ผ้าขาวม้าของพ่อ
ดวงตากลมโตงดงามที่เคยสดใสในวันวานมองกวาดไปทั่วทุ่งดอกดาวเรืองที่เหลืองอร่ามงามตา และ ทิวแถวของต้นมะลิที่ออกดอกขาวสะพรั่งเต็มต้นในบรรยากาศยามเช้าตรู่เช่นนี้ ทำให้มีน้ำค้างพร่างพราวและผืนหญ้าชุ่มฉ่ำด้วยหยาดน้ำค้างเช่นกัน เสียงนกเล็กๆร้องเซ็งเซ่และพากันโผบินออกจากรวงรังเพื่อหากินในเช้าวันใหม่แม้จะยังไม่สว่างดีนัก แต่แสงตะวันที่ฉาบทาอยู่ริมขอบฟ้าก็เริ่มมีลำแสงสีส้มทองแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
“แม่ครับ แม่ออกมาตากน้ำค้างทำไม” เสียงห้าวแหบเพิ่งแตกพานเนื้อหนุ่มของเด็กหนุ่ม นามว่า
เรือง
ดังขึ้น ขณะถือตะกร้าที่บรรจุดอกดาวเรืองดอกใหญ่เต็มตะกร้า พร้อมกับดอกมะลิซึ่งกำลังตูมเต่งงดงามกำลังพอดีกับการร้อยมาลัยวางลงตรงหน้ามารดาของตน และประคองร่างที่เริ่มชราของนางให้นั่งลงหน้าบ้านหลังน้อยที่ตนและมารดาอาศัยอยู่มาเกือบสิบปีท่ามกลางสวยดอกดาวเรืองและมะลิราวห้าไร่
“แม่แค่อยากเห็นแสงตะวัยยามเช้าแค่นั้นเองลูกรัก” นางกล่าวกับบุตรชายซึ่งกำลังอยู่ในวัยเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม ปีนี้ เรืองก็อายุสิบห้าปีแล้วสินะ ดาวเรือง ผู้เป็นมารดามองใบหน้าบุตรชายที่ถอดแบบจากผู้เป็นตานิ่ง
เรือง นั้น มีดวงหน้าที่คมคายเช่นชายไทยทั่วไป และนับว่าหล่อเหลาเอาการหากโตเป็นหนุ่มเต็มตัว และยิ่งแววตาอ่อนโยนแฝงด้วยความเข้มดุ เหมือนดวงตาของผู้เป็นตาไม่มีผิดนั้น ยิ่งทำให้ดาวเรืองนึกถึงบิดาที่จากไปเมื่อห้าปีก่อนขึ้นมาครามครันร่างกายผอมบางที่เริ่มล่วงสู่วัยชราสั่นเทาขึ้นมาเมื่อระลึกนึกถึงผู้เป็นบิดา
“แม่คงหนาว” เด็กหนุ่มพูดพลางเอาผ้าขาวม้าผืนเก่าและสีซีดจางนั้นคลุมกายของมารดาอย่างอ่อนโยน ดาวเรืองมองผ้าที่คลุมกายตนด้วยดวงตาที่รื้นด้วยหยาดน้ำใสๆคลอหน่วย แล้วภาพเก่าๆครั้งที่เธอเลิกกับสามีแล้วกลับมาอาศัยอยู่ในบ้านน้อยหลังนี้ก็ฉายชัดอยู่ตรงหน้าราวกับว่าเรื่องราวต่างๆมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ดาวเรืองสาวน้อยวัยใสที่โชคดีที่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมีชื่อของรัฐแห่งหนึ่ง โลกของเธอสดใสและสวยงาม และ
พ่อ
ภูมิใจในตัวเธอมาก และเธอก็ไม่เคยทำให้ท่านหนักใจหรือเสียใจ เธอร่ำเรียนด้วยความตั้งใจและขยันขันแข็ง และ
พ่อ
ก็ทุ่มเทความรักทั้งหมดมาที่เธอด้วยว่าเพื่อเป็นการทดแทนความรักของมารดาที่ขาดหายเนื่องด้วยมารดานั้นเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเล็ก
อยากจะได้อะไรเธอต้องได้ ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียวและมีผลการเรียนที่ดี ชีวิตเธอโรยด้วยกลีบกุหลาบ งดงามราวเจ้าหญิง และเธอก็เริ่มเรียกร้องสิ่งต่างๆจาก
พ่อ
มากขึ้นๆ โดยทุกๆครั้งเธอไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เธอเรียกร้องจะเอาจากผู้เป็น
พ่อ
นั้นบางครั้งมันก็เกินความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่เอี่ยมที่ออกมาเธอจะต้องเป็นคนแรกที่ได้ใช้ กระเป๋ารองเท้าเสื้อผ้าแบรนด์เนมหรูหราเธอจะต้องได้มีไว้ก่อนใครและเป็นคนแรกที่จะได้ใช้มันเพื่ออวดเพื่อนนักศึกษา สวย เรียนเก่ง โก้หรูดูดี นั่นคือเธอ ในวัยที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
ทุกอย่างที่เสกสรรเป็นเธอนั้นดูเพียบพร้อมแต่ใครจะรู้ว่าในระยะช่วงหลังๆมานี้
พ่อ
ของเธอต้องแบกรับภาระหนี้สิน และภาวะขาดทุนจากการการขายผลผลิตทางเกษตรกรรมเพียงใด เงินทุกบาทที่เธอได้ใช้คือหนี้สินที่
พ่อ
ต้องกู้ยืม และสุดท้ายเมื่อมันมากเข้า เฒ่าวัยห้าสิบย่างหกสิบที่กรำงานหนักมาตลอดชีวิตก็จำต้องเอาที่นานับสิบๆไร่จำนองกับเถ้าแก่เจ้าของโรงสีที่รับซื้อ และสุดท้ายที่ผืนนั้นก็ต้องหลุดลอยไปด้วยดอกเบี้ยมหาโหดท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ แต่ราคาผลผลิตจากการเกษตรติดลบมหาศาล ยิ่งทำนานยิ่งจนลงๆๆทุกปีๆ
จนเมื่อถึงวันที่เธอเรียนจบ และได้ทำงานในบริษัทใหญ่โตและมีชื่อ สังคมที่ยิ่งก้าวยิ่งสูงยิ่งถลำไปกับมายา ทำให้เธอหลงลืม
พ่อ
ไปชั่วขณะ และเมื่อเธอได้พบกับ กวิน คนรักที่ตกลงปลงใจแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยที่
พ่อ
ของเธอรับรู้เพียงว่าเธอได้แต่งงานอยู่กินกับสามีลูกชายเจ้าของร้านขายวัสดุก่อสร้างแห่งหนึ่งในจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยเท่านั้นแล้วเธอก็หายไปจากชีวิตของ
พ่อ
ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
จนเมื่อสามปีผ่านไป เธอกลับมาหาบิดาพร้อมลูกชายวัยขวบเศษ พร้อมกับใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้าหมอง และผ่ายผอม ร่างกายที่เคยสวยสดงดงามผอมบางแทบจะปลิวลม ดวงตากลมโตสดใสแห้งผากไร้แววพราวกระจ่างเช่นวันวาน บิดาไม่ถามสักคำเมื่อเธอกลับมาพร้อมลูกน้อย บิดาไม่เพียงไม่ถาม แต่กลับยิ้มรับเธอด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับโอบกอดเธอและลูก ความอบอุ่นที่หางหายจากใจไปแสนนานแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจที่อ่อนล้าของเธอ เธอยังจำวันนั้นได้ดี
ด้วยความที่ยังไม่หายเศร้าโศกที่เธอถูกสามีไม่ใยดีและกลัดกลุ้มกับสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่กว่าเดิมเธอแทบทนไม่ได้ที่ต้องอยู่ในบ้านหลังน้อย และไร้ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างที่เคยมี อับอายชาวบ้านและเพื่อนฝูงที่รู้ข่าวของเธอ ทุกคนล้วนแล้วแต่มองเธอด้วยความสมเพชคำพูดทุกคำที่เธอได้ยินล้วนแล้วทำให้เธอ รู้สึกย่ำแย่ และ...เธอคิดฆ่าตัวตาย...
ในขณะที่เธอเดินผ่านเปลของลูกน้อยที่ทำด้วยผ้าขาวม้าของ
พ่อ
ผูกปมง่ายๆสองข้างและผูกโยงกับเสาเรือนลูกน้อยก็ช่างกระไร นอนหลับตาพริ้มอย่างแสนสุข มุมริมฝีปากเล็กๆนั้นยกยิ้มขึ้นน้อยๆราวกับฝันดีเสียนักหนา และ
พ่อ
ของเธอก็กำลังสาละวนอยู่กับการชงนมผงไว้ให้หลานชายตัวน้อย ดูใบหน้าของ
พ่อ
นั้นช่างเต็มไปด้วยความสุขมากมาย เธอมองดูภาพลูกชาย และ
พ่อ
เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปยังต้นทองกวาวหลังบ้าน ซึ่งตอนนี้กำลังออกดอกบานสะพรั่ง สีส้มแสดแผดกล้าท้าแดดยามบ่ายดูงดงาม ลำคลองเล็กๆที่ทอดทอคดเคี้ยว คือที่ที่เธอเคยวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ท้องทุ่งนาที่ว่างเปล่ายามหน้าแล้งแห่งนี้เธอก็เคยขี่คอ
พ่อ
เดินตามคันนาและร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน เธอมองท้องทุ่งเป็นครั้งสุดท้ายอย่างตัดใจ แล้วโยนผ้าขาวม้าที่ถือติดมือมาขึ้นไปบนกิ่งทองกวาวที่ทอดออกมาจากลำต้นพอที่เธอจะโยนผ้าขาวม้าของ
พ่อ
ไปถึง และสูงพอที่เธอจะสามารถทำอัตวินิบาตกรรม ดวงตากลมโตที่แห้งผากมองดูชายผ้าขาวม้าของ
พ่อ
ด้วยดวงใจที่เจ็บร้าว แล้วภาพเก่าๆในวันวานครั้งยังเด็กก็ฉายชัดเข้ามาทีละภาพ ทีละภาพ ทุกๆภาพคือ พ่อ จะยิ้มให้และเอื้อมมือมาลูบเรือนผมงามของเธอ และพูดว่า
ดาวเรืองของพ่อ ลูกยังมีพ่อเสมอ
น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายท่วมท้นดวงตางาม ร่างผอมบางทรุดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดังอย่างไม่อายฟ้าดิน ความละอายใจไหลบ่าเข้าสู่จิตใจที่แห้งโหย
“ดาวเรือง” เสียงเรียกแสนอบอุ่นอ่อนโยนดังขึ้น ทำให้เธอเงยหน้าจากเข่าที่ซุกซบอยู่ขึ้นมอง พ่อ ของเธออุ้มลูกน้อยที่กำลังส่งยิ้มอันเดียงสามาให้ผู้เป็นมารดา พร้อมด้วยมือน้อยไขว่คว้า และเสียง อ้อแอ้ๆๆ ตามประสาเด็ก เธอเช็ดน้ำตาและเดินเข้าหาอ้อมแขนที่กางออกรอรับ ของ
พ่อ
และกล่าวขอ อโหสิ ในสิ่งที่เธอได้ทำ และคิดจะทำ เธอก้มกราบเท้าที่แห้งแตกของ
พ่อ
อีกครั้ง และเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างเต็มภาคภูมิ
“พ่อจ๋า ลูกขอโทษ” .....นั่นคือคำพูดในวันนั้น และวันนี้ก็ผ่านมาแล้วสิบสี่ปี แต่ภาพรอยยิ้มที่แสนพิสุทธิ์ของ
พ่อ
ในวันนั้นมิเคยจางหายไปจากใจเอ ทุกถ้อยคำที่
พ่อ
พร่ำสอนสั่งทั้งเธอและลูกน้อย อีกครั้งค่อยๆหล่อหลอมดวงใจที่แตกร้าวของเธอให้ฟื้นคืนมาใหม่ ที่ผืนสุดท้าย ที่มีเพียงห้าไร่ ได้ถูกปลูกสร้างเป็นสวนดอกดาวเรือง และดอกมะลิเพื่อส่งขายให้กับร้านขายดอกไม้ อีกทั้งเธอและลูกชายก็ได้รับร้อยมาลัยขาย และส่งตามร้านดอกไม้ในตลาด หากจะมีใครสักคนถามเธอว่าตอนนี้ชีวิตของเธอมีความสุขเพียงใด เธอจะตอบทันทีว่า เธอมีความสุขมาก ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อทำงานเป็นลูกจ้างผู้อื่น ไม่ต้องคอยนั่งคอยใครกลับบ้านครึ่งค่อนคืนเพื่อจะรอรับฟังถ้อยคำหยามหมิ่น ไม่ต้องหลงระเริงฟุ้งเฟ้อกับโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน ทุกวัน ไม่ต้องคอยห่วงว่าใครจะนินทา หรือพูดลับหลังในสิ่งที่ไม่จริง ชีวิตเธอสมบูรณ์ที่สุดแล้วในตอนนี้ เธอมีบ้าน มีที่ทำกิน และมีลูกชายที่น่ารักและขยันขันแข็ง อีกทั้งการเรียนก็อยู่ในระดับดีมาก และเหนือสิ่งอื่นใด เธอมี
ผ้าขาวม้าของพ่อ
ที่ห่อหุ้มกายใจให้กล้าแกร่ง และอบอุ่นเสมอ.........
“แม่ครับเข้าบ้านเถอะแดดแรงแล้วครับ” เสียงแหบห้าวของ เรืองทำให้ ดาวเรืองตื่นจากภวังค์ความคิดในอดีต เธอส่งรอยยิ้มบางๆให้ลูกชายแล้วลุกขึ้นจากม้านั่งหน้าบ้านและเดินตามแรงจับจูงของลูกชายไปที่ห้องครัวที่หนุ่มน้อยทำอาหารไว้รอผู้เป็นมารดาเสร็จสรรพ...
หากเธอจะหันกลับมามองข้างหลังสักนิดในตอนนี้ เธอจะพบว่ามีชายชราคนหนึ่งสวมเพียงกางเกงแพรเก่าคาดเอวด้วยผ้าขาวม้าผืนเก่าคร่ำคร่า มองมาที่เธอและลูกชายด้วยรอยยิ้มที่แสนพิสุทธิ์.....ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆจางหายไปกับสายลมที่กรูมากราวใหญ่พร้อมกับใบไม้แห้งที่ลอยลิ่วสู่ท้องนภา........
ทองกวาว เจ้างามพร้อม.......แม้กลิ่นหอม จักบ่มี
ทองกวาว เจ้างามดี.....แสดสดสี เจ้างามตา
ทองกวาว เจ้าบานแย้ม......แม้เร้นแสง ตะวันลา
ทองกวาว จักกลับมา ........แนบกายา ณ ผืนดิน