อมร ดูแปลกในสายตาของหลายๆคน ภายในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ อาจเพราะเธอชอบอยู่คนเดียวไม่ว่าตอนทำงานหรือแม้แต่ตอนประชุม เธอก็มักจะนั่งเงียบอยู่เพียงจุดใดจุดหนึ่งเพียงลำพังเท่านั้น ไม่ยอมพูดคุยกับใคร เว้นแต่จะมีใครพุ่งประเด็นคำถามมายังเธอ ในบางเวลามักมีคนได้ยินเธอพูดคุยกับใครบางคน ที่โต๊ะทำงาน แต่กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นกับเธอสักคน จนทำให้ผู้คนคิดว่าเธอเสียสติ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งของการทำงาน อมรเข้ามาสำนักงานแต่เช้าด้วยจังหวะฝีเท้าการเดินที่ว่องไวและใบหน้าจับจ้องลงไปยังสองข้างของเท้าที่สลับไปมาของตน หลายคนจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจมากกว่าปกติที่เคยเป็นมา แววตาแต่ละคู่บ่งบอกถึงความงุนงงปะปนไปด้วยความสนใจ เมื่อพบว่า อมรได้กอดบางสิ่งแนบกายเธอเข้ามาด้วย
“เด็กหรือป่าวนั่น?”
สิ่งที่อยู่ระหว่างแขนซ้ายของเธอ ทำให้หลายคนเกิดคำถาม ร่างของเด็กสาวขนาบติดแนบลำตัวและแขนของอมร หากให้คาดเดาอายุเด็กนั้นคงจะราวๆสี่ขวบ ผมสีดำสนิทตัดกับผิวขาวที่เรียบเนียนไปทั้งร่าง แต่ทว่าต้นแขนจ้ำม่ำท่อนนั้นกลับไม่ไหวติง ราวกับสิ่งๆนั้นไม่มีชีวิต
“ตุ๊กตาเทพ” ที่เชื่อกันว่าได้อัญเชิญดวงวิญญาณเทพประจำวันเกิดนั้นๆ มาสถิตไว้ในร่างของตุ๊กตา โดยจะนำพาโชคลาภ วาสนามาให้แก่ผู้ที่ครอบครอง หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ผู้ดูแล
นับตั้งแต่ที่อมรนำเอาตุ๊กตาเข้ามาในสำนักงานทุกวัน ได้เกิดเหตุการณ์ต่างๆนาๆกับเธอ ทั้งในด้านดี ไม่ว่าจะเป็นการได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้จัดการแผนกบัญชี ไหนจะรถป้ายแดงคันใหม่ที่เธอขับมาเมื่อวันก่อน และล่าสุด เธอได้รับเงินจำนวนมากนับล้านจากการถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง แต่ดูเหมือนเธอยังคงมีพฤติกรรมเดิมๆ ทั้งเก็บตัวอยู่ที่โต๊ะทำงาน ไม่ยอมพูดจากับใคร มีหลายๆครั้งที่เธอมักจะมอบหมายงานให้กับลูกน้องด้วยคำพูดสั้นๆราวกับถูกสั่งด้วยระบบคอมพิวเตอร์ แถมยังไม่เคยมีใครเคยเห็นเพื่อนหรือญาติสนิทของเธอเลยแม้แต่คนเดียว หลังจากนั้นเป็นเวลาร่วมเดือนที่ ทุกคนได้ปักใจเชื่อว่าสิ่งที่อมรได้รับทั้งหมด เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิของเทพที่สิงสถิตอยู่ในร่างของตุ๊กตาเด็กสาว แต่ถึงอย่างนั้นยังไม่มีใครกล้าที่จะคบหากับอมร และเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงจุดที่สมควร ทุกความสุขย่อมมีความทุกข์คอยตามติดเสมอ เพียงแต่เมื่อใดความทุกข์นั้นจะมาถึง
“คิดจะเอาเขามาครอบครอง ก็ต้องดูแลเขาให้ดี มิฉะนั้น จะเป็นคนที่ถูกครอบครองซะเอง”
“อมรน่ะ เล่นคุณไสยเลยไม่มีใครอยากเข้าใกล้สักคน ฉันยังไม่กล้ามองหน้าเลย”
“บางทีก็คุยคนเดียว เหมือนคนบ้าเลย”
“ถ้ามันโกรธแล้วเสกควายธนูเข้าท้อง จะทำยังไงล่ะ”
“ฉันคนหนึ่งล่ะ จะไม่ขอยุ่งด้วย”
หลากหลายคำพูดที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทได้บั่นทอนจิตใจเธอทีละนิดทีละน้อย. จากที่เคยมาทำงานแต่ไก่โห่ เธอกลับขาดสายเป็นประจำ. แท่นพนักงานดีเด่นและตำแหน่งหัวหน้าแผนกของเธอจึงถูกสับเปลี่ยนให้กับพนักงานมากประสบการณ์คนใหม่. “ชวนชม”
หลังจากนั้น เป็นเวลากว่าสองเดือนที่อมรลาพักร้อนนับตั้งแต่เธอถูกลดตำแหน่ง ผู้คนลือกันต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าเธอเสียสติไปจากการที่ไม่ยอมดูแลตุ๊กตาเทพให้ดีพอ จึงส่งผลร้ายให้กับตัว บ้างว่าเธอไปเพิ่มคุณไสยให้กับตัวเองหลังจากการสูญเสียตำแหน่งงานไป. และที่เข้าใจตรงกันมากที่สุด ดูเหมือนทุกคนคิดว่าเธอไปรักษาตัวที่คลินิกจิตเวทแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านตนเอง จนกระทั่งการกลับมาของเธอในครั้งนี้ทำให้ใครหลายๆคนตกใจ เมื่อหญิงสาววัยกลางคนย่างเท้าเดินด้วยขาแขนที่แห้งแกร็นและสั่นเทาในอ้อมกอดคู่นั้นยังคงมีตุ๊กตาเด็กสาวขนาบมาด้วยดั่งเช่นที่เคยเป็น
“ดูยัยอมรสิ.ผอมแห้ง ตัวสั่น แถมยังตาโปนอย่างกับผี น่ากลัวจริงๆ”
“นี่เพิ่งออกมาจากโรงบาลหรือป่าวเนี่ยะ”
“ฉันว่าเพิ่งออกมาจากสำนักหมอมากกว่า”
เสียงกระซิบกระซาบที่ดังมาจากโต๊ะทำงานเหล่านั้น ไม่ทำให้อมรรู้สึกแย่เท่ากับการที่เธอต้องเดินผ่านหญิงสาววัยกลางคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการจัดวางแฟ้มเอกสารเข้าตู้อย่างเป็นระเบียบ โดยมีที่ทับกระดาษท่อนยาวถูกสลักชื่อพร้อมตำแหน่งด้วยตัวอักษรสีน้ำเงินใหญ่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้างของหล่อน
นางชวนชม สมฤดี (หัวหน้าแผนกบัญชี)
โต๊ะที่เธอเคยนั่งทำงานในเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่เดือนเป็นที่ๆเธอรู้สึกดีที่สุดเมื่อได้นั่งอยู่ตรงนั้น รวมไปถึงการเฝ้ามองตุ๊กตาบนโต๊ะของเธอในเวลาที่รู้สึกเหงา มันคือสิ่งที่อมรคุ้นชิน แต่เวลานี้เธอจำต้องก้าวเท้าเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานูแคบๆที่อยู่ด้านในสุดของแผนกบัญชี และห่างจากประตูห้องน้ำเพียงไม่กี่ฟุต เสียงใสที่ดังมาจากด้านหลังของอมรทำให้เธอต้องหยุดหันกลับไปมอง
“คุณอมร” เสียงของหญิงร่างสูงโปร่ง ปลายกระโปรงยาวของหล่อนพลิ้วไหวไปมา ส้นสูงแหลมสีแดงคู่นั้นบ่งบอกถึงความมั่นใจและเด็ดขาด หล่อนก้าวเท้าตรงมายังอมรพร้อมฉีกยิ้มให้เห็นซีกฟันด้านหน้าอย่างชัดเจน “ได้ข่าวว่าคุณเพิ่งกลับมาจากพักร้อน ฉันเลยอยากจะมาแนะนำตัว.....ดิฉันชวนชมค่ะ” ด้วยความรู้สึกราวกลับว่าถูกเย้ยหยันจากที่ชวนชมได้เข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานของเธอ อมรจึงเลือกที่จะไม่สบตาและหันหลังเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของเธอ ทิ้งให้ชวนชมยืนเก้กังอยู่ตรงทางเดิน แรงแค้นของอมรทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยามที่เธอมองไปยังโต๊ะทำงานที่ตอนนี้กลายเป็นของชวนชมไปแล้ว แม้ว่าชวนชมจะพยายามตีสนิทกับอมรแต่ดูราวกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ อมรยังคงไม่ยอมสุงสิงกับใครและดูเหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง ช่วงพักกลางวันของวันทำงาน ที่สำนักงานปราศจากคนมีเพียงเสียงสัญญาณแฟ็กดังสลับกับเสียงอากาศที่ถูกพ่นออกมาจากแอร์ตัวเก่า อมรวิ่งกุลีกุจอไปยังโต๊ะทำงานของตน เมื่อนึกได้ว่าเธอลืมตุ๊กตาเทพอันเป็นที่รักของเธอ แต่เมื่อมาถึง สายตากวาดไปรอบโต๊ะ ข้างแจกันสีเงินที่เคยวางตุ๊กตาไว้ เหลือเพียงความว่างเปล่า เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นที่แผ่ทั่วทั้งหลัง เสียงแอร์และเสียงแฟ็กส์ที่เคยดังถูกแทนที่ด้วยเสียงหอบแฮ่กของอมร เงาของใครบางคนคลืบคลานมาด้านหลังของเธออย่างช้าๆ ไม่ทันที่เธอจะได้หันกลับไปมอง มือคู่นั้นเอื้อมมาด้านหน้าของเธอพร้อมผ้าผืนหนึ่งที่มีกลิ่นฉุน ประกบเข้าที่จมูกและปากของอมรอย่างรวดเร็วก่อนที่ภาพทุกอย่างจะเลือนหายไปในความมืดมิด