ณ กรุงเทพฯ ฤดูหนาวที่กำลังเข้ามาเหมือนหัวใจของผมที่สั่นละรัวรู้สึกเสียวสันหลังขนลุกแบบแปลกๆ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลยทำไมกันนะถึงคิดแบบนี้ น่าสงสัยจริงๆเลย เพราะอะไรถึงมีความรู้สึกหวาเหวมากๆโดดเดี่ยวเปล่าเปียวหัวใจอีกเหลือเกินยังกับว่ามันจะมีสิ่งที่ไม่ดีมากๆเกิดขึ้นมายังไงก็ไม่รู้เลย
เมื่อวันหนึ่งผมได้น้องสาวคนใหม่จากการแต่งงานใหม่ของพ่อหลังจากวันแต่งงานของคุณพ่อจบลงไม่นานท่านก็ออกไปฮันนีมูนกับภรรยาใหม่ของคุณพ่อซึ่งคือคุณแม่ใหม่ของผมนั่นเองหลังจากนั้น 3 วันก็ได้ข่าวว่าคุณพ่อประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิตพร้อมกับคุณแม่ตอนนั้นผมอายุได้เพียง 14 ปีและน้องสาวผมชื่ออลิซอายุ 10 ขวบซึ่งน้องสาวของผมไม่เหมือนคนทั่วไปเลยเธอฉลาดเกินไปทำให้คนอื่นไม่เข้าใจในตัวเธอ นั่นทำให้เธอโดดเดียว มีเพียงคุณแม่ที่เข้าใจเธอพอทราบข่าวว่าคุณแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตพร้อมกับคุณพ่อทำให้เธอแอบเก็บข้าวของและออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกับผมว่าจะไปไหนผมคิดเพียงแค่ว่าเธออาจไปอยู่บ้านญาติฝ่ายแม่ของเธอเดี่ยวก็คงกลับมาเพราะอาจเคร้าเรื่องคุณแม่ของเธอเพราะเธออายุเพียงแค่ 10 ขวบแต่จากนั้นผมก็รอเธอกลับมาบ้านวันแล้ววันเล่าไม่เคยได้ข่าวคราวของเธอเลยจนผ่านไป 3 ปีซึ่งผมอายุได้ 17 ปีผมก็ได้เปิดเข้าไปในห้องของน้องสาว ที่ผมไม่เคยคิดจะเปิดเข้าไปเพราะรอการกลับมาของน้องสาวเมื่อเปิดเข้าไปก็พบภาพวาดที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าข้างบนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นรูปสามเหลี่ยมข้างบนรูปสามเหลี่ยมคือรูปวงกลมผมใช้เวลาหามันอยู่นานจนพบที่ที่เป็นแบบรูปที่เธอวาดไว้นั่นคือเกาะเกาะหนึ่งที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปเพียง 15 กิโลเมตรซึ่งเกาะแห่งนี้มีรูปร่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมกลางเกาะเป็นภูเขาซึ่งเป็นคาดว่าน่าจะเป็นสามเหลี่ยมที่น้องสาวของผมวาดเอาไว้และสุดท้ายก็คือวงกลมผมคาดว่าถ้าเป็นแบบนี้จริงๆอาจเป็นดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงตรงซึ่งนั่นจะครบเงื่อนไขของภาพวาดนั่นพอดีหลายวันต่อมาพอผมเตรียมสิ่งของเครื่องใช้พร้อมครบเครื่องพร้อมจะไปสำรวจผมได้ขอติดไปกับเรือประมงลำหนึ่งเพื่อไปที่เกาะที่ว่านั่นพอแล่นเรือไปได้ซักพักลุงคนที่เป็นหันหน้าของเรือประมงก็ถามผมว่า
“พ่อหนุ่มหนุ่มคิดจะไปเกาะนั่นจริงหรอ”
“ครับใช่แล้วครับทำไมหรอครับมันมีอะไรครับ“ เอะทำไมลุงเขาทักแบบนี้นะรู้สึกไม่ดีเลย
“ออมันก็ไม่มีอะไรหรอกถ้าพ่อหนุ่มไม่เดินไปทางซีกขวาของเกาะนั่น”
“แล้วซีกขวาของเกาะมันมีอะไรหรอครับทำไมผมถึงไปไม่ได้ “
“เอาเถอะอย่าไปทางซีกขวาของเกาะแล้วกัน”
“ครับก็ได้ครับ” ทำไมละ ลุงมาบอกแบบนี้มันมีลับลมคมในมากๆเลยมันยิ่งดึงดูดให้ผมอยากจะไปมันอาจทำให้ผมเจอน้องสาวของผมก็ได้ซึ่งผมไม่ไปเวลานั่นถ้าน้องสาวผมลำบากผมก็ต้องช่วยเธอสิอย่างน้อยก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
ไม่นานเรือก็แล่นมาถึงเกาะที่ว่าผมได้ขอบคุณและลาจากเรือประมงที่ผมขอติดมาด้วยผมไม่รอช้าก็รีบขึ้นไปบนภูเขาเพราะมันใกล้จะเที่ยงแล้วและผลออกมาว่ามันถูกตามที่ผมคาดการไว้พอมายืนข้างบนก็มองรอบเกาะได้ชัดเจนหมดครบทุกรายละเอียดทางด้านซ้ายมือจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยมีคนมากมายมาเร่ขายของรวมถึงมาอยู่อาศัยด้วยนับว่าเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของไทยได้เลยแต่พอมองไปทางด้านขวาภาพที่เห็นต่างกันราวฟ้ากับเหวซึ่งทางด้านขวาของผมจะมีต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งใหญ่มากๆตั้งตะง่าอยู่กลางหมู่บ้านขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อาจมากกว่า 4000 หลังคาเรือน ซึ่งสภาพหมู่บ้านค่อนข้างเก่าเหมือนย้อนไปในอดีตเลยรกมากผมสงสัยว่ามันอาจร้างมานานมากแล้วซึ่งผมได้คิดถึงคำพูดของลุงหัวหน้าเรือประมง
‘อย่าไปทางซีกขวาของเกาะแล้วกัน’ เกิดความส่งสัยขึ้นในใจทำให้ผมคิดว่ามันจะมีอะไรละนั่นมันก็แค่เป็นหมู่บ้านร้างเองนิด้วยอยากรู้อยากเห็นของผมผมได้ลงไปทางด้านซีกขวาแทนที่จะลงไปทางด้านซีกซ้ายและตามหาดูก่อน
30 นาทีต่อมาผมได้เดินมาถึงหน้าหมู่บ้านผมเจอป้ายที่หน้าหมู่บ้านที่เขียนชื่อหมู่บ้านไว้นั่นก็คือลาเวนเดอแลนข้างล่างชื่อของป้ายมีอะไรแปะไว้ผมได้ยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้มันคือภาพวาดของเด็กผู้หญิงน่าจะอายุประมาณ 10 ปีผมของเธอมีสีบลอนด์ทองตาข้างซ้ายของเธอไม่มีส่วนตาข้างขวาเกือบจะหลุดปากฉีกด้านขวายาวไปถึงใบหูมือข้างซ้ายถือตุ๊กตามือข้างขวาถือดาบคันตานะหรือดาบญี่ปุ่นอาบไปด้วยเลือดเธอใส่ชุดกิโมโนชุดประจำชาติของญี่ปุ่นแต่รูปร่างและหน้าตามันคล้ายกับน้องสาวของผมมากเลย จากนั้นไม่นานเมฆก่อตัวขึ้นลมก็แรงขึ้นใบไม้ก็ร่วงลงจากต้นไม้มากมายทันใดนั้นได้ยินเสียงเดินเหยียบใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นเสียงมันอยู่ไกลมากเลยพูดกับตัวเองว่า ไม่มีอะไรหรอก มันไม่มีคนอยู่นี่นา อาจเป็นแค่เสียงแมวหรือหนูแถวนี้ก็ได้เพราะว่าหมู่บ้านก็ร้างมานานแล้วด้วยสิจากนั้นเสียงก็ใกล้เข้ามาใกล้เข้ามาจนมาหยุดที่ด้านหลังของผมจังหวะนั้นหัวใจผมเต้นแรงมากแถบจะหลุดออกมาตัวเริ่มแข็งทื่อเริ่มมีอาการขนลุกซูขึ้นมา และมีเสียงกระซิบข้างหูของผมเบาๆว่า...............
“ไม่เจอกันนานนะพี่ชาย อยากมาร่วมวงกับเราอย่างนั้นหรอ ยินดีมากเลย”
เสียงนี้มันอลิซ นี่อลิซจริงด้วยด้วยความดีใจผมหันหลังไปมองเสียงที่คล้ายกับเสียงของอลิซขาผมก็ทรุดลงนั่นเพราะว่าเธอนั่นเหมือนกับภาพวาดที่แปะไว้ที่ป้ายหน้าหมู่บ้านผมแทบซ็อคเพราะไม่ใช่แค่นั้นเพราะเธอคืออลิซ น้องสาวที่ผมตามหามานานทำไมกัน ใครทำอะไรเธอไม่จริงใช่ไหมผมกับเธอจ้องกันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ฝนได้ตกลงมาค่อยๆจนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเธอยื่นหน้ามามองผมใกล้ๆจากนั้นก็พูดขึ้น
“โชคดีไปนะพี่ชายที่พี่ชายอยู่นอกเขตหมู่บ้านเพราะที่ๆหนูจะเดินไปได้มีแค่ในเขตหมู่บ้านเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะได้เป็นแบบพวกนั้นไง”เธอชี้ไปทางด้านหลังของเธอจากนั้นผมมองเห็นต้นไม้ทุกต้นที่ปลูกอยู่ข้างบ้านเรือนของหมู่บ้านทุกหลัง มีคนผูกคอตายต้นละ 2 คนสภาพศพตัวขาดครึ่งพอผมมัวแต่มองไปข้างในหมู่บ้านหันกลับมามองอีกทีเธอก็หายไปเสียแล้ววินาทีนั่นผมได้รวบรวมสติ ไม่ไหวแล้ว ทำไมมาเจออะไรแบบนี้กันเนี้ย ม่ายยยยย จึงรวบแรงเฮือกสุดท้ายดันตัวลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกหนีจากหมู่บ้านลาเวนเดอแลนอย่างสุดกำลังทันที
การพบเจอระหว่างพี่ชายและน้องสาวกับความน่ากลัวสุดสยอง ####