จบ หิมพานต์
39
ตอน
16.9K
เข้าชม
92
ถูกใจ
9
ความคิดเห็น
66
เพิ่มลงคลัง

รถราที่บางกะปิพลุกพล่านไม่แพ้ใจกลางกรุงเทพ แม้จะอยู่ห่างนับสิบกิโลเมตร ชายหนุ่มหมดเรี่ยวแรงที่จะติดตามค้นหาเพื่อน เหงื่อกาฬนั้นเล่าก็โทรมกาย เหนียวหนืดตัวไปหมด ถิ่นที่อยู่ของเขานั้นเวลาร้อนไม่เหนียวตัวแบบนี้ เพียงแต่มีเหงื่อชุ่มก็เท่านั้น เมื่อลมพัดพากลับเย็นทั้งตัวแล้ว

เขาแวะที่ศาลาพักร้อนตรงปากซอย เหลือบมองเห็นคฤหาสน์หลังงามตรงปากซอยติดศาลาได้ถนัด แม้จะมีรั้วคอนกรีตที่แน่นหนา แต่ก็เป็นรั้วที่มีช่องมองเห็นข้างในได้ ยังเห็นหญิงสาวรวบผม กำลังหยอกล้อกับสุนัขพันธุ์น่ารักอยู่สองตัว

พลัน…หนุ่มพเนจรต้องละสายตาจากคนในคฤหาสน์ เพราะโดนสะกิดที่น่องเขาจึงเหลียวไปมองต้องแปลกใจ…

“ไอ้หลง เอ็งสะกิดข้าทำไมวะ”

สุนัขพันธุ์บอร์เดอร์คอลลี ขนดำสลับขาวสุดสวยเรียบไม่ฟู หางกุด หน้าแหลมแต่พองาม จมูกดำ เป็นสุนัขมีราคา มันใช้เท้าหน้าซ้ายสะกิดน่องขวาเขา แล้วแหงนหน้ามองพร้อมทั้งแลบลิ้นเลียปากบอกเป็นนัยหนึ่ง

“หิวอีกแล้วละสิ ข้าไม่มีอะไรให้เอ็งกินอีกแล้วโว้ยเหลือเงินติดตัวเพียงร้อยกว่าบาทยังไม่พอค่ารถกลับเมืองน่านเลย แม่ง…เสือกตามอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน”

“ฮ้งๆๆๆ”

“อย่าเห่าซิวะไปไหนก็ไปไม่ต้องมาตามข้าอีก เอ็งมันหมาคนมีตังค์ ข้ามันคนภูธรเลี้ยงได้ก็แค่หมาพันธุ์พื้นเมืองเลียเรียบเท่านั้นโว้ย” เขาตะคอกใส่มัน

“ฮ้งๆๆๆ”

นอกจากจะไล่ไม่ยอมหนี-ตีไม่ยอมไปแล้ว หมาสวยงามที่พลัดหลงเจ้าของ ยังคงเห่าเขาอีก

ไอ้หนุ่มซำเหมาพเนจรจากเมืองน่านหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก ตามหาเพื่อนก็ไม่เจอ เงินก็จะหมด ค่ารถกลับบ้านก็ไม่พอ ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ร้อนก็ร้อน เหนียวตัวก็เหนียว หมาหลงเจ้าก็ดันตามติดตั้งแต่เย็นวานแล้ว

วินาทีนั้น…เขาบังเกิดความคิดชนิดหนึ่งขึ้นมา โดยก้มลงบอกกับไอ้หลงว่า..“ในเมื่อเอ็งหิวเข้าไปขอข้าวบ้านเศรษฐีหลังนี้กินก็แล้วกัน กำลังเล่นกับหมาของเขาอยู่พอดี แต่อย่าเสือกกัดเขาเข้าล่ะ เอ็งโดนยิงตายแน่”

ว่าแล้วเขาก็อุ้มหมาหนุ่มพันธุ์สวยงามมีราคา วางบนสันกำแพงที่พอเอื้อมมือถึงสบายๆแล้วผลักมันตกเข้าไปข้างในบริเวณบ้านหลังนั้น

“ลาก่อนไอ้หลง ไอ้หมาหลงเจ้า ขืนอยู่กับข้าเท่ากับเตี้ยอุ้มค่อมว่ะ”

บึ้ก

“เอ๋ง…เอ๋ง” มันร้องลั่นเมื่อร่วงลงไปข้างในบ้านผู้มีอันจะกินย่านบางกะปิ แต่มันก็ตั้งตัวได้

นายสุบรรณ เจ้าพ่อย่านบางกะปิ ซึ่งนั่งเอ้เต้ที่โซฟารับแขกสุดสวย พร้อมด้วยปาจารีย์ ซึ่งนั่งข้างๆผู้เป็นบิดา เธอจ้องมองสัทธาตาเขม็ง

“ค้นตัวมันเดี๋ยวนี้” สุบรรณสั่ง

“ครับนาย” เสือกรากเข้าค้นตัว พบเงินเก่าร้อยบาท เงินใหม่เจ็ดร้อย นอกนั้นไม่มีอะไรนอกจากบัตรประชาชน ซึ่งเสือนำไปยื่นให้สุบรรณ

“มันเป็นคนน่านครับ”

เจ้าพ่อบางกะปิรับบัตรมาดู ซึ่งระบุชัดเจนว่า…สัทธา ศิลาลักษณ์อยู่ที่อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน เขาส่งต่อให้ปาจารีย์

ผู้เป็นลูกสาวรับมาดู แล้วถามเสียงเข้มจัด…“นายคิดยังไงถึงจะมาต้มตุ๋นคนอย่างฉัน คิดว่ากล้วยๆงั้นเหรอ”

สัทธาใช้ท่อนแขนปาดเลือดที่มุมปากและที่จมูก แล้วบอกเสียงเครือว่า…“ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมต้องการค่ารถกลับบ้านเท่านั้น”

“ไม่ต้องมาสร้างละครตบตาฉันอีก” เธอกระแทกเสียงใส่

“เป็นความสัจจริงครับ”

“แกรู้มั้ย…ว่าฉันจับโกหกแกได้ตั้งแต่ตอนไหน”

“ไม่รู้ครับ” เสียงเครือสะท้าน

“หมาบ้านแกนะสิ พันธุ์คิกขุ”

“ผมจะไปรู้เหรอ เกิดมาก็ไม่เคยเลี้ยง เลี้ยงแต่ไอ้พวกเลียเรียบที่บ้าน”

“แล้วก็หมาพันธุ์ที่นายหลอกเอามาขายให้ฉันน่ะ เป็นพันธุ์ที่มีราคาไม่ใช่แค่เจ็ดร้อย อีกประการหนึ่ง…หมาบ้าที่ไหนจะกระโดดข้ามกำแพงได้ซึ่งสูงท่วมหัวแบบนั้น แกมันรอบจัด เสือ…จับส่งตำรวจเดี๋ยวนี้”

“ครับคุณปา” เสือรับคำสั่ง กลับต้องชะงักเมื่อนายสุบรรณออกคำสั่งทับซ้อนว่า

“ไม่ต้องส่งตำรวจ”

“นายจะออกคำสั่งให้ผมฝังมันทั้งเป็นใช่มั้ยครับ” เสือรีบถาม

“โธ่…เงินแค่เจ็ดร้อยถึงกับฆ่าแกงผม มันไม่โหดไปหน่อยหรือครับ บ้านเท่าวัง ใจคับแคบเท่ารังหนู”

ผลัวะ

“โอ๊ย”

สัทธากระเด็นผาง เมื่อเสือเตะเข้าที่กรามซ้าย เลือดกระเซ็นตามพื้น

“ว่าเจ้านายกู”

“พอๆ อย่าทำอะไรมัน นี่ไอ้สิบแปดมงกุฎ อั๊วไม่ฆ่าลื้อให้เสียเวลา เสียลูกปืนหรอก อั๊วต้องการคำตอบที่เป็นจริง”

“ถามมาเถอะครับ ผมบอกความจริงทั้งหมด” เสียงเครือสะท้าน เพราะเจ็บปวดปางตาย

“ลื้ออยู่บ้านอะไรที่น่าน”

“งิ้วลาย อำเภอท่าวังผา”

“แล้วลื้อมาทำอะไรที่บางกะปิวะ”

“ตามหาเพื่อนคนบ้านเดียวกัน”

“ตามหาทำไม”

“มันเขียนจดหมายให้ผมเข้ามาหามัน เพื่อจะพาไปทำงานที่โรงงานทำเครื่องกระป๋องที่บางกะปินี่แหละ แต่ผมไม่รู้เหนือรู้ใต้ จึงตามไม่พบ โทรไปที่โรงงานตามที่มันบอก ทางโรงงานก็บอกว่ามันถูกไล่ออกเมื่อวานนี่เอง เพราะขโมยของ”

“เลวทั้งแก๊ง เอ็งต้มตุ๋นลูกสาวอั๊วทำไมวะ” สุบรรณถามอีก

“ผมต้องการเงินเป็นค่ารถค่ากินกลับน่านครับ เพราะขอดีๆใครคงไม่ให้แน่ แล้วผมก็ให้หมาแสนรู้ตัวหนึ่ง ไม่น่าจะทำร้ายผมถึงขนาดนี้”

“ก็มึงต้มตุ๋นคุณหนู กูไม่ฆ่ามึงนะบุญหัวเท่าไหร่แล้ว” เสือถลันเข้าไปทำท่าง้างเท้าจะกระทืบซ้ำอีก

“อย่าทำผม ผมกลัวแล้ว” สัทธาร้องขอเสียงโหยหวน

“เสือลื้อถอย อั๊วจะพูดกับมันจนหมดประเด็นก่อน เฮ้ย…ไอ้สวะสังคมบอกอั๊วซิ…หมานั่นลื้อเอามันมาจากไหนวะ”

“ผมเตร่เคว้งคว้างอยู่ที่ตลาดบางกะปิ ไอ้หลงมันก็เคว้งคว้างอยู่ที่นั่นเหมือนกัน เพราะมัน

พลัดหลงจากเจ้าของ ผมสงสารมันที่หัวอกเดียวกัน เลยซื้ออาหารให้มันกิน จากนั้นผมไปไหนมันก็ไปด้วย มันเป็นหมาแสนรู้ครับ”

“เลยเห็นฉันเป็นเหยื่อที่จะหาเงินเสียเลย” ปาจารีย์ว่า แต่เสียงอ่อนลงมากแล้ว

“ครับ” สัทธารับตามตรง “จะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่ได้ต้มตุ๋นคุณปาแต่ฝ่ายเดียว ผมก็เอาหมาแสนรู้ให้ คุณปารักหมาไม่ใช่เหรอ”

“แต่มันเจ็บใจ แกถือฉันเป็นคนโง่นะสิ” เธอกระแทกเสียงใส่อีกครั้ง

“ชาติแต่ปางก่อนคุณปาอาจจะยากจนอย่างผม แล้วต้มตุ๋นผมก็เป็นได้ มาถึงชาตินี้ผมถึงต้องต้มตุ๋น   คุณปาเอาบ้าง”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แล้วก็ฉันไม่เป็นอย่างที่แกว่าแน่” เธอตะคอกใส่ด้วยความไม่พอใจ

นายสุบรรณยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง… “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน อั๊วจะไม่จับส่งตำรวจ แต่จะให้ลื้อทำงานที่บ้านอั๊วเป็นการทดแทน”

“คุณพ่อ…เอางูเห่ามาเลี้ยงชัดๆนะคะ” ผู้เป็นลูกสาวรีบแย้ง

“งูสิงมากกว่าลูก มันไม่มีพิษสงหรอก”

“นายพิจารณาให้ดีๆนะครับ ถ้าเป็นผมฆ่าทิ้งดีที่สุด ตัดปัญหาทั้งหมดทั้งมวล” เสือทักท้วง

“เอาน่า…มันอยากได้ค่ารถกลับบ้านก็ให้มันทำงานก็แล้วกัน โปรดคนดีกว่าโปรดสัตว์”

นายสุบรรณตัดบท

“แล้วคุณพ่อจะให้มันทำอะไร ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้นเลยนะเนี่ย”

“ให้มันเลี้ยงหมาแสนรู้นั่นไง พ่อดูๆแล้วชักชอบหมาแฮะ ทำได้สารพัด”

“เขามีแต่คนเลี้ยงม้านะคะคุณพ่อ จ้างคนมาเลี้ยงหมา ปาว่ามันเกินความจำเป็น”

“พ่อให้ค่าแรงมันวันร้อย ครบเจ็ดวันเจ็ดร้อยก็ให้มันออกจากบ้าน เอาตามที่พ่อว่าก็แล้วกัน”

ผู้เป็นลูกสาวจำต้องยอมรับสิ่งที่ผู้เป็นพ่อตัดสินใจ เช่นเดียวกับสมุนทั้งสามที่ไม่ชอบขี้หน้าสัทธาแต่ต้น แต่ก็ต้องยอมรับในที่สุดเช่นกัน

สัทธา ไอ้หนุ่มซำเหมาจากเมืองน่านต้องงุนงง ที่เรื่องร้ายกลายเป็นดีเพราะจะได้ค่ารถกลับบ้านโดยไม่ต้องคดโกงใครอีกแล้ว

ปาจารีย์ไม่ค่อยจะพอใจ จึงหุนหันออกไปจากห้องโถงรับแขกอันตระการตานั้นเสีย

นายสุบรรณถามขึ้นอีก… “ลื้อติดใจจะเอาความไอ้สามคนนี่มั้ย ที่เตะต่อยลื้อน่ะ”

“ไม่ละครับนาย เพราะผมทำผิด แต่ถ้าไม่ผิดไอ้สามตัวนี่แหลก”

“หา! มึงจะทำไมวะไอ้ส้นตีน”

เสือกรากเข้ามาถามเสียงกระชาก

“ดวลกับมึงนะสิ หมัดต่อหมัด มีดต่อมีด ปืนต่อปืน”

“งั้น…เจ้านายผมขอวัดหมัดกับมันก่อนครับ” เสือเสียงกร้าว

“ได้เลย ไปล่อกันหลังบ้าน อั๊วจะดูด้วย ว่าแต่ลื้อไม่เสียเปรียบไปหน่อยเรอะไอ้สิบแปดมงกุฎ เพราะถูกเตะต่อยจนเละไปหมดแล้ว”

“ผมยอมเสียครับ เพราะอยากเอาคืนครับนาย”

“อืมม…ใจถึงเหมือนกันนี่หว่า ว่าแต่ฝีมือจะถึงหรือเปล่าเท่านั้น หรือมีแต่ราคาคุย” สุบรรณพึมพำ

“เรื่องแบบนี้ผมสู้แค่ตายครับนาย แต่เมื่อกี้ผมไม่สู้เพราะผมผิด”

“คนเหนือใสซื่อดีนี่หว่า ขอให้ซื่อไปตลอดเหอะไม่เช่นนั้นเป็นศพทันทีจะบอกให้ไอ้สิบแปดมงกุฎ”     สุบรรณว่าใส่หน้าสัทธาอีกครั้ง

จากนั้น…เสือ นอง และเกิดก็ออกจากห้องนั้น เดินอ้อมไปทางหลังคฤหาสน์ ส่วนสัทธานั้นโผเผตามไป เขาเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว รวมทั้งปากกับจมูกด้วย

สัทธา ศิลาลักษณ์ ใช้สมองในทันทีขณะที่เดินกระเผลกออกจากห้องรับแขกอันโอ่โถงตระการตาของเจ้าพ่อบางกะปิ…

เราต้องล้มไอ้เสือให้ได้ และต้องล้มอย่างรวดเร็วด้วย ไม่เช่นนั้นเราหยอดน้ำข้าวต้มแน่ แล้วก็พิการไปเลย

เมื่อหนุ่มซำเหมาจากเมืองน่านถึงสนามหญ้าด้านหลังคฤหาสน์ พบเสือคู่ต่อสู้กับนองและเกิดรออยู่ก่อนแล้ว โดยเสือนั้นถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงขายาว ยังคงสวมรองเท้าอยู่ ส่วนอีกสองคนนวดเฟ้นกล้ามเนื้อที่ต้นแขนทั้งสองข้างให้กับเสือ

นายสุบรรณพร้อมปาจารีย์ลูกสาวออกมาสมทบ โดยที่เจ้าพ่อบางกะปิเรียกทั้งสองเข้าไปพูด…“เอาแค่คางเหลืองเท่านั้นนะโว้ยอย่าให้ถึงตาย อั๊วขี้เกียจมีผีตายโหงในบ้าน”

“ครับนาย”

“ผมขออะไรต่อหน้านายหน่อยหนึ่งครับ” สัทธาเอ่ยขึ้น

“ว่ามาไอ้สิบแปดมงกุฎ” สุบรรณบอกกระหึ่ม

“ถ้าผมชนะไอ้เสือ มันสามคนจะต้องไม่มาตอแยผมอีกเด็ดขาดนะครับ”

“ลื้อได้ยินแล้วใช่มั้ยเสือ”

“ได้ยินแล้วครับนาย ถ้ามึงแพ้กูล่ะไอ้สามสิบหกมงกุฎ” เสือถามเสียงกระชาก

“กูจะเป็นขี้ข้ามึงตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่”

“ดี แล้วมึงจะได้เป็นขี้ข้าล้างตีนให้กู”

จากนั้น…สัทธาก็เดินกระเผลกเข้าหาเสือ จ้องเขม็งว่าเสือจะออกไม้ไหนก่อน ซึ่งเขาตาไว

เห็นตีนซ้ายขยับถีบที่หน้า จึงรีบขยับไปทางขวามือของคู่ต่อสู้แล้วเตะตระหวัดเข้าที่ข้อเท้าขวาของเสือซึ่งยืนเป็นนกกระสาขาเดียวสุดแรงเท่าที่มี

ผลัวะ

อั๊ก

เสือโดนเจาะยางอย่างไม่คาดฝันจึงก้นกระแทกพื้นสุดแรง หน้าตาเหยเก

“เฮ้ย อย่าซ้ำ!”

นองกับเกิดหลุดปากเป็นเสียงเดียวกัน

สัทธาขยับเข้าประชิด โดยไม่ซ้ำแต่จ้องเขม็ง พอเสือลุกพรวดพราดโดยสัญชาติญาณเท่านั้น จึงเจอตีนขวาของสัทธาเข้าอย่างจังที่กรามซ้าย

บึ้ก

“โอ๊ย!” เสือร้องลั่น ก้นกระแทกพื้นอีกครั้ง

ไอ้หนุ่มซำเหมาขยิกตามประชิดไม่ยอมซ้ำ แต่รอจังหวะที่เสือลุก จึงประเคนตีนขวาเข้าก้านคอถนัดถนี่

ผลัวะ

“โอ๊ย”

เสือร้องลั่นอีกครั้ง ร่วงลงพื้น คราวนี้ลุกไม่ขึ้น ได้แต่คลานเพราะตาพร่ามัว มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

นองกับเกิดกระโจนเข้าใส่สัทธาทันทีตามสัญชาติญาณของหมาหมู่ เมื่อเห็นเพื่อนเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่น่าเชื่อ

“หยุด!” สุบรรณตวาดขึ้นอย่างทันท่วงที

“นายห้ามทำไม ไอ้เสือมันโดนหนักนะครับ” นองโต้

“นี่เป็นการเดี่ยวกันไม่ใช่เรอะวะ”

“แต่ว่า…”

“อั๊วดูตลอดเวลา ไอ้เสือมันแพ้อย่างขาวสะอาด”

“งั้นผมขอแก้ตัวให้ไอ้เสือ” นองเสียงกร้าว

“ลื้อโอเคมั้ยไอ้สิบแปดมงกุฎ” สุบรรณถามทันควัน

“ครับนาย ถ้ามันแพ้ต้องกราบตีนผม ถ้าผมแพ้ก็จะกราบตีนมัน แล้วจะเป็นขี้ข้าพวกมันด้วย”

“ลื้อตกลงตามนั้นมั้ยนอง”

“ตกลงครับนาย”

“ได้ยินแล้วนะชกได้”

สัทธาขยิกเข้าใส่นอง เขาใช้ความไวของสายตาให้เป็นประโยชน์ พร้อมกับสมองสั่งการที่ฉับไว จึงเห็นนองเตะรวบด้วยตีนขวาแบบให้หักกลางลำไปเลย เขาจึงชิงถีบซ้ายยันหน้าขาของนองไว้ในเสี้ยววินาที

ตึ้ก

“โอ๊ย” นองร้องลั่น หมุนคว้างไปทันที ยังปวดหนีบที่หน้าขาขวาด้วย

สัทธาจ้วงด้วยหมัดขวาเข้าที่เป้าใหญ่ในทันควัน

บึ้ก

“โอ๊ย”

นองก้นกระแทกพื้นในพริบตา จุกจนหายใจไม่ออก ได้แต่พลิกกายไปมาอยู่บนสนามหญ้า นัยน์ตาเหลือกถลน

“ลุกขึ้นซิวะไอ้นอง” เกิดตะโกนสั่งการ

ทว่า…นองลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว เพราะมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

เกิดทะยานเข้าใส่ทันทีดุจหมาบ้า… “มึงตาย!”

สัทธาเห็นเข้ารีบฉากออกไปทางขวามือ พร้อมทั้งแหย่ตีนซ้ายขวางไว้ ทำให้เกิดเสียหลักร่วงลงพื้นหญ้ากลิ้งโค่โรไปสามสี่ทอด

ซำเหมาพเนจรเข้าประชิดทันทีไม่ซ้ำตอนล้ม แต่พอเกิดลุกพรวดพราดขึ้นยืนเท่านั้น

โช๊ะ

“โอ๊ย!” เกิดร้องลั่นเมื่อถูกหมัดดุ้นๆกระแทกเข้าปากครึ่งจมูก เลือดทะลักแดงฉานทันที พร้อมทั้งยืนโงนเงนๆ ตาพร่ามัว

สัทธาปล่อยหมัดขวาโดยทิ้งทั้งตัวเข้าลิ้นปี่ของเกิดที่เปิดกว้าง…

อุ๊บ

“อั๊ก”

เกิดหลุดปากได้แค่นั้นพร้อมกับร่วงลงก้นกระแทกพื้น ตาเหลือกถลน และลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป

“คุณพ่อ นี่มันอะไรกัน สามคนยังแพ้เลย นายนี่จะต้องโด๊ปยามาแน่” ปาจารีย์ทักท้วงขึ้น

“เปล่าหรอก ไอ้สิบแปดมงกุฎมันไหวพริบดีต่างหาก” สุบรรณกลับฟันธงเช่นนั้น

สาวใช้ทองใบเขย่าตัวนายจ้างสาวด้วยความตกใจ… “ คุณปา พี่เสือก็ยังลุกไม่ขึ้น พี่นองอีก พี่เกิดเลือดเปรอะเลย ทำไงดีนี่”

“ก็หาหยูกยามาสิ”

ปาจารีย์กระแทกเสียงใส่ทองใบ

สาวใช้วิ่งแจ้นเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

สุบรรณกวักมือเรียก…“ลื้อมานี่ซิ”

สัทธารีบเข้ามานั่งขัดสมาธิบนพื้นหน้าตรงหน้านายสุบรรณ

“ลื้อบอกอั๊วซิ ลื้อล้มไอ้สามคนนี่ได้ด้วยวิธีใด โดยที่พวกมันไม่ทันได้ทำอะไรลื้อแม้เท่าเล็บข่วน”

“ตาไวสมองไวใจถึงครับนาย”

“อืมม…จริงของลื้อนะ ตกลงลื้อเป็นคนเลี้ยงหมาตัวนั้นให้อั๊วนะ”

“ผมฝึกหมาไม่เป็น”

“ทำไมจะไม่เป็นวะ ก็ลื้อสมองไวไม่ใช่เรอะ”

“คือว่า…”

“ลื้อพักที่ห้องเก็บของหลังตึกใหญ่ ออกไปไหนไม่ได้เป็นอันขาดนะลื้อเป็นศพแน่”

“ผมอยากกลับน่านเท่านั้นครับ” เขาอุทธรณ์

“ยังไปไหนไม่ได้นอกจากเข้าคุก หรือไม่ก็ไปเมืองผีเท่านั้น” ว่าแล้วเจ้าพ่อบางกะปิก็เดินเข้าเรือนใหญ่ ซึ่งสวนกับทองใบ โดยสั่งการรวดเร็วก่อนเข้าไป

ปาจารีย์ทำการปฐมพยาบาลเสือ นอง และเกิด โดยทองใบเป็นผู้ช่วย จนกระทั่งทั้งสามกลับสู่ภาวะปกติ ต่างก็หายใจรัวเร็ว สั่นหน้าไปตามๆกัน

“คุณปา นี่นายตำหนิพวกผมใช่มั้ยที่ไม่เอาไหน โดนถลุงหมด” เสือเสียงรัวหน้าซีดขาวราวกระดาษ

“คุณพ่อก็ผิดหวังนะสิ ถามจริงๆเถอะพวกนายทำไมสู้ไม่ได้เลย ทั้งๆที่มันเจ็บ แล้วเรื่องเตะต่อยพวกนายก็ผ่านมาโชกโชน”

“ผมไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันครับ ว่าทำไมทำอะไรมันไม่ได้เลย มันไวไปเสียหมด” เสือว่า

นองเสริม…”ตามันไวมากครับ”

“คุณปา…พวกเราจะเก็บมันคืนนี้” เกิดกระซิบบอก

“คุณพ่อเอานายตายเลยเกิด”

“โธ่…นายคิดยังไงถึงเลี้ยงไอ้สิบแปดมงกุฎ ผมไม่เข้าใจเลย”

“พวกแกก็ไปถามคุณพ่อเอาเองสิ”

“ถามท่านได้เตะเอา หรือว่า…”

“อะไรวะเกิด”

เสือกับนองถามพร้อมๆกัน

“นายคิดจะเลี้ยงมันไว้ใช้งาน”

“นายให้มันเลี้ยงหมา ฉันได้ยินเต็มสองหู” ทองใบสอดขึ้น

“งั้นเอาแบบนี้คุณปา ถ้าครบเจ็ดวันแล้วมันต้องไป ถึงตอนนั้นเราเก็บมันนายก็ว่าอะไรพวกผมไม่ได้” เกิดเสนอความคิดใหม่

“ตามใจพวกนาย ฉันไม่ขอรับรู้ด้วย” ว่าแล้วปาจารีย์ก็กลับเข้าคฤหาสน์

ทองใบคว้าหยูกยาตามเข้าไป

+                       +                         +

เจ้าเฉินหลงถูกขังที่กรงอย่างดี มีอาหารการกินบริบูรณ์ มันเป็นสัตว์ที่มีความจำเป็นเลิศเลยทีเดียว พอมันเห็นสัทธาเดินเข้าไปเท่านั้นมันกระดิกหางอยู่ในกรง พร้อมทั้งครางหงิงๆ

“ไงวะไอ้หลง เวลานี้เอ็งสุขขังซินะ ส่วนข้าก็สุขขังเหมือนกัน แต่เป็นสุขขังพลังว่ะ แม่ง…กว่าข้าจะได้กลับบ้านก็ต้องอยู่เลี้ยงเอ็งอีกเจ็ดวัน ถึงจะได้ค่ารถกลับ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเจ้านายจะให้ข้าเลี้ยงเอ็งอีกทำไม ก็ข้าเลี้ยงหมาไม่เป็น อยู่บ้านนะข้าปั้นข้าวโยนให้ไอ้เลียเรียบก็เท่านั้น”

“แต่นายขุนมึงไว้ฆ่าโว้ยไอ้สัตว์” เสือตวาดมาจากข้างหลัง

นองกับเกิดยืนกระหนาบข้างด้วยสีหน้าที่ฉาบแววเคียดแค้นหนัก

สัทธาหันขวับ…”มึงสามคนมีธุระอะไรกับกูวะ”

“นี่ไอ้เหี้ย…อีกเจ็ดวันเจอกับพวกกูหน่อยนะ”

“เดี๋ยวนี้เสียเลยสิ”

“ไอ้ห่ายัด! แม่ง…พวกกูยังเจ็บอยู่โว้ย  แล้วก็ภายในเจ็ดวันนายไม่ให้ทำอะไรมึง แต่เลยจากนั้นมึงเตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน” เสือขบกรามกร้วมๆ

“มึงอย่าหนีนะไอ้สัตว์ ภายในนี้นายติดโทรทัศน์วงจรปิดไปทั่ว มึงคิดหนีหรือทำอะไรนายเห็นหมด พวกกูก็เห็น มึงโดนเชือดทันที”นองชี้หน้า

ขณะนั้น…รถสปอร์ตไรเดอร์แล่นเข้ามาในบ้าน หลังจากที่ยามเปิดประตูให้ ทั้งสามจึงไหวตัวเยือก…

“เฮ้ย ส่างคำปวนมาแล้วโว้ย พวกเราเข้าประชุมกัน” เสือบอกพลางเผ่นอ้าวไปที่ตึกใหญ่นองกับเกิดเผ่นตาม

เมื่อทั้งสามไปแล้ว สัทธารีบก้มลงเปิดกรงหมา เฉินหลงรีบออกมาแล้วมันก็ครางหงิงๆเคล้าเคลียเขาเป็นการใหญ่ ราวกับจะถามว่าพามันมาอยู่ที่นี่ทำไม? ที่นี่ที่ไหน?

“พอๆเลียอยู่ได้เหม็นขี้ฟันฉิบเป๋งเลยเอ็งเนี่ย” สัทธารีบลุกขึ้นยืนเสีย ไม่เช่นนั้นเฉินหลงเลียหน้าแน่

ชายวัยห้าสิบเศษสังเกตพฤติกรรมหมากับคนคู่นี้อยู่เงียบๆ ตรงมุมเรือนคนใช้ เมื่อสบโอกาส

จึงก้าวเข้ามาข้างหลัง…

“ก็หมามันดีใจที่ได้พบเอ็งไง ซำเหมาจรจัดมาด้วยกันไม่ใช่หรือวะ”

สัทธาหันขวับไปพร้อมกับถามขึ้น… “ลุงเป็นใคร ทำหน้าที่อะไรในบ้านหลังนี้ครับ”

“คนขับรถ ข้าอยากคุยกับเอ็งว่ะ”

“ได้ครับลุง เฮ้ยไอ้หลงเข้าเล้า”

“หมานะไม่ใช่ไก่” คนขับรถบอก

จากนั้น…สัทธาก็เดินตาม แล้วมานั่งที่โต๊ะกินข้าวของคนใช้ทั้งหมด   ซำเหมาพเนจรนั่งลงเก้าอี้ตรงกันข้าม

“ข้าชื่อประจวบ ใครๆก็เรียกข้าลุงจวบ ข้าขับรถให้นายสุบรรณมานานเกือบสิบปีแล้ว เอ็งก็รูปร่างหน้าตาดีนี่ ทำไมเป็นสิบแปดมงกุฎต้มตุ๋นชาวบ้านเขากินวะ”

“ผมพูดไปแล้วจนคอแหบคอแห้ง แล้วปากก็จะฉีกถึงหูอยู่แล้ว ผมต้องการเงินเป็นค่ารถกลับเมืองน่าน ไม่ได้เป็นแก๊งต้มตุ๋นอาชีพ แล้วผมก็ให้ไอ้หลงแก่คุณปานี่เป็นการแลกเปลี่ยนนี่ครับ หมาก็หมาแสนรู้ด้วย ตัวเป็นพันเป็นหมื่น”

“เอ็งนี่ไม่รู้จักอะไรเอาเสียเลย ถ้าเอ็งต้มตุ๋นคนธรรมดาไม่มีใครว่า แต่นี่เอ็งดันมาต้มตุ๋นลูกสาวเจ้าพ่อบางกะปิ ไม่ตายก็นับว่าบุญหัวแล้วจะบอกให้”

“ผมอยากกลับบ้านลุงจวบ ผมเบื่อเต็มทีแล้วกรุงเทพ ร้อนแล้วก็เหนียวตัว คนกับรถก็มากพอมดปลวก”

“อยากได้ค่ารถแค่ไม่กี่ร้อย ทำไมไม่ขอดีๆละวะ” ประจวบยังคลางแคลงใจไม่หาย

“ใครมันจะให้ เพราะผมไม่ได้เป็นขอทานตีนกุดมือด้วนนี่ครับ”

“ฮื่อ…มันก็จริงของเอ็งนะ นี่…นายสั่งให้เอ็งนอนที่ห้องเก็บของโน่น เดี๋ยวข้าจะเอาผ้าห่มกับหมอนไปให้ ส่วนเรื่องอาหารนั้นมากินโต๊ะนี้แหละเข้าใจมั้ยวะไอ้สิบแปดมงกุฎ” ตอนท้ายนายประจวบลงอย่างแสบสัน

“เข้าใจครับ”

“ข้ามีผ้าขาวม้ากับเสื้อยืดให้เปลี่ยน กางเกงคงไม่ได้เพราะเอ็งมันสูงใหญ่กว่าข้า”

“ได้แค่นั้นก็พอแล้วครับ ขอบคุณลุงจวบมาก”

“นี่…เอ็งบอกข้าทีซิวะไอ้สิบแปดมงกุฎ ทำไมเอ็งล้มไอ้เสือ ไอ้นอง แล้วก็ไอ้เกิดอย่างง่ายดายงั้นวะ โดยที่มันสามคนไม่ทันได้ต่อยเอ็งแม้แต่หมัดเดียว  รู้มั้ย…ไอ้สามคนนั่นใช่ย่อยที่ไหน เรื่องตีรันฟันแทงครบเครื่อง”

เขาไม่ตอบคำถามนั้น กลับบอกว่า…“ถ้าผมอยู่ที่นี่ครบเจ็ดวันพวกมันจะมาเก็บผม คราวนี้

ผมขอดวลดาบกับพวกมัน”

“หา! เอ็งไม่ได้กลัวพวกมันเลยเรอะวะเนี่ย พวกมันร้ายๆทั้งนั้นนะ”

“คนเหมือนกันกลัวมันทำไม สองมือสองตีนเหมือนกันด้วยครับลุง”

“เอ็งนี่มันใจเด็ดจริงๆ เกิดมาข้าเพิ่งเคยพบเคยเห็น ว่าแต่เอ็งเอาชนะพวกมันด้วยวิธีใดวะ”

“ก็หูตาต้องไว แล้วทำก่อนพวกมันขยับนะสิ แค่นี้ก็ล้มแม้กระทั่งยักษ์ได้”

ประจวบพยักหน้ายอมรับ เพราะหน่วยก้านของสัทธานั้นคล่องแคล่วอยู่แล้ว

+                                +                               +

ส่างคำปวนกลับออกไปแล้ว ห้องประชุมจึงเหลือสุบรรณ ปาจารีย์ เสือ นอง และเกิดเท่านั้น

“ตกลงจะเข้าป่าเมื่อไหร่ครับนาย” เสือถามขึ้น

“มะรืนนี้ เตรียมตัวให้พร้อม”

“ครับนาย”

“ตกลงเราจะเข้าป่ากันสี่คนคือ…พวกผมสามคนแล้วก็นายเท่านั้นใช่มั้ยครับ” เกิดถาม

“ออกจากกรุงเทพสิบคน ไปสบทบกับส่างคำปวนและพรานอีกสาม รวมทั้งสิ้นสิบสามคน จะอยู่ในป่าราวๆหนึ่งเดือนเต็ม”

“สิบคนใครบ้างครับนาย” เสือถาม

“อั๊ว ปาจารีย์ ฝรั่งเพื่อนอั๊วสองผัวเมีย ลื้อสามคน จวบ ไอ้สิบแปดมงกุฎ แล้วก็ไอ้เฉินหลง”

“หา! เอาไอ้เศษสวะนั่นกับหมามันเข้าป่าด้วย!”

ทั้งสามหลุดปากเป็นเสียงเดียวกัน

“ใช่ เพราะมันเป็นนักโทษอั๊ว เพราะงั้นต้องอยู่กับอั๊วไปจนครบเจ็ดวัน จากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที พวกลื้อจะฝังจะเผามันในป่าก็ค่อยปรึกษากันอีกที”

“งั้นดีเลยครับนาย ผมจะเสียบมัน แล้วสับเป็นชิ้นๆ” เสือสบโอกาส

“ที่พวกลื้อแค้น เพราะเตะต่อยมันไม่ได้เลยใช่มั้ยวะ” สุบรรณถามจริงจัง

“มันไวเป็นลิงเลยครับ”

ต่างก็อุทธรณ์กันออกมา

“ลื้อสามคนออกไปได้ เรียกไอ้จวบกับไอ้สิบแปดมงกุฎมาพบอั๊วที่นี่ เดี๋ยวนี้เลย”

“ครับนาย แต่นายไม่ควรไว้ใจให้เข้านอกออกในมากกว่านี้นะครับ มันมือไวนะครับ ดูมันทำพวกผมซิครับมองไม่ทันเลย” เกิดเตือน

“อั๊วรู้น่าไม่ต้องมาเตือน”

ทั้งสามจึงรีบออกจากห้องนั้น

ครู่ต่อมา…ประจวบมากับสัทธา พอปาจารีย์เห็นเครื่องแต่งตัวของเจ้าหนุ่มซำเหมาพเนจรเท่านั้นถึงกับเบือนหน้าหนี รีบตำหนิคนขับรถเก่าแก่ทันที…

“ลุงจวบทำไมไม่หาเครื่องนุ่งห่มให้เปรตตัวนี้ ปล่อยให้นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวอยู่ได้”

“ผมหาให้มันแล้ว แต่มันไม่ยอมนุ่งครับ จะนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวแบบนี้แหละ คุณปาไล่มันไปซิครับ “

“ไม่ต้อง มันอยากนุ่งอะไรก็ให้มันนุ่ง นั่งสิจวบ”

“ครับนาย” ประจวบนั่งลงเก้าอี้ตรงหน้าสุบรรณ

สัทธาซึ่งนุ่งผ้าขาวม้าเพียงผืนเดียว โชว์แผงอกที่ล่ำสัน ผิวสองสีบึกบึนสมชายชาตรีนั่งลงเก้าอี้ข้างๆประจวบ ตามองตรงไปที่เจ้าพ่อบางกะปิ

สุบรรณจ้องเขม็งอยู่แล้ว เอ่ยขึ้นเป็นงานเป็นการ…“พรุ่งนี้นี้อั๊วจะขึ้นเหนือ มะรืนนี้จะเข้าป่า จะเอาลื้อไปด้วย เพราะลื้อเป็นนักโทษของอั๊ว ถ้าครบเจ็ดวันตามที่อั๊วกำหนด แล้วลื้อจะไปไหนก็ไป”

“ดีครับนาย ผมเบื่อกรุงเทพเต็มทีแล้ว หนวกหูรถราครับ ร้อนเหนียวตัวยังไงบอกไม่ถูก ผมเข้าป่ายังจะดีกว่า ว่าแต่นายจะเข้าป่าไปทำอะไรครับ”

“เรื่องของอั๊ว ลื้อมีหน้าที่ควบคุมไอ้เฉินหลงเพียงอย่างเดียว ควบคุมให้ดีด้วยนะ”

สัทธาหน้ายุ่งทันที…“นายครับ ไอ้หลงไม่ใช่หมาพรานนะครับ มันเป็นหมาผู้ดีมีเงิน เดินป่าแค่กิโลเดียวมันก็จะตายแล้ว”

“ตายก็ฝัง-ยังก็เลี้ยงซิวะ ลื้อเป็นนักโทษของอั๊ว ไม่มีสิทธิ์จะอุทธรณ์ฎีกาใดๆทั้งนั้นจำไว้   ลูกปาบอกรายละเอียดบางอย่างให้สองคนนี้ที” สุบรรณลงเสียงหนัก แล้วลุกจากที่

“ค่ะคุณพ่อ” เธอหันมาทางประจวบ “ลุงจวบ เตรียมรถโฟร์วิลให้พร้อมทั้งสองคันนะ เราจะบุกป่าเข้าไปถึงไหนถึงนั่น จากนั้นก็เดิน เตรียมเสบียงกรังให้พร้อมด้วย จะต้องอยู่ได้หนึ่งเดือน”

“ครับคุณปา เรื่องนี้ลุงจัดการอยู่เป็นประจำแหละ ว่าแต่คุณปาคิดยังไงถึงจะเข้าป่าด้วย ใครจะอยู่ดูแลบริษัททั้งหลายล่ะ”

“ปามอบงานให้ผู้ช่วยจนหมดทุกบริษัทแล้ว”

“คุณปา…เดินป่าไม่ได้สนุกเหมือนเดินในเมืองนะครับ” ประจวบเตือน

“ปารู้น่าลุงจวบ และก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะปาตัดสินใจไปแล้ว นี่…ไอ้โจรห้าร้อยแกจะเอายังไงว่ามา” เธอหันไปถามสัทธาเสียงกร้าว

“ชดใช้กรรมที่กระทำจนกว่าจะครบเจ็ดวันครับ จากนั้นผมก็จะกลับบ้าน”

“ดี แล้วฉันขอเตือนนายว่า ระหว่างเดินสำรวจป่าอยู่นะ อย่าเล่นตลกเป็นอันขาด มีสิทธิ์ไปเมืองผีลูกเดียว”

“โธ่…พูดมาทั้งวันก็ไม่เข้าใจกันอยู่ดี สมองทำด้วยอะไรกันนะคนพวกนี้”

“นายหมายความว่ายังไง” เธอตบโต๊ะดังลั่น ถามเสียงกระชาก

“ก็ผมบอกแล้วไง ผมไม่ใช่แก๊งสิบแปดมงกุฎ ผมเป็นคนบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้นที่ต้องการได้ค่ารถกลับบ้าน เลยเอาหมาไปหลอกขายให้ จริงๆแล้วหมาก็ตัวเป็นพันเป็นหมื่นน่าจะหายกันไป ไอ้ที่จะมีพิษมีภัยอะไรนั้นเลิกพูดได้แล้ว”

“ก็ฉันเจ็บใจ แล้วก็แกมันทำชั่วเสียแล้วใครจะไว้ใจล่ะ”

“คุณปา ลุงจะควบคุมมันอย่างใกล้ชิดเอง วางใจเถอะนะ ถ้ายึกยักยังไงลุงยิงกบาลมันทิ้งทันทีแหละ”

“ค่ะ อย่าเอาไว้เป็นอันขาด คุณพ่อคิดยังไงถึงเอางูเห่ามาเลี้ยง แถมยังจะพาเข้าป่าไปด้วย”

“นายคงติดใจฝีมือมันกระมังครับ”

“ฝีมือแค่นี้เอาเป็นนิยายไม่ได้หรอก   แล้วก็เป็นฝีมือโจรห่วยๆ ด้วย   ต่อไปนี้ฉันจะเรียกแกว่าไอ้โจร   ห้าร้อย”

“ก็แล้วแต่ซิครับ ผมมันผิดไปแล้ว” สัทธาเสียงเครือ ก้มหน้ามองพื้น

“ต่อหน้าใครๆฉันก็จะเรียกไอ้โจรห้าร้อย” เธอยืนยันหนักแน่น

“ครับ…จะโจรกี่ร้อยก็ชั่งผมรับได้ทั้งนั้น สักวันหนึ่งต้องเป็นวันของผม”

“ฝันไปเถอะไอ้โจรห้าพัน” ปาจารีย์ว่าใส่หน้า เพิ่มขึ้นอีกสิบเท่าตัว

“ห้าหมื่นห้าแสนเสียเลยสิ” เขาต่อปากต่อคำด้วยความคับแค้นใจยิ่ง

จากนั้น…สัทธาถูกไล่ให้ไปอยู่ที่ห้องเก็บของ ส่วนประจวบยังคงปรึกษากับปาจารีย์ต่อไปในเรื่องต่างๆที่จะเดินป่าครั้งนี้ บางเรื่องก็ลับเฉพาะและลับสุดยอด

บ่ายสี่โมงเศษ…

คณะของนายสุบรรณคนดังแห่งบางกะปิทั้งสิบชีวิตก็มาถึงท่าวังผา โดยรถตู้ถึงสามคัน คันหน้านั้นประกอบไปด้วย…นายสุบรรณ หัวหน้าคณะ ปาจารีย์ มิสเตอร์โทนี่ กับมาดามเจเนท สองสามีภรรยาชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นเพื่อนกับสุบรรณ

คันที่สองเสือ นอง เกิด มือปืนประจำตัวนายสุบรรณ ยังมีสัทธา ประจวบคนสนิทของนายสุบรรณ และไอ้หลง หรือเฉินหลงหมาแสนรู้

คันที่สามนั้นเป็นรถตู้บรรทุกเป้สัมภาระกับเสบียงกรังจนเต็มโดยเอาเบาะนั่งออกจนหมดสิ้น

รถทั้งสามคันจอดที่หน้าตลาดท่าวังผา สัทธาจูงไอ้หลงลงจากรถ ซึ่งสุบรรณกับเพื่อนชาวอังกฤษสองผัวเมียตรงมาที่ไอ้หลง…

“เฉินหลง สวัสดีคุณโทนี่กับคุณเจเนทซะ”

สัทธากระตุ้นมันนิดหนึ่ง มันจึงยืนสองเท้า ยกสองขาหน้าขึ้นในท่าสวัสดีพร้อมกับเห่าเบาๆ…“ฮ้งๆ”

“อุย…น่ารักจัง” เจเนทยิ้มอย่างตื่นตา หลุดปากด้วยสำเนียงฝรั่งพูดไทย พร้อมกับยื่นมือสัมผัสสองขาหน้าของไอ้หลง

“คุณเอามาจากไหนเนี่ยสุบรรณ มันแสนรู้นะ” โทนี่ถาม

“มีไอ้หัวขโมยคนหนึ่งเอามาขายให้ลูกสาวผมในราคาเจ็ดร้อยบาท” สุบรรณบอกหน้าตาเฉย

สัทธาเจ็บจี๊ดที่ขั้วหัวใจ เขาข่มความรู้สึกนั้นลงอย่างรวดเร็ว ก้มหน้ารับกรรมนั้นต่อไป

“คุณโชคดีมากนะที่ได้สุนัขแสนรู้แล้วก็น่ารัก” เจเนทว่า

“ผมถึงเอามาสำรวจป่าด้วยไง มันทำได้หลายอย่างนะ แล้วคุณสองคนจะได้รู้ได้เห็น”

“แล้วนี่คนเลี้ยงสุนัขของคุณเหรอสุบรรณ” โทนี่ถาม

“ใช่ ก็ไอ้นี่แหละที่เป็นไอ้หัวขโมยคนนั้น”

“คุณพูดอะไร เรางงเต็มทีแล้วสุบรรณ”

สองผัวเมียชาวอังกฤษแบมือยักไหล่พร้อมๆกัน

“ว่างๆ ผมจะเล่าให้ฟัง นี่ไอ้สิบแปดมงกุฎ…นี่อำเภอท่าวังผา บ้านลื้อไปทางไหนวะ”

“อยู่ตำบลงิ้วลายจากที่นี่ไปทางทิศเหนืออีกสิบห้ากิโลเมตรครับ” สัทธาชี้มือไปตามถนนข้างหน้า

“แต่อั๊วจะเลี้ยวขวา ไปอีกยี่สิบห้ากิโลเมตรก็จะถึงโรงเลื่อยของอั๊วที่นั่นชื่อโรงเลื่อยจักรวังผาวนาไพร ลื้อเคยไปมั้ยแถวๆนั้น”

“เคยไปสองสามครั้งครับ”

“เราจะเริ่มต้นที่นั่น เวลานี้ส่างคำปวนผู้จัดการโรงเลื่อยของอั๊วรออยู่แล้ว ลื้อดูแลเฉินหลงให้ดีๆก็แล้วกัน”

“ครับนาย”

“เอาละๆ ยืดเส้นยืดสายกันพอสมควรแล้ว เดินทางต่อเถอะ”

ทั้งหมดรีบขึ้นรถอีกครั้ง จากนั้น…รถตู้ทั้งสามคันก็แล่นตามกัน พอเลยตัวอำเภอไปราวๆสองกิโลเมตรก็เลี้ยวขวาสู่โรงเลื่อยจักรวังผาวนาไพรต่อไป ซึ่งผ่านอีกหลายหมู่บ้าน หลายชุมชน

สองข้างทางยามเย็นเช่นนี้อากาศดีมาก ร่มครึ้มทั้งสองฝากถนนด้วยแมกไม้ นานๆจะมีรถสวนมาสักคันหนึ่ง วีถีชีวิตคนชนบทนั้นผูกพันกับไร่สวนเป็นสำคัญ

กระทั่งมาถึงโรงเลื่อยจักรวังผาวนาไพร ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำปาง รถตู้ทั้งสามคันเลี้ยวเข้าไป ซึ่งยามโรงเลื่อยตะเบ๊ะต่อนายใหญ่ รถจอดกึกที่หน้าบ้านพักห่างจากที่ทำการของโรงเลื่อยราวร้อยเมตร

ส่างคำปวนกับหนึ่ง-ธนากรลูกชายวัยยี่สิบเจ็ด รอรับอยู่ที่ตีนบันไดบ้านเลยทีเดียว

ทั้งสองฝ่ายไหว้กันตามธรรมเนียม ส่างคำปวนรีบเชื้อเชิญให้ทุกคนขึ้นบนบ้าน หนึ่ง-ธนากรปราดไปที่สัทธากับไอ้หลง พร้อมกับหันไปถามลูกสาวเจ้านาย

“คุณปา…นี่หมาคุณปาเหรอครับ”

“จะว่าใช่ก็ใช่ คุณพ่อชอบมัน”

“แล้วไอ้คนจูงหมานี่ล่ะใคร หน้าคุ้นๆ”

“เป็นคนท่าวังผานี่แหละ คุณพ่อเรียกไอ้สิบแปดมงกุฎ ส่วนฉันเรียกไอ้โจรห้าร้อย”

ธนากรจ้องหน้าและสบตาสัทธาเขม็ง “ถ้าเช่นนั้นไอ้นี่ก็ไม่ใช่คนดีนะสิ”

“ชื่อก็บอกแล้วนี่ ไว้ว่างๆฉันจะเล่าให้ฟัง”

“นายใหญ่ให้มันเข้าป่าด้วยหรือครับคุณปา”

“ใช่ ทั้งไอ้โจรห้าร้อยทั้งเฉินหลงด้วย แต่แค่เจ็ดวันเท่านั้น จากนั้นมันก็พ้นโทษ อย่าสนใจเลยขึ้นบ้านเหอะฉันชักหิวแล้วนะหนึ่ง”

“งั้นเชิญเลยครับคุณปา”

ทั้งหมดขึ้นไปบนบ้านพักหลังใหญ่ของส่างคำปวน

สัทธากับไอ้หลงเดินแยกไปทางเรือนหลังเล็กอยู่ถัดไป ซึ่งประจวบคนสนิทของสุบรรณกับคนงานกำลังขนข้าวของลงไปเก็บที่นั่น

“ลุงจวบให้ผมช่วยขนนะครับ”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวของเขาหาย ข้าจะโดนอีก เอ็งไปนั่งรอทางโน้นอย่ามายุ่งกับข้าวของของเจ้านาย” ประจวบโบกมือไล่อย่างไม่ใยดี

ความน้อยเนื้อต่ำใจทับทวีขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ยอมรับสภาพนั้นโดยดุษณีเพราะผิดไปแล้ว

“อีกหกวันก็จะพ้นโทษแล้ว ถึงตอนนั้นเราก็คงอยู่ในป่ากับคนพวกนี้ ไม่เป็นไรเราจะเดินกลับคนเดียว เป็นห่วงก็แต่ไอ้หลงเท่านั้น คงไม่เป็นไรมันเข้าได้กับทุกคนอยู่แล้ว มันจะไปได้กี่น้ำกันหมาพันธุ์ดีมาเดินป่า แต่ถ้าเป็นหมาเมืองละก็ถึงไหนถึงกัน”

สัทธาเข้าไปซุกตัวอยู่ห้องขวาสุดกับไอ้หลง ซึ่งห้องนี้ไม่มีใครอยู่ แต่ปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย เขานอนหงายกับพื้น ส่วนไอ้หลงหมอบลงข้างๆอย่างสงบ มันไม่ยอมออกไปนอกห้อง

กระทั่งตะวันเกือบจะหมดแสง เขาต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเรียกหาดังขึ้น…

“ไอ้โจรห้าร้อยไปไหนวะ”

“อยู่นี่ครับ” เขารีบลุกพรวดพราด และออกจากห้องคนงาน ไอ้หลงตามติด

ที่ลานหน้าบ้านพักคนงาน ธนากร กับปาจารีย์ยืนคู่กันอยู่ เขาไม่แปลกใจเลยที่ธนากร เรียกเขาแบบนั้น ปาจารีย์คงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกชายผู้จัดการโรงเลื่อยแห่งนี้ฟังจนหมดสิ้นแล้วนั่นเอง

ทว่า…ลงได้เรียกแบบนี้เสียแล้ว สำเนียงส่อภาษา-กิริยาส่อสกุลแน่เลย เขาหนักใจขึ้นมาทันที แต่ก็จะอดทนอดกลั้นจนถึงที่สุด

“มึงก็รูปร่างหน้าตาเป็นแมนดีนี่หว่า ทำไมทำเหี้ยๆแบบนั้นวะไอ้โจรถ่อย”

“ผมไม่ใช่โจร”

“ยังจะปฏิเสธอยู่อีก เดี๋ยวก็โดนกระทืบจมดินหรอก”

“คุณสองคนจะเรียกใช้อะไรผมหรือครับ” ถามเสียงอ่อยๆ

“กูจะเรียกมึงมาดูหน้าเสียหน่อย แม่ง…กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นแบบนี้ นี่ถ้ามึงพ้นโทษแล้วละก็เจอกูหน่อยไอ้ห้าร้อย”

“ครับ”

“แต่วันนี้มาให้กูเขกกบาลเสียหน่อย”

สัทธาขยับเข้าไปเกือบชิด สายตาที่ไวผิดธรรมชาติเห็นธนากรเงื้อมะเหงก เขาไปก่อนแล้ว

เพี๊ยะ

“โอ๊ย!ไอ้สัตว์มึงทำอะไรกูวะ”

ธนากรกลับร้องลั่น หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวดที่ต้นแขนข้างนั้น

“ไอ้โจรห้าร้อยแกทำอะไรหนึ่ง” ปาจารีย์ถามเสียงเขียว

“ป้องกันตัวตามกฏหมายครับ”

เสือ นอง และเกิดเข้ามาพอดีรีบถามเสียงรัว… “เฮ้ยหนึ่งเป็นอะไรบอกพี่เร็ว”

“พี่เสือ ไอ้ห้าร้อยเนี่ยมันทำอะไรผมไม่รู้ไม่ทันเห็น แต่ปวดหนึบที่ต้นแขนครับ”

เสือขยิกเข้าใส่กลับต้องชะงัก เพราะยังไม่ลืมที่โดนยำ โดยที่ไม่ได้โต้ตอบแม้แต่น้อย แต่ก็ใช้ปากเข้าจัดการ…

“ไอ้ห้าร้อย มึงทำอะไรลูกผู้จัดการวะ”

“ลูกผู้จัดการจะเขกกบาลกู กูเลยป้องกันตัวโดยการดีดนิ้วใส่ต้นแขน”

“หา! มึงมีกำลังภายในหรือวะไอ้ห้าร้อย ถึงได้ดีดกูเจ็บฉิบหายเลย” ธนากรโวยวายขึ้น

“ผมไม่มีกำลังภายในภายนอกอะไรทั้งนั้น คุณอย่ารังแกผมซิครับ ผมไม่ใส่สัตว์เลี้ยงของคุณ รังแกผมมากผมตอบโต้มาก รังแกผมน้อยผมตอบโต้น้อย”

“แต่มึงเป็นนักโทษของคุณปา จะจับส่งตำรวจเวลาใดก็ได้” ธนากรตะคอกใส่ ตาถลึงโปน

“ถึงเป็นนักโทษ แต่ใครก็รังแกไม่ได้ ผมมีสิทธิ์ป้องกันตัว” สัทธาย้อน

“กูชักปืนยิงมึงล่ะ มึงมีสิทธิ์ป้องกันตัวมั้ยวะ”

“คุณชักออกมาสิ”

ธนากรชักทันทีออกจากเอว แต่ปากกระบอกยังไม่ทันเงยขึ้น

ผลัวะ

“โอ๊ย” ลูกชายส่างคำปวน ผู้จัดการโรงเลื่อยมีอันต้องร้องลั่น ปืน 9 มม.หลุดมือ เพราะโดนตีนของสัทธาที่ไวราวกับลิ้นงู ฉกเข้าที่ข้อมืออย่างรุนแรง ปวดหนึบในทันที

“หยุดทำร้ายคนเดี๋ยวนี้นะไอ้โจรห้าร้อย” ปาจารีย์แผดเสียงขึ้น

“พี่เสือ พี่นอง พี่เกิด จัดการมันซี้” ธนากรสั่งการ

“คือว่า…” เสือตะกุกตะกัก ไม่กล้าเข้าใกล้

นองกับเกิดก็อยู่วงนอกเช่นกัน ไม่กล้าเข้าใกล้ ขยาดฝังใจเสียแล้ว เพราะมองไม่เห็นเลยว่าสัทธาทำอะไร รู้ตัวอีกทีก็เจอเข้าเต็มมือเต็มตีนร่วงลงพื้นเสียแล้ว

“อะไรกันวะ พี่ทั้งสามไม่กล้ากระทืบมันเรอะ พวกพี่ฆ่ามานับสิบศพแล้วนะ  พี่เกิดก็เป็นนักมวย    เก่าด้วยนี่”

“คืองี้นะหนึ่ง…พวกพี่ปะทะมันมาทีแล้ว สู้มันไม่ได้เลย มันไวเป็นลิง ขืนสู้อีกเจ็บตัวอีกเดี๋ยวเดินป่าไม่ได้ แล้วใครจะคอยอารักขาเจ้านายล่ะ” เสือตะกุกตะกักบอกความจริงออกไป

ขณะนั้น…นายสุบรรณ ส่างคำปวนลงมาจากบนบ้าน เจ้าพ่อบางกะปิถามมาก่อน…

“เฮ้ยหนึ่ง ลื้อโวยวายอะไรวะ”

“ไอ้ห้าร้อยนี่ไม่รู้มันใช้อะไรดีดต้นแขนผมครับคุณลุง” ธนากรฟ้องทันที

“แล้วลื้อไปแหย่มันทำไมล่ะ”

“ผมเรียกมันมาเขกกบาลฐานทำกับคุณปาครับ”

“หนึ่ง…แล้วลื้อไปยุ่งกับมันทำไม ดีที่ลื้อไม่โดนมันเตะชักดิ้นชักงออยู่ตรงนั้น ไอ้สามตัวนั่นโดนมาแล้วจนเดี้ยงเป็นหมาโดนรถทับ” สุบรรณว่าใส่หน้าลูกน้อง

“แบบนี้ต้องให้มันกินลูกปืนซิครับคุณลุง”

“ให้มันพ้นโทษเสียก่อน ลื้อหรือใครๆจะจัดการกับมันยังไงก็เชิญ แต่ตอนนี้อั๊วไม่ให้ใครแตะต้องมันทั้งสิ้น ใครขัดคำสั่งอั๊วยิงไม่เลี้ยงนะจะบอกให้” สุบรรณเฉียบขาดยิ่ง จนทุกคนกลัวหงอไปเลย

ส่างคำปวนเข้าไปตบไหล่ธนากร…“มีสติเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเอ็งจะตายก่อนวัยอันควร!”

วาทะนั้นทำให้ลูกชายจอมกร่างถึงกับขนหัวลุก รีบลัดเลาะไปตามมุมบ้าน แล้วหายตัวไปในที่สุด

ส่างคำปวนผู้ลึกซึ้งหันมาทางสัทธา…”เอ็งไม่ธรรมดานี่หว่า หูไวตาไวใจถึงแบบนี้เดินป่าเหมาะที่สุด”

สุบรรณได้คิดทันที… “จริงของส่างนะ เฮ้ยไอ้สิบแปดมุงกุฎ…ที่บ้านลื้อทำอะไร”

“ทำไร่ไถนาครับ แต่ผมเดินโพยให้ตำรวจกับกำนัน”

“หา! จะบ้าตายโว้ย เสือกเดินโพยให้ตำรวจกับกำนับ” สุบรรณถึงกับหลุดปากออกมา

“เป็นเรื่องปกติของที่นี่ครับนาย”

“งั้นถ้าครบเจ็ดวันที่ลื้อพ้นโทษแล้ว อั๊วจะให้ลื้อไปกับพวกอั๊วต่อ”

“ผมคงไม่ละครับ”

“เพราะอะไรบอกมาตามตรงนะ อั๊วไม่ชอบมีลับลมคมนัย”

“ผมไม่ชอบคนพูดไม่รู้เรื่องครับ”

“ใครวะพูดไม่รู้เรื่อง”

“ก็ตั้งแต่นายลงมาจนถึงไอ้ขี้ข้าพวกนี้ รวมทั้งลุงจวบที่อาวุโสก็พูดไม่รู้เรื่อง ต่อให้พระอินทร์ตัวเขียวๆลงมาพูด ก็คงพูดไม่รู้เรื่อง”

หลายคนขยับตัวล้อมกรอบเข้ามา

“พูดไม่รู้เรื่องตรงไหนวะแฉออกมาให้จะจะซิวะไอ้สิบแปดมงกุฎ” สุบรรณพูดพร้อมมือเลื่อนไปกำด้ามปืนที่เอว

“ผมบอกว่าผมไม่ได้เป็นแก๊งสิบแปดมงกุฎ ก็ว่าอยู่นั่นแหละ ผมต้องการเงินเจ็ดร้อยบาทเป็นค่ารถกลับเมืองน่าน แล้วเอาหมาแสนรู้แลก ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ยิ่งคุณปาจารีย์จบปริญญาโทเสียเปล่า  แยกแยะเรื่องแค่นี้ก็แยกไม่ออก เรียกผมโจรห้าร้อยไปโน่น”

“ก็มันจริงนี่หว่า แกมันโจรห้าร้อย” ปาจารีย์กระแทกเสียงใส่หน้าสัทธา

“คนที่เป็นโจรต้องมีสันดานเป็นองค์ประกอบครับ อย่างผมนี่เขาไม่เรียกโจรหรอก เขาเรียกไอ้พวกสิ้นคิดเท่านั้น”

“นายครับ…ยิงกบาลมันเหอะ ปล่อยให้มันสามหาวปาวๆอยู่ทำไม” เสือเรียกร้อง

“ไม่ได้ อั๊วชอบที่มันพูดว่ะ อั๊วมั่งคั่งร่ำรวยอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะอั๊วรู้จักฟังคนอื่นพูด และยอมรับความเป็นจริงแล้วปรับปรุงแก้ไข อย่างพวกลื้อยังลำบากยากจนอยู่ ก็เพราะพวกลื้อไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมฟังใครหน้าไหน”

“โธ่…โดนจนได้” เสือพึมพำถอยหลังกรูดๆ

สุบรรณเข้าไปตบไหล่สัทธา… “ลื้อมันคนจริงนี่หว่า พูดจาไม่กลัวใคร ฝีไม้ลายมือไม่เลว ไปกับอั๊วเถอะนะ”

“ถ้าพ้นโทษแล้วผมจะให้คำตอบครับนาย”

“ได้ ถึงวันนั้นแล้วเรามาเจรจากันอีกที”

“ครับ”

ขณะนั้น…คนสองคนเดินเข้าประตูโรงเลื่อยมา ส่างคำปวนเห็นเข้ารีบกวักมือเรียก…“ลาเม็งมาแล้วครับเจ้านาย”

“เรียกมานี่เลย”

“เฮ้ยลาเม็งเจ้านายอยู่ที่นี่”

สัทธาทำท่าจะล่าถอยกลับถูกเบรกไว้… “ลื้ออย่าเพิ่งไป พรานนำทางกำลังมานั่น ได้รู้จักไว้ก็ดีนะสิบแปด เอ๊ย…ลื้อชื่ออะไรนะ”

“เรียกผมไอ้ห้าร้อยอย่างคุณปาเถอะครับ”

“แล้วลื้ออย่ามาว่าอั๊วนะ เพราะลื้อให้เรียกเอง”

“ครับ”

“คุณพ่อขา…มันประชดประชันคุณพ่อยังไม่รู้อยู่อีกเหรอ”

“รู้…”

“ลาเม็งนี่เจ้านายข้าท่านชื่อสุบรรณ เรียกท่านนายเฉยๆก็ได้ เจ้านายครับ…ลาเม็งเป็นพรานป่าชาวชาวคะฉิ่น คาถาอาคมใช้ได้เลยทีเดียวครับ”

“ฮื่อ…เจ้านาย” ลาเม็งพรานป่าวัยห้าสิบเศษพยักหน้ารับ พร้อมกับครางฮื่อๆออกมาเป็นการยอมรับและเคารพนับถือ

“หวัดดีพราน นำทางให้อั๊วนะ”

“ฮื่อๆ”

“แล้วนั่นใครลาเม็ง”

ส่างคำปวนบุ้ยใบ้ไปทางชายหนุ่มรูปร่างผอมเกร็ง สวมเสื้อผ้าสีมอๆ ยืนเป็นทองไม่รู้ร้อน สะพายย่ามสีเดียวกับเสื้อ

“อึ้งแซะ มันเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังมันยังเล็กๆมันฟังเสียงตามพื้นดินได้ดี ข้าจึงเอามันมาด้วย จะได้ช่วยกัน”

“เอามั้ยครับเจ้านาย” ส่างคำปวนหันไปถาม

“มาแล้วก็ต้องเอา รกคนดีกว่ารกหญ้า มันเป็นคนคะฉิ่นอย่างเดียวกับพรานหรือเปล่า”

“มันเป็นผีตองเหลือง พ่อแม่ญาติพี่น้องมันตายหมดเพราะถูกช้างกระทืบเมื่อหลายสิบปีก่อนโน้น ข้าช่วยมันได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

“อ้อ…ผีตองเหลืองก็เหมือนคนธรรมดานี่เองนะ” สุบรรณว่า

แต่ปาจารีย์กลับขยับตัวโดยอัตโนมัติ เพราะขึ้นต้นคำว่าผีเสียแล้วไม่น่าไว้ใจทั้งสิ้น

ขณะนั้น…ถ้าใครสักคนสังเกตจะพบว่า ลาเม็งพรานคะฉิ่นจ้องหน้าสัทธาเขม็ง แล้วผงะขยับถอยหลังก้าวหนึ่งโดยสัญชาติญาณ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น

“เอาละๆ มืดค่ำแล้ว จัดที่พักให้พรานกับลูกศิษย์ด้วยนะส่าง”

สุบรรณตัดบทและสั่งการต่อผู้จัดการโรงเลื่อย

“เรียบร้อยแล้วเจ้านาย ลาเม็งเอ็งกับอึ้งแซะพักห้องโน้นนะ” ส่างคำปวนชี้มือประกอบ

“ฮื่อ” พรานคะฉิ่นพยักหน้ารับ และขยับไปที่ห้องพัก

ลูกศิษย์เผ่าผีตองเหลืองขยับตามเงียบๆไม่แคร์ใครทั้งสิ้น

“ส่าง…ให้ไอ้ห้าร้อยนอนไหนล่ะ” สุบรรณถามอีก

“ห้องหน้าโน่นครับ”

“เฮ้ยจวบ…หาอะไรๆให้ไอ้ห้าร้อยกินด้วยนะ ถุงน่องรองเท้าแล้วก็เสื้อผ้าเดินป่าหาให้มันด้วย”

“ครับนาย เฮ้ยห้าร้อยมาทางนี้ซิวะ” ประจวบกวักมือเรียก

สัทธาขื่นขมหนัก ศักดิ์ศรีของความเป็นคนนั้นไม่เหลือหรอ ถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้โจรห้าร้อยยังไม่พอ ยังถูกกวักมือเรียกยังกับหมูหมา เขาจึงพึมพำในใจ…

ธรณีนี่นี้เป็นพยาน เราก็ศิษย์มีอาจารย์หนึ่งบ้าง เราผิดท่านตราหน้าด่าว่าไม่เป็นไร เราพ้นโทษเมื่อไหร่เมื่อนั้นฉะกันแน่

ไอ้หลงตามติด แล้วผลุบเข้าห้องไปด้วยกัน สัทธาล้มตัวลงนอนแผ่หรา หมดอาลัยตายอยาก ส่วนไอ้หลงลงหมอบอยู่ข้างๆ เลียตามเสื้อผ้าให้

ครู่ต่อมา…ประจวบตามมาเอาอาหารและเสื้อผ้าให้พร้อมกับเป้แบบทหาร ข้างในมีเครื่องกระป๋องหลายชนิด มีทั้งปลากระป๋อง เนื้อกระป๋อง ข้าวสวยกระป๋อง ขนมทองหยิบทองหยอดกระป๋อง ท้ายสุดเป็นเบียร์กระป๋องถึงสี่กระป๋อง

“เป้ของเอ็งนะไอ้ห้าร้อย เรชั่นทั้งหมดเนี่ยให้กินยามที่คับขันเท่านั้น ยามปกติก็ล่าสัตว์ป่ากินกันเอา ส่วนเบียร์ไม่ได้ให้เอ็งแดกห่าพร่ำเพรื่อนะโว้ย มีไว้ให้ดื่มยามที่หิวกระหายน้ำจนตาลาย เพราะเบียร์จะทำให้ฟื้นเร็ว หายช๊อคเร็วด้วย”

“ขอบคุณลุง”

“ส่วนหมาน่ะ เอ็งหาอะไรๆให้มันกินบ้าง เจ้านายมีอาหารสำเร็จรูปให้มันกินอยู่บ้างแล้ว”

สัทธาพยักหน้ารับทราบ

“นี่เสื้อผ้ามีให้สองชุด รองเท้ามีคู่เดียว ขาดแล้วขาดเลย ข้าไปล่ะ…แล้วอย่าลืมล่ะถ้าคิดหนีจะเป็นศพทันที” คนสนิทเจ้าพ่อบางกะปิทิ้งท้าย

จากนั้นเขาก็จัดการกับข้าวกล่อง ส่วนไอ้หลงนั้นมันกินอิ่มมาแล้ว จึงไม่รบกวนสัทธาแต่อย่างใด

เมื่ออิ่มหนำดิบดี เขาขยับไปนั่งหลังพิงฝา มีเสียงคนเดินมาที่หน้าประตู…

“ใครมากระหน่ำซ้ำเติมเราอีกละวะ”

ส่างคำปวนโผล่หน้าเข้ามา แล้วปิดประตูเสีย โดยยืนมือกอดอก จ้องมองสัทธาเขม็ง…

“นี่ห้าร้อย เอ็งไม่รู้เลยเหรอว่ากระตุกหนวดเสือชัดๆ”

“ถ้ารู้ผมจะทำเหรอ”

“บุญเท่าไหร่แล้วที่ไม่ตายโหง เสือกมาต้มตุ๋นลูกเจ้าพ่อบางกะปิ เฮ้ย…ข้าติดใจที่เอ็งล้มไอ้เสือกับพวกจนคลานเป็นหมา เอ็งทำได้ไงวะ”

“เราต้องหูตาไวซิครับพี่ส่าง แล้วชิงทำเขาก่อน ก่อนที่มันจะกระทำเรา แค่นี้ก็ปลอดภัยแล้ว”

“เวลาทำมันไม่ง่ายอย่างที่พูดหรอก เอ็งบอกข้าตามตรงซิ…เอ็งมีคาถาลิงลมใช่มั้ยห้าร้อย”

“ไม่มีครับพี่ส่าง มีแต่คาถาหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้งเท่านั้น”

“เอ็งพูดเป็นเล่น เจ้านายให้ข้ามาทาบทามเอ็งให้เดินทางต่อไป ถ้าเอ็งพ้นโทษแล้ว”

“คงไม่ละครับ เบื่ออยู่กับคนกลุ่มนี้ พูดยังไงก็พูดไม่รู้เรื่อง”

“เอ็งต้องเข้าใจธรรมชาติตรงจุดนี้ พวกเขาเป็นคนระดับเจ้าพ่อหยามไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แต่เอ็งดันไปเหยียบจมูกเสือนี่หว่า มันก็ต้องพบชะตากรรมแบบนี้แหละวะ”

“ครับ…งั้นพ้นโทษผมก็จะไปแล้ว”

ส่างคำปวนรีบกล่อมสัทธาให้เดินป่าด้วยกัน เขาส่ายหน้าจะกลับบ้านท่าเดียว

เช้าตรู่ของวันนี้…คณะท่องป่าคณะนี้ซึ่งมีชาวตะวันตกสองผัวเมียร่วมเดินทางด้วย ได้ออกเดินทางโดยรถตู้สามคัน มุ่งหน้าสู่ป่าผืนใหญ่เทือกเข้าดอยหินซ้อน โดยมีจุดประสงค์ในการออกเดินป่าครั้งนี้คือ…

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว