาละห้อยของจ๊ะจ๋าที่มองตามชุดสวยกำลังลอยละล่องกลับไปที่ราวแขวนเสื้อ เด็กหญิงคงทนเห็นภาพบาดตานั้นไม่ได้จึงซบหน้าลงบนไหล่ของแม่เพื่อให้ลืมเจ้าชุดนั่นเสีย
“จ๊ะจ๋า ชอบชุดนี้เหรอคะ” เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากทางด้านหลังทำให้เด็กน้อยเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างโปร่งที่กำลังเดินเข้ามาเธอและแม่ “ลุงยกให้เอาไหม”
“จริงเหรอคะ” ดวงตาหม่นหมองเมื่อครู่เปลี่ยนมาใสปิ๊งด้วยความหวัง จ๊ะจ๋าไม่รู้หรอกว่าคุณลุงคนนี้จะทำให้เธอได้ครอบครองชุดนั้นหรือไม่ แต่อย่างน้อยผู้ใหญ่ก็ไม่น่าโกหกเด็กอย่างเธอ
“อย่าเลยค่ะคุณกุมภา”
“ทำไมละครับ ถ้าจ๊ะจ๋าชอบเดี๋ยวผมให้ทีมงานจัดการให้ แต่ถ้าคุณเมกลัวว่าทางร้านที่เป็นสปอนเซอร์ชุดให้จะว่าเอาละก็ ไม่ต้องกลัวหรอกครับผมเคลียร์ได้”
“แต่...เมเกรงใจน่ะค่ะ ชุดนี่น่าจะแพง” เสื้อผ้าเด็กแบรนด์นี้ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยซื้อให้ลูกใส่ ทำให้หญิงสาวเดาได้ว่าถ้าเป็นคอลเลกชั่นใหม่แบบนี้คงต้องแพงแน่ๆ แต่จะดุลูกสาวก็ใช่ที่ เพราะเธอก็เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กหญิงในวัยนี้จะวาดฝันเกี่ยวกับเสื้อผ้าอาภรณ์สวยๆ แม้แต่เธอเอง...ก็ยังนึกชอบและแลลูกใส่แล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอก จริงๆ นะครับ รับไว้เถอะถือซะว่าผมให้เป็นของขวัญที่วันนี้คุณเมกับจ๊ะจ๋ามาถ่ายแบบปกนิตยสารให้เรา”
แล้วในที่สุดทีมงานก็จัดแจงเปลี่ยนให้เด็กหญิงใส่ชุดสวยของเธออีกครั้ งเพราะจ๊ะจ๋ายืนยันว่าจะใส่ชุดนี้ไปอวดตาและยายที่บ้าน แต่คนแรกที่แปลกใจกับชุดใหม่ของจ๊ะจ๋าคงเป็นใครไม่ได้นอกจากทอรุ้ง น้องสาวแท้ๆ ของเมขลาและมีศักดิ์เป็นน้าสาวของจ๊ะจ๋า ที่วันนี้ทำหน้าที่ขับรถมารับพี่สาวและหลานรักจากสตูดิโอใจกลางกรุงเทพ และทันทีที่ทอรุ้งลงจากรถเพื่อรับของจากเมขลา หลานสาวคนโปรดก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมชุดสีเหลืองอ๋อย
“น้ารุ้ง ชุดใหม่ สวยไหม” พูดไปเด็กหญิงก็หมุนไปรอบๆ ตัวของน้าสาวอย่างร่าเริง ทำเอาทอรุ้งต้องมองหน้าพี่สาวด้วยความสงสัย
“เขาให้มาเหรอพี่เม”
“ไปมัดมือชกเขาน่ะสิ พอถอดชุดคืนเขาก็ทำท่าจะร้องไห้จนเขาใจอ่อนยกชุดให้”
“ใครบอก คุณลุงเห็นจ๊ะจ๋าทำงานหนักต่างหาก ก็เลยให้ชุดนี้เป็นรางวัล” เด็กน้อยตะโกนออกมาจากในรถเพราะข้างนอกร้อนเกินทนจน เจ้าตัวแสบเลยต้องรีบกระโดดเข้ามาตากแอร์เย็นเจี๊ยบข้างในแทน ที่จริงงานก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนักเพียงแต่ว่าต้องใช้สกิลการเป็นนางแบบมากหน่อยก็เท่านั้นเอง
“จริงอ่ะ” ทอรุ้งยื่นหน้าเข้าถามถามหลานสาวตัวแสบ
“จริงจริ๊ง ไม่เชื่อถามคุณลุงได้เลย” จ๊ะจ๋าตอบพลางชี้มือไปที่กุมภาที่เดินลงมาเกือบจะถึงรถของเมขลาอยู่แล้ว
อันที่จริงมันไม่ใช่ธุระอะไรของเขาที่จะต้องมาส่งเมขลากับลูก แต่ถึงอย่างนั้นบรรณาธิการหนุ่มก็ยังฝ่าอากาศร้อนและเปลวแดด ลงมาส่งทั้งคู่ถึงลานจอดรถด้านหน้าอาคาร กุมภาเป็นบรรณาธิการหนุ่มไฟแรงที่มาจับงานนิตยสารแม่และเด็ก แต่ด้วยความที่เป็นหนุ่มหล่อในฝันของสาวๆ สไตล์อปป้าที่อบอุ่นราวกับหลุดออกมาจากซีรีย์เกาหลี ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่สนใจในตัวของเขาอย่างมาก เพียงแค่เดินมาสู่ภายนอกอาคารก็ราวกับมีออร่าจากไฟสปอตไลท์สักสิบดวงส่องมาที่เขา
กุมภารู้จักกับเมขลามาสักพักจากคอนเทนต์ในช่องยูทูปของเธอ แฟนคลับคนอื่นอาจจะสนใจความน่ารักของเจ้าตัวเล็ก แต่สำหรับเขาแล้วความเป็นตัวของตัวเองและเรื่องราวในชีวิตของคนเป็นแม่ต่างหากที่น่าสนใจ
“คุณเมลืมกระบอกน้ำน่ะครับ ผมเลยเอาลงมาให้” ชายหนุ่มยื่นกระบอกน้ำอันเล็กของจ๊ะจ๋าที่ลืมไว้ส่งให้เมขลา
“ขอบคุณค่ะ เกรงใจคุณจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อย เอ่อ...แล้วคุณเมจะกลับกันเลยหรือเปล่าครับ”
“ก็ว่าจะกลับเลยค่ะ ทิ้งร้านมาครึ่งค่อนวันแล้ว”
“งั้น...เอาไว้เจอกันใหม่นะครับ จ๊ะจ๋า...บ๊ายบายนะคะ ไว้ลุงไปเที่ยวหาที่ร้านนะ” กุมภาน้อมตัวลงไปโบกมือลากับจ๊ะจ๋าที่นั่งยิ้มแฉ่งอยู่ในรถ
ในระหว่างที่สามสาวสามวัยขับรถกลับบ้านที่เพชรบุรี ทอรุ้งที่ทำหน้าที่สารถีก็ชวนเมขลาคุยไปเรื่อยเปื่อยตามประสาพี่น้อง ส่วนจ๊ะจ๋านั้นหลับปุ๋ยไปตั้งแต่รถยังไม่ออกจากกรุงเทพเลยด้วยซ้ำ
“แล้วได้ของที่พี่ฝากให้ซื้อมาหรือเปล่า”
“ได้สิ แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ แถวเยาวราชนี่หาที่จอดรถยากชะมัด” หญิงสาวพูดไปก็ถอนหายใจไปเพราะกว่าจะซื้อของที่ต้องการครบค่าที่จอดรถก็ปาเข้าไปหลายบาท สิ่งที่เมขลาไหว้วานน้องสาวก็คือให้เธอช่วยไปซื้อพวกยาจีนที่บำรุงร่างกาย แต่สิ่งที่ทอรุ้งไม่เข้าใจก็คือทำไมพี่สาวของเธอต้องเสียเงินซื้อของพวกนี้ด้วย
“เออ ดีละ เดี๋ยวจะได้แวะเอาเข้าไปให้เสียเลย”
“เอาจริงๆ นะพี่เม รุ้งไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นเลยที่พี่เมต้องไปดูแลเขาด้วย ทีลูกเขาแท้ๆ ไม่เห็นเคยสนใจ” ทอรุ้งบ่นโดยที่สายตาจับจ้องไปตามทางข้างหน้าจึงไม่ได้สังเกตสีหน้าของพี่สาวที่ทำเหมือนจะไม่ใส่ใจคำพูดของอีกฝ่ายนัก
เมขลารู้อยู่เต็มอกว่าลูกแท้ๆ คนที่ทอรุ้งพูดถึงนั้นคือใคร และเขาคนนั้นนั่นเองที่ทำให้เธอต้องทนทุกข์กับการเป็นขี้ปากชาวบ้านมานานนับปี ใครต่อใครก็ตราหน้าว่าท้องไม่มีพ่อทั้งที่หญิงสาวรู้อยู่เต็มอกว่าพ่อของจ๊ะจ๋าคือใคร แต่เป็นเธอเองที่เลือกเดินออกมาจากชีวิตของเขาในวันที่ต้องการคนเคียงข้างมากที่สุด แต่ใครเล่าจะอยากอยู่กับคนที่คิดว่าเธอกับลูกเป็นส่วนเกินในชีวิต...
เมื่อเห็นว่าพี่สาวเงียบไปพักใหญ่ทอรุ้งก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคงพูดอะไรผิดไป บางทีการที่เมขลาบอกใครต่อใครว่าเธอทำใจได้แล้วเรื่องความสัมพันธ์ครั้งก่อน แต่ทอรุ้งที่รู้ใจพี่สาวดีว่าไม่มีแม้สักวินาทีเดียวที่เมขลาจะไม่คิดถึงเขาคนนั้น ทั้งๆ ที่ผู้ชายคนนั้นไม่ควรค่าที่จะนึกถึงด้วยซ้ำไป ไม่ควรเลย...นักนิดเดียว
“เออ พี่เม..แล้วทางนิตยสารเขาบอกหรือเปล่าว่าต้องมากรุงเทพอีกเมื่อไหร่”
“เปล่านิ ทำไมเหรอ”
“เปล่า รุ้งก็ถามเฉยๆ ก็ถ้าพี่เมจะมาอีกวันไหนรุ้งก็จะได้เคลียร์ตารางงานให้ไง” แม้ทอรุ้งจะทำหน้าตายขับรถต่อไปแต่พี่สาวอย่างเมขลานั้นรู้ใจน้องดียิ่งกว่า
“อยากมาเจอคุณกุมภาน่ะสิ” เธอเย้าจนคนขับเริ่มออกอาการเขิน
“บ้า พี่เมก็ว่าไปเรื่อย แต่จะว่าไปคุณกุมภานี่ก็หล่อเนาะ หล่อแบบเกาหลี๊เกาหลี นิสัยก็ดี พูดจาก็ดี ดีไปหมดอ่ะ” ทอรุ้งพูดไปก็นึกถึงหน้าขาวใสของหนุ่มในฝันของเธอ ใครที่ได้เจอผู้ชายอย่างกุมภาไม่ชอบก็บ้าและยิ่งสาวกคลั่งไคล้ซีรีย์เกาหลีอย่างทอรุ้งด้วยแล้ว แค่ได้เจอกุมภาไกลๆ ก็ชื่นใจกว่าเสียเงินตีตั๋วเครื่องบินไปดูหนุ่มๆ ที่เกาหลีเป็นร้อยเท่า
“ชอบเขาอ่ะดิ”
“แหม ถึงรุ้งจะชอบเขานะ แต่ดูก็รู้ว่า...เขาชอบพี่เม”
“แกก็พูดไปเรื่อย เขาจะมาชอบแม่ม่ายลูกติดอย่างพี่ทำไม”
เมขลาไม่ใช่สาววัยใสและชีวิตก็ผ่านร้อนผ่านหนามมาพอสมควร แล้วทำไมเธอจะมองไม่ออกว่าบรรณาธิการหนุ่มคนนี้คิดอย่างไรกับเธอและก็เป็นอย่างที่ทอรุ้งพูดทุกอย่าง ชายหนุ่มดีพร้อมและเพอร์เฟคในสายตาของหลายๆ คน แถมเดี๋ยวนี้การเลือกคู่ครองก็ไม่ต้องเป็นตามครรลองเดิมเสมอไปที่ชายโสดต้องแต่งงานกับสาวโสดเท่านั้น ดังนั้นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างเธอก็ย่อมมีโอกาสเข้าสู่สนามแห่งการแข่งขันนี้ด้วย เว้นแต่ว่าใจของเธอเท่านั้นที่พร้อมจะเปิดรับคนใหม่หรือไม่และที่สำคัญก็ไม่รู้จ๊ะจ๋าจะว่าอย่างไร
“แม่ม่ายแล้วยังไง ลูกหนึ่งลูกสองแล้วมันไม่ดีตรงไหน พี่เมไม่เคยไปฆ่าใครตาย ทำมาหากินก็สุจริตไม่เห็นต้องอายใครสักหน่อย ดูสิ...ยังสาว ยังสวย หุ่นเช้งขนาดนี้”
“เอาเหอะ มันเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้พี่ยังไม่อยากคิด”
“แหม ตอบยังกะดารา อย่าให้รู้นะว่าแอบไปกุ๊กกิ๊กกันโดยที่ไม่บอกรุ้งน่ะ”
“แล้วจะทำไมยะ” เมขลาขึ้นเสียงปนขำเพราะสองพี่น้องสนิทจนแทบไม่มีความลับอะไรต่อกัน
“รุ้งก็จะไปทำป้ายไฟไง แล้วเดี๋ยวจ้างคนไปเต้นถือปอมๆ เชียร์ด้วย จีบเลยๆ คบเลยๆ” ทอรุ้งไม่พูดเปล่าแต่ทำท่าเชียร์ให้พี่สาวดูด้วยจนเมขลาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะมีน้องสาวตุ้ยนุ้ยอารมณ์ดีอย่างทอรุ้งอยู่เคียงข้างรวมถึงพ่อและแม่ของเธอด้วย ทำให้เมขลาเดินผ่านอุปสรรคทั้งหลายมาได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ทอรุ้งหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในตลาดเพื่อไปยังที่แห่งหนึ่งก่อนกลับบ้าน ที่จริงแต่ก่อนร้านขนมของเธอกับพี่สาวก็อยู่ในตลาดด้วย สาขาแรกของร้านขนมเปิดที่นี่บนแผงเล็กๆ ในตลาดแห่งนี้ ‘ขนมหวานยายสำอางค์’ เป็นที่เลื่องลือถึงความอร่อยจนใครก็หยุดกินไม่ได้โดยเฉพาะขนมตระกูลทองอันได้แก่ ทองหยิบ ทองหยอด และยิ่งฝอยทองด้วยแล้วนั้นผู้คนถึงกับติดอกติดใจจนต้องสั่งจองกันข้ามเดือน เรียกได้ว่าถ้านึกถึงขนมทองๆ ทั้งหลาย ชื่อขนมของยายสำอางค์จะต้องมาเป็นอันดับแรก จากร้านเล็กๆ ทำกันสองคนตายายจนกระทั่งมีลูกสาวทั้งสองเข้ามาสานต่อกิจการให้ใหญ่โตขึ้นและขยายสาขาไปอีกหลายแห่ง
เมขลาคนพี่ตั้งใจสานต่อกิจการของพ่อแม่แต่เธอไม่ถนัดเรื่องทำขนมนักก็เลยเบนสายไปเรียนบริหารและการตลาดเพื่อมาจัดการบริหารร้านจนเป็นเรื่องเป็นราวและก็ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม เธอเปิดขายทั้งแบบหน้าร้านและออนไลน์แถมยังพ่วงสินค้า tie-in ลงในช่องยูทูปที่ทำกับลูกสาวไปด้วย ทำให้ยอดขายทะลุเป้าเรียกว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนมีโรงงานทำขนมเล็กๆ เป็นของตัวเอง ส่วนน้องสาวอย่างทอรุ้งนั้นเป็นคนชอบกินแต่ไหนแต่ไรเลยเลือกเรียนด้านการทำอาหารโดยเฉพาะขนมหวานเพื่อกลับมาช่วยพี่สาวอีกแรง เห็นสาวทอรุ้งอวบกลมแบบนี้แต่ใครจะเชื่อว่าเวลาลงครัวทำอาหารหรือขนมจะคล่องแคล่วด้วยความชำนาญที่จับกระทะทองเหลืองมาตั้งแต่ยังไม่เริ่มตั้งไข่แล้วดูเหมือนว่าคนที่จะเจริญรอยตามทอรุ้งก็คือเจ้าหลานสาวตัวแสบนั่นเอง
“ทำไมวันนี้ปิดร้านเร็วจัง” เมขลาเอ่ยพลางยื่นหน้าออกไปดูหน้าร้านทองที่เธอตั้งใจจะแวะก่อนกลับบ้าน
“ก็ไม่เร็วนะพี่เม นี่ก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว”
สองพี่น้องลงจากรถแต่ก็ไม่ลืมปลุกเจ้าตัวเล็กให้ลงไปด้วยเพราะเดี๋ยวตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใครก็จะโวยวายไปกันใหญ่ ในขณะที่เมขลาอุ้มลูกน้อยเดินนำไปที่หน้าร้านทอง ด้านทอรุ้งก็จัดแจงข้าวของที่ท้ายรถเพื่อจะแบ่งเอาของบางส่วนไปฝากให้กับคนที่เมขลาตั้งใจซื้อข้าวของพวกนี้มาให้ เธอยังมีสัมพันธ์อันดีเสมอกับครอบครัวของเขา...
แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีห่วงหาอาทรคืนกลับมาเลยก็ตาม คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้...ทะเยอทะยานพันนั้น ไม่จำเป็นต้องมีอยู่ในชีวิตหรอก หากแต่พ่อแม่ของเขาไม่เหมือนกัน พวกท่านเมตตาเธอกับลูกยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นแม้ว่าบิดาแท้ๆ จะไม่ต้องการ แต่จ๊ะจ๋าก็ไม่เคยขาดความรักความอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่
“เตี่ยคะ แม่...อยู่หรือเปล่าคะ เอ...ทำไมเงียบจัง” หญิงสาวร้องเรียกเพราะกดกริ่งหน้าประตูแล้วก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดรับเสียที
“โทร.หาดีว่าพี่เม บางทีอาจจะขึ้นชั้นบนหมดแล้วก็ได้”
หญิงสาวล้วงหยิบเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าตามที่น้องสาวเสนอแนะ ไม่ทันที่เมขลาจะกดโทรศัพท์หาคนด้านใน เสียงเปิดประตูก๊อกแก๊กก็ดังขึ้นเสียก่อนตามมาด้วยประตูม้วนที่ด้านหน้าค่อยๆ เปิดออก
“เอ้า เมเองรึ เข้ามาก่อนสิ โอ้ย...ไปไหนกันมาถึงหอบลูกหอบเต้ามาจนเย็นแบบนี้” ในขณะที่พูดนั้นมือเหี่ยวย่นก็ลูบหลังเด็กน้อยที่หลับซบบนบ่าของเมขลาไปด้วย
“เมเข้าไปกรุงเทพมาค่ะ เลยซื้อยาบำรุงมาให้เตี่ยด้วย” ทอรุ้งที่ยืนอยู่ด้านข้างกันจัดแจงยื่นห่อยาจีนห่อใหญ่ๆ หลายห่อส่งให้หญิงชรา
“ไม่เห็นต้องลำบากเลยน่ะเม” ฝ่ายรับของเอ่ยเบาๆ แต่ก็ประคองห่อยาจีนนั้นอย่างทนุถนอม
“พี่เมสั่งแต่รุ้งเป็นคนไปซื้อค่ะ รุ้งให้เขาจัดยาบำรุงให้เตี่ยอย่างดีเลยนะคะ ว่าแต่...เตี่ยเป็นไงบ้างคะ”
“ก็...ไม่ค่อยจะดี มะรืนนี้หมอก็นัดอีกแล้ว” หญิงชราตอบพลางถอนหายใจ สามีวัยใกล้กันนั้นเจ็บออดๆ แอดๆ มาหลายปีและหมอทั้งหลายก็ลงความเห็นว่าอาการป่วยของเขามีแต่ทรงกับทรุด
“งั้นเดี๋ยวมะรืนเมจะมารับเตี่ยไปหาหมอนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกเม แม่เกรงใจ เดี๋ยววานใครแถวนี้เขาไปส่งก็ได้ ร้านนี่ก็ปิดสักวันก็คงไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะแม่ เดี๋ยวยังไงตกลงเวลากันอีกทีก็ได้ค่ะ เอาที่เตี่ยสะดวก”
“ถ้างั้นก็ขอบใจมากนะเม ที่ดูแลเตี่ยกับแม่ อ้าว....ไหน ใครตื่นแล้ว มา...มาให้ย่าหอมแก้มทีนึง” เสียงของหญิงชราเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นเมื่อหันมาเห็นหลานตัวน้อยตื่นพอดี แถมยังได้หอมแก้มยุ้ยเสียฟอดใหญ่ให้ชื่นใจ
เพราะเย็นมากพอสมควรแล้วเมขลาจึงขอลากลับก่อนเพราะยังมีพ่อและแม่ของเธอที่รอคอยอยู่ที่บ้าน เมื่อรถของทอรุ้งเลี้ยวหายลับตาไปแล้วหญิงชราก็เลื่อนประตูม้วนปิดลงตามเดิม หากเป็นแต่ก่อนเธอคงทำอะไรต่ออะไรได้ว่องไวและแข็งแรงกว่านี้ แต่นี่เพราะอายุที่มากขึ้นนั้นบั่นทอนกำลังวังชาไปจนหมดสิ้น กิจการงานต่างๆ ในบ้านและร้านทองนั้นเธอต้องทำอยู่เพียงคนเดียวเพราะสามีที่ป่วยนั้นช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
ถนอมซึ่งเป็นหญิงไทยแท้ๆ แต่งงานกับหนุ่มจีนอย่างสมเกียรติ ทั้งสองฝ่าฟันความเหนื่อยยากจนตั้งร้านทองเป็นร้านแรกๆ ในอำเภอ สองผัวเมียขยันขันแข็งทำงานเก็บเงินด้วยหวังว่าจะให้เงินเก็บนี้กับลูกชายคนเดียวอย่างหิรัญไว้เป็นทุนทำมาค้าขาย แต่ด้วยความทะเยอทะยานที่มีอยู่ในตัวของชายหนุ่มนำพาให้เขาโบยบินไปยังที่ที่สูงยิ่งกว่าเพื่อความสำเร็จของตนเองโดยอาจลืมไปว่าที่ร้านทองเก่าๆ นี่แหละคืออีกสองลมหายใจที่ร่วงโรยรอการกลับมาของเขาอยู่
“ใครมาล่ะ” ชายชราพยายามยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ที่ใช้เอนหลัง
“เมน่ะ มากับจ๊ะจ๋าแล้วก็รุ้งด้วย เขาแวะเอายาบำรุงมาให้ ดูสิ...ห่อใหญ่ห่อโต อะไรบ้างก็ไม่รู้” ถนอมวางยาห่อใหญ่หลายห่อลงบนโต๊ะข้างสามี
“ไม่เห็นต้องลำบากเลย” ชายชราเอ่ยพลางใช้มือลูบไปตามห่อกระดาษที่วางอยู่
“อ้อ เมเขารู้ว่ามะรืนเธอจะต้องไปหาหมอ เขาก็อาสาจะพาไป ไหนเอาใบนัดมาดูสิว่าหมอนัดกี่โมง”
“เธอนี่ก็นะ ไปบอกเมทำไม เห็นไหม...เขาก็เลยต้องเป็นธุระไปอีก” แม้น้ำเสียงจะแสดงอารมณ์หงุดหงิดแต่ก็แฝงไปด้วยความโล่งใจเพราะคนแก่อย่างเขานั้นหูตาก็ฝ้าฟางเหลือทน หากมีใครสักคนไปเป็นเพื่อนเขาก็อุ่นใจได้ว่าการไปหาหมอรอบนี้จะไม่ลำบากเกินไปนัก
การที่ร่างกายแก่ตัวลงนั้นทำให้การใช้ชีวิตไม่คล่องแคล่วเหมือนตอนยังหนุ่มยังสาว ซ้ำมาเจ็บปวดออดๆ แอดๆ ยิ่งทำให้เหนื่อยล้ามากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว แต่ก่อนนั้นถ้าใครมาบอกเขาว่าแก่แล้วมันไม่ดีอะไรสักอย่าง เขาก็คงค้านหัวชนฝาว่าแก่แล้วดีจะตายไปเพราะตอนนั้นก็คงมีเงินเก็บไม่น้อยแถมยังมีลูกหลานไว้พร้อมหน้าให้ชื่นใจ แต่ใครจะรู้บ้างว่าถึงจะมีเงินทองมากแค่ไหนแต่การที่ต้องอยู่เดียวดายกันเพียงสองคนโดยไม่มีลูกมาอยู่ข้างๆ นั้นมันว้าเหว่เกินทน
แต่สมเกียรติหรือเถ้าแก่เกียรติที่คนในตลาดเรียกกันนั้นจะห้ามไม่ให้ลูกชายออกไปใช้ชีวิตได้อย่างไร ลูกผู้ชายเลือดมังกรจำต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายและอุปสรรคเป็นประสบการณ์สอนให้แกร่งกล้า และเมื่อวันหนึ่งหิรัญมาบอกว่าจะเดินทางไกลไปศึกษายังต่างแดนเพื่อนำเอาวิชาความรู้กลับมาบริหารกิจการให้ก้าวหน้าต่อไปแบบนั้น เขาจะว่าอย่างไรได้ แม้จะห่วงสักแค่ไหนแต่เขาก็ยินดีให้หิรัญไปเรียนต่อตามที่ต้องการแถมเมื่อเรียนจบแล้วชายหนุ่มก็ขอทำงานหาประสบการณ์ต่ออีกสักพักและไม่ได้กลับบ้านเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
สมเกียรติและภรรยาไม่เคยเอ่ยปากเรื่องอาการเจ็บป่วยของคนเป็นพ่อให้ฟังเลยสักครั้งแถมยังไม่คอยร้องขอให้ลูกชายกลับมาดูใจคนเป็นพ่อแม่ เพียงเพราะคำว่า ‘อนาคตของลูก’ นั้นมันจุกอยู่ที่คอจนพูดอะไรไม่ออกนอกจากประโยคที่ว่า ‘ไม่เป็นไร เตี่ยกับแม่สบายดี’
“เห็นว่าจ๊ะจ๋ามาด้วยเหรอ เสียดาย...อยากหอมแก้มหลานสักฟอด”
“มาด้วย แต่หลับอยู่บนไหล่แม่เขานั่นแหละ แต่ไม่เป็นไร...ฉันหอมแทนให้แล้ว”
“เออ ไว้ถ้าฉันหายดีแล้ว เราไปหาหลานกันที่บ้านโน้นดีไหม”
ถนอมไม่ตอบแต่พยักหน้าพร้อมกับขอตัวเอายาไปเก็บข้างในบ้าน แต่มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรเมื่อโรคภัยยังรุมเร้าสามีของเธอแบบนี้ ก่อนหน้านี้เขายังเดินไปไหนมาไหนได้ดีอยู่แม้จะไม่มั่นคงนัก แต่พอโรคนั้นลุกลามหนักขึ้นก็กลายเป็นคนไร้เรี่ยวแรงเดินแทบจะไม่ไหว ส่วนร่างกายก็ผ่ายผอมลงจนน่าใจหาย แอบหวังว่าหากได้กินยาบำรุงดีๆ ร่างกายของสมเกียรติก็อาจกลับมามีเรี่ยวแรงขึ้นอีกครั้ง แม้รู้ดีว่าไม่อาจเป็นเหมือนครั้งสมัยยังหนุ่ม แต่ก็อย่าให้ถึงขั้นอ่อนแอลงทุกวันๆ...