ในคืนเดือนเพ็ญคืนหนึ่ง ณ ราชวังใหญ่ใจกลางกรุงไกอา ยังมีร่างของเจ้าชายหนุ่มผู้มีรูปโฉมงดงาม หลับใหลอยู่บนห้องบรรทมบนหอคอย เรือนผมสีทองอร่ามราวแสงตะวัน ผิวขาวเนียนดุจงาช้าง ทว่า....นี่ไม่ใช่นิทานที่จะต้องมีจุมพิตจากรักแท้แต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องราวระหว่างสองอาณาจักรที่ยืดเยื้อเรื้อรังมานานเสียจนเกิดเป็นสงครามเย็นและมันกำลังจะถึงจุดจบ....
ครืด....ครืด....
เสียงหนึ่งดังทั่ววังระคนกับเสียงร้องโหยหวนของหญิงสาว ราวกับว่าเธอกำลังได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่ เสียงนั้นส่งผลให้หญิงสาวคนหนึ่งผู้ซึ่งเป็นเจ้าหญิงจากดินแดนใหญ่ในหุบเขาตื่นขึ้นมา แพขนตางามงอนกระพริบปริบๆเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับความมืดก่อนที่เธอจะจุดเทียนแล้วปลุกองครักษ์สาวของเธอที่อยู่ห้องข้างๆ
“เฟนโร ตื่นเถิด”
ร่างของหญิงสาวผมสีดำดวงตาสีดำลืมตาตื่นขึ้นมาตามเสียงของเจ้าหญิงของตน เธอลุกขึ้นมาสบกับนัยน์ตาสีเขียวเข้มราวแพริดอตขององค์เหนือหัวแล้วลุกขึ้นคำนับเธอ “ฝ่าบาทมีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้ในยามดึกดื่นเพียงนี้รึเพคะ?”
“ข้าได้ยินเสียง….เสียงที่น่าสยดสยองนั่น เจ้าได้ยินหรือไม่?” เจ้าหญิงบีแลนซี่ เดอ กราฟีโรบิชเชอร์ ถามองครักษ์สาวของเธอ เลลาห์เทีย เฟนโร เชาวส์
“หม่อมฉันก็ได้ยินเช่นกันเพคะ ฝ่าบาทจะลงไปดูหรือไม่ หม่อมฉันจะลงไปด้วย”
“แน่นอนว่า….” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีเรือนผมสีม่วงประกายราวกับอัญมณีได้เปิดประตูเข้ามายังห้องของทั้งสองคน ดวงตาสีม่วงเข้มจดจ้องที่ร่างของเจ้าหญิงจากต่างแดน
“ถ้าท่านจะไป ข้าต้องไปด้วย มันเป็นความจำเป็นเพคะ” เธอถอนสายบัวให้บีแลนซี่อย่างนอบน้อม เจสสิกา เกรส หญิงสาวผู้เป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของเจ้าชายโมนาร์ช เจ้าชายผู้หลับไหลบนหอคอย เธอพยายามทำหน้าที่แทนเจ้าชายของเธออย่างเต็มความสามารถ
“ถ้าเช่นนั้นก็นำทางข้าไปเถิดเจสสิกา”
ในทางเดินที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงเทียน หญิงสาวทั้งสามเดินตามต้นเสียงไปยังห้องโถงใหญ่ของวังเพื่อไปดูสาเหตุของเสียงอันน่าสยดสยองนั้น เฟนโรสังเกตว่าเหล่าทหารนอกวังเองก็เริ่มกรูกันเข้ามาเช่นกัน เจสสิกาเปิดประตูไปยังห้องโถงใหญ่แล้วเดินลงบันไดไป ก่อนจะพบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด
รูปสลักจากก้อนหินที่ใกล้แตกร้าวเต็มที….
“นี่มันอะไรกันเนี่ย รูปสลักหินนี่มาได้อย่างไร!? คงไม่มีใครบอกข้าว่ามันเดินมาเองหรอกใช่ไหม?” เจสสิกาเอ่ยถามสาวใช้ที่ดูตื่นกลัว พวกเธอไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเล็กน้อย รูปปั้นนี้เดินมาเองงั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไร?
จะว่าไปแล้ว….เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมีสาวใช้คนหนึ่งหายตัวไป รูปสลักนี้ก็มีใบหน้าที่ใกล้เคียงกับสาวใช้คนนั้น…. บ้าน่าเจสสิกา คิดอะไรบ้าๆ
“ฝ่าบาทเป็นอะไรไปรึเพคะ?” เฟนโรเอ่ยถามบีแลนซี่ที่กำลังช็อคและกำลังจะร้องไห้
“ชาร์....” บีแลนซี่พูดเพียงเท่านั้นแล้วถอนสายบัวราวกับจะไว้อาลัยแด่รูปสลักนี้ สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก แต่ทันใดที่แสงจันทร์ต้งลงมายังผิวของรูปสลักนั้น จากหินกลายเป็นผิวเนื้อ รูปสลักกลายเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่ง....เป็นคนเดียวกับสาวใช้ที่หายไป
“ชานัวร์!”
นครหนึ่งก็เต็มไปด้วยปริศนา อีกนครก็กำลังมอดไหม้ด้วยไฟปฏิวัติ สองนครนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไรและเรื่องราวจะจบลงเช่นไร โปรดติดตาม