เป็นข่าวดังไปทั่วราชอาณาจักร เมื่อลูกสาวอายุ 6 ขวบของหัวหน้าสมาคมพ่อค้าที่สูญหายไปในหุบเหวปีศาจถึง 6 เดือน ได้ถูกพบเจอโดยปาร์ตี้ของนักผจญภัยที่ผ่านไปบริเวณนั้น
เกิดคำถามขึ้นต่างๆ นานา ว่าลูกสาวของหัวหน้าสมาคมพ่อค้ารอดมาได้อย่างไรถึง 6 เดือนในหุบเหวปีศาจเพราะไม่เคยมีผู้ใดที่เข้าไปแล้วรอดกลับมาได้สักราย แม้แต่นักผจญระดับสูงยังไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในบริเวณนั้นเลยสักคน
เรื่องนี้ดังจนพระราชา ได้มีคำสั่งให้ทำการสอบสวนในกรณีนี้อย่างเร่งด่วน ว่าเพราะเหตุใดลูกสาวของหัวหน้าสมาคมพ่อค้าถึงสามารถมีชีวิตรอดอยู่ภายในนั้นได้ยาวนานถึง 6 เดือน
ณ คฤหาสน์ของหัวหน้าสมาคมพ่อค้า
คณะสอบสวนนำโดย นักเวทย์สาวสูงอายุพร้อมเหล่าขุนนางได้เดินทางมาถึงคฤหาสน์เป็นที่เรียบร้อย
ในห้องรับแขกอันหรูหรา หญิงรับใช้กำลังทำหน้าที่ต้อนรับแขกจากพระราชวังกันอย่างเต็มที่
ดีมัลหัวหน้าสมาคมพ่อค้า โค้งคำนับพร้อมเอ่ยต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างนอบน้อม
“กระผมดีมัลหัวหน้าสมาคมพ่อค้า รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เอเดรียน่าได้ให้เกียรติมาเยือนถึงบ้านกระผมในครั้งนี้”
นักเวทย์ระดับสูงเอเดรียน่า นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟายกมือขึ้นเพื่อทักทายดีมัล
“ตอนนี้ลูกสาวท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ลูกสาวกระผมร่างกายและสภาพจิตใจปรกติดีครับ”
ดีมัลหันหน้าไปทางสาวรับใช้พร้อมกับพยักหน้า หลังจากนั้นสาวรับใช้จึงไปพาคุณหนูเจมิลี่ออกมาพบแขกในชุดที่สวยงามน่ารัก
“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะหนูน้อย”
เอเดรียน่าเอ่ยทักทายเจมิลี่อย่างเป็นกันเอง
“สะ..สบายดีค่ะ”
“มานั่งใกล้ๆ ฉันสิ แม่หนูน้อย หน้าตาน่ารักจริงๆ”
เอเดรียน่าเอื้อมมือไปจับแขนของเจมิลี่พร้อมค่อยๆ ดึงแขนมานั่งบนโซฟาข้างๆ กายของเธอ เจมิลี่เดินตามแล้วนั่งลงข้างๆ เธอเอาแต่ก้มหน้าสายตามองไปที่พื้นตลอดเวลา
“หนูรู้ว่าคุณจะมาถามเรื่องที่หนูอยู่ในป่าใช่ไหมคะ”
“ฉลาดมากเลยนะจ๊ะ”
เอเดรียน่าเอามือลูบหัวอย่างเอ็นดู
“หนูเล่าไปตั้งหลายครั้งก็ไม่มีใครเชื่อเลยหนูเลย...”
“แต่ฉันเชื่อจ๊ะ ไม่ว่าเธอจะบอกอะไรมาฉันเชื่อเธอแน่นอนแม่หนูน้อย”
เจมิลี่เงยหน้ามองไปที่เอเดรียน่าพร้อมกับยิ้มให้
หลังจากนั้นเจมิลี่จึงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวให้เอเดรียน่าฟัง ผู้ที่นั่งอยู่ในห้องนั้นต่างตั้งใจฟังเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อนี้ พร้อมกับเกิดคำถามต่างๆ ขึ้นมากมายภายในหัว ว่ามันเป็นไปได้อย่างไรมันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเด็กคนนี้กลัวจนเกิดภาพหลอนกันแน่นะ แต่ทำไมเด็กน้อยตัวเล็กๆ คนนี้ถึงมีชีวิตรอดมาได้ถึง 6 เดือน
“หนูสงสารพี่ชายมากเลย พี่เขายังอยู่ในนั้นออกมาไม่ได้ พี่เขาต้องอยู่คนเดียว….”
นี่คือคำพูดท้ายเรื่องราวที่เจมิลี่เล่าออกมาพร้อมทั้งน้ำตาไหลอาบสองแก้ม
บรรดาสาวใช้ที่ยืนฟังเรื่องราวก็รู้สึกสะเทือนใจ จนต้องแอบเช็ดน้ำตากันทุกคน
บนรถม้าอันหรูหรากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่พระราชวัง
เอเดรียน่ากำลังนั่งฟังขุนนางอีกสามคนที่นั่งอยู่ในรถม้า กำลังถกเถียงเรื่องราวที่เพิ่งได้ฟังมา
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะมีเด็กผู้ชายอาศัยอยู่ในหุบเหวปีศาจเพียงลำพัง”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น หรือว่ามอนสเตอร์และปีศาจมันสามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะ”
“ท่านเอเดรียน่ามีความคิดเห็นเช่นไรบ้างครับ”
“ข้าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ไม่น่าจะใช่พวกปีศาจหรือมอนสเตอร์จำแลง อย่าลืมตรงจุดที่เจมิลี่บอกว่า เด็กชายคนนั้นต่อสู้เพื่อปกป้องเธอจากเหล่าปีศาจและมอนสเตอร์นะ ถ้าเป็นมอนสเตอร์หรือปีศาจจำแลงกายมันคงไม่สังหารพวกเดียวกันเองหรอก”
“แต่เด็กอะไรถึงสามารถต่อสู้กับมอนสเตอร์และพวกปีศาจได้ถึงขนาดนั้นกัน”
หลังจากนั้นบทสนทนาในรถม้าก็เงียบลง
เรื่องราวนี้เป็นที่ฮือฮาอยู่พักใหญ่ๆ แต่พอเวลาผ่านไปผู้คนก็เริ่มพูดถึงน้อยลง พระราชาก็เลิกให้ความสนใจ เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าลูกสาวหัวหน้าสมาคมพ่อค้าคงแอบอยู่แถวป่าด้านนอกมากกว่า จึงสามารถอยู่รอดมาได้และด้วยความที่เป็นแค่เด็กจึงสร้างจินตนาการว่ามีเพื่อนมาอยู่ด้วย...ก็แค่นั้นเอง
เรื่องราวค่อยๆ เลือนหายไป เหลือไว้เพียงเรื่องเล่าเอาไว้หลอกเด็ก
เรื่องราวของ……..เด็กชายผู้ถูกทิ้งให้อยู่ในหุบเหวปีศาจเพียงลำพัง จึงกลายเป็นแค่เรื่องเล่า
แต่สำหรับเด็กน้อย เจมิลี่ มันคือเรื่องจริงที่จะอยู่ในใจเธอตลอดไป…...