“ว่ายังไงจะเซ็นไม่เซ็น” เสียงเคร่งขรึมพูดแกมบังคับคนที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอีกครั้ง
“น้องเอยขอปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ก่อนได้ไหมคะ” เสียงใสๆ ของหญิงสาวที่ดูยังไงก็รู้ว่าอายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ
“ไม่ได้! เรื่องนี้ต้องรู้กันแค่เราสองคน เธอคิดเหรอว่าถ้าพ่อกับแม่เธอรู้แล้วเขาจะยอมให้เธอทำแบบนี้” จอมทัพรีบพูดขึ้นทันที เขากำลังวางแผนดึงตัวหญิงสาวตรงหน้ามาเพื่อเป็นตัวประกัน ว่าคนที่เขาสงสัยว่าโกงบริษัทจะไม่หอบเงินหนีไปไหน
“แต่น้องเอยยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยนะคะ อีกตั้งสามเดือนกว่าน้องเอยจะอายุครบยี่สิบ” อัญญาพยายามหาข้อต่อรอง เธอยังเด็กไปสำหรับการจดทะเบียนสมรส
“นี่ฟังนะเอิงเอย พ่อกับแม่ของเธอกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าโกงเงินบริษัทของพี่ ถ้าหากฝ่ายบัยชีเขาตรวจสอบเส้นทางการเงินของพ่อกับแม่เธอแล้วรู้ว่าทั้งสองโกงจริง พ่อกับแม่เธอต้องไปรับกรรมที่คุก แต่ถ้าเธอยอมจดทะเบียนสมรสกับพี่ เงินจำนวนนั้นก็สามารถถ่ายโอนเป็นเงินค่าสินสอดได้ นี่เป็นทางเดียวที่เอยจะช่วยพ่อกับแม่ได้” จอมทัพพยายามหว่านล้อมหญิงสาวทุกช่องทาง
“แต่คุณพ่อกับคุณแม่ท่านไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ” เธอยังเชื่อว่าพ่อกับแม่ของตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์
“เป็นไม่เป็นแต่ท่านทั้งสองก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ต้องหาไปแล้ว” ให้ตายสิยัยเด็กนี่ทำไมหัวดื้อแบบนี้นะ
“ถึงอย่างนั้นน้องเอยก็ตัดสินปัญหาเหล่านี้คนเดียวไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงสาวยังยืนกราน ทำให้คนตัวโตที่ยืนคุมเชิงอยู่นั้นถึงกับต้องพรูลมหายใจออกมายาวๆ เพื่อระบายความรู้สึกเดือดดาลออกมาให้ได้มากที่สุด
“เอาเป็นว่าวันนี้พี่จะให้ที่บ้านนัดพ่อกับแม่เธอมาที่บ้านแล้วเราจะมั่นกันทันที” จอมทัพตัดปัญหา
“แต่ที่ทัพต้องสัญญากับน้องเอยก่อนนะคะ...ว่าจะไม่ล่วงเกินน้องเอย” ถึงเธอจะไม่มีความรู้เรื่องอย่างว่า แต่เธอก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าคนเป็นแฟนกันส่วนมากแล้วจะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบไหน
“ไซส์เด็กอนุบาลแบบเธอนะพี่ไม่มองหรอก” ชายหนุ่มว่าออกไปทันที
“ไม่อนุบาลนะน้องเอยใส่บราไซส์สามสิบแปดบีนะจะบอกให้...อุ๊ปส์” ทันทีที่รู้ว่าตัวเองเผลอพูดเรื่องที่ไม่ควรบอกใครออกไปก็รีบเอามือปิดปากตัวเองทันที แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วในเมื่อเห็นว่าจอมทัพนั้นกลั้นขำเอาไว้แทบไม่อยู่กับคำพูดของเธอ
“งั้น...บรายี่ห้อที่เธอใส่มันคงไม่ได้มาตรฐานแล้วแหละ” ว่าจบเขาก็เดินหนีออกไปจากห้องทันที เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองแอบซ่อนรอยยิ้มชั่วร้ายเอาไว้