“พี่สาวข้าไม่อยากแต่งกับไท่จือ”หลินเสี่ยวหลิน ทำสีหน้าเศร้าสร้อย เหมือนกับจะตายดับลงตรงหน้า
“ ท่านพ่อหมายมั่นให้เจ้าจะต้องแต่งกับไท่จือ”หลินเจี้ยนหลิงเอ่ยเรื่องจริงที่ถูกวางไว้แล้วไม่มีทางเป็นอื่น
“ท่านพ่อคงเห็นว่าข้าไร้ซึ่งปากเสียง ต่างจากท่านที่มักจะเก่งกาจเกินหญิง ท่านมีความสามารถรอบด้าน มีคนนับหน้าถือตามากมายอีกทั้งยังกล้าที่จะต่อคำท่านพ่อ ชีวิตท่านจึงไม่ต้องถูก ….กดดันเช่นข้า”
“เจ้าดีกว่าข้ามากนักเสี่ยวหลิน อย่างน้อยมารดาของเจ้าก็ไม่บังคับให้เจ้าทำเรื่องที่หนักเกินไป ข้าแต่เดิมต้องอ่านหนังสือจนดึกดื่น ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋นเพื่อที่จะมาท่องตำราแล้วยังต้องเก่งเหนือใคร ส่วนเจ้ามารดาของเจ้าแม่เล็กแค่เพียงให้ เจ้าเย็บถุงหอม ทำน้ำอบก็เท่านั้น"
“แล้วทำไมต้องเป็นข้า เดิมข้าอยู่แบบนี้ก็มีความสุขแล้ว ไม่เคยได้ออกไปเที่ยวเล่นผิดกับท่านที่วันๆ ขี่ม้าล่าสัตว์ฝึกกระบี่ ยิงธนูล้วนมีแต่เรื่องที่สนุกสนาน”
“เสี่ยวหลินกว่าข้าจะได้มีชีวิตอิสระเจ้ารู้หรือไม่ข้าต้องผ่านอะไรมาบ้าง เคยถูกท่านแม่ตีจนปางตาย ถูกท่านพ่อเคี่ยวเข็ญจนจะกลายเป็นยอดคน หากเปลี่ยนกันได้ข้าขอเป็นเจ้าดีกว่า แม่เล็กรักเจ้าดูแลทะนุถนอม ท่านพ่อก็ไม่เคยให้เจ้าทำเรื่องที่เกินกำลังด้วยเห็นว่าสุขภาพเจ้าไม่สู้ดีนัก”
“พี่สาวนั่นอย่างไรเล่าท่านจึงได้กล้าแกร่งไม่กลัวใคร อีกทั้งยังสามารถจัดการเรื่องหนักเบาได้หมดจด”เสี่ยวหลินพูดเรื่องที่ใครๆ ต่างรู้ดี
“เอาน่า เจ้าแต่งเป็นไท่จือเฟยข้าก็จะได้อาศัยเจ้าเข้าไปเที่ยวชมวังหลวงบ้าง ท่านพ่อร้อยวันพันปีไม่เคยบังคับเจ้า มาครั้งนี้ท่านพ่อคงมีเหตุผลไม่น้อย"
“พี่สาวข้าขออยู่กับท่านอย่างนี้กว่า อย่างน้อยท่านก็พอได้เป็นที่พึ่งช่วยเหลือยามยาก”น้ำเสียงอ่อนหวานออดอ้อนเหมือนที่เคยทำประจำ
“คุณหนูใหญ่เจี้ยนหลิง ฮูหยินใหญ่เรียกหาท่าน”
หลินเจี้ยนหลิงยิ้มให้น้องสาวต่างมารดา ด้วยรอยยิ้มปลอบประโลม
“เฮ้อ... เห็นไหมอย่างน้อยเจ้าก็ไม่ถูกแม่เล็กเรียกหาบ่อยๆ เหมือนที่ท่านแม่เรียกหาข้า ”ก้าวขาออกจากห้องไป
“เจี้ยนหลิง นั่งลงสิ เจ้าออกไปปิดประตูให้ข้าด้วย”ท้ายประโยคหันไปหาสั่งสาวใช้ สาวใช้ให้ออกจากห้องไป หลินเจี้ยนหลิง วางกระบี่ข้างกายแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ต่างระดับลงมาจากที่ฮูหยินหลินนั่งอยู่
“เจ้ารู้ไหม เมื่อคืนข้าเฝ้าครุ่นคิดกังวลนอนไม่หลับทั้งคืน”พูดด้วยน้ำเสียงปกติไม่มีการทอดเสียงให้ดูอ่อนโยนเหมือนมารดาพึงกระทำกับบุตรี
“ท่านแม่มีเรื่องใดกังวล”เอ่ยปากถามด้วยท่าทีนอบน้อม
“เจ้า ไม่กังวลอย่างนั้นหรือ ปีนี้เจ้าสิบแปดยังไร้คนมาสู่ขอ อีกทั้งไท่จือสู่ขอเสี่ยวหลินท่านพ่อตัดสินใจยกเสี่ยวหลินให้แต่งเป็นไท่จือเฟย”
เจี้ยนหลิงก้มหน้ารู้ดีว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นหากมีสิ่งใดที่ฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดาไม่พอใจ
“ลูกเข้าใจแล้ว”พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“ดีมาก เจ้า จ้าวแผนการอีกทั้งกลยุทธ์มากมาย ใช้ความสามารถของเจ้าให้ได้นั่งบนบัลลังก์ในตำหนักบูรพาเคียงข้างไท่จือ ข้าจึงจะสบายใจ”
หลายปีมานี้ เจี้ยนหลิงมีหน้าที่เพียงทำให้มารดาสบายใจ แต่ตัวเองสบายใจหรือไม่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิด
“ลูกจะพยายาม”น้ำเสียงหนักแน่นดุจหินผา
“ดีข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง"
วังหลวง
“ฝ่าบาทในเมื่อตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นไม่สู้รับทั้งสองคนมาเป็นไท่จือเฟยและเซ่อฝูจิ้น ไปพร้อมกัน”
“คิดว่าใต้เท้าหลินจะยินยอมอย่างนั้นหรือ”
“อย่างนั้น คงต้องใช้วิธีเสี่ยงดวง”ขันทีข้างกายออกความเห็น
“หลินฮูหยิน เดิมเป็นถึงองค์หญิงสาม เรื่องนี้นางก็คงไม่มีทางยอม ที่จะให้บุตรีของนางเป็นรองบุตรีของอนุเช่นกัน"
"แต่ผู้ที่ส่งฎีกาฉบับนี้มา จงใจที่จะให้ฝ่าบาทต้องทบทวนเรื่องที่ไท่จือทรงตัดสินใจไท่จือไม่ยอมแต่งบุตรีคนโต แต่ไปสู่ขอบุตรีคนรอง”ขันทีข้างกายตั้งข้อสังเกตไท่จือจงใจทำสิ่งใดกันแน่
ตระกูลหลิน
“มีคนถวายฎีกากับฝ่าบาทให้มีการทบทวนเรื่องการแต่งตั้งไท่จือเฟย ข้าคิดว่าคงไม่ใช่เจ้าใช่ไหม ซูหลาน”ใต้เท้าหลินเอ่ยปากถาม ฮูหยินใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าเช่นไรจะกล้าทำเรื่องเช่นนั้นไท่จือตัดสินใจไปแล้ว”ใต้เท้าหลิน เหลือบตามองหลินซูหลาน
“เจ้าไม่ทำก็มีเพียง ..เจี้ยนหลิงเท่านั้นที่จะทำเรื่องนี้ เจี้ยนหลิงนางเป็นหนึ่งมาตลอด อีกทั้งในตระกูลหลินใครบ้างจะไม่ยอมลงให้เจี้ยนหลิง ข้าเองยังต้องอาศัยลูกคนนี้ในการวางกลยุทธ์การรบ ดีเช่นนั้นข้าก็ไม่หวงห้ามนางจะทำอะไรก็ตามใจเพียงแต่จะคอยดูว่านางจะพลิกสถานการณ์มาได้เปรียบได้หรือไม่”
“ตบปากนางร้อยที โบยนางร้อยไม้”เสียงตวาดลั่นจากปากของ
หลินเจี้ยนหลิงที่เพียงแค่ได้ยินเสียงซุบซิบ ว่าคุณหนูใหญ่ ต้องการจะเป็นไท่จือเฟย แย่งชิงแม้กระทั่งโชควาสนาของคุณหนูรอง สาวใช้ต่างหดหัวหนีหายใครบ้างจะกล้ากับคุณหนูใหญ่ เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่ไม่เคยเกรงกลัวใครนอกจาก ฮูหยินกับใต้เท้าหลิน
“นางขาดใจตายแล้วคุณหนู”เจี้ยนหลิง ใช้มีดปอกลูกท้อยัดใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ได้สนใจคำบอกกล่าวนั้นแม้แต่น้อย โยนมีดสั้นให้ปักลงบนโต๊ะ สาวใช้สะดุ้งรีบคุกเข่า
"รออะไรหรือว่ารอจะเห็นสีหน้าสำนึกผิดของข้าบอกไว้ก่อน ไม่มีใครจะได้เห็นมัน”
“เจี้ยนหลินฝ่าบาทให้เจ้ากับเสี่ยวหลินประลองฝีมือกัน เพื่อตำแหน่งไท่จือเฟย”
“ลูกเข้าใจแล้ว”ใต้เท้าหลิน ส่ายหน้าจากไป
วันประลอง
“คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยเตรียมกระบี่เนื้อดี คมที่สุดไว้ให้แล้ว”หยางเพ่ยตง รองแม่ทัพเพ่ยตงส่งกระบี่ในมือให้กับเจี้ยนหลิงอย่างนอบน้อม แม้ท่าทีองอาจของเขาจะไม่เหมาะแก่การนอบน้อมก็ตาม แต่หากเป็นคนอื่นก็คงไม่ได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของเขามีเพียงเจี้ยนหลิงที่ได้เห็นมัน
“เพ่ยตงข้าควรออมมือหรือไม่”
“คุณหนูคุณหนูรู้ดีข้อนี้ ข้าน้อยไม่ควรออกความเห็น”
“ดี ..ไปกันเถอะ”
“พี่สาว” เพ่ยตงถอยหลังไปยืนห่างๆ เมื่อ เสี่ยวหลินก้าวขาเข้ามาขวางหน้าไว้
“ท่าน ..กับข้า เราจะต้องประลองกันจริงๆ หรือ”น้ำเสียงหวานปนเศร้า เพ่ยตงเบือนหน้าหนีเสีย เจี้ยนหลิงยิ้มบางๆ
“เสี่ยวหลินเจ้าเป็นน้องสาวของข้า อย่างไรก็ไม่อาจเป็นอื่น เราสองคนยังเป็นพี่น้องกัน ไปกันเถอะทุกอย่างจะได้จบลงเสียที”ตัดสินใจแน่วแน่
“เดี๋ยว” ฮูหยินใหญ่ส่งเสียงมาแต่ไกล เสี่ยวหลินย่อกาย ก้าวเดินสวนทางกับฮูหยินใหญ่ด้วยความเกรงขาม
“ท่านแม่”เจี้ยนหลิงประสานมือพร้อมกับกระบี่ในมือท่าทีไม่ต่างจากบุรุษ
“คงรู้ดีว่าจะต้องชนะการประลองเท่านั้น แม่คาดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก เจี้ยนหลิง ตำแหน่งไท่จือเฟยจะต้องเป็นของเจ้าเท่านั้น”
เพ่ยตง หลุบตามองพื้นเหมือนกับเป็นความผิดของเขา
“ไปได้แล้วอย่าให้ข้าต้องขายหน้า”เจี้ยนหลิงประสานมือ ก้าวเดินด้วยทีที่มั่นใจอย่างที่สุด
วังหลวง ณ.ลานประลอง
“การประลองเริ่มได้ ด่านแรกเป็นการงานฝีมือเป็นอันดับแรก”หลินเจี้ยนหลิง ยังกอดกระบี่ไว้เช่นเดิมไม่ได้เร่งรีบอะไร ต่างกับเสี่ยวหลินที่หยิบเอาเข็มและผ้าขึ้นมานั่งบนโต๊ะ เตรียมพร้อมในทันทีเพ่ยตงกอดอกมองเจี้ยนหลิงนิ่ง
“ต่อไปเป็นการประลองการปักลวดลายบนผืนผ้า อาศัยความงดงามและความหมายที่เป็นมงคล ของคำว่ามังกรครองฟ้า หงสาร่ายรำ ...อีกทั้งยังต้องอาศัยความรวดเร็วในการปัก ลวดลายในการปักที่มีเวลาให้แค่เพียงสองชั่วยาม" เจี้ยนหลิงยกผ้าในพับขึ้นมาบนโต๊ะ นั่งลงบนเก้าอี้ตั้งหน้าตั้งตาปักลวดลายด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งท่าทีมิได้มีความเรียบร้อยอ่อนหวานเหมือนเสี่ยวหลินที่แทบจะกลายเป็นท่วงท่าร่ายรำก็ว่าได้ ผ่านไปถึงสองชั่วยามเหล่าขุนนางล้วนต่างเปิดปากหาว เพ่ยตงยังยืนนิ่งมองเจี้ยนหลินเช่นเดิม
"หมดเวลาแล้ว นำงานปักของพวกนางมาให้ฝ่าบาทตัดสิน"
ขุนนางต่างฮือฮารอชมการตัดสิน งานปักของทั้งสองคนถูกนำมาวางตรงหน้าฮ่องเต้ ลวดลายบนผ้าสีน้ำเงินสีประจำตัวของไท่จือ เสี่ยวหลินปักมันอย่างอ่อนช้อยเหมือนดังมีชีวิตเป็นรูปมังกรที่ เหยียบบนหลังหงส์ เปรียบเหมือนความยิ่งใหญ่ของมังกร แม้หงส์จะอยู่ต่ำลงมาแต่หงส์กับดูงดงามและโดดเด่นกว่ามังกร ฮ่องเต้มองลวดลายบนผ้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็ไม่อาจแสดงท่าทีได้มากกว่าการนิ่งเฉยเสีย
ผ้าปักของเจี้ยนหลิงเป็นรูปมังกรกอดรัดพันเกลียวกับหงส์ฟ้า ไม่ได้สูงต่ำหรือใช้สีสันด้อยไปกว่ากันมองเพียงผิวเผินงดงามน่าค้นหา แต่เมื่อมองอย่างตั้งใจจึงรู้ว่า ลวดลายบนผ้าพยายามชี้ให้เห็นว่า หงส์ความจริงนั้นพยายามเกื้อหนุนมังกรอยู่
"สมกับเป็นบุตรีของใต้เท้าหลินเสียจริง เห็นได้ชัดว่าลวดลายในผ้าสวยงามอีกทั้งยังมีความหมายเหมาะสม"ฮ่องเต้เอ่ยออกมากับขันทีข้างกาย
"พ่ะย่ะค่ะ ของคุณหนูเจี้ยนหลิงมองเพียงครู่ก็รู้ว่าความสามารถด้านงานเย็บปักไม่ธรรมดาไหนใครๆ ต่างพูดกันว่า คุณหนูใหญ่เจี้ยนหลิงองอาจเช่นดังบุรุษอีกทั้งยังฉลาดเกินใคร เช่นนี้ก็พูดได้ว่าความสามารถรอบด้าน ส่วนคุณหนูรองเสี่ยวหลินงดงามอ่อนหวานงานปักชิ้นนี้จึงดูไม่เบื่อ ยากที่จะตัดสินให้ใครแพ้ชนะ"หยางฟงหยางฮ่องเต้ยิ้ม
"หลินเสี่ยวหลิน ลวดลายบนผ้าของเจ้าสื่อความหมายเช่นไร"เสี่ยวหลินยิ้มอ่อนหวานดวงตาเป็นประกายน่ามอง อีกทั้งใบหน้าที่งดงามอ่อนหวานนั้นชวนให้หลงใหลที่สุด
"ฝ่าบาท..ลวดลายบนผ้า มังกรขี่หลังหงส์ที่คอยส่งเสริมให้มังกรอยู่บนจุดที่สูงสุดเปรียบดังไท่จือเฟยที่ส่งเสริมไท่จือแม้จะต้องแบกรับ ความยากลำบากก็ต้องพร้อมที่จะส่งเสริมสามี สีสันมังกรที่แม้ไม่ได้สดใสหรือสะดุดตาเท่าหงส์นั่นเป็นเพราะ ไม่ว่ามังกรจะสำคัญแค่ไหนหงส์ก็ล้วนแต่สำคัญเช่นกัน ไม่มีหงส์จึงไม่มีมังกร แต่มังกรก็ย่อมจะสูงส่งกว่าหงส์"
ฮ่องเต้พยักหน้า เหล่าขุนนางต่างยิ้มกับคำตอบที่เสี่ยวหลินพูดออกมา ล้วนเป็นความจริงอย่างที่สุดการแต่งตั้งไท่จือเฟยจึงต้องคำนึงถึง ทั้งความเหมาะสมและชาติตระกูลของไท่จือเฟยที่จะส่งเสริมไท่จือไปพร้อมกัน แม้ไท่จือเฟยจะเป็นเพียงแค่บุตรีขุนนางก็ตาม
"เจ้าเล่าหลินเจี้ยนหลิน ลายปักบนผ้าของเจ้า มีความหมายเช่นไร"
"ฝ่าบาท"เจี้ยนหลิงประสานมือแทนที่จะย่อกาย
"ลวดลายบนผ้าของข้า หมายถึงการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไท่จือสูงส่งทว่าเหยียบย่ำคนข้างกายจึงไม่เหมาะนัก ไท่จือกับไท่จือเฟยหากประสานร่วมแรง จึงจะช่วยคลายกังวลให้กับฝ่าบาทได้มาก อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างให้กับราษฏรเช่นนั้นการคนที่จะมารั้งตำแหน่งไท่จือเฟยต้องเป็นคนที่พร้อมเคียงข้างหนักเบาไม่เกี่ยงงอนอาศัยเกื้อกูลสามีอีกทั้งไท่จือเองก็จะต้องผ่อนหนักเบาเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เหมือนลวดลายบนผ้าที่ต่างสำคัญ เท่าๆ กันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครเหนือกว่าใคร"ฮ่องเต้ถอนหายใจ
"ครั้งนี้ให้หลินเจี้ยนหลิงเป็นฝ่ายชนะด้วยลายปักในผ้าถูกใจข้ายิ่ง อีกทั้งคำพูดคำจาของนางล้วน ถูกแปดในสิบส่วน"
"การปักผ้าเป็นคุณหนูใหญ่หลินเจี้ยนหลิงเป็นฝ่ายชนะ"เพ่ยตงขยับเปลี่ยนอิริยาบถ เจี้ยนหลิงยังมีสีหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจโล่งอกยิ่งนัก ผิดกับเสี่ยวหลินที่รู้สึกผิดหวังอย่างที่สุดเพราะเห็นได้ชัดว่าเจี้ยนหลิงไม่เคยได้ฝึกฝนการเย็บปัก ปกติงานพวกนี้ล้วนเป็นของเสี่ยวหลินกับมารดา แต่เจี้ยนหลิงมีหน้าที่เพียงร่ำเรียนกลยุทธ์ต่างๆ ดั่งเช่นบุรุษ หาใช่สิ่งที่หญิงงามควรทำไม่
"ต่อไปเป็นการประลองเพลงกระบี่ ครั้งนี้คุณหนูทั้งสองจะต้องประลองฝีมือด้านการต่อสู้ ใครทำกระบี่หลุดมือเสียก่อนนับว่าพ่ายแพ้แกคนที่สามารถถือกระบี่ไว้ในมือ เตรียมพร้อม"เสี่ยวหลินหันหน้าหันหลังหลายปีมานี้แม้จะได้ร่ำเรียนเพลงกระบี่หลังจากที่เจี้ยนหลิงขอร้องให้เสี่ยวหลินออกมาฝึกวิชากระบี่ไว้เพื่อป้องกันตัวแต่หาได้คืบหน้าไม่ ไม่เกินสามกระบวนท่าต้องพ่ายแพ้ให้กับเจี้ยนหลิงอย่างแน่นอน
"ฝ่าบาท เจี้ยนหลิงรู้ดีว่าน้องสาวเสี่ยวหลินไม่อาจเอาชนะเจี้ยนหลิงได้ ซึ่งการประลองเพลงกระบี่ครั้งนี้จึงไม่เป็นการยุติธรรม น้องเดิมปักผ้าเย็บถุงหอมไม่เคยได้ออกไปไหน ผิดกับเจี้ยนหลิงที่พอจะเคยมีโอกาสได้ถือกระบี่บ้างเป็นครั้งคราวอีกอย่างเสี่ยวหลินอ่อนแอตั้งแต่เด็กๆ นางแค่ถือกระบี่ยังไม่มีแรงเช่นนั้นการประลองครั้งนี้ขอเป็นเจี้ยนหลิงที่ต้องประลองกับ.กับ....ไท่จือ"ฮ่องเต้เลิกคิ้วสูง
หันไปกระซิบกระซาบกับขันที่ข้างกาย
“ได้ ตามไท่จือที่ลานประลอง”องครักษ์ ประสานมือออกจากลานประลองไปในทันที เสี่ยวหลิน ยืนก้มหน้าอยากจะคัดค้านแต่อีกใจกับคิดว่าเป็นการดี หากเสี่ยวหลินแพ้ถึงสองครั้ง ก็คงหน้าอายไม่น้อยแต่หากว่าเจี้ยนหลินแพ้ไท่จือนั่นก็เท่ากับยังพอมีโอกาส อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนสับปลับในเมื่อพูดกับเจี้ยนหลิงว่าไม่ต้องการแต่งกับไท่จือตั้งแต่ต้นแต่ทำไมเมื่อถึงคราวต้องประลองกับรู้สึกว่าหลายอย่างไม่ยุติธรรม ใครกันเป็นคนเสนอให้มีการประลองหากไม่มีคนเสนอ คาดว่าป่านนี้เสี่ยวหลินคงได้แต่งกับไท่จือไปแล้ว
“เพลงกระบี่ของไท่จือร่ำเรียนมาจากท่านปรมาจารย์ของแคว้นเหวิ่น เจ้า คิดว่าจะประมือกับไท่จือ ได้สักกี่กระบวนท่า ข้าจะได้ กำหนดกติกาขึ้นเสียใหม่เพื่อจะได้ไม่ต้องมีการบาดเจ็บ เพราะการประลองครั้งนี้แค่เพียงอยากให้เจ้าทั้งสองได้แสดงความสามารถ ให้เหล่าขุนนางและราษฎรได้เห็นว่าไท่จือเฟยมิได้ได้มาเพราะเป็นแค่เพียงบุตรีของขุนนางใหญ่เท่านั้น ล้วนต้องอาศัยความสามารถเช่นกัน”
“เจี้ยนหลิน เดิมเคยร่ำเรียนเพลงกระบี่เช่นกัน ทว่ายังไม่เชี่ยวชาญ ในเพลงกระบี่เท่าที่ควร จึงขอประมือกับไท่จือเพียงสามกระบวนท่าแพ้ชนะในสามกระบวนท่านั้นตัดสินกันไป”น้ำเสียงอ่อนหวานถ่อมตน ทว่าแววตามุ่งมั่น อย่างที่เพ่ยตงเคยเห็นอยู่เป็นประจำ หลินเจี้ยนหลิงจับกระบี่ตั้งแต่ห้าขวบ ร่ายรำเพลงกระบี่ได้แคล่วคล่อตั้งแต่แปดขวบ นางเพียงแค่ถ่อมตน เพื่อ...เพื่อสิ่งใดกัน
ไท่จือก้าวขายาวๆ เข้ามาในลานประลอง รูปร่างองอาจ ใบหน้าหล่อเหลาหาใครเทียบได้ยาก สายตาคมกริบจ้องที่หลินเจี้ยนหลิน รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่ริมฝีปาก
หลินเสี่ยวหลิน เบิกตากว้างด้วยไท่จือมีใบหน้าหล่อเหลาท่าทีองอาจอย่างที่สุดหญิงร้อยคน หากพบหน้าไท่จือก็คงมีอาการไม่ต่างจากเสี่ยวหลิน จะมีเพียงหนึ่งที่ร้อยที่มีอาการเช่นเดียวกับเจี้ยนหลิงนั่นคือนิ่งเฉยไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับใบหน้าหล่อเหลานั้น
“ไท่จือ เจ้าเตรียมตัวมาหรือยัง หลินเจี้ยนหลิงนางไม่อยากประลองกับน้องสาวของตนเองจึงอยากให้ไท่จือช่วยมาร่วมประลองกับนางสักสามกระบวนท่า”ยิ้มมุมปาก
“ลูกยินดีอย่างยิ่ง”ในใจรู้ดีว่าหาก เป็นเสี่ยวหลิน คงต้องพ่ายแพ้ย่อยยับก็นางอ่อนหวานเพียงนั้น เมื่อเขาพบนางครั้งแรกถึงกับไม่อาจละสายตาจากท่าทีเยื้องย่างที่แสนใจอ่อนหวานชดช้อย
เจี้ยนหลิง ดึงกระบี่ออกจากฝัก ตั้งท่าคอยรับมือเพลงกระบี่ของไท่จือหยางฟงฉี ดึงกระบี่ออกจากฝักด้วยท่าทีงดงาม ราวภาพวาดกวักมือเรียกให้หลินเจี้ยนหลิง ที่ทะยานเข้าใส่ดั่งคนขี้โมโห เสียงคมกระบี่ในมือคนทั้งสองปะทะกันเกิดประกายไฟแล่บแปล็บปลาบ ร่างสูงของไท่จือดันร่างเล็กของ เจี้ยนหลิงไถลไปกับพื้นแต่ทว่า หาได้ล้มลุกคลุกคลานอย่างที่หยางฟงฉีคิดไว้แต่แรกว่าเพียงกระบวนท่าเดียวนางจะต้องแพ้ไม่เป็นท่าแต่ด้วยการรับมือของนางในตอนนี้นับว่าเขาคาดผิดไป กระบี่ในมือพลิกสะบัด พัวพันหลบหลีกจนหลุดออกจาการกลางกั้นของอีกฝ่าย
กระบวนท่าแรกผ่านไปง่ายดาย ไม่ได้หนักหนาอย่างที่หยางฟงฉีคิดว่านางจะต้องแทบกระอักเลือด
กระบวนท่าที่สอง ถูกร่ายรำขึ้นอีกครั้งคราวนี้ หลบหลีกราวกับสายลมแต่ก็แข็งแกร่งดุจหินผาตวัดรัดล้อมเข้าหาศัตรูจนจนมุม แต่เจี้ยนหลิงกลับพลิกตัวหลบทะยานออกจากกับดักเพลงกระบี่ ทว่าเจี้ยนหลินยังมีสีหน้าเรียบเฉย หยางฟงฉีรู้สึกใจเสียอย่างเห็นได้ชัด
ท่าร่ายรำกระบี่ที่ขาดความมั่นใจมีหรือเจี้ยนหลิงจะมองไม่ออก กระบวนท่าที่สามถูกโถมเข้าใส่ อย่างบ้าคลั่งรุนแรงคลายจะให้อีกฝ่ายแดดิ้นด้วยอารมณ์คุกรุ่น รู้สึกว่าถูกดูถูกฝีมือจากสาวงามรูปร่างบอบบางเช่นเจี้ยนหลิง ฮ่องเต้ถึงกับขมวดคิ้ว เพ่ยตงเลิกคิ้วสูงด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าไท่จือเป็นรองเจี้ยนหลิง เขาอดที่จะคิดไม่ได้ว่ายังคิดว่าจะชนะเจี้ยนหลิงได้อีกหรือ
หยางฟงฉีทะยานขึ้นด้านบนจ่อคมกระบี่ตวัดเข้าหา อยู่ๆ เจี้ยนหลิงก็ปล่อยกระบี่หลุดทรุดกายลงคุกเข่ายอมให้คมกระบี่จ่อที่คอหอยพอดี
ขันทีรีบขานโดยเร็ว
“ไท่จือเป็นฝ่ายชนะ”กลัวว่าเจี้ยนหลิงจะเปลี่ยนใจคนไม่รู้ก็ไม่มีทางมองออกทว่าเพ่ยตงรู้ดีว่าเจี้ยนหลิงแค่ยอมอ่อนข้อให้ เหมือนดังหงส์ในลายปักไม่มีผิด หยางฟงฉีเหลือบตามองเจี้ยนหลิงด้วยความรู้สึกประหลาดใจเพียงแค่นางไม่ปล่อยกระบี่หากจะรับมือเขามีหรือจะทำไม่ได้ เพียงแต่นางแสร้งทิ้งกระบี่ในมือเสียหลินเจี้ยนหลิงคนนี้ ทำเอาเขาแปลกใจไม่น้อย
“การประลองจบสิ้นลงแล้วการแต่งตั้งไท่จือเฟยจะมีขึ้นอีกในสองวัน”ขันทีรีบขานขึ้นดังๆ หลินเจี้ยนหลิงโยนกระบี่ในมือให้กับเพ่ยตง ก้าวขาย่อกายลงเบื้องหน้าฮ่องเต้ ไท่จือที่จ้องมองท่าทีองอาจของเจี้ยนหลิงคิดไม่ถึงว่า หญิงงามอย่างเจี้ยนหลิงที่เขาประเมินนางไว้เพียงแค่ไม้ประดับ แต่บัดนี้กับต้องคิดเสียใหม่
หลินเสี่ยวหลินเหลือบตามอง ไท่จือด้วยท่าทีอ่อนหวาน รอยยิ้มหวานหยดถูกส่งไปยังหยางฟงฉีไท่จือ ที่ก้าวเดินมาหยุดตรงหน้าของเสี่ยวหลิน
“ข้าเลือกเจ้า”แววตาปีติบังเกิดขึ้นในดวงตาของเสี่ยวหลินในทันที เสียงราษฎรต่างอื้ออึงด้วย ทั้งสองช่างหล่อเหลาและงดงามสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
“ช่างเป็นคู่สวรรค์สร้างเสียจริง นางอ่อนหวานน่าเอ็นดูต่างจากหลินเจี้ยนหลิงคนนั้น ที่นางช่างร้ายกาจ ในสายตาพวกเรา”เสียงพูดนี้มีหรือเจี้ยนหลิงจะไม่ได้ยิน ในเมื่อเจี้ยนหลิงสร้างผลงานไว้มากมาย ที่ทำให้ผู้คนเกลียดชัง หากเป็นที่ตระกูลหลิน เจี้ยนหลิงคงสั่งตบปากคนพูดไปแล้ว แต่นี่แค่เพียงเดินหนีเสีย
การประลองครั้งนี้ เจี้ยนหลิงชนะสองในสามทั้งงานฝีมือและการประลองปัญญาในแบบที่ไม่ใช้กลโกง บิดากับเพ่ยตงรู้ดีแก่ใจว่าเจี้ยนหลิงมักใช้เล่ห์เหลี่ยมและกลโกง ในทุกครั้งที่บิดาออกรบและทำให้ ใต้เท้าหลินรบชนะทุกครั้งไป
เจี้ยนหลิง ก้าวขาออกจากวังหลวงแทบจะทันทีเมื่อการประลองเสร็จสิ้นลง
“คุณหนูเช่นไรท่านจึงยอมอ่อนข้อให้กับไท่จือเห็นได้ชัดว่าท่านรับมือเขาได้สบาย”
“เจ้าคิดหรือว่าหากข้าชนะแล้วจะได้เป็นไท่จือเฟย มีใครบ้างจะชอบใจหากไท่จือเฟยจะเก่งกว่าไท่จือที่มีโอกาสนั่งบนบัลลังก์มังกรนั่น”เพ่ยตงพยักหน้ายิ้มๆ
“แต่ถึงกระนั้นคุณหนูก็ยังชนะการประลองอยู่ดี การแต่งตั้งไท่จือเฟยจะเริ่มขึ้นในอีกสองวัน วันนี้เราแวะที่ร้านผ้าเลือกผ้าตัดชุดจะดีไหม”
“ต้องรีบส่งข่าวให้กับท่านแม่เสียก่อน เรื่องเหล่านี้เป็นท่านแม่ที่จะจัดการ”เพ่ยตง ก้าวขาตามไปติดๆ ไม่มีสักครั้งที่เขาจะลังเลในการก้าวตามเจี้ยนหลิง
ตระกูลหลิน
“คุณหนูใหญ่ยินดีด้วย คุณหนูใหญ่ยินดีด้วย คุณหนูใหญ่ยินดีด้วย คุณหนูใหญ่ยินดีด้วย”
เหล่าสาวใช้ในบ้านหลินต่างแสดงความยินดีเมื่อเจี้ยนหลินก้าวขาเข้าไปในบ้าน
“คุณหนูใหญ่ยินดีด้วย”ฮูหยินรองหลินลี่หลินกล่าว เป็นคนสุดท้ายเจี้ยนหลินตรงเข้าจับมือแม่รองไว้แน่น
“ขอบคุณท่านแม่ ข้าความจริงไม่อยากจะแย่งชิงแต่ครั้งนี้ พยายามจะทำดีที่สุดแล้วเพื่อน้อง ขอร้องฝ่าบาทไม่ต้องให้ เสี่ยวหลิวประลองกำลัง”
“ขอบคุณคุณหนูใหญ่”เจี้ยนหลิงยิ้มบางๆ
ห้องของ เสี่ยวหลิน
“ทำดีได้เพียงเท่านี้ เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิ่งใดเหนือกว่าเจี้ยนหลิง”
“ท่านแม่ข้าพยายามแล้ว”
“เดิมข้าคิดว่าให้เจ้าอ่อนหวานงดงามจึงเป็นที่น่าเอ็นดู แต่มาวันนี้ถึงได้รู้ว่า เคี่ยวเข็ญเจ้าอย่างที่หลินซูหลานเคี่ยวเข็ญเจี้ยนหลินจึงดีอย่างน้อยนางก็ไม่ทำให้มารดาขายหน้า”
“ท่านแม่ไท่จือบอกข้าว่า ไท่จือเลือกข้าแล้ว”หลินลี่หลิน ยิ้มมุมปาก
สองวันผ่านไป
อาภรณ์ชุดนี้เหมาะสมกับตำแหน่งไท่จือ้ฟย เกี้ยวรออยู่แล้ว ข้ากับบิดาเจ้าและฮูหยินรองจะตามไปติดๆ เจ้ากับเสี่ยวหลินไปเสียพร้อมกันบนเกี้ยวคันเดียวกัน” หลินซูหลานเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่ได้แสดงวามตื่นเต้นดีใจอะไร เจี้ยนหลินผิดหวังเล็กน้อย หมายใจว่าจะได้ยินคำเยินยอจากมารดา แต่ไม่มีแม้แต่คำเดียว
เจี้ยนหลินก้าวขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวสีแดง เสี่ยวหลินก้าวตามมาติดๆ ใบหน้างดงามอ่อนหวานของเสี่ยวหลิน ทำเอาเจี้ยนหลินอดที่จะเอ่ยปากชมเสียไม่ได้
“วันนี้เจ้างดงามที่สุด”น้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณพี่สาวท่านเองก็สง่างามยิ่งนัก”ยิ้มอ่อนหวาน น้องสาวคนนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็น่าทะนุถนอมอีกทั้งคำพูดคำจาที่ออดอ้อน เจี้ยนหลิงมักจะยอมใจอ่อน แต่ทำไมเพ่ยตงกับไม่ชอบท่าทีของเสี่ยวหลิน เจี้ยนหลิงไม่เข้าใจจนป่านนี้
วังหลวง
ผู้คนเดินขวักไขว่ร่วมพิธีแต่งตั้งไท่จือเฟย อาภรณ์ใหม่ถูกหยิบออกมาสวมใส่ สีสันสดใสงดงามแทบทุกผู้คน ต่างคนต่างทยอยเดินเข้าไปจากประตูวังหลวงที่สูงตระหง่าน เจี้ยนหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับรู้สึกตื่นเต้นทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้แล้วว่าจะทำท่าทีนิ่งเฉยไม่แสดงสีหน้า
บรรยากาศโดยรอบ รื่นเริงเสียงขับกล่อมจากพิณและเครื่องสายเช่นกูเจิ้งและขิม ดังไพเราะเพราะพริ้ง เปิดหน้าต่างออกไปชื่นชมเสียงผู้คนต่างแซ่ซ้องว่าไท่จือเฟยมาถึงแล้วเสี่ยวหลินโบกมือเจี้ยนหลิงได้เพียงแต่ยิ้มบางๆ ให้กับราษฎรสองข้างทางที่เข้ามาร่วมงาน เกี้ยวของ เจี้ยนหลิงและเสี่ยวหลินถูกหามผ่านประตูวังชั้นในเข้าไป นอกนั้นให้หยุดเกี้ยวไว้หน้าประตูวังแล้วเดินเข้าไปรวมทั้งเกี้ยวของ ใต้เท้าหลินและฮูหยินทั้งสอง
ไท่จือยืนรีรออยู่ด้านหน้าลานกว้าง อาภรณ์สีแดงสด ขันทีข้างกายและนางกำนัลนับสิบ เบื้องบนเป็นที่ประทับของหยางฟงหยางฮ่องเต้ที่มองลงมายังเกี้ยวที่จอด นางกำนัล เดินเยื้องย่างมาที่เกี้ยวนำหน้าหยางฟงฉี นางกำนัลสองคนส่งมือรับเอา เจี้ยนหลิงและเสี่ยวหลินลงจากเกี้ยว ผ้าคลุมหน้าถูกดึงลงมาปิดบังใบหน้า กิ่งทับทิมที่ติดอยู่ที่มวยผมกับเกี่ยวผ้าคลุมไว้ไม่อาจดึงมาปิดบังใบหน้าได้นางกำนัลจึงจัดแจงให้เสียใหม่ เจี้ยนหลิงก้าวขาลงมา ช้ากว่าเสี่ยวหลิน สิ่งที่เห็นผ่านผ้าคลุมสีแดงบางเบาคือ เสี่ยวหลินที่วางมือของตัวเองลงบนมือของหยางฟงฉีไท่จือ พากันก้าวเดินไปข้างหน้าเคียงคู่กันไม่สนใจ เจี้ยนหลิงแม้แต่น้อย
“แม่นางเจี้ยนมากับข้า”ขันทีจับมือเจี้ยนหลิงที่เย็นจนชื้น พาเดินไปส่งให้กับใต้เท้าหลินที่ส่งสายตาเย็นชาเคียงข้างหลินซูหลานฮูหยินที่มีสีหน้า ผิดหวังอย่างที่สุดสายตาที่เจี้ยนหลิงไม่อยากเห็นมัน
หยางฟงฉีกับหลินเสี่ยวหลิน จับมือกันโค้งคำนับ ฮ่องเต้ที่บัลลังก์สูง เจี้ยนหลิงหูอื้อตาลาย แต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงขันทีอาวุโสตะโกนดังๆ
“เริ่มพิธีแต่งตั้งไท่จือเฟยณ.บัดนี้”
เรื่องราวต่อจากนี้ จะสนุกเข้มข้นแค่ไหนอยู่ที่จำนวนผู้ชมการคลิกหัวใจ การแชร์บอกต่อ และการกดติดตามไรท์
ที่นี่ที่เดียว
ขอได้รับคำขอบคุณจันทร์ส่องแสง