จุดเริ่มต้นคล้ายจุดสิ้นสุด
“ดะ ..เดี๋ยวสิ” มือเล็กยันร่างสูงเอาไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะทาบทับลงมา
“อะไร?” ผู้มีดวงตาสีขาวขุ่น จ้องกลับมายังร่างข้างใต้ ถึงแม้จะหยุดร่างกายเขาไว้ได้ แต่อีกฝ่ายย่อมไม่สามารถหยุดมือของเขาได้
ปลายนิ้วกำลังลูบไล้ไปมาบนยอดอกที่แข็งขึง
“กะ..ก็บอกว่า เดี๋ยวไงเล่า” คนตัวเล็กกว่าตวาดเสียงสั่น
“ให้รอถึงเมื่อไหร่..เราแต่งงานกันแล้วนะ” ชายหนุ่มร้องถามอย่างหงุดหงิด ทว่ามือก็ไม่ได้หยุดการกระทำรุกรานลง
“ขอทำใจก่อนสิ..ฉันไม่เหมือนนายนี่นา แค่มองหน้ากันก็จะฟันกันเสียแล้ว”
“ข้าทำตามความต้องการของหัวใจ ผิดอะไรที่ตรงไหน”
คนตัวเล็กกว่ามองหน้าอีกฝ่ายด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “พูดออกมาได้ไม่อายปาก..ถอยไปเลยนะ แล้วก็หยุดเล่นกับร่างกายคนอื่นเขาได้แล้ว”
แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะสงบอกสงบใจได้ยากเสียแล้ว เขาก้มลงทาบริมฝีปากลงไปหาคู่วิวาห์ของตนเอง ก่อนจะใช้ลิ้นสยบแรงต่อต้านจากอีกฝ่าย..มือข้างว่างเลื่อนลงต่ำก่อนจะบดเบียดร่างกายที่เริ่มแข็งขึงขึ้นมาบ้างแล้ว
“อื้อ!”
คนข้างใต้ร้องประท้วง มือที่ผลักไสคล้ายไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอเพราะอีกฝ่ายดูจะขัดขืนเขาจนถึงที่สุดเช่นกัน
ชายหนุ่มไล้ปลายลิ้นละเลงลงบนก้านคอ และไล้เลียต่ำลงมาหาฐานอก ร่างกายของอีกฝ่ายหอมหวานแตกต่างจากคนอื่นๆที่เขาเคยรู้จัก..และดูเหมือนร่างน้อยนี้จะคร่ากุมหัวใจเขาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าที่พวกเขาจะได้แต่งงานกันเสียอีก
ถึงแม้ใครๆอาจจะกล่าวว่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นการบีบบังคับ และเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจ ทำไปตามกฎเกณฑ์ที่วางเอาไว้เท่านั้น
แต่ใครๆนั่นน่ะ…จะมารู้ดีไปกว่าใจเขาหรือ?
ชายที่ตัวเล็กกว่าพยายามดันอกกว้างไว้อย่างแข็งขัน ..ใจตนเองที่เต้นไม่เป็นส่ำกำลังจะทำให้เขาขาดอากาศหายใจ เขาแค่กำลังคิดว่าตัวเองจะหลุดรอดออกจากวิกฤตแห่งพรหมจรรย์ประตูหลังได้อย่างไร มากกว่าจะรู้สึกหวามไหวไปกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายต้องการจะปลุกเร้า
ที่สำคัญ เขากำลังทบทวนว่า...เขามานอนอยู่ใต้ร่างไอ้ตาขุ่นนี่ได้อย่างไร...อีกด้วย
*-*-*
ปฐมบทแห่งการเดินทาง
แสงจากดาวที่พร่างพราวในยามราตรีทำให้เด็กชายในอ้อมกอดของบิดาต้องแหงนหน้ามองอย่างละลานตา
“ทาการะ ดูดาวดวงนั้นสิลูก”
เด็กชายมองตามมือบิดา
“ดวงที่สุกสว่างที่สุดในหมู่ดาว..แม่ของลูกกำลังมองลงมาจากที่นั่น”
เด็กชายวัย 5 ขวบขมวดคิ้ว “แล้วแม่ไปทำอะไรอยู่บนนั้นฮะ”
“แม่ไปรอเราอยู่บนนั้นยังไงล่ะ..สักวัน เราจะไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง..” ผู้เป็นพ่อค่อย ๆ อธิบาย แล้วจึงก้มหน้าลงมายิ้มให้ “..นะ”
*-*-*
เสียงย่ำเท้าดังสะท้อนไปในความมืดของยามราตรี มหานครโตเกียวยังมีบางช่วงบางตอนที่ไฟฟ้าไม่สามารถให้แสงสว่างไปถึง จึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าผู้ที่กำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยจังหวะไม่ค่อยสม่ำเสมอนั้นมีใบหน้าเป็นอย่างไร จะเห็นก็แต่เค้าโครงรูปร่างเล็กที่มือหนึ่งล้วงกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตตัวโคร่ง อีกมือถือกระป๋องน้ำดื่มอะไรสักอย่างไว้ด้วยท่าทางไม่มั่นคงนัก
เขาเดินเลี้ยวเข้าไปในสวนสาธารณะและตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง ..ตัวที่สามารถมองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างได้อย่างชัดเจน
“ไง..พ่อ แม่” คำพูดแรกของเขาที่ดังขึ้นเบา ๆ ออกจะมีกลิ่นระเหยของแอลกอฮอล์อยู่เล็กน้อย “ไม่ต้องมายิ้มเลย ขึ้นไปอยู่สบายกันสองคนแล้วยังมายิ้มหวานอีก”
ทาการะ โยเฮในวัย 22 ปียกเบียร์ในมือขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ ดวงตาสีดำสนิทมองตรงไปยังดาวดวงที่สว่างที่สุด
“พ่อรู้มั้ยว่าวันนี้ผมไปเจออะไรมา มันเลวร้ายมากเลยนะ..ไอ้บ้าพวกนั้นมันจับผม มันไม่ยอมให้ผมได้มีโอกาสพูดเลย แม่..ผมไม่เข้าใจจริง ๆ แม่คลอดผมมา..ทำไมต้องทำให้ผมเป็นแบบนี้ด้วย ไหนพ่อเคยบอกว่าแม่จะคุ้มครองผมจากข้างบนนั่นไง อย่างงี้มันขี้โกงนี่นา” ทาการะโวยวายอยู่คนเดียวในความมืด เบียร์ในกระป๋องถูกยกขึ้นดื่มจนหมด “ไอ้เพื่อนเฮงซวย มันหลอกผมน่ะพ่อ มันหลอกให้ผมไปกับมันแล้วก็ทำร้ายผม..คอยดูนะผมจะแก้แค้น ผมจะต้องได้เป็นนายแบบเสื้อผ้ายี่ห้อดี ๆ ให้ได้.. ไอ้เพื่อนบ้า! ไอ้งี่เง่า มันหลอกผมไปถ่ายแบบเสื้อผ้าเด็กล่ะพ่อ..ผมนะเจ็บใจ๊~ เจ็บใจ ไอ้ช่างแต่งหน้า แต่งตัวก็เหมือนกัน มันไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ปฏิเสธ มันจับผมถอดจนหมดแล้วก็ยัดเยียดไอ้ชุดเอี๊ยมสีแสบตามาให้ผม..”
ชายตัวเล็กยังคงพร่ำพรรณนาถึงชีวิตในหนึ่งวันของเขาที่ผ่านมาด้วยความวุ่นวาย บางครั้งก็มองก้มลงมาที่พื้นเพราะเมื่อยคอ แต่พอหายเมื่อยเขาก็แหงนหน้าขึ้นไปมองดวงดาวใหม่..
แต่คืนนี้ท้องฟ้ามีอะไรแปลกไป..
ทั้งที่คืนนี้จันทร์เต็มดวง แสงจันทร์จะส่องสว่างกลบรัศมีดาวใด ๆ หากประกายบนฟ้าที่ทาการะมองจึงยังส่องแสงสดใสและคล้ายจะใหญ่ขึ้นและสว่างขึ้นเรื่อย ๆ
เจ้าตัวยังคงไม่รู้สึกอะไร ปากก็ยังพร่ำอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งรู้สึกว่าตรงที่ตัวเองนั่งอยู่จะสว่างเกินไปเสียแล้ว จึงได้แหงนหน้ามองฟ้าอีกครั้ง
“พ่อ..วันนี้ทำเท่ห์มาเยี่ยมถึงนี่เลยเหรอ” ทาการะร้องถามพลางยิ้มกว้าง “หนีแม่มาเที่ยวแบบนี้ไม่ดีนะ”
ลำแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง มันเป็นแสงที่จ้าจนแสบตา ทาการะร้องลั่นก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวของเขาลอยขึ้น สูงขึ้น..และสูงขึ้น
*-*-*
‘ใครมันมาร้องไห้เป็นนกถึกทืออยู่ได้วะ’
ทาการะบ่นกับตัวเองอย่างรำคาญเต็มที เสียงที่ดังแว่วมาเข้าหูนั้นเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเสียงร้องไห้หรืออะไร รู้แต่ว่ามันเป็นเสียงหวี่ ๆ ที่คอยรบกวนการนอนของเขาไม่ใช่น้อย
เปลือกตาหนักอึ้งพอ ๆ กับศีรษะที่ปวดแทบแตก สำนึกของเขาบอกกับตัวเองว่า เออ..เมื่อคืนกินเบียร์ไปเยอะทีเดียว มันก็ไม่แปลกที่หัวแทบระเบิดในตอนเช้า
ชายตัวเล็กค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้นแล้วต้องรีบปิดลงใหม่ เพราะแสงสว่างมากจนแสบตาเสียดแทงเข้ามาชนิดหนีแทบไม่ทัน
“อะไรวะ?” ทาการะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ หูไม่ได้ยินเสียงกระอืด กระอืดนั่นแล้ว แต่เขาก็ยังอยากลืมตามองอยู่ดี..คราวนี้ทาการะพยายามค่อย ๆ มองดูอีกครั้ง “ทำอย่างกะอยู่ในโรง’บาล”
ภาพที่เห็นเป็นแท่งเหล็กซี่ถี่ ๆ ขวางตาอยู่ ถัดจากแท่งเหล็กไปก็จะเห็นความสว่างและสีขาวไปสุดผนัง..
เห? เก้าอี้ โต๊ะ พื้น สีขาวหมดเลย ใครมันดีไซน์ได้สุดขั้วขนาดนี้วะ?
ทาการะขมวดคิ้วพลางคิดถึงตัวเอง ..แล้วเขามานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะเนี่ย?
ชายตัวเล็กทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ..หลังจากเขาถ่ายแบบเสื้อผ้าเด็กเสร็จ เขาก็เอาเงินค่าตัวไปกินเหล้า..แล้วยังถือเบียร์มานั่งต่อที่สวนสาธารณะ แล้วดาวของพ่อกับแม่ก็ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นจนเขาเห็นเป็น..
“ยู เอฟ โอ..” ทาการะพึมพำ “พ่อเป็นยู เอฟ โอ..?”
ไม่สิ พ่อไม่น่าจะเป็นยู เอฟ โอ ..แต่ที่เขาเห็นมันเป็นเศษเหล็กลอยได้หรือไง? ไม่หรอก มันไม่ใช่เศษเหล็ก มันเป็นวัตถุทรงคล้ายเมล็ดข้าวที่ใหญ่มาก แล้วก็มีแสงสว่างวาบขึ้น..สุดท้ายเขาตื่นมาพร้อมกับอาการแฮงค์จนเห็นอะไรก็ขาวไปหมด..หรือตาจะบอดสีไปซะแล้ว..??
ทาการะสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกว่าไอ้เสียงกระอืด กระอืดนั่นมันกลับมาอีกแล้ว เขาพยายามจะลุกขึ้นเพื่อมองหาต้นเสียง..แต่..
“เฮ๊ย!”
ชายตัวเล็กร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกว่าคอของเขาถูกพันธนาการไว้ด้วยอะไรสักอย่างที่ทั้งเย็นและแข็ง มันไม่ได้อยู่จนประชิดติดคอ มันยังมีที่พอให้เขาขยับหมุนไปมาได้แต่มันไม่ได้ทำให้เขาลุกขึ้นจากท่านอนนั้นได้เพราะมันยึดติดกับพื้น..ถาวร
“อะไรวะเนี่ย” ทาการะร้องลั่น นั่นยิ่งทำให้เสียงที่เขาได้ยินร้องแข่งกับเขาด้วยอีกคำรบ
ชายตัวเล็กกวาดตามองซ้ายขวา..เขาเพิ่งเห็นว่าที่ ๆ เขาอยู่มันเป็นลูกกรงเหล็กกล้าที่สร้างติดไว้กับพื้นสีขาว ก่อสูงขึ้นไปคล้ายโลงศพ แถมอาจจะมีการเปิดแบบโลงศพด้วยเพราะเขาเห็นรอยผ่าคล้ายประตูอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง แต่ที่แปลกก็คือรอยผ่านั้นไม่ได้มีกุญแจ โซ่ หรือสิ่งใด ๆ เลยที่จะบอกได้ว่ามันถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา ทาการะยกมือขึ้นไปดันรอยแยกนั้นดู..ไม่เป็นผล ..
“หยุดร้องซะทีสิ!” ชายตัวเล็กหันไปตวาด
ใช่ ..ทาการะบอกตัวเอง..เขาหันได้นี่หว่า แล้วมัวมานอนแข็งทื่ออยู่ทำไมล่ะเนี่ย?
ทาการะหันไปทั้งตัว ข้าง ๆ เขามีอีกร่างหนึ่งนอนขดตัวคุดคู้และเป็นเจ้าของเสียงน่ารำคาญนั่น ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวเกือบถึงกลางหลังแผ่ปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นเครื่องพันธนาการที่คอ ร่างนั้นอยู่ในชุดขาวบาง บางจนเห็นว่าที่หลังมีรูปอะไรสักอย่างแนบติดอยู่ พวกเขานอนไม่ห่างกันมากแต่ก็ไม่ใกล้กันนัก ทาการะลองยื่นมือออกไปแล้วก็ต้องหดกลับ..เออ ใช่สิ ตูมันเตี้ย! มือยาวไม่ถึง แง่งๆๆ
“นี่นาย..” ทาการะเลิกสนใจปมด้อยของตนเอง หันมาใช้เสียงเรียก แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รับรู้ ยิ่งได้ยินเสียงร่างนั้นยิ่งร้องเสียงดังมากขึ้นราวกับว่ากลัวอะไรสักอย่าง
“ครื๊ด~ ครื๊ด~”
เสียงยิ่งดังเพิ่มมากขึ้นเมื่อเสียงกึงใหญ่ดังมาพร้อมกับแรงสะเทือนจนรู้สึก ทาการะลองมองดูโดยรอบก็เห็นว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนจึงมาสนใจเจ้าตัวที่นอนหันหลังให้อีกครั้ง
“แก..พูดด้วยเนี่ยไม่ได้ยินหรือไง นี่มันที่ไหน บอกหน่อยสิ” ทาการะลองร้องถามอีกครั้ง คราวนี้คิดไว้ว่าถ้ามันยังเงียบอีกอาจมีประทับตรากันบ้าง
“…” ร่างนั่นขดตัวเล็กและเงียบเสียงลงเพราะได้ยินอะไรบางอย่างที่ทำให้ความกลัวของเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด แต่ทาการะยังคงไม่รับรู้ ชายตัวเล็กใช้ปลายเท้าค่อย ๆ วาดไป ใกล้ ๆ แล้วก็..โครมเข้าให้!
“ครี๊ดครี๋~!”
“ไอ้บ้า พูดด้วยทำไมไม่หันมาว่ะแล้วพูดอะไรเนี่ย ฉันฟังไม่รู้เรื่อง” ทาการะโวยวายพลางใช้ฝ่าเท้าดีดไปอีกสองปึ๊ก อีกฝ่ายสะดุ้งและร้อง ‘กรี๊ด ๆ’ ตามที่ทาการะเข้าใจอยู่อย่างนั้น โดยที่เขาก็ยังไม่ได้ข้อมูล ไม่เห็นหน้าตาของอีกฝ่าย และนอนหันหลังให้ทางเข้าที่เปิดออกอย่างเงียบเชียบ
กึก!
เสียงโลหะกระทบกันแผ่วเบาทำให้ทาการะหมดความสนใจ ‘ไอ้คนขี้โวยวาย’ ไปบ้าง เขาหันมาเพื่อที่จะเห็น..สีขาวอีกแล้ว มันเป็นผ้าคลุมสีขาวที่ลอยอยู่หลังซี่กรงถึง 5 ตัว..
เวร.. นี่เขามาอยู่กับพ่อแม่เร็วขนาดนี้เชียวเรอะ!! แค่กินเหล้านิดหน่อย เที่ยวผู้หญิงบ้างบางครั้ง ขโมยเงินเพื่อน เขาต้องชดใช้กรรมที่สร้างไว้แล้วหรือนี่
พระเจ้า~
ผ้าคลุมนั้นค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามา ในมือของพวกมันมีแท่งเหล็กยาว ที่ปลายแท่งเหล็กนั้นมีห่วงกลมขนาดเล็กพอดี หรืออาจจะใหญ่กว่าคอเขาอยู่สักหน่อย ซี่กรงด้านบนลอยขึ้นเมื่อหนึ่งในเจ้า 5 ตัวนั้นใช้ปลายนิ้วกดตรงผนังเรียบที่มองยังไง๊ยังไงก็ไม่เห็นว่าจะมีปุ่มหรืออะไรสักอย่าง
แก๊ง!
เสียงโลหะหลุดออกจากกันและค่อย ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศราวกับมีเชือกหรือเส้นเอ็นดึงมันไว้..แต่คงเป็นเส้นเอ็นที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เพราะทาการะเพ่งเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันลอยค้างอยู่ได้อย่างไร
พวกนี้มันเล่นกายกรรมได้ หรือว่ามันเป็นวิญญาณจริง ๆ ที่พ่อกะแม่ส่งมาชำระโทษเขากันแน่ล่ะเนี่ย??
ทาการะกำลังอึ้งจึงไม่ทันได้ถามหรือร้องเมื่อเจ้า 2 ตัวก้าวมาทางหัวแล้วโน้มตัวเอาห่วงของแท่งเหล็กยาว ๆ มาล็อคที่คอเขาไว้ มันทำซ้อนถึงสองห่วงก่อนจะเปิดห่วงคอที่ยึดร่างของเขาไว้กับพื้นออก..
มัน 2 ตัวถือปลายเหล็กยาวนั่นแล้วทำท่างัดให้เขาลุกขึ้นยืนเพื่อจะให้เดินออกมาจากกรง แล้วอีก 2 ตัวก็เข้าไปล็อคเอาไอ้เด็กผมยาวออกมาด้วย
“ครี๊ ครี๊~” เจ้านั่นยังร้องไม่หยุด แต่ดีหน่อยที่เสียงมันเบาลงมาบ้าง
ไม่นานนักทาการะก็ได้เห็นคนที่เขาประทุษร้ายไปเล็กน้อยถึงปานกลางด้วยฝ่าเท้าอันนุ่มนวล เจ้าคนนั้นเป็นเด็กหนุ่มตัวบาง ๆ ที่ใส่เสื้อผ้าเหลือรับ มันคล้ายผ้าซีฟองบางเบาสีขาวที่มองทะลุไปถึงเนื้อใน หน้าอกแบนราบแต่งแต้มไว้ด้วยปลายถันสีชมพูระเรื่อ หน้าท้องแบนหายไปกับขอบกางเกงสีขาว มือบางที่โผล่พ้นปลายแขนเสื้อยาวเกะกะน่ารำคาญกำลังยกขึ้นปาดน้ำตา..?
ทาการะคิดว่าน่าจะเป็นน้ำตาที่สีแปลกที่สุดในโลก เพราะมันเป็นสีฟ้าคราม..
ผมสีน้ำตาลอ่อนปิดบังใบหน้าจนเมื่อเจ้าคนนั้นเอามือเสยผมขึ้นทาการะจึงได้เห็นดวงหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา กับดวงตาสีฟ้าเข้มที่ตวัดมองเขาเพียงครั้งเดียวอย่างกลัว ๆ หลังของเด็กคนนั้นไม่ได้มีรูปวาดหรือสักลายเอาไว้อย่างที่เขาเข้าใจแต่แรก แต่มันกลับเป็นปีกสีขาวเล็ก ๆ ..เล็กจริง ๆ ความกว้างไม่ถึง 3 นิ้วเลยด้วยซ้ำ
พ่อ..พ๊อ!! มีผี 5 ตัว แถมยังมีเทวดามาอีกเรอะพ๊อ!
เอาเข้าไป แม่ก็เป็นไปกับพ่อด้วยล่ะสิ สนุกกันใหญ่..เอาล่ะ ผมจะหลับตาล่ะนะ พอผมลืมตาพ่อต้องให้ผมตื่นนะ ตื่นแบบอยู่ในสวนสาธารณะเลยนะ ไม่เป็นไร ยุงจะหามหรือจะนอนจนตื่นมาตะวันโด่งคนมามุงกันเยอะ ๆ ผมก็ไม่อาย ให้ผมตื่นจากฝันนี้ได้เลยนะพ่อ เอาล่ะ ผมจะนับหนึ่งถึงสามนะ
หนึ่ง..
สอง…
“โอ๊ย!”
ทาการะร้องลั่นเมื่อรู้สึกว่าห่วงที่ค้ำคออยู่ถูกดันและกระตุ้นให้เขาเดิน
“อะไรวะ เบา ๆ ดิ! ไอ้พ่อใจร้าย ส่งผีมาเก็บลูกตัวเอง ฮือ~ ไม่นึกเล้ยตายแล้วยังจะเจ็บได้อีก” ชายตัวเล็กบ่นกระปอดกระแปดพลางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสุนัขที่ถูกเทศบาลจับไว้ยังไงยังงั้น มีพนักงานเก็บหมามาใช้ห่วงรัดคอและบังคับให้เดินโดยที่เขาไม่สามารถขยับหนีได้เลย..เศร้าจริง
*-*-*
ประตูสีขาวเปิดออกราวกับมีมือดึงมันค้างเอาไว้ ไอ้หนุ่มผมยาวตาฟ้าถูกบังคับให้เดินออกไปก่อน แล้วทาการะจึงถูกนำตัวตามออกมา
วินาทีแรกที่เท้าของทาการะสัมผัสพื้น เขาบอกกับตัวเองว่าสิ่งที่เขาคิดขณะอยู่ในลูกกรงนั้นต้องเป็นความจริงแน่
คือ..ถ้าไม่ตายเขาก็คงกำลังฝันอยู่อย่างออกรส
ไอ้เรื่องฝันน่าจะตัดไปได้เพราะเขารู้สึกเจ็บเมื่อลองหยิกตัวเองอยู่หลายหมับ งั้นก็เหลืออีกทางที่จะคิดได้ ตาย..แต่ตายแล้วไปไหน สวรรค์หรือนรกเขาก็สุดจะเดา เพราะภาพที่เขาเห็นตอนนี้คือภาพพื้นที่โล่งของลานจอดเครื่องบิน หรือไม่ก็ลานจอดรถ เฮลิคอปเตอร์ ลานจอดจักรยานแล้วแต่ใครมันจะมีปัญญาแบกขึ้นมาบนตึกสูงสุดลูกหูลูกตาที่ประมาณจำนวนชั้นไม่ได้นี้..
ลมเย็นพัดมาเบา ๆ พอให้ผ้าสีขาวที่ปกคลุมไอ้ผี 5 ตัวไหวพะเยิบพะยาบจนเขาเห็นขา.. ผีก็มีขา เขาบอกตัวเองอย่างนั้นก่อนจะไม่สนใจมันและหันไปมองสถาปัตยกรรมของสวรรค์หรือนรกเขาก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าตึกทรงสูงขึ้นเต็มไปหมด แต่มันเป็นตึกทรงดอกเห็ด คือฐานของตึกเป็นทรงกระบอกตรงขึ้นมาหลายร้อยหลายพันชั้น หน้าต่างบ้างเปิดไฟบ้างปิดไฟในแต่ละชั้น ทว่าตรงยอดของตึกจะต้องเป็นทรงโกะ หมากญี่ปุ่น ที่เขาชอบดูการแข่งขันและมีฝึกเล่นกับบิดาบ้างในยามยังเยาว์
“อุ แม่เจ้า..” ทาการะอุทานเมื่อยอดตึกทรงหมากญี่ปุ่นทุกตึกมีแสงไฟเป็นสปอร์ตไลท์ส่องสว่างมากไปทุกทิศทุกทาง เว้นแต่ลานบินที่เขายืนอยู่นี้เท่านั้นที่ไม่มีแสงไฟมากมาย แต่พอมีประดับไฟไว้โดยรอบลานบ้างเป็นระยะ
ชายตัวเล็กถูกบังคับให้เดินไปยังมุมหนึ่งของลานที่มีอาคารสีขาวผุดขึ้นมาจากพื้นฉับพลันราวกับมันล่องหนไว้ก่อนหน้า
“นี่จะพาไปไหน” ทาการะลองถาม แต่ก็มีเพียงความเงียบและเสียงกระอืดของไอ้หนุ่มผมยาวเป็นคำตอบ
“เฮ๊ย แกจะร้องไปถึงไหน ช่วยกันถามพวกนี้สิว่าจะพาเราไปไหน” ทาการะยังไม่ละพยายาม เขาไม่คิดจะดิ้นรนเพราะเท่าที่ถูกดันและเท่าที่เห็นรูปร่างของผี 5 ตัวภายใต้ผ้าคลุมสีขาวนี้เขาก็รู้แล้วว่า ต่อให้ดิ้นจนหลุดไปได้ เขาก็คงไม่มีปัญญาจะวิ่งหนีไอ้ผีตัวสูงบึ้กพ้นเป็นอันขาด
“ครี๊ด..” เสียงดังเบา ๆ พร้อมดวงตาบวมช้ำที่มองมายังทาการะราวกับจะให้ชายตัวเล็กทำใจยิ่งเพิ่มความฉงนให้กับทาการะได้ไม่น้อย
ทั้งหมดเดินไปจนถึงอาคารสีขาวที่ผุดขึ้นมาจากลานกว้าง ที่นั่นมีกระจกแก้วที่เปิดรอรับพวกเขาอยู่ ล้วนแล้วแต่ใช้ผีในการควบคุม
“ไอ้พวกนี้จะหาผ้าคลุมสีอื่นกันมั่งไม่ได้หรือไงวะ” ทาการะบ่นพึมเมื่อเห็นว่าอีก 3 ตัวที่ยืนเปิดกระจกแก้วทรงกลมให้ก็มีผ้าคลุมสีขาวปิดบังรูปร่างสูงใหญ่ไว้เช่นกัน
เมื่อเดินไปถึงทั้งทาการะและเทวดามีปีกถูกจับมือบิดไขว้ไว้ด้านหลัง เครื่องพันธนาการถูกใช้ก็คราวนี้
“เออ จะทำไรก็ทำกันเข้าไป..แต่ไม่คิดจะตอบคำถามฉันสักหน่อยเลยเรอะ” ทาการะพูดอย่างระอา ปล่อยให้มือตัวเองถูกมัดติดไว้ด้วยเหล็กข้อมือแน่นหนา
ประตูกระจกทรงกระบอกถูกเลื่อนปิดลง และทันทีที่มันปิด เสียงหวี่ ๆ ก็ดังขึ้น จากผีตัวโน้นที ผีตัวนี้ที ดังจนทาการะสามารถจับได้ว่าเสียงนั้นมาจากตัวไหน เขาหันมองตัวที่ ‘น่าจะออกเสียงพูด’ แล้วก็ถอนใจ เพราะเสียงที่พวกนั้นใช้สื่อสารกันน่าจะเป็นภาษาผี..
แต่เอ..ในเมื่อเขาก็ตายแล้ว ทำไมจึงยังไม่เข้าใจภาษาของพวกนี้หว่า..
ทาการะสับสนในตัวเอง เขามองไปยังเพื่อนร่วมชะตากรรม เห็นฝ่ายนั้นตัวสั่นงันงกราวกับรู้เรื่องที่เจ้าผี 8 ตัวนี้พูด ..อ้าว แล้วทำไมไอ้เจ้านั่นมันรู้ล่ะ?..
อ๋อ..มันเป็นเทวดา น่าจะฟังภาษาผีออก..ว่าเข้านั่น
ทาการะส่ายหน้ากับตัวเอง บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเพิ่งตายเลยฟังไอ้พวกนี้ไม่รู้เรื่อง ผีฝึกหัดกับผีแก่กล้าอาจใช้ภาษาคนละระดับ มันต้องมีการแบ่งชนชั้นวรรณะกันแหง ๆ..
ความคิดของทาการะสะดุดลงเมื่อกระจกแก้วทรงกระบอกนั่นไหลเลื่อนลงมาจนสุดทาง เจ้าผี 2 ตัวเปิดประตูกระจกออก แล้วพวกมันก็พาคนทั้งคู่เดินออกมาพบกับห้องหนึ่ง..ห้องที่ทาการะมองแล้วรู้สึกขนพองสยองเกล้า
มันช่างเป็นห้องที่รวบรวมแฟชั่นชุดประหลาด ๆ ไว้เต็มไปหมด บางชุดมันโปร่งบางเสียจนแทบมองไม่รู้ว่ามีชิ้นผ้าถูกตัดแต่งเป็นรูปร่างเสื้อแขวนอยู่เลย แต่บางชุดก็เป็นหนังเงาวาวแบบเท่ห์ทีเดียว.. ทาการะไม่ได้ขนพองสยองไปกับชุดสวย ๆ หรอก เพราะเขาเห็นชุดมากมายจากการทำงานถ่ายแบบ แต่ที่เขารู้สึกกลัวเพราะแต่ละชุดดูจะทิ้งช่องว่างเอาไว้เฉพาะที่ เช่นชุดหนังนั้นตรงส่วนกลางเป้ากางเกงเหมือนผู้ออกแบบจงใจใช้ผ้าตาข่ายสีขาวเย็บปิดเอาไว้ ไอ้ชุดบางนั่นก็มุ่งเน้นให้คนใส่เห็นเรือนร่างตลอดตัว ถ้ามันเป็นแค่เสื้อคลุมก็คงจะดี แต่คงไม่ใช่แค่เสื้อคลุมแน่ ..สไตล์การออกแบบของที่นี่มันจะแนวเรทอาร์ทั้งนั้นนี่นะ
เขายังสงสัยอีกว่า ตกลงผีประเทศไหนกันวะที่ต้องแต่งตัวติดเรทอย่างนี้?? แต่ยังไม่ทันได้ถามใครหรืออะไรมากนักพวกเขาก็ถูกรุนหลังให้เดินตามผีตนหนึ่งไป ชุดที่อีกฝ่ายถือไว้เป็นชุดสีฟ้าจาง ๆ ที่พอคลี่ออกมาให้เขาเห็นแล้ว มันคล้ายกับใครเอาผ้าสักผืน มาเย็บริมสองข้างติดกัน ทิ้งส่วนบนไว้นิดหน่อยพอให้แขนรอดออกมาได้ ส่วนปลายตรงคอก็เอาริบบิ้นร้อย ใส่ผ้านั่นเสร็จก็รูดริบบิ้นติดคอผูกโบว์ เรียบร้อย…
ไอ้เทวดานั่นถูกจัดการเป็นคนแรก ผีชุดขาวตัวใหญ่ปลดชุดมันออกอย่างไม่ปรานี เห็นมันร้องแหลมแต่ไม่ดังนักก็รู้เลยว่าผีตัวนั้นคงทำร้ายส่วนใดส่วนหนึ่งของมันแน่ถึงได้ต้องงอตัวหนีขนาดนั้น พอเปลี่ยนให้ไอ้เทวดาผมยาวนั่นเสร็จทาการะก็เป็นคนต่อไป
“เดี๋ยวดิ จะทำอะไร” ทาการะยังคงถามออกไปทั้งที่รู้ว่าน่าจะไม่เป็นผล..หนึ่งในผีพวกนั้นหันไปหยิบเครื่องมืออะไรสักอย่างมายัดลงในหลอดสลิงค์ ทำท่าทำทางคล้ายจะฉีดยาให้แก่เขา
“เฮ๊ย ไม่เอานะ!! เดี๋ยวเป็นเอดส์ เข็มอะไรน่ะ” ร้องโวยวายอยู่ได้ชั่วครู่ก็ดิ้นหนีไปไม่พ้น ทาการะรู้สึกคล้ายหนูทดลองเข้าไปทุกทีเพราะพวกนั้นพอฉีดอะไรบางอย่างเข้าใต้ท้องแขนเขาแล้วก็ยกมือลูบหัวเบา ๆ คล้ายชมเชย และกลายเป็นว่าทาการะได้แต่ยืนนิ่งเพราะมือนั่นช่างนุ่มนวลเกินกว่าจะคาด
ผีพวกนั้นค่อย ๆ ปลดชุดของเขาออกจนเปลือย…บางตัวปล่อยขำออกมาให้ได้ยิน บางตัวก็ยืนนิ่ง ๆ มองด้วยลูกกะตาวาววับ บางตัวเมินซะอย่างงั้น
“อย่ามัวแต่เล่นกันอยู่.. ท่านฮิลดาร่ารอพวกนี้ไปเข้าเฝ้าองค์รานี”
เสียงพูดนั้นทำให้ทาการะถึงกับเบิกตากว้าง “อ้าว พูดภาษาเดียวกันก็รู้เรื่องนี่”
แต่ เอ หรือว่าเขาตายนานขึ้น รู้เรื่องมากขึ้นเข้าทำนอง เม้าท์กันมากขึ้นเข้าใจกันมากขึ้น อนาคตสดสวย อนาคตผี ๆ
“พวกนายเป็นผีใช่ไหม?” ทาการะเริ่มยิงคำถามคาใจ เขามองไปยังผีผ้าคลุมขาวเหล่านั้น บางตัวก็หันมองเขาบ้าง บางตัวก็…
“ลักษณะเช่นเจ้านี่คงไม่พ้นต้องส่งไปหาท่านเอนโด..” พวกมันยังคุยกันโดยไม่สนใจ
“เฮ้ ที่นี่ที่ไหน สวรรค์ หรือนรก!” ทาการะยังพยายามตะโกนถามอีก
“นั่นองค์รานีจะเป็นผู้ตัดสินเอง ไม่ใช่พวกเจ้า เอาล่ะ ส่งพวกมันมาให้ข้า ต้องรีบนำเข้าไปแล้ว ท่านฮิลดาร่า..”
“โว๊ย!!” เด็กหนุ่มร้องตะโกนทะลุกลางปล้อง “ฉันถามเนี่ยไม่ได้ยินหรือไง๊..ท่านฮิลดาร่า ท่านอะไรก็ช่างหัวมันเหอะ ตอบคำถามฉันมาก่อน”
ผีในชุดขาวพวกนั้นหันมามองเป็นตาเดียว..ร่างสูงใหญ่ของพวกมันผงาดง้ำคล้ายจะคืบคลานเข้ามาใกล้ด้วยดวงตาวาวโรจน์
“ฮือ~ อย่าทำ..เขา” เสียงร้องอ่อน ๆ ดังมาจากเทวดามีปีก ทำเอาทาการะเริ่มรู้เห็นชะตากรรมของตัวเอง เขาเหงื่อตก..หากถ้าพวกมันทั้งหลายรวมหัวกันยำเขาด้วยระบบสหบาทาแบบผี ๆ ล่ะก็ เขาคงเอาชีวิตไม่รอด…แต่..ตายไปแล้วก็คงไม่เจ็บแล้วล่ะมั้ง อืม..ว่าไม่ได้สิ เมื่อกี้ฉีดยาเขายังเจ็บอยู่เลย ถ้าโดนรุมตื้บคงเจ็บไม่น้อย..อ่า ยิ่งคิดยิ่งเหงื่อตก
“สัตว์เลี้ยงชั้นเลว..” หนึ่งในผีผ้าคลุมขาวกล่าวใส่หน้าเขา ทำให้ผีตนอื่นๆ หัวเราะชอบใจกันใหญ่
“เลวร้ายแค่ไหนเดี๋ยวท่านเอนโดก็กำราบเองนั่นแหละ”
“เรียบร้อยหรือยัง ข้าจะพาเข้าไปแล้ว”
มือที่กำลังรั้งเส้นริบบิ้นรูดชุดเพื่อรัดคอทาการะเสร็จงานของมันพอดี เป็นอันว่าทาการะก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตนเองนั้นอยู่ที่ใด เด็กหนุ่มถูกดันให้เดินไปข้างหน้าแต่เนื่องจากชุดมันบางเสียจนมองทะลุหน้าทะลุหลังทำให้ทาการะต้องรวบชุดโล่ง ๆ นั่นมาประสานมือกุมไว้ด้านหน้ากันตัวเองอาย เขาเหล่มองเจ้าเทวดาที่ได้แต่เดินร้องไห้กระซิก ..มันไม่อายเครื่องเคราตัวเองบ้างหรือไงฟะ ไม่รู้จักปิด เอามือปาดน้ำตาสีฟ้า ๆ อยู่ได้
พวกมันพาเขาเดินมายังลิฟต์แก้วอีกตัว จับยัดเข้าไปในนั้น ไม่ว่าทาการะจะพูดอะไร พวกมันก็ไม่ได้สนใจตอบเลยคงปล่อยให้เขาถามไปคล้ายลมผ่านเข้าหู
คราวนี้ดูเหมือนลิฟต์จะวิ่งขึ้น ไม่ได้วิ่งลงเช่นครั้งที่พวกมันพาเขามาแต่งตัว.. ทาการะสังเกตเห็นว่าที่หน้าปัดบอกระยะของชั้นวิ่งเร็วมาก แต่เขากลับไม่รู้สึกตัวเลยว่ามันเคลื่อนที่หากไม่ได้มองออกไปภายนอกและเห็นวิวที่เคลื่อนเปลี่ยนเขาก็คงนึกว่าลิฟต์มันค้างแหง ๆ
ไม่นานนักลิฟต์ก็หยุดลง พวกข้างในขยับตัวกันพรึ่บพรั่บคล้ายระแวดระวัง ครั้นเมื่อประตูเปิดออก ทาการะก็ต้องถึงกับเบิกตากว้าง
…เขาเจอคนแล้ว…! แถมยังสาวยังสวยเสียด้วย
ผิดตรงที่รูปร่างของเจ้าหล่อนเนี่ยแหละที่ขัดใจ…แค่เทียบด้วยสายตาเขาก็รู้ว่าหล่อนสูงกว่าเขาแน่นอน ..แถมการแต่งตัวยังคล้ายนักรบโบราณที่ต้องมีเสื้อเกราะเหล็กคลุมท่อนบน ลาดลงมาถึงสะโพกก็ยังคงมีเกราะรูปร่างคล้ายผ้าผืนสี่เหลี่ยมแต่ปลายที่ทิ้งชายไว้สอบเข้าหากันยาวถึงประมาณเข่า ขาเรียวยาวนั่นอยู่ในกางเกงเข้ารูปดูทะมัดทะแมง เบื้องหลังหญิงสาวนอกลิฟต์ทั้งสองคนเป็นหญิงที่ยืนถืออาวุธคล้ายหอก แต่ถ้าสังเกตดี ๆ แล้วอาวุธพวกนั้นคล้ายเครื่องประดับยศ เพราะพวกหล่อนทุกคนมีปืนพกเหน็บที่เอว คนเหล่านั้นเรียงรายไปสองข้างจนถึงประตูอีกฟาก และทาการะก็บอกกับตัวเองได้เลยว่าศิลปะที่สวยงามซึ่งเป็นภาพวาดบนพื้นผนัง หรือตามเสาก่อสร้าง แม้กระทั่งที่ประตูอีกฟากหนึ่งนั้น เขาไม่เคยเรียนพบในประวัติศาสตร์ของมนุษย์โลกมาก่อนเลย
“พามาแล้วรึ? ท่านฮิลดาร่ากำลังคอยอยู่เชียว”
“ช่วยอธิบายอะไรให้ฟังหน่อยได้มั้ยเนี่ย..” ทาการะมองคนโน้นคนนี้ด้วยความงุนงง เขาไม่หวังจะได้คำตอบ แต่ได้พูดระบายความอัดอั้นในอกเสียบ้างมันอาจจะทำให้ดีขึ้น
หญิงสาวคนนั้นขมวดคิ้วมุ่น “ไปพามาจากไหนกัน”
“จากดาวดวงที่ 3 ในระบบสุริยจักรวาล”
“น่าแปลกที่พวกเจ้าสามารถไปพาสิ่งแปลกปลอมมาได้ไกลถึงเพียงนั้น”
“พวกเราตั้งใจไว้ว่าหากมันผู้นี้สามารถทำงานให้แก่จักรวรรดิได้ดีแล้วล่ะก็ เราคงสามารถนำพวกที่เหลือในที่แห่งนั้นมาช่วยทำงานได้มากทีเดียว”
“ที่แห่งนั้นมีชื่อเรียกหรือไม่ ข้าจะได้รายงานท่านฮิลดาร่าได้ถูก”
“ในระบบสุริยะต่างเรียกขานที่แห่งนั้นว่าโลก.. ส่วนที่ยืนอยู่นี่เราสามารถเรียกได้ว่ามนุษย์โลก”
เท่าที่ฟังคำพูดจากคนเหล่านั้น…ทาการะกำลังเริ่มสงสัยเสียแล้วว่าสิ่งที่เขากำลังเจอะเจออาจไม่ใช่สวรรค์หรือนรก…ไม่ใช่เทวดาหรือว่าผี..แต่มันอาจเป็นเอเลี่ยนพันธ์สยองที่ไล่กัดกินสมองคนก็ได้ คิดแล้วเขาก็ขนลุกเกรียว..พร้อมกับกร่นด่าสมองตัวเองที่พาลคิดไปว่าสาวสวยตรงหน้าเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เหมือนในหนังเอเลี่ยนทั่วไป
สวยวายป่วงขนาดนี้...จะเป็นไอ้ตัวยึกยือเหมือนในหนังต่างดาวได้ไง?
“จากรูปร่าง.. ข้าไม่คิดว่ามันจะทำงานให้เราได้… อย่างไรเสียข้าจะนำมันเข้าที่ประชุมให้องค์รานีเอนโรร่าได้ตัดสินใจว่าควรส่งให้ใช้แรงงานเยี่ยงทาส หรือส่งให้ท่านเอนโดเพื่อความสวยงามของจักรวรรดิดี ต้องขอบใจพวกเจ้ามากที่สรรหาสิ่งแปลกใหม่มาให้แก่พวกเรา..นั่น..” หญิงสาวพยักหน้าไปทางหนุ่มน้อยที่ตัวสีฟ้า “คงมาจากดาวเฟธเธอะใช่หรือไม่”
“ถูกต้องแล้ว ข้าเห็นมันคล้ายพิกลพิการ ปีกเล็กไม่เหมือนเผ่าพันธุ์จึงอยากให้องค์รานีได้เห็นสิ่งแปลกใหม่บ้าง เพราะอย่างไรเสียชาวดาวเฟธเธอะที่เราสามารถใช้งานได้องค์รานีก็ไม่มีความสนใจในพวกมันอยู่แล้ว”
“เจ้ารู้จักคิด… ข้าจะนำสิ่งเหล่านี้บอกกล่าวแก่ท่านฮิลดาร่าเอง กลับไปทำหน้าที่ของพวกเจ้าเถิด”
ผู้รายงานก้มศีรษะลงแล้วจึงถอยเข้าลิฟต์แก้ว ประตูปิดลงแล้วลิฟท์ก็เลื่อนลงไปโดยทิ้งร่างของสองหนุ่มชุดบางสีฟ้าอ่อนไว้กับผู้คุมคนใหม่
“พาพวกมันมาทางนี้” หญิงสาวที่ดูคล้ายเป็นหัวหน้าสั่งการ ทาการะเองถึงอยากจะแข็งขืนแต่ไอ้หอก.. ไม่ใช่ไม่สุภาพนะ ไอ้..หอก..แหลมๆเนี่ย มันแทงอยู่ข้างหลังเขาจนไม่มีสิทธิ์ประท้วง
ชายร่างเล็กถอนใจหนักๆ ใช่ซิ๊! เขามันไม่เร้าจาย... ชิ
คนผมยาวที่เดินอยู่ข้างๆยกมือป้ายน้ำตาก่อนจะเริ่มเอ่ยถามเขาเบาๆ “ท่าน... ท่านมาจากที่ไหนหรือ?”
ทาการะหันไปมองหน้า ..ไอ้หมอนี่แปลก เวลาพูดด้วยแทบตายมันดันไม่พูด พอเขาเริ่มเอือมที่จะพูด มันดันคิดจะพูด..
“มาท่านเทิ่นอะไรเล่า..พูดเป็นคนแก่ไปได้.. เรียกฉันว่าทาการะแล้วกัน” เจ้าของชื่อทาการะเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ถามได้อย่างนี้แสดงว่าคงจะอยากอธิบายอะไรๆให้ฉันฟังบ้างใช่ไหม ไหนว่ามาดิ๊ มีอะไรไม่ชอบมาพากลกับพวกนี้”
อีกฝ่ายพอฟังแล้วก็ทำตาปริบๆ ..อ่ะ ..งงๆ เดี๋ยวปั๊ดตบลืมบ้านเลขที่
“คือ...” ไอ้หนุ่มตาฟ้าเอียงหน้าคล้ายทำใจลำบากที่จะพูด “ข้า..ไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะไม่รู้ว่าท่าน..เอ่อ ทาการะ รู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน”
“ยุ่งยากจริง..” ชายตัวเล็กตวาดขยับร่างกายอย่างหงุดหงิด แต่ไม่ยอมปล่อยมือจากส่วนกลางลำตัวที่พยายามกุมไว้ให้มิดชิดจากสายตาประชาชี..
“ใช่ พวกเจ้านี่ยุ่งยากจริง เดินไปด้วยความสงบมิได้หรือไร?”
พี่สาวคนสวยที่เดินข้างหน้าหันมาตวาดใส่คนทั้งคู่ เล่นเอาพ่อหนุ่มผมยาวเงียบสนิทไปจริงๆ
ทาการะแอบค้อนให้คนร่วมชะตากรรมวงโต.. แถมแอบค่อนไปในใจว่าไอ้หมอนี่ถ้ามีเมียคงกลัวเมียน่าดู..ถูกผู้หญิงดุนิดดุหน่อยทำเป็นหงอ เชอะ! ไหนเลยจะเหมือนเขา ผู้หญิงอ่ะ ..กลัวซะที่ไหน...
“อุ่ย!” ชายหนุ่มสะดุ้งนิดๆเมื่อปลายของหอกจิ้มเข้าที่หลัง
แค่..เกรงใจ ไอ้หอก นี่ร๊อก!
สองข้างทางที่เดินผ่านล้วนมีรูปวาดตามฝาผนังมากมาย เป็นจิตกรรมที่..น่าจะวิจิตร ถ้ามันจะไม่มีแต่รูปผู้หญิงยืนเบ่งกล้ามและผู้ชายนั่งหงิมๆอยู่ภายในรูป
ดูเหมือนที่นี่จะมีความหลากหลายของแฟชั่นผสมปนเปกันไปด้วย กับผู้หญิงในภาพน่ะ ไม่แตกต่างมากนักหรอก เครื่องแต่งกายก็เหมือนกับที่สาวๆที่เขากำลังเดินผ่านแต่งอยู่นี่แหละ คือ มีเสื้อเป็นเหล็กอ่อนถักคลุมยาวถึงสะโพก รัดเอวไว้ด้วยเข็มขัดเหล็กที่แล้วแต่ว่าจะดัดลายประดิษฐ์เป็นรูปแบบไหน ท่อนล่างเป็นกระโปรงหนังสีน้ำตาลเข้มตัดออกเป็นริ้วๆคล้ายชุดของนักรบกรีกโบราณที่เคยเห็นในหนัง และคาดว่าข้างในจากนั้นจะไม่มีอะไรแล้ว รองเท้าก็เป็นรองเท้าหนัง หญิงพวกนี้ไม่มีเครื่องประดับอะไร นอกจากที่รัดผมที่เป็นวงแหวนเงิน และโล่ กับหอกหนักๆที่ไม่เข้ากันกับหน้าหวานๆนั่นเล้ย
ทาการะมองไปมองมา ดูเหมือนว่าที่สุดปลายทางเดินจะเป็นประตูใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดาน มีเป็นประตูสีเงินวาววับที่ยังไม่เปิดออก และเมื่อคณะของเขาใกล้เข้าไป หญิงที่เดินนำหน้าก็โบกมือเพื่อให้คนเฝ้าประตูเปิดมันออก
“โห..” ทาการะอุทานออกมาเบาๆ
เมื่อประตูค่อยแง้มออก เสียงสีเงินสกาวก็พวยพุ่งออกมาราวกับเป็นจุดกำเนิดแหล่งพลังงาน ยิ่งประตูเปิดอ้าออกมากขึ้นเท่าไหร่ ความเจิดจรัสของแสงก็ทำให้ทาการะต้องหยีตามากขึ้นเท่านั้น
“ทางนี้”
หญิงที่เดินนำหน้าบอกคนคุมให้บังคับพวกเขาเดินไปตามทางไม่ให้หยุดชะงัก
มันเป็นโถงใหญ่ที่ประดับฝาผนังและฝ้าเพดานด้วยกระจกสีประดิษฐ์ที่ตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยสร้างเป็นรูปภาพมากมายทั้งโถงกว้าง แสงที่วับวาวพวยพุ่งออกมาจากไฟที่ประดับอยู่โดยรอบ เสาและพื้นห้องโถงที่เป็นทางเดินนั้นเป็นสีเงินยวงจึ้งล้อแสงและสะท้อนเงาร่างผู้คนเยี่ยงกระจกส่องเงา
“..เห็นไปถึงไหนๆ” ทาการะพึมพำกับตนเองเมื่อก้มมองพื้นที่เขากำลังเดินอยู่และมองเห็นทะลุไปถึงเครื่องในที่ตนเองกำลังกุมไว้อย่างมิดชิด
ถ้านี่เป็นฉากในหนัง ทาการะก็คาดว่าหนังเรื่องนี้ต้องทุ่มทุนสร้างมหาศาลเลยทีเดียว ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตนเอง “เหล็กยิ่งแพงๆอยู่ช่วงนี้”
คณะเดินทางมาเกือบถึงยกพื้นสูงที่มีเก้าอี้ตัวใหญ่สลักลวดลายและประดับประดาพนักพิงด้วยเพชรและอัญมณีหลากสี และหยุดอยู่ตรงนั้น
“ท่านฮิลดาร่า..นำตัวผู้ถูกคัดสรรมาแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงคนที่เดินนำหน้าสุดร้องบอก เธอใช้มือข้างขวากำรอบข้อมือข้างซ้ายพร้อมกับแบมือซ้ายออกแล้วยื่นไปข้างหน้า ส่วนคนอื่นๆก็แค่ลดหอกลงคุกเข่าก้มหน้าสักครู่แล้วจึงยืดตัวขึ้นชี้ปลายหอกมาทางเขาอีกครั้ง
มีเสียงตอบรับในคอดังมาจากหลังบัลลังก์ทาการะเฝ้ารออย่างลุ้นระทึกเพราะเสียงที่ได้ยินนั้นห้าวหาญ แหบต่ำ ตั้งแต่เข้ามาที่นี่เขายังไม่เจอผู้ชายสักคน เห็นแต่หญิงสาวหน้าสวยเต็มไปหมด หากเจอผู้ชายสักคนก็จะได้เบาใจหน่อย อย่างน้อยผู้ชายด้วยกันคงคุยกันรู้เรื่อง
แต่เขาก็คาดผิดถนัด..เพราะคนที่เดินออกมานั้นเป็นหญิงสาวที่แทบจะทำให้ใจละลาย ทรวดทรงองค์เอวสมส่วนกลมกลึง ใบหน้าผุดผาดขาวสะอาด คิ้ว ตา จมูก และปาก รับกันไปทั้งโครงหน้า เธออยู่ในชุดนักรบเช่นเดียวกับหญิงคนอื่น แตกต่างแค่ที่เอวมีประดับด้ามดาบยาว เวลาเดินเหล็กจากชุดกับด้ามดาบจึงกระทบกันเสียงดังกรุ้งกริ้ง
เธอเดินออกมาพ้นม่านก่อนจะหันกลับไปเลิกม่านคล้ายเปิดทางให้ผู้ตามมาข้างหลัง มือขาวเล็กๆยื่นออกมาวางลงบนมือของฮิลดาร่าที่ยื่นรออยู่ แล้วร่างน้อยอรชรอ้อนแอ้นก็ค่อยๆเยื้องย่างออกมาจากเบื้องหลังนั้น
ทาการะเบิกตาค้าง.. หญิงที่เขาเห็น หนึ่งคนมีเสน่ห์ในความเข้มแข็ง อีกหนึ่งคนมีแรงดึงดูดตรงที่อ่อนแออยากปกป้อง ทาการะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโปรยยิ้มหวานไปยังสองสาวทันที หุ หุ
“นั่งลง” หนึ่งในผู้คุมบังคับพวกเขาทั้งคู่ให้ทรุดลงกับพื้น
ทาการะสะดุ้งน้อยๆเมื่อผิวที่ไม่มีอะไรปกคลุมสัมผัสกับพื้นเย็นๆใต้เท้า ในขณะที่หญิงที่ดูอ้อนแอ้นอรชรค่อยๆลดตัวลงนั่งบนบัลลังก์อย่างสง่า ชุดผ้าสีชมพูอ่อนบางค่อยๆแหวกส่วนปลายออกจนเห็นช่วงขาขาว เนินอกไหวไปตามแรงขยับตัว แหม๊..ผู้ชายอย่างเขาที่นิยมชมชอบทั้งผู้ชายและผู้หญิง ยิ่งพอมาเห็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม มันก็กระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นได้ชะงัด เพราะหล่อนดูจะแตกต่างจากสาวๆในห้องนี้ทุกคน ยิ่งเมื่อนั่งบนบัลลังก์อย่างนั้นยิ่งบ่งบอกถึงความสลักสำคัญของเธอได้อย่างไม่ต้องอธิบาย
“ไปได้มาจากไหน” คนที่ยืนข้างบัลลังก์ร้องถาม
“คนหนึ่งจากโลก อีกคนจากดาวเฟธเธอะ เจ้าค่ะ”
ฮิลดาร่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอหันไปมององค์รานี ก่อนจะยกมือน้อยๆนั้นขึ้นมาจุมพิตเพื่อแสดงความเคารพสูงสุดและค่อยวางลงตรงท้าวแขน แล้วเธอจึงเดินลงมาจากยกพื้นนั้น
“เอาเจ้าคนผมยาวนั้นมาก่อน ชาวเฟธเธอะ..??” เสียงหวานล้ำหยุดลง ดวงตาคู่สวยจ้องไปยังดวงตาสีฟ้าเข้ม ลึกลงไปราวกับจะแสวงหาความหวาดหวั่นในประกายตาคู่นั้น
“เจ้าค่ะ..”
ฮิลดาร่าพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปพูดกับเจ้าตัวโดยตรง “ลุกขึ้นยืน..เจ้าชื่ออะไร”
คนถูกถามค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นด้วยใบหน้าหมองเศร้า ปีกเล็กๆที่กลางหลังลู่ลงเล็กน้อย
“ฝุ ชานย่า” เสียงตอบสั่นเครือราวกับเจ้าตัวกลัวคนตรงหน้าจะฆ่าปาดคอ ทาการะเบ้ปากก่อนจะมองไปทางบัลลังก์
เอนโรร่า รานีแห่งจักรวรรดิ ทอดดวงตามองมายังร่างที่ยืนอยู่ของฝุชานย่า ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “สกุล ฝุ แห่งดาวเฟธเธอะกระนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มผมยาวพยักหน้าพลางปาดน้ำตาสีฟ้าออกด้วยหลังมือ
ทุกคนในที่นั้นนิ่งอึ้ง ก่อนที่ฮิลดาร่าจะตวาดก้อง “พวกเจ้า! จับตัวปัญหากลับมาอีกแล้ว”
คราวนี้ผู้คุมทุกคนคุกเข่าลงอย่างลนลาน “หาไม่ ..หามิใช่เจ้าค่ะ พวกข้าเห็นมันเดินอยู่เพียงลำพังในตลาด ซ้ำร่างกายมันดูพิกลพิการจึงนำตัวมันกลับมา”
ชาวดาวเฟธเธอะส่วนใหญ่มีปีกสีขาวสะอ้านใหญ่โตเต็มกลางหลัง เมื่อกางออกสามารถผกผินบินไปบนท้องนภา ถึงแม้บินไม่ได้ดีดั่งนก แต่ก็บินได้ในระยะประมาณ 5-10 เมตร แล้วแต่น้ำหนักคน ปีกสีขาวเล็กๆแบบชานย่า น้อยคนนักที่จะมี ถือเป็นความพิเศษของเจ้าตัวที่เมื่อเติบโตเต็มที่จึงจะแสดงออกถึงพลังที่เก็บซ่อนไว้ แต่คนภายนอกดวงดาวไม่ค่อยรู้เรื่องราวนัก จึงถือเอาว่าลักษณะนี้เป็นความพิการ
สำหรับสกุลฝุแห่งดาวเฟธเธอะนั้นเป็นสกุลของข้าราชการระดับสูงที่รับใช้ใกล้ชิดราชนิกูล การที่ฮิลดาร่ากล่าวเรียกชานย่าว่า “ตัวปัญหา” จึงไม่ผิดแปลกนัก เพราะถ้าเป็นบุคคลสำคัญของสกุลฝุ ต่อให้พิการอย่างไร พวกนั้นก็ต้องส่งคนออกตามหาแน่นอน
ส่วนชานย่าเอง มาถึงเวลานี้เขากำลังนึกเจ็บใจตนเองอยู่ไม่น้อย เพราะเพียงแค่การหนีเที่ยวหลังจากถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในเขตงานเลี้ยงแต่งงานของญาติผู้พี่ ซึ่งเป็นลูกของลุง เขาจึงไม่นึกว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้
ตามคำร่ำลือ..ไฮเอนเป็นดาวที่มีสินค้าส่งออกเป็นแรงงาน ทั้งทาสหญิงและชาย ทว่าไม่ใช่เพียงแค่แรงงานเท่านั้นที่สามารถทำรายได้มหาศาลให้แก่ไฮเอน สิ่งสำคัญคือแผงวงจรเล็กๆที่ถูกฝังลงไปในเนื้อของทาสทั้งหลายเหล่านั้นได้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อบรรจุความสามารถในการทำงานหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การทำอาหาร การทำงานบ้าน ไปจนถึงการบริหารงาน และวิศวกรการผลิตต่างๆ แต่ก็แน่นอนว่าในแผงวงจรนั้นต้องมีตัวเล็กตัวน้อยไปเพื่อควบคุมก้านสมองของทาสให้จงรักภักดีต่อนายของมัน และต้องมีตัวที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อไว้สำหรับ ‘ทำโทษ’ อีกด้วย
ชานย่าคิดถึงเรื่องนี้แล้วได้แต่หวาดหวั่นใจ เขา..จะได้รับโปรแกรมอะไร และสุดท้ายเขาจะถูกขายไปอยู่ที่ใด.. เขาจะไม่ได้กลับบ้านอีกแล้ว..ใช่หรือไม่?
ฮิลดาร่ามองไปยังร่างที่สั่นเทาของเด็กหนุ่มผมยาวพลางประเมินสถานการณ์ “เจ้าตอบมา เจ้าเป็นอะไรกับคนในสกุลฝุ”
ชานย่าลอบมองคนพูดเล็กน้อยก่อนจะตอบแบบไม่เต็มคำนัก “ข้า..เป็นบุตรของธิดาคนเล็ก ท่านตาเป็นเสนาธิการทหารของดาวเฟธเธอะ”
ได้ฟังทั้งหมดแล้วทำให้ทาการะตาโต.. ถึงแม้จะเดาไม่ออกอย่างครบถ้วนนัก แต่ท่าทางตะลึงไปของคนบนบัลลังก์ก็ทำให้ทาการะพอคาดเดาได้ว่าเจ้าหนุ่มนี่ต้องมีกำลังเสริมดีแน่ๆ
“ฮิลดาร่า..” เสียงขององค์รานีเรียกขึ้น ทำให้เจ้าของชื่อเดินเข้าไปหา
นางกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับคนใกล้ชิดก่อนที่ฮิลดาร่าจะประกาศก้องขึ้น “นำตัวไปให้ท่านเอนโด”
คนคุมส่วนหนึ่งก้มศีรษะรับทันที ก่อนจะดึงร่างของเจ้าผมยาวนั่นออกไป ทาการะเห็นชานย่าแอบลอบมองเขาคล้ายจะพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่เท่าที่ดู..กระทั่งเขาเองยังไม่รู้จะช่วยตัวเองยังไงเล้ย
“เจ้า..” หญิงสาวผู้สะพายดาบชี้ตรงมายังเขา “ลุกขึ้น”
ทาการะใจเต้นระทึก ถึงคราวตูข้าขึ้นเขียงแล้วสินะ
ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอันน้อยนิดนั้น แต่ยังมีความเขินอายพอที่จะยืนปกปิดร่างกายตนเองเอาไว้
“มาจากที่ไหน?”
“โลกเจ้าค่ะ” หญิงนำทางเป็นคนพูดแนะนำขึ้นก่อน
“โลกงั้นหรือ?” คนเอ่ยตอบเป็นองค์รานี “น่าแปลกดี ผมสีดำ ตาสีดำ ดูสวยงาม”
ฮิลดาร่ามององค์รานีอย่างยินดี “ท่านเอนโรร่านิยมมันใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
องค์รานีผู้ถูกตั้งคำถามยิ้มรับ “ดูแปลกตา ไม่เหมือนทาสคนอื่นที่เคยนำมาให้เลือก”
ผู้รับฟังทุกคนต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่.. ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ฟังถ้อยความนั้น เพราะการที่พวกนางเดินทางไกลเพื่อไปหาคนเหล่านี้มา ก็หวังจะให้ได้รับการยอมรับจากองค์รานี นางจะได้เลือกทาสและยินยอมมีบุตรสืบต่อบัลลังก์เสียที หลังจากไม่สนใจทาสใดๆมาเป็นเวลากว่าห้าปีแล้ว
“เช่นนั้นให้มันเป็นทาสของท่านดีหรือไม่เจ้าคะ?” ฮิลดาร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ
เอนโรร่ายิ้มพลางส่ายหน้า “ข้านิยมมัน แต่ไม่หวังให้มันมาเป็นทาส..ผมดำ ตาดำ แลดูน่ารัก ตัวสั้นอย่างนี้หากส่งให้ท่านพี่ช่วยจัดการมันคงเป็นเพ็ทที่น่ารักน่าลูบเล่นมาก”
หลายคนหุบยิ้มลงก่อนจะก้มศีรษะรับนโยบายขององค์รานี..มีก็แต่ทาการะที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก อะไรกันว๊า~
“ถ้าเช่นนั้น...” ฮิลดาร่าส่งเสียงออกมาห้าวลึก “ก็ส่งมันไปหาท่านเอนโดเถอะ”
“เฮ๊ย! นี่!!” ทาการะอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตะโกนร้องขึ้นอย่างหมดความอดกลั้น “อธิบายอะไรหน่อยสิ ที่นี่มันที่ไหน แล้วกำลังเล่นอะไรกันอยู่ เฮ๊ย!”
ชายร่างเล็กตะโกนร้องไปตลอดทางที่ถูกลากตัวออกไป
*-*-*