บทนำ
ดวงตาสีน้ำตาลขยับมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ข้าวต้มคำเล็กถูกยัดเข้าเรียวปากอย่างต่อเนื่อง วันนี้คนตัวเล็กตั้งใจจะไปพบคนคนหนึ่งซึ่งมีผลต่อจิตใจมากพอสมควร อยากจะยื่นโอกาสแสนพิเศษให้คนนั้นอีกครั้ง ทั้งที่เขาคนนั้นทำให้เจ็บช้ำน้ำใจหล่อนยังใจดีได้ถึงขนาดนี้
แต่ใช่ว่าโอกาสจะมีเข้ามาบ่อยๆ เพราะครั้งนี้สาวน้อยเอาจริง
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันนี้วันที่ต้องท้องแต่พ่อของลูกไม่ยอมรับ หากบากหน้าเปล่าประกาศความสัมพันธ์ถึงบ้านแฟนหนุ่มเกรงว่าเรื่องราวจะใหญ่โต ตอนนี้จะลองจัดการเองก่อน
หากถึงที่สุดแล้วชายคนนั้นยังไม่ต้องการเราอีก คงต้องยอมแพ้แล้วจริงๆ
ได้แต่ภาวนาให้โชคเข้าข้างผู้หญิงคนนี้หน่อย ใครบ้างเล่าอยากจะอุ้มท้องไม่มีสามี พอลูกคลอดออกมาก็ถูกสังคมตราหน้าว่าลูกไม่มีพ่อ ขนาดหล่อนยังมีพ่อแม่เลยแล้วไฉนลูกต้องเป็นเด็กกำพร้าด้วยเล่า จวบจนไกลเวลารถโดยสารผ่านหน้าปากซอย
ร่างเล็กเตรียมสวมรองเท้ารัดส้นสีครีมสวมชุดกระโปรงยาวคลุ่มเขาสีชมพูสะพายกระเป๋าผ้าพร้อมร่มกันแดด ออกเท้าเดินไปถึงป้ายรถประจำทางได้ทันเวลาพอดี คนท้องอ่อนนั่งมองข้างทางไปเรื่อยจนต้องต่อรถอีกคันไปยังสุดหมายปลายทาง
สองเท้าเล็กทว่ามั่นคงหยุดมองตึกสูงระฟ้าใบหน้าทายาทเจ้าของตึกก็ลอยเข้ามาให้คิดถึง
“วันนี้แม่จะพาหนูไปหาพ่อนะตัวเล็ก ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหนแม่จะไม่ทิ้งหนู หนูคือของขวัญล้ำค่านะคะ” เมื่อเรียกกำลังใจให้ตนเองกับคนในท้องแล้ว ร่างเล็กเดินอย่างมั่นใจไปยังลิฟต์โดยสาร
พอถึงชั้นที่ต้องการประตูสองข้างเปิดพร้อมกัน ดวงตากลมกวาดมองเส้นทางเตรียมเดินออกแต่ต้องชะงักงันเพราะภาพเบื้องหน้า คนที่ทอดทิ้งเราสองคนมาหลายวันกำลังประคองผู้หญิงตัวเล็กในชุดทะมัดทะแมง
“พี่เก้า” น้ำเสียงเสียใจปนคิดถึงเอ่ยแผ่วเบา เจ้าของชื่อมองหญิงข้างกายสลับแฟนสาว นพเก้าหันไปบอกคนในอ้อมแขนให้เดินออกไป จีรนันท์เดินออกมายืนประจันหน้าเจ้าของตึกและมองตามหลังผู้หญิงคนนั้น
“มันเป็นใครทำไมพี่ต้องประคองมันด้วย”
“พูดจาอะไรก็รู้จักให้เกียรติสถานที่ด้วย ใครได้ยินจะหาว่าไม่มีใครสั่งสอนมารยาท” เขาตำหนิเสียงเข้มไม่ชอบเลยที่ทำทีเป็นเจ้าของ ชายรักอิสระยืนล้วงกระเป๋าหันหลังเกินกลับเข้าห้องทำงานที่เพิ่งจากมา
“เดี๋ยวก่อนค่ะรอนุ่นด้วย” แม้จะเสียใจที่ถูกต่อว่าแต่คนตัวเล็กก็หาได้สนใจเรื่องหยุมหยิมมากกว่าประเด็นหลักที่ตั้งใจมาหา
“ตามมาทำไมนุ่น ไหนบอกจะไปให้ไกลจากพี่ไงล่ะ สุดท้ายตายรังเดิม” น้ำเสียงผสมแววตาเยาะเย้ยเป็นเสมือนแรงขับชั้นดีให้หยดน้ำตากลิ้งตกลงพื้นพรม หลังมือบางปาดน้ำตาเองด้วยความรวดเร็วไม่อยากให้ใครว่าอีกแล้ว หล่อนเรียนไม่เก่งก็จริงแต่ทำไมจะไม่รู้ว่าแววตาท่าทางคนเบื้องหน้าหมายความว่าอย่างไร
“หนูจะให้โอกาสพี่อีกครั้ง” คนสวยกลั้นใจหลับตาพูด
“ไหนว่าจะไม่เรียกร้องไงหละ แล้วกลับมาอีกทำไม” น้ำเสียงกดต่ำปรายหางตามองคู่สนทนาเพียงชั่ววินาทีก่อนจะกลับไปสนใจงานในมือ ยิ่งทำให้ร่างน้อยข่มอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดวันนี้ไปให้ลึกสุดหัวใจ
“หนูกำลังให้โอกาสพี่ได้ทำหน้าที่พ่อที่ดีอยู่นะ”
“พูดง่ายไปไหม” ดวงตาแข็งขึงประกอบกับท่าทางคุกคามของชายร่างโตทำให้เท้าเล็กขยับถอยหลังโดยอัตโนมัติ
“แต่ตอนนี้หนูไม่ได้ตัวคนเดียวในท้องกำลังมีลูกพี่อยู่นะ” นิ้วเรียวชี้หน้าท้องตัวเองที่นูนเล็กน้อยเสมือนคนกินอิ่ม ดวงตาแดงก่ำกลั้นน้ำตาไม่ยอมให้ไหลมาประจานความอ่อนแอต่อคนเบื้องหน้า
“อยากปล่อยให้มันเกิดนักก็เลี้ยงเองไปสิ” น้ำตาเม็ดเป้งของคนโง่หยดแหมะลงปลายร้องเท้ารัดส้นสีครีม “ชอบไม่ใช่หรือเด็กน่ะเลี้ยงไปเลย ฉันไม่ใจดีจะรับมารหัวขนมาเลี้ยงให้เป็นภาระหรอก”
“ลูกต้องการพ่อนะคะ”
“เธอตลกชะมัด ฉันไม่มีความเป็นพ่อเป็นลูกให้กับใครหรอก” เขาพูดออกมาเสียงดังฟังชัดยืนยันเจตนาที่แน่วแน่ จีรนันท์เงยหน้ามองใบหน้าคนที่รักด้วยแววตาตัดพ้อ มือทั้งสองข้างประคองหน้าท้องนูนเมื่อว่าที่คุณแม่รับรู้การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตในท้อง
“หนูไม่มีใครคุณก็รู้ คุณจะทิ้งเราได้ลงคอหรอคะ”
“อย่ามาโกหกฉันเลยสาวน้อยเธอน่าจะรู้ตัวเองว่าโกหกไม่เก่ง ฉันมีงานต้องทำต่อเสียด้วยสิ” นพเก้าก้มมองนาฬิกาข้อมือ
“นุ่นคงเป็นเพียงผู้หญิงโง่ๆในสายตาคุณเก้า”
“รู้ตัวเสียทีนะ” นิ้วเรียวยาวตามแบบฉบับคนไม่เคยทำงานหนักชี้ไปยังประตูและเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่มีท่าทีจะออกไป นพเก้าอดรนทนไม่ไหวถอนหายใจมาพรืดใหญ่กระชากแขนเรียวเล็กหมายจะลากออกไปนอนห้องทำงาน
“พี่จะทำแบบนี้กับลูกแม่ไม่ได้นะ”
“ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องไปนานแล้ว ในเมื่อเธอดึงดันฉันก็ต้องใจร้ายเป็นธรรมดา” อุ้งมือหนากอบกำขอมือเล็กแน่น แต่คนรู้ทันใช้มืออีกข้างที่ว่างเกาะขอบโต๊ะทำงานสายหน้าไม่ยอมท่าเดียว
“นี่คือสิ่งที่พี่ตอบแทนนุ่นหรอ นุ่นนั่งรถมาไกลเพื่อมาหาพี่ข้าวเช้าก็กินไปนิดเดียวเพราะกลัวไม่ทันรถ ในขณะที่นุ่นเกาะชักโครกอ้วกพี่ทำอะไรอยู่ทำไมไม่อยู่ข้างกันคอยให้กำลังใจ เอาแต่สนใจชื่อเสียหน้าตาทางสังคมที่ไม่ถาวร นุ่นกับลูกอยู่กันยังไงพี่เคยสนใจบ้างไหมเอาแต่สนใจตัวเอง เห็นแก่ตัวที่สุด”