บทนำ
‘ผัวเก่าโหด....บุกขอคืนดีอดีตเมียกลางดึก คาดเคลียร์กันไม่ลงตัว ลั่นไกดับ 2 ศพ....’
พาดหัวข่าวที่ฉันตัดมาจากหน้าหนังสือพิมพ์ ถูกหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง นี่คือการพิสูจน์ความปกติของสภาพจิตใจตัวเอง ที่ฉันแอบทำโดยไม่บอกให้ใครรู้
โศกนาฏกรรมอันโหดร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน ภาพจำยังคงชัดเจน เหมือนว่ามันเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เพียงแต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่กลางหัวใจ ค่อยๆ เบาบางลงจนแทบไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้ว กว่าฉันจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยมากว่า 5 ปี
ฉันตามไม่ทันโลก เพราะไม่ได้เสพสื่อจากทางไหนเลย แม้แต่โทรทัศน์ ฉันไม่ได้ติดต่อกับใครเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านยายที่น่าน ก่อนหน้านี้แม่ป้อนข้อมูลให้ฉันว่าเราไม่มีญาติที่ไหนมาโดยตลอด และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นอกจากยายฉันก็ไม่มีญาติฝ่ายไหนให้ติดต่ออีกเลย
ชีวิตผ่านไปแต่ละวัน โดยที่ไม่ได้รับข่าวสารภายนอกเลย มีเพียงกองหนังสือธรรมมะของยาย ที่เป็นสิ่งเยียวยาจิตใจ แรกๆ ก็ไม่ค่อยชอบนักหรอก แล้วก็อึดอัดมากๆ ที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้า ที่บอกแบบนี้ก็เพราะฉันไม่เคยเจอยายมาก่อนเลย แต่พอเวลาผ่านไป ยายและญาติๆ พยายามเข้าหาฉัน จนในที่สุดฉันก็เปิดใจยอมรับทุกคน พร้อมกับเปิดใจยอมรับการใช้ชีวิตอยู่กับหนังสือธรรมมะ แล้วละจากทางโลก
"เสร็จหรือยังตุ๊กตา" เสียงยายตะโกนเรียกฉัน 'ตุ๊กตา' คือชื่อใหม่ที่พระตั้งให้ โดยมีความเชื่อว่าชื่อเก่าขวัญหายไปแล้ว ต้องตั้งชื่อใหม่ให้ขวัญกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า มันช่วยได้จริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้ามันทำให้ทุกคนสบายใจขึ้น ฉันก็ยินดีจะใช้ชื่อนี้ แทนชื่อ 'สตาร์' ที่แม่ตั้งให้
"เสร็จแล้วจ่ะยาย" ฉันร้องตอบ ก่อนจะเก็บเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ สอดไว้ในหนังสือ แล้วเก็บใส่ลงในลิ้นชักตามเดิม
วันนี้้ราจะไปบ้านเพื่อนของยายที่ อ.พบพระ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า มันคือที่ไหน ฉันไม่ได้เก่งเรื่องภูมิศาสตร์อยู่แล้ว
"กินยาแล้วใช่ไหม?"
"จ่ะ" นอกจากข้าวกับน้ำ ที่ฉันต้องกินทุกวัน ก็มียาที่ต้องกินทั้งเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน เพื่อช่วยบรรเทาอาการป่วยของฉัน
บ้านของยายเป็นครัวใหญ่ อยู่กันหลายครอบครัว มีลูกคนโตชื่อลุง สน กับเป้าแป้ว สะใภ้ใหญ่ของบ้าน แล้วก็ลูกน้อยชื่อน้องทรายกับน้องซิน ลูกสาวตัวน้อยวัย 12 ปีและ 7 ขวบตามลำดับ
ลูกคนรองของยายชื่อป้าสา น้องเมย ป้าสาเป็นสาวหม้าย สามีเสียไปตั้งแต่ตอนที่ท่านกำลังท้องแก่ แต่ถึงอย่างนั้นป้าสาก็ไม่เคยมีสามีใหม่ ใจเด็ดไม่ต่างจากแม่ของฉันเลย
และสมาชิกคนสุดท้าย น้าสม กับน้าเงี้ยว สองคนนี้ไม่มีลูกเพราะน้าสมเป็นหมัน
ส่วนตานั้น ยายเล่าให้ฟังว่าเสียไปนานแล้ว แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนัก รู้แค่ว่าป่วยหนัก จนสุดท้ายก็เสียชีวิตไป
ยายเป็นคนมีฐานะในพื้นที่ เนื่องจากมีที่หลายร้อยไร่ แบ่งให้ลูกๆ เอาไปทำการเกษตรคนละ 50-60 ไร่ ส่วนใหญ่ก็เอามาทำสวนผลไม้กัน และที่ดินส่วนที่เหลือยายก็ปล่อยเช่า
นอกจากนี้ ยายยังมีร้านขายปุ๋ย ขายยา ขายเมล็ดพันธุ์ ที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน บางครั้งฉันก็ได้ออกไปช่วยงานที่ร้านบ้าง แต่ยายไม่ค่อยอยากให้ไปเท่าไหร่ เพราะกลัวฉันจะเหนื่อย แล้วอาการกำเริบขึ้นมาอีก
"วันนี้ยายจะพาไปเที่ยวแม่สอดนะ พอดีว่าแม่น้าเงี้ยวไม่สบาย เราก็เลยถือโอกาสพากันไปเยี่ยมเขาด้วย" ขณะที่อยู่บนรถตู้ ยายหันมาบอกกับฉัน เราเช่ารถตู้มากัน เพราะยกกันมาทั้งบ้าน มีแค่น้าสมกับน้าเงี้ยวที่ขับรถกระบะนำหน้าไป พร้อมกับผลไม้ที่เต็มท้ายรถ ไม่ได้เอามาขายหรอกนะ เอามาฝากบ้านน้าเงี้ยว
นี่เป็นการออกจากบ้าน ที่ต้องเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ถ้าไม่นับการไปหาหมอตามนัด ที่ฉันต้องไปเป็นประจำทุกๆ เดือน
"พี่ตุ๊กตาเคยไปเที่ยวตากไหมคะ?" เสียงน้องซินที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามฉัน 'ตากเหรอ?' ถึงฉันจะเสียสติไปเป็นหลายปี แต่ฉันไม่เคยลืม ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยมีความทรงจำที่ดีมากๆ ที่ตาก
"ไม่เคยหรอก พี่อยู่แต่กรุงเทพ" แต่ฉันเลือกที่จะไม่พูดมันออกไป เก็บไว้ให้เป็นแค่ความทรงจำในใจไปตลอดกาลก็พอ
"น้องซินเคยไปครั้งหนึ่งค่ะ ตอนน้องซินตัวเล็กๆ น้องซินจำไม่ได้หรอก แม่เล่าให้ฟัง" น้องซินเป็นเด็กที่อยู่ในวัยกำลังช่างพูด ถือเป็นอีกคนที่มีส่วนช่วยให้ฉันอาการดีขึ้น น้องซินมักจะเข้ามาหาฉันบ่อยๆ หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง และชอบชวนฉันออกไปเล่นด้วยกันข้างนอก แต่ก็ผิดหวังอยู่บ่อยๆ เพราะยายไม่อนุญาต
ฉันนั่งเล่น นั่งคุยกับน้องซินมาตลอดทาง ในขณะที่คนอื่นๆ พากันนอนหลับ
ระหว่างทาง ยิ่งป้ายบอกทางชี้เส้นทางมุ่งหน้าสู่ตากมากแค่ไหน ใจของฉันมันก็ยิ่งเต้นตึกตัก ไม่เป็นตัวเองเลย ภาพความทรงจำสมัยที่หนีตามใครบางคนมาที่นี่ ค่อยๆ ชัดขึ้น หัวใจที่เหมือนตายไปแล้ว เริ่มกลับมามีชีวิตอีกครั้ง 'ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ สบายดีหรือเปล่า'