ผจญภัยในป่าเเสงจันทร์
1
ตอน
1.42K
เข้าชม
7
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
2
เพิ่มลงคลัง

ผจญภัยในป่าแสงจันทร์ 

  

1.           ในห้องนอนชั้นบนของบ้านกลางกรุงหลังหนึ่งในย่านบางกะปิ เด็กชายกับเด็กหญิงในวัยสิบขวบเท่ากันกำลังพักผ่อนตามอัธยาศัยหลังกลับจากโรงเรียนและรอแม่ของพวกเขากลับจากทำงาน ทั้งคู่เป็นพี่น้องฝาแฝดต่างเพศ คนพี่เป็นผู้ชายชื่อจ๊อด และคนน้องเป็นผู้หญิงชื่อแจ๊ด เรียนอยู่ชั้นเดียวกันในโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ปีนี้พวกเขาอยู่ชั้นประถม4 ของโรงเรียนชื่อดังใกล้บ้าน

               จ๊อดกำลังเล่นเกมส์ออนไลน์ในคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นกิจกรรมยามว่างที่เขาถนัดและโปรดปรานมาตั้งแต่อายุ8ขวบแล้ว จ๊อดไม่เคยต้องเติมเงินในเกมส์เพื่อซื้ออุปกรณ์ประกอบการเล่นแม้แต่ครั้งเดียวเพราะเขามีพรสวรรค์ในการเล่นเกมส์ออนไลน์ทุกประเภทมาตั้งแต่ต้น เขาสามารถวางแผนการเล่นได้อย่างแยบยลระดับเทพ เกมเมอร์วัยผู้ใหญ่แทบทุกรายที่ปะทะกับจ๊อดมักจะพ่ายแพ้อย่างหมดรูปโดยนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเซียนที่คว่ำพวกเขานั้นมีอายุแค่สิบขวบ

               แจ๊ดกำลังเป่าฟลุตซึ่งเป็นเครื่องดนตรีชิ้นโปรดของเธอ มันเป็นขลุ่ยฝรั่งทำด้วยโลหะสีเงินยาวประมาณหนึ่งฟุตซึ่งเรียกแบบไทยๆว่าขลุ่ยผิวออ แจ๊ดรักดนตรีมาตั้งแต่อายุ3ขวบ พออายุ5ขวบเธอก็ได้เป็นนักดนตรีวงโยธวาฑิตของโรงเรียนแล้ว และเลือกฟลุตเป็นเครื่องดนตรีประจำตัวของเธอมาตั้งแต่ต้น เธอหลงใหลในเสียงแผ่วโหยนุ่มหูของมันเป็นอย่างยิ่ง การเล่นเพลงของเธอจึงพัฒนาอย่างรวดเร็วและพออายุ8ขวบ แจ๊ดก็แต่งเพลงเล่นเองได้แล้ว ด้วยเหตุที่ฟลุตเป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็ก เธอจึงพกพามันไปในทุกที่และงัดมันออกมาเป่าในทุกครั้งที่ว่าง

               “แจ๊ด หยุดเป่าซะทีได้มั้ย”จ๊อดบอกน้องสาวคู่แฝดของเขาโดยไม่ละสายตาจากเกมส์ในจอคอมพิวเตอร์

               “ทำไม เสียงมันไม่ได้ดังหนกหูอะไรซะหน่อย”แจ๊ดย้อนถามพร้อมกับเสียงฟลุตที่หยุดลง

               “มันน่ารำคาญ เป่าอยู่ได้ซ้ำๆซากๆเสียงเหมือนเพลงผีในป่าช้าน่าขนลุกจริงๆ”จ๊อดว่า

               “ไม่อยากได้ยินก็อุดหูสิ”แจ๊ดเถียงสู้อย่างที่เคยเถียงในทุกเรื่อง

               “อุดหูก็ไม่มีมือเล่นเกมส์สิ พูดมาได้”

               “ก็หาสำลีหรือเศษผ้าอุดเข้าสิ โง่ไปได้”

               “จ๊อดก็ไม่ได้ยินเสียงปืนในเกมส์สิ แล้วมันจะสนุกได้ไง”

               “ไม่สนุกก็เลิกเล่นสิ เล่นอยู่ได้ทุกวันซ้ำๆซากๆไม่เบื่อรึไง”แจ๊ดย้อนพี่ชายด้วยสำนวนของเขาเอง

               “ก็เหมือนเธอนั่นแหละ เป่าขลุ่ยอยู่ได้ ไม่เคยเบื่อ เอาละทางใครทางมันก็แล้วกัน”จ๊อดตัดบทตามประสาผู้ชายที่เถียงสู้ผู้หญิงไม่ได้

               อย่างไรก็ตามเด็กทั้งสองก็เหมือนคู่แฝดโดยทั่วไป คือ สนิทสนมกันมาก มีอะไรก็แบ่งปันกันทั้งของกินและของเล่น ยกเว้นเกมส์กับเครื่องดนตรีเท่านั้นที่พวกเขาแบ่งให้กันไม่ได้เพราะต่างคนต่างก็ไม่ชอบเครื่องเล่นของอีกฝ่าย ทั้งสองไม่เคยทะเลาะเพราะแย่งชิงอะไรกันเลย

                เสียงแตรรถยนต์ดังขึ้นที่นอกประตูรั้ว

               “แม่มาแล้ว!”เด็กแฝดอุทานขึ้นพร้อมกันก่อนวิ่งลงบันไดบ้านไปเปิดประตูรั้วรับแม่ด้วยกันทั้งคู่

               “สวัสดีครับ/ค่ะ”จ๊อดกับแจ๊ดยกมือไหว้แม่ของพวกเขาเมื่อเธอก้าวลงจากรถพร้อมถุงอาหารและขนมนมเนยเหมือนทุกวัน

               “หวัดดีลูก”หญิงวัย35ตอบรับลูกทั้งสองขณะยื่นถุงอาหารให้พวกเขารับไปถือเข้าครัว

               จ๊อดกับแจ๊ดแกะถุงอาหารและเทใส่จานเหมือนที่ทำทุกวัน บ้านนี้ไม่มีคนใช้หรือผู้ช่วย แม่จึงไม่มีเวลาทำอาหารเอง เสื้อผ้าก็ต้องเก็บไว้ซักในวันเสาร์-อาทิตย์ เด็กแฝดทั้งสองต้องช่วยแม่ทำงานบ้านมาตั้งแต่อายุ7ขวบหลังจากพ่อของพวกเขาเสียชีวิตขณะปฏิบัติราชการทหารที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

               “วันนี้มีเป็ดย่าง ของโปรดของจ๊อดด้วยนะ”แม่บอกขณะเดินตามเข้ามาในครัว

               “แล้วของโปรดของแจ๊ดล่ะ”แฝดหญิงทวงถามอย่างทุกวัน

               “ก็ขนมเบื้องนั่นไง”แม่บอก

               การมีลูกแฝดมักมีปัญหาอย่างหนึ่งคล้ายๆกันทุกครอบครัวคือจะต้องซื้อของกินของใช้ให้ถูกใจของลูกทั้งคู่ มิฉะนั้นจะเกิดการเปรียบเทียบและมีงอนตามมาพร้อมด้วยข้อหาลำเอียงที่แม่จะได้รับจากฝ่ายที่ไม่พอใจ ซึ่งเรื่องนี้จิตราซึ่งเป็นแม่ของจ๊อดและแจ๊ดเข้าใจดีเพราะเคยพลาดมาสองสามครั้งในอดีต แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่พลาดอีกเลย

               “คุณแม่รีบไปอาบน้ำเร็วๆสิคะ แจ๊ดหิวข้าวจะเป็นลมแล้ว”แฝดหญิงพูด

               “จ้ะๆขอโทษทีวันนี้แม่กลับค่ำไปหน่อย มีประชุมสรุปงานประจำปี กินกันเลยดีกว่า เดี๋ยวแม่ค่อยอาบน้ำทีหลัง”จิตราบอก

               ปัจจุบันเธอทำงานในตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง มีรายได้พอที่จะเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองได้อย่างสบายๆตามลำพังประสาแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าสามีนายทหารบกของเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอและลูกๆคงจะมีชีวิตที่มีความสุขมากกว่านี้

               จิตราต้องทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน ตื่นเช้าก็ต้องรีบเตรียมอาหารไว้ให้ลูกทั้งสองไปกินบนรถขณะเธอขับไปส่งพวกเขาที่โรงเรียน ตอนเย็นก็ต้องขับรถฝ่าการจราจรอันหนาแน่นของเมืองหลวงและแวะซื้อข้าวแกงถุงข้างทาง กว่าจะเข้าบ้านได้ก็ค่ำแล้วทุกวัน เวลาที่ดีที่สุดของแต่ละวันก็คือเวลาอาหารเย็นนี่แหละ เพราะเธอจะได้พูดคุยไต่ถามเรื่องการเรียนและเรื่องอื่นๆของลูกทั้งสองเพื่อมิให้เกิดความห่างเหินจนเกินไปนัก

               “วันนี้ที่โรงเรียนมีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ เล่าให้แม่ฟังบ้างสิ”จิตราเริ่มบทสนทนาในโต๊ะอาหารตามปกติ

               “ผอ.งี่เง่าเหมือนเดิม อบรมตอนเช้ามีแต่เรื่องเดิมๆน่าเบื่อชะมัด”จ๊อดว่า

               “ลูกหัดพูดจาไม่น่าฟังแบบนั้นมาจากใคร แม่ไม่เคยสอนแบบนี้เลยนะ”จิตราปราม

               “ก็จากเพื่อนๆในห้องนั่นแหละค่ะ คุณแม่ บางคนชอบพูดหยาบคายกว่านี้อีก แจ๊ดละเกลียด”แฝดหญิงชิงฟ้อง

               “ว่าแต่ว่าผอ.อบรมเรื่องอะไรถึงได้น่าเบื่อ”แม่ถามอีก

               “ก็เรื่องการไว้ผมยาวและการแต่งกายผิดระเบียบเหมือนทุกวันนั่นแหละ ย้ำอยู่ได้ ซ้ำซากน่าเบื่อ”

จ๊อดบอก

               “ทางกระทรวงศึกษาเขาอนุญาตให้ไว้ผมยาวได้แล้วไม่ใช่หรือ”

               “ก็ใช่สิแม่ แต่ผอ.โรงเรียนยังเกรียนอยู่ แกยังไม่ยอมให้ไว้ผมยาว บอกว่ายังไม่ได้รับคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากกระทรวง ใครไว้ก็โดนไล่ให้ไปตัด เซ็งโคตรเลย”จ๊อดว่า

               “จ๊อดพูดไม่เพราะอีกแล้ว”แจ๊ดช่วยแม่ซ้ำ

               “เธอจะเป็นแม่ฉันอีกคนรึไง”

               “น้องเขาพูดถูกแล้ว จ๊อดก็อย่าพยายามพูดคำหยาบสิ แม่ไม่ชอบ รู้มั้ย”จิตราพูด

               “ครับแม่”จ๊อดพูดพร้อมชำเลืองหางตาไปทางน้องสาวอย่าเคืองๆ

               “เรื่องผมยาวนี่ ทำไมเด็กสมัยนี้ถึงอยากไว้กันนักล่ะ”แม่ถามลูกทั้งสอง

               “อยากเป็นตี๋เกาหลีกันน่ะค่ะ คุณแม่”แจ๊ดชิงพูดอีกและหัวเราะนำแม่ของเธอ

               “แหม ใจคอจะให้เกรียนทั้งปีทั้งชาติแบบพ่อรึไง”จ๊อดพูดอย่างมีอารมณ์

               แม่กับลูกสาวหยุดหัวเราะอย่างฉับพลันขณะมองเห็นใบหน้าของร้อยเอกหนุ่มลอยอยู่ตรงหน้า และสองแม่ลูกมีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาคิดถึงพ่อเสมอแต่ก็พยายามไม่พูดถึงเขาให้เป็นที่สะเทือนใจของทุกคน

               “ขอโทษครับแม่”จ๊อดพูดอย่างรู้ตัว

               “ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่รู้ว่าลูกไม่ตั้งใจจะลบหลู่พ่อเขา”จิตราบอก

               ทั้งสามก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเงียบๆอยู่พักหนึ่ง แฝดหญิงจึงพูดขึ้น

               “วันอาทิตย์นี้เราไปเที่ยวนอกบ้านกันดีมั้ยคะคุณแม่ ไม่ได้ไปไหนกันนานแล้ว”

               “นั่นสิแม่ ไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดีนะ”จ๊อดรีบสนับสนุน

               จิตราเงยหน้ามองเพดานขณะใช้ความคิด ที่ลูกทั้งพูดมันก็ถูก พวกเขาไม่ได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านมานานเป็นปีแล้ว ตั้งแต่สามีเสียชีวิต เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปเที่ยวที่ไหนถ้าไม่มีเขาไปด้วย ในที่สุดเธอก็พูดขึ้น

               “อยากไปที่ไหนกันล่ะ บอกมาเลย แม่จัดให้”

               “ดรีมเวิร์ลด์!”แฝดทั้งสองพูดพร้อมกัน พวกเขาใจตรงกันในหลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่องการเที่ยวเล่น

               “ได้เลย วันอาทิตย์นี้เราจะไปดรีมเวิร์ลด์กัน แต่วันเสาร์ต้องช่วยกันซักผ้าให้หมดนะ”แม่พูด

               “ตกลงครับ/ค่ะ”เด็กทั้งสองพูดพร้อมกันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงร่าเริงเป็นพิเศษ

               หลังจากกินอาหารค่ำเรียบร้อย สามแม่ลูกก็นั่งดูทีวีในห้องรับแขกประมาณหนึ่งชั่วโมง แม่แยกขึ้นห้องนอนของตัวเองและหันมาสั่งลูกๆทั้งสอง

               “อย่านอนดึกนักนะลูก พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า”

               จ๊อดกับแจ๊ดรับปากอย่างแข็งขันและเดินขึ้นห้องนอนของพวกเขาในครึ่งชั่วโมงต่อมา แต่กว่าจะข่มตาหลับได้ ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ทั้งคู่ตื่นเต้นกับวันอาทิตย์ที่จะมาถึงและต่างก็จินตนาการถึงความตื่นเต้นในการเล่นเครื่องเล่นชนิดต่างๆของสวนสนุกแห่งนั้น               

_____________________________________________________________________________________ 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว