ผมสีน้ำตาลมะฮอกกานีกับนัยน์ตาสีอําพันที่สะท้อนบนพื้นผิวของแม่น้ำบนดาวอาณานิคมSX-7 ผู้คนที่นี่จะเหมือนกับพลเมืองที่ดาวของฉันรึเปล่านะ..
ฉันนั่งมองเงาสะท้อนของตัวเองที่สะท้อนผ่านแม่น้ำแห่งหนึ่งบนดาวเคราะห์ดวงนี้ กลิ่นเหม็นจากมลภาวะในเมืองที่เต็มไปด้วยฝุ่น ควัน ไม่มีแม้แต่ต้นไม้ แม้แต่ต้นเดียว... มีแต่เครื่องจักรเต็มไปหมด อาณาจักรที่แสนจะสกปรกแห่งนี้มันอะไรกัน ทำไมท่านพ่อถึงส่งข้ามาที่นี้.....
“ดาวเคราะห์ดวงนี้ ใกล้ดับเต็มทีแล้วสินะ...”
ฉันพูดกับคลาวเดีย ผู้ติดตามคนสนิทที่ตื่นตาตื่นใจกับความแปลกใหม่ของดาวดวงนี้
“พระองค์ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นล่ะเพคะ ที่ฝ่าบาทส่งพระองค์มาที่นี่เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรแพนดอร่ากับดาวอาณานิคม SX-7 และแลกเปลี่ยนวิทยาการทางเทคโนโลยีไม่ใช่หรือเพคะ”
“ข้ารู้... แต่เมื่อได้มาที่นี่แล้ว มันช่างแตกต่างกับดาวแอททิล่าเสียจริง ข้าไม่คิดว่าดาวเคราะห์ใกล้ดับนี้จะช่วยทำให้ข้าเรียนรู้อะไรมากขึ้น เจ้าก็รู้ว่าดาวของเราไม่จำเป็นต้องพึ่งสิ่งเหล่านี้”
ฉันถูกส่งมาที่นี่เพราะท่านพ่อเล่าว่าอาณาจักรแห่งนี้เต็มไปด้วยวิวัฒนาการที่ก้าวหน้ามีทั้งสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ มนุษย์เทียม ปัญญาประดิษฐ์ และสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่ไม่มีอยู่ในดาวแอทติล่า ดาวบ้านเกิดของฉัน
บนดาวแอทติล่าทุกอาณาจักรเต็มไปด้วยผู้วิเศษ ไม่จำเป็นต้องพึ่งวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอด และก็ไม่มีวันดับเพราะถูกผนึกป้องกันไว้ด้วยเวทย์มนต์อันแข็งแกร่งของราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแพนดอร่า ซึ่งก็คือกษัตริย์ซาบาพ่อของฉันเอง แต่พ่อก็เคยบอกเอาไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ และนั้นเป็นเหตุผลที่พ่อส่งฉันมาที่นี่
“ฝ่าบาททรงเห็นว่า องค์หญิงทรงเป็นองค์รัชทายาทที่จะต้องขึ้นครองราชย์และปกครองอาณาจักรต่อไป แม้องค์หญิงของหม่อมฉันจะทรงเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า แต่ถ้าไร้ซึ่งเวทย์มนต์แล้ว ดาวเคราะห์บริเดนก็ไม่ต่างอะไรกับดาวดวงนี้ที่รอวันดับสลายนะเพคะ”
“หึ เจ้าตั้งใจจะบอกว่าถ้าข้าไร้ซึ่งพลังเวทย์ก็ไม่อาจเป็นราชินีแห่งแพนดอร่าได้สินะ และดาวแอทติล่าก็คงไม่ต่างอะไรจากดาวของมนุษย์ผู้ต่ำต้อยนี้”
“หามิได้เพคะ โปรดพระองค์ทรงอภัย หากคำพูดของหม่อมฉันทรงทำให้คิดเช่นนั้น”
“เอาเถอะคลาวเดีย ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก จะลองเปิดใจดูแล้วกันนะ ดาวดวงนี้อาจไม่แย่อย่างที่ข้าคิด”
“ขอบพระทัยเพคะ ต่อจากนี้หม่อมฉันจะคอยปกป้ององค์หญิงอย่างสุดความสามารถ และนี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงหม่อมให้หมอบฉันติดตัวไว้ และใช้มันเมื่อมาถึงที่จุดนัดพบ”
คลาวเดียให้เครื่องสื่อสารบางอย่างกับฉัน เป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีปุ่มกดเต็มไปหมด ฉันพอจะเรียนรู้มาบ้างเกี่ยวกับดาวดวงนี้ และก็พอจะรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
“โทรศัพท์มือถือสินะ”
“มือถือคืออะไรเพคะ?”
“เครื่องมือสื่อสารของดาวดวงนี้น่ะสิ โชคดีที่ข้าพอจะรู้วิธีการใช้เจ้าเครื่องนี้อยู่บ้าง”
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และพบว่ามีเพียงหมายเลขเดียวเท่านั้นที่ถูกบันทึกลงในโทรศัพท์เครื่องนี้ ‘เอิร์ลโคบา’ ขุนนางชั้นสูงที่เคยรับใช้พ่อของข้า แต่ได้ย้ายมาตั้งรกรากบนอาณานิคมแห่งนี้เพื่อ ศึกษาความเป็นไปของมนุษยโลก
ตู๊ด...ตู๊ด....ตู๊ด....
“ฮัลโหลครับ องค์หญิง หากท่านมองมายังทิศตรงข้ามจะเห็นบ้านหลังสีขาวและมีป้ายเขียนว่า ‘Duke of Aldert’ โปรดเดินข้ามสะพานมายังบ้านหลังนั้น กระหม่อมจะรออยู่ในบ้านหลังนั้น แล้วเจอกันพะยะค่ะ”
ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...
“ข้ารู้ว่าต้องไปที่ไหน มาเถอะคลาวเดีย”
การเดินทางข้ามโลกคู่ขนานโดยใช้เวทย์มนต์ในการเดินทางมายังดาวดวงนี้ไม่ยากอย่างที่คิด แต่พอนึกถึงตอนที่จะกลับก็ไม่รู้ว่าฉันจะกลับไปได้ไหม.. ไม่รู้ว่าเวทย์มนต์จะใช้กับดาวเคราะห์ดวงนี้ได้หรือไม่
แสงแดดเบาบาง กับลมเย็นๆ ที่พัดผ่าน แม้จะมีฝุ่นเต็มชั้นบรรยากาศของดวงเคราะห์ดวงนี้ แต่ก็ทำให้รู้สึกเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก อย่างไรก็ตามอากาศที่ดาวของฉันนั้นบริสุทธิ์ และเหมาะกับการดำรงชีวิต คนที่นั้นจึงมีอายุยืนยาวไปจนถึงสองร้อยปี ส่วนข้าตอนนี้ก็เพิ่งจะยี่สิบ และจะมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนาน แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าเป็นดาวเคราะห์ดวงนี้แล้ว ชะตาของฉันจะเป็นยังไงบ้างนะ ภารกิจสำคัญที่ท่านพ่อหมอบให้คือการทำให้ดาวอาณานิคมแห่งนี้ดีขึ้น และเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อให้มนุษย์บนดาวดวงนี้ รอดพ้นจากการดับสูญของดวงดาว แต่เมื่อฉันไม่ใช่ผู้วิเศษและไร้ซึ่งพลังเวทย์บนดาวแห่งนี้ แล้วฉันจะช่วยมนุษย์บนดาวนี้ให้รอดได้ยังไงกัน?