จบ ห้องปิดตาย
0
ตอน
1.06K
เข้าชม
55
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
2
เพิ่มลงคลัง

 

ห้องปิดตาย

 

ผ่านมากี่ชั่วโมงแล้วไม่รู้ที่ฉันยังคงติดอยู่ที่ด่านเดิม ๆ กับกับดักเดิม ๆอยู่ แม้ว่าจะพยายามตั้งสมาธิจดจ่อกับมันแค่ไหน ตัวละครของตัวนั้นก็ยังคงกระโดดไปไม่ถึงปลายทางสักที อาจเป็นเพราะปุ่ม Space Bar ในแป้นพิมพ์มันชำรุด หรืออาจเป็นเพราะเซนเซอร์ที่ตัวเมาส์มันมีปฏิกริยาตอบสนองช้าเกินไปก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ฉันเริ่มเบื่อเกมส์นี้แล้วล่ะ คงได้เวลาที่ต้องเลิกเล่นเสียที

‘หิวแล้วหาอะไรกินดีกว่า’

‘นอกจากมาม่าแล้วยังมีอะไรเหลืออยู่อีกมั้ยนะ’

ห่างออกไปจากโต้ะคอมพิวเตอร์ประมาณสองเมตรมีตู้เย็นตั้งอยู่ติดผนัง ข้างๆเป็นชั้นวางของรางยาวที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กาต้มน้ำร้อนไฟฟ้าขนาดเล็ก ฉันยืดแขนบิดขี้เกียจก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้นุ่ม ๆที่เบาะแบนแฟบเนื่องจากถูกนั่งทับมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ด้านบนของตู้เย็นมีกล่องลังบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกองซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ฉันคว้านมือเข้าไปโดยไม่ใช้สายตามอง ได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาสองซอง นำมันมาวางข้างๆกาต้มน้ำร้อน เสียบปลั๊กไฟต้มน้า และกลับมานั่งที่เดิม

‘นี่มันผ่านมากี่วันแล้วนะ นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง?’

สายตาของฉันเหลือบมองไปที่มุมขวาล่างสุดของจอคอมพิวเตอร์เพื่อเช็ควันที่ปัจจุบัน และก็ต้องตกใจเล็กน้อยเมื่อได้รับรู้ว่า สัญญาณ wifi มันขาดหายไป ทั้งๆที่ตั้งใจมองไปที่วันที่แต่กลับไปสะดุดตากับแถบแสดงสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่อยู่ข้างๆมากกว่า เพราะสำหรับฉันจำนวนวันที่ผ่านไปเรื่อยๆ มันไม่น่าสนใจเท่าสิ่งที่ทำให้ฉันสามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้อย่างอินเตอร์เน็ตหรอก

‘เดี๋ยวก็คงใช้ได้ล่ะมั้ง’

ไม่ใช่เรื่องแปลกหากสัญญาณจะขาดหายไปเป็นครั้งคราว ฉันจึงเลิกกังวลเรื่องอินเตอร์เน็ตและกลับไปสนใจเรื่องวันที่ต่อ นับตั้งแต่วันที่ฉันก่อเรื่องที่น่าสมเพศนั่นมันก็ผ่านมาเป็นเวลากว่า 15 วันเข้าไปแล้ว

 

∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞

 

 

ใครๆต่างก็เคยทำเรื่องน่าอายกันมาทั้งนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือไง แต่ทำไมทุกๆคนจะต้องมาคอยตอกย้ำซ้ำเติมเรื่องน่าอายของฉันด้วย ทำไมทุกคนถึงได้ชอบเหยียบย่ำความผิดพลาดของคนอื่นกันจัง

เพื่อทำให้พวกเขาดูสูงส่งขึ้นหรือเปล่า

หรือแค่เพื่อทำให้ทำให้เราดูต่ำต้อยลง

เอ...สองอย่างนี้มันก็เหมือนกันนี่นา บางทีฉันอาจมีส่วนผิดอยู่ด้วยก็เป็นได้ เพราะฉันมักทำตัวอยู่สูงกว่าคนรอบข้างตลอดเวลาทำให้พวกเขาพร้อมใจกันเหยียบย่ำเมื่อฉันเผลอล้มลงเฉกเช่นตอนนี้ ทั้งๆที่ความเป็นจริงฉันก็แค่อยากให้ทุกคนยอมรับในตัวฉัน ฉันถึงได้พยายามมากกว่าทุกคนเพื่อที่จะได้อยู่เหนือคนอื่น แต่นั่นก็คงทำให้พวกเขาดูต่ำลงจริงๆนั่นแหละ

‘ชอบทำลายข้าวของ ด่าทอเพื่อนพ้อง ยักยอกเงินกลุ่ม โกหกปลิ้นปลอกเป็นจอมหลอกลวง สมองกลวงอวดฉลาด ขาดความเคารพผู้อื่น ทำตัวสูงส่งจิตใจต่ำช้า บ้าอำนาจแสร้งเสเผื่อแผ่ แท้จริงเห็นแก่ตัว’ ็

นี่เป็นคำนิยามตัวตนของฉันที่เพื่อนๆตั้งให้อย่างสนุกสนานผ่านกลุ่มลับในไลน์ที่สั่นเตือนในกระเป๋าของเพื่อนทุกคนที่มารวมกันในหอประชุมวันนั้น ซึ่งเป็นวันที่ฉันได้ขึ้นไปรับรางวัลการประพฤติดีเด่น ต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นปีทุกคน หลังจากอาจารย์กล่าวชื่อนชมฉันเสร็จ ฉันก็ยื่นมือออกไปรับกระดาษโง่ๆแผ่นนั้นด้วยความภาคภูมิก่อนจะยิ้มและหันไปที่เพื่อนๆที่มาร่วมแสดงความยินดีกับฉัน แต่ไม่ใช่เลย พวกเขาไม่ได้มาร่วมกันแสดงความยินดี  ทุกคนกำลังกดโทรศัพท์ของตัวเองและหัวเราะกันคิกคักอย่างกสนุกสนาน ไม่มีใครสนใจฉันด้วยซ้ำ

บางทีพิธีมอบรางวัลแบบนี้คงดูน่าเบื่อเกินไปสำหรับคนรุ่นใหม่จริงๆนั่นแหละ ขนาดฉันเองผู้ได้รับรางวัลยังรู้สึกเบื่อหน่ายกับคำพูดสาธยายของรองศาสตราจารย์ที่เอาแต่พล่ามเรื่องอุดมการณ์ของตัวเองมากว่าสองชั่วโมงก่อนจะเริ่มมอบรางวัลจริงๆ ทั้งๆที่ไม่มีใครเขาอยากฟังเลยด้วยซ้ำ

ทันทีที่ฉันลงจากเวทีด้วยความอยากรู้ว่าเพื่อนๆของฉันกำลังเล่นอะไรกันอยู่ ฉันจึงรีบเดินอ้อมเวทีออกไปข้างหลังห้องประชุมแล้วกลับเข้าทางด้านหน้าเพื่อทำให้เพื่อนทุกคนตกใจ  แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากทักทายฉันก็บังเอิญไปเห็นข้อความเหล่านั้นเสียก่อน ข้อความลักษณะเดียวกันที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือของทุกคนทำให้ฉันมั่นใจว่าพวกเขากำลังคุยแชทกลุ่มกันอยู่ บทสนทนาที่กำลังด่าทอและดูถูกตัวฉันอย่างเมามันกำลังค่อยๆผุดขึ้นเรื่อยๆจากเพื่อนทุกคนรอบ ๆตัวฉัน

‘ทำใมทุกคนโหดร้ายจังเลย’

ฉันยืนอยู่ด้านหลังเพื่อนคนนึงที่กำลังอ่านข้อความจากกลุ่มนั่นอย่างเงียบๆ เธอคงยังไม่รู้สึกตัวว่าฉันกำลังยืนดูอยู่ด้านหลัง

‘ดูหน้าตอนมันยิ้มมาหาพวกเราสิ เหมือนปลาบู่ดีใจตอนได้กินอาหารนกเลย 555’

จู่ๆเธอคนนั้นก็เลิกอ่านข้อความอย่างเดียว แต่พิมพ์ตอบกลับไปด้วยก่อนจะเอามือปิดปากหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ด้วยความเป็นผู้ดีของเธอคนนั้น เธอจึงหันหลังเล็กน้อยเพื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองขึ้นมาปิดปาก ซึ่งนั่นทำให้เธอเห็นฉัน ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอพอดี เธอสะดุ้งถอยหลังแสดงสีหน้าตกใจ ก่อนจะรีบยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋าตัวเอง

‘เธอเคยเห็นหน้าปลาบู่ตอนกินอาหารนกด้วยงั้นเหรอ โห สุดยอดเลยเนอะ’

ฉันยืนกอดอกและถามเธอไปอย่างนั้นพร้อมกับใจที่ร้อนระอุไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง แต่เธอคนนั้นกลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เอาแต่ยิ้มแห้งๆใส่ฉัน เห็นแล้วน่าหงุดหงิดเป็นบ้าเลย

‘ว่าไงล่ะ มณี ฉันคุยกับเธออยู่นะ’

‘ก็   ก็ไม่มีอะไร เธอพูดเรื่องอะไรอยู่เหรอ’

ก็พูดเรื่องเธอกับคนอื่นกำลังนินทาฉันอย่างสนุกปากอยู่นี่ไง!’

          จู่ๆฉันที่เคยใจเย็นก็ตะคอกขึ้นดังลั่นไปทั่วทั้งห้องประชุม ทุกๆคนหันมองมาที่ฉันกับมณี ก่อนที่ฉันจะเริ่มตวาดใส่คนอื่น ๆด้วย ฉันตวาดใส่ทุกคนด้วยความโกรธเพราะฉันผิดหวังมาก ๆ ที่พวกเขาไม่ได้ชื่นชมฉันอย่างที่ฉันคิด พวกเขาอิจฉาและเกลียดชังฉัน

ไม่นานนักห้องประชุมที่เคยเงียบสงบก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ พวกคนที่โดนฉันต่อว่าเริ่มตั้งสติกันได้และต่อว่าฉันกลับ คำพูดเหล่านั้นมันทั้งรุนแรงและมากมายเหลือเกิน เกินกว่าที่ฉันจะรับเอาไว้ได้ ฉันจึงร้องให้ออกมา ใช่แล้ว ฉันเสียใจมากจนร้องให้ออกมา จากนั้นจากเสียงด่าทอก็กลายเป็นเสียงหัวเราะเยาะ ฉันทำอะไรต่อไปไม่ได้แล้วจึงได้แต่เดินร้องให้ออกไปจากห้อง และเป็นอย่างที่คิด ไม่มีใครตามมาปลอบใจฉันเลยสักคน ทุกๆคนคงกำลังสะใจที่ทำร้ายฉันได้ ถึงแม้ฉันไม่เคยประสงค์ร้ายกับพวกเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไม่เคยโผล่ไปเข้าเรียนอีกเลย ไม่สิ ฉันไม่กล้าแม้จะออกจากห้องด้วยซ้ำ

 

 

ในชีวิตฉันไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย

ฉันที่มักจะถูกชื่นชมอยู่เสมอ กลับถูกนินทาว่าร้ายอย่างสนุกสนาน แม้ความจริงฉันไม่ควรไปต่อว่าทุกคนขนาดนั้น แต่ฉันทนยอมไม่ได้จริงๆ ที่เห็นความภาคภูมิใจของตนเองโดนย่ำยีจนป่นปี้ แม้ว่าเพื่อนบางคนจะพยายามยืนกรานว่า พวกเขาแค่พูดล้อเล่นกันเฉยๆ ไม่ได้จริงจังอะไร แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลย

ช่วงสองสามวันแรกอาจารย์ที่ปรึกษาก็โทรมาตามฉันเข้าไปเรียนอยู่หรอก แต่ก็แค่นั้นแหละ อาจารย์ก็คงทำตามหน้าที่ของตัวเองเพื่อไม่ให้โดนตำหนิหาว่าไม่สนใจลูกศิษย์แค่นั้นเอง พอวันที่สี่ยังไม่เห็นฉันเข้าไปเรียนก็ถอดใจเลิกโทรตามในที่สุด อย่างน้อยๆอาจารย์ก็สามารถบอกคนอื่นได้ว่า ผมพยายามแล้วนะ อะไรแบบนี้ ถึงแม้จะไม่ได้พยายามอะไรจริงๆเลยก็เถอะ

พอเข้าวันที่ห้าหกเจ็ดตัวฉันก็เริ่มคุ้นชินกับการหมกตัวอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปไหนมากขึ้น แม้ห้องเช่าห้องนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่อะไรมากมาย แต่ก็ไม่เล็กจนเกินไป มีตู้เย็น มีห้องน้ำ มีชั้นตากผ้า มีแอร์ มีทีวี และมีอินเตอร์เน็ต ก่อนหน้านี้ฉันได้ซื้อของกินมากมายมากักตุนไว้แล้ว เพราะฉะนั้นฉันไม่จำเป็นจะต้องออกไปไหนอีกแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องออกไปเจอหน้าใครทั้งนั้น ไม่ต้องมาฟังใครด่า นินทาว่าร้าย หรือหัวเราะเยาะอีกต่อไป ตัวฉันสามารถอยู่อย่างปลอดภัยในห้องนี้ ห้องปิดตายที่ฉันสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง

 

∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞

 

ปรี้ดดดด

เสียงไอน้ำดังลากยาวเข้าไปทำลายความคิดเหม่อลอยของฉัน ฉันลุกขึ้นไปจัดการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลังจากที่น้ำเดือดแล้ว ตามที่คาดเอาไว้อาหารที่เตรียมไว้จะหมดในประมาณวันที่15-17 ที่อยู่ในห้องนี้ซึ่งนั่นทำให้ฉันอาจจำต้องออกไปซื้ออาหารมาตุนอีกครั้งหนึ่ง แม้จะยังคงรู้สึกไม่อยากออกไปแต่มันก็เป็นเรื่องจำเป็นอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก่อนอื่นก็ขอจัดการกับบะหมี่ที่กำลังจะอืดในชามตรงหน้านี่ก่อนก็แล้วกัน

ปกติฉันมักจะไม่ปล่อยให้ห้องเงียบขนาดนี้ ฉันจะเปิดเพลงหรือรายการอะไรสักอย่างคลอเอาไว้เสมอเพื่อไม่ให้ฉันรู้สึกเหงาถึงแม้จะอยู่คนเดียวก็เถอะ แต่ด้วยความที่สัญญาณอินเตอร์เน็ตก็ยังไม่มาทำให้ฉันต้องปล่อยให้ทั้งห้องเงียบอย่างนี้ต่อไป มันดูไม่คุ้นเคยยังไงก็ไม่รู้ ฉันรู้สึกอย่างนั้น บางทีอาจเป็นเพราะที่ฉันเอาเทปติดประตูหน้าต่างทั้งหมดเพื่อไม่ให้คนข้างนอกมองเข้ามาเห็นฉันด้วยล่ะมั้ง ที่ทำให้บรรยากาศในห้องเงียบๆมันอึมครึมแบบนี้ ฉันอยู่ในห้องนี้โดยปราศจากแสงเดือนแสดงตะวันทำให้ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าตอนไหนกลางวันตอนไหนกลางคืน มีเพียงคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ของฉันเท่านั้นที่จะบอกได้ แต่หลังๆมานี่ฉันก็ไม่สนใจกาลเวลาสักเท่าไร ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่างเปล่าขึ้นไปทุกที มันเริ่มรู้สึกแล้วว่า เหมือนตัวตนของตัวเองจะค่อยๆจางหายไป...

ปกติฉันมักจะดูรายการโชว์หรือไม่ก็เล่นเกมส์ไปเรื่อยๆทำให้ไม่ต้องคิดและสนใจอะไรอย่างอื่น แต่พอไม่มีอะไรให้ทำแบบนี้กลับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย จิตใจของฉันมันฟุ้งซ่านแบบหยุดไม่อยู่ นึกย้อนไปถึงความผิดพลาดทุกอย่างที่เคยทำ นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์แย่ๆที่เคยเจอ ฉันไม่สามารถหยุดความคิดตัวเองได้จนทำให้ต้องพึ่งยานอนหลับอีกครั้ง ในเมื่อตอนนี้ควบคุมมันไม่ได้ งั้นก็นอนหลับไปก่อนก็แล้วกัน ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวทุกอย่างก็คงกลับเป็นปกติเหมือนเดิม

ฉันปลอบใจตัวเองก่อนจะค่อยๆผล็อยหลับไป...อยู่ในโลกแห่งความฝัน...

แต่แล้วฉันก็ไม่ได้ฝันอะไรเลย ทุกๆอย่างดำมืดไปหมด ไม่มีทั้งเสียง ภาพ กลิ่น การสัมผัส มีแต่ความคิดที่ล่องลอยไปมา ฉันจึงสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะรู้สึกกลัวความว่างเปล่านั้นทั้ง ๆที่พอลืมตาขึ้นมาทุกๆอย่างก็ยังคงว่างเปล่าอยู่ดี ตอนนี้แอร์ในห้องเลิกทำงานไฟในห้องก็กระพริบติดๆดับๆ ซ้อนกันไปกันมา ทั้งๆที่เป็นห้องที่ฉันคุ้นเคยแต่เหมือนอะไรบางอย่างมันเปลี่ยนไปจนฉันไม่รู้สึกคุ้นเคยมันอีกต่อไปแล้ว

และแล้วไฟที่กระพริบๆก็ดับลงในที่สุด ทั้งห้องมืดสนิทและเงียบซะจนน่าขนลุก ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดฟังก์ชันไฟฉายส่องไปทั่วห้องอย่างเป็นกังวล เพราะอะไรกันฉันถึงได้รู้สึกหวาดกลัวได้ขนาดนี้ ฉันอยู่ในห้องนี้ก็เพื่อที่จะรู้สึกปลอดภัยจากโลกภายนอกไม่ใช่หรือไง

ฉันมองวนไปวนมาสักพักก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าแกะเทปปิดหน้าต่างออกและเปิดมัน บรรยากาศในห้องน่าจะดีกว่านี้แน่ จึงได้เดินตรงบึ่งไปที่หน้าต่างและเริ่มแกะเทปดำที่ฉันติดเอาไว้อย่างกระวนกระวาย เพราะฉันเริ่มหายใจไม่ออกบวกกับอุณภูมิภายในห้องที่สูงขึ้นเพราะแอร์ไม่ทำงาน ยิ่งเป็นเหตุผลให้ฉันต้องรีบเปิดประตูหน้าต่างบานนี้ให้เร็วที่สุด

ในที่สุดฉันก็เปิดหน้าต่างออกได้สำเร็จ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันรู้สึกโล่งใจเลยเพราะตอนนี้คือเวลากลางคืนที่ทุกๆอย่างเงียบสงัด ไม่มีแสดงสว่างใด ๆส่องเข้ามาเพื่อช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลย ลมก็ไม่พัดไหว บรรยากาศรอบ ๆเงียบสงบ เงียบสงบจนน่าขนลุก...

แทนที่จะรู้สึกดีขึ้นฉันกลับรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเก่า เหงื่อที่ผ่ามือและใบหน้าของฉันทำให้ฉันเข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังวิตกหวาดกลัวมากแค่ไหน ไม่มีทางเลือกแล้ว ขืนอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ต่อไป ได้เป็นบ้าแน่ ฉันรีบเดินรุดเข้าไปที่ประตูทันที ประตูที่ฉันปิดล็อคขังตัวเองเอาไว้จากโลกภายนอก ทันทีที่ฉันจับไปที่ลูกบิดก็เกิดความคิดที่ลังเลขึ้น

นี่เรากำลังจะออกไปด้านนอกเหรอ

ด้านนอกมีคนพวกนั้นใช้ชีวิตอยู่นะ

ถ้าพวกเขาทำร้ายเราอีกล่ะ

ถ้าพวกนั้นเยาะเย้ย ดูถูก และทำให้เราเสียใจอีกล่ะ

เราจะยอมรับได้ไหม

ไม่! ไม่เอา ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ออกไปเด็ดขาด

ฉันตัดสินใจที่จะถอยห่างออกจากประตูทันทีที่ตระหนักได้ถึงความโหดร้ายของโลกภายนอก ฉันคิดมาโดยตลอดว่า ในเมื่อฉันเป็นคนล็อคประตูห้องนี้จากภายใน ฉันสามารถที่จะออกไปตอนไหนก็ได้ตามที่ต้องการ แต่ในความเป็นจริงมันกลับไม่ได้รู้สึกง่ายดายขนาดนั้น ฉันไม่มีความกล้าที่จะเผชิญกับอะไรเลย ฉันกลัวโลกข้างนอกนั่น สำหรับฉันในตอนนี้โลกภายนอกมีแต่คนที่คอยจะจ้องทำร้ายฉันเต็มไปหมด

ฉันหันหลังและถอยกลับมานั่งที่เตียงนอนเช่นเดิม ท่ามกลางความมืดมิด ความเงียบสงบ อากาศที่อบอ้าว ทุกๆอย่างทำให้ฉันควบคุมความคิดตัวเองไม่อยู่อีกแล้ว

ทำไมต้องเป็นฉัน?

ฉันผู้ไม่ได้ทำอะไรผิด       ฉันที่พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อคนอื่น

ทำไมคนอื่นต้องเกลียดฉัน ทำไมคนอื่นต้องเยาะเย้ยฉัน ทำไมทุกคนต้องรังแกฉัน

ฉันมันโชคร้ายจริงๆ ทำดีไม่เคยได้ดีเลย ช่างน่าอดสูยิ่งนัก ชีวิตนี้...

กรึกกรัก! ตุบ!

            จู่ๆ กล่องลังบนตู้เย็นที่วางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบก็ล้มลงไปกองระเนระนาดบนพื้น ในห้องที่ไม่มีลมพัดผ่าน เสียงกรึกกรักก่อนหน้าคงเป็นต้นเหตุให้กล่องพวกนี้พังลงมา แล้วเสียงนั่นมันเป็นเสียงจากอะไรกัน

กรึกกรึก!

ทันทีที่เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ฉันก็รีบหันฟฉายไปที่ต้นเสียงทันที แม้จะมองเห็นแค่แวบเดียวแต่มันก็ทำให้ฉันผวาจนหัวใจแทบหยุดเต้น เงาดำๆนั่นเพิ่งเคลื่อนที่ผ่านไปยังอีกมุมของห้อง แม้มันจะผ่านไปเร็วมากแต่ฉันเชื่อว่าฉันเห็นมันเคลื่อนที่ เท่าที่ดูมันไม่ใช่แมวหรือหนูที่ไหนแน่ ๆ แล้วมันเป็นตัวอะไรกัน

ฉันไม่กล้าฉายไฟไปอีกมุมของห้องเพราะกลัวจะได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น ฉันที่เพิ่งหดหู่อย่างสุดขีดเมื่อครู่กำลังถูกโจมตีต่อด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีด ทำไมถึงต้องซ้ำเติมกันขนาดนี้ ฉันไม่ไหวแล้วกับความรู้สึกพวกนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องให้ออกมา

ฮือ ฮือ ฮือ

ตอนนี้ห้องของฉันไม่ได้เงียบสงัดอีกต่อไปแล้ว เพราะมันถูกเติมเต็มด้วยเสียงร้องสะอึกสะอื้นของตัวฉันเอง ฉันรู้สึกตัวหนักอึ้งจนลุกไปไหนไม่ได้ ความรู้สึกไม่ดีมันกำลังถาถมใส่ตัวฉันจนรู้สึกเหมือนกำลังจนดึ่งลงสู่ก้นทะเลสาบ ฉันไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ... ไม่เอาอีกแล้ว...

ฉันลุกพรวดขึ้นอีกครั้งและรีบพุ่งตรงไปที่ประตูทันที คราวนี้ในหัวฉันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ฉันแค่ไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้และอยากออกจากห้องปิดตายของตัวเองเสียที ฉันกำไปที่ลูกบิดอย่างไม่ลังเลและรีบเปิดประตูออก

แกร็ก แกร็ก

“เห้ย!!!”

ประตูเปิดไม่ออก?

ฉันร้องอุทานเสียงหลงเมื่อได้รับรู้ว่าตนเองไม่สามารถเปิดประตูออกไปได้ ไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องความกล้าหรือแผลทางจิตใจอะไรทั้งนั้น มันเป็นปัญหาทางกายภาพล้วน ๆเลย เพราะเหมือนตอนนี้ประตูห้องของฉันจะถูกล็อค จากข้างนอก แม้จะพยายามดึงแรงแค่ไหนมันก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับเลย

นี่มันอะไรกัน จากที่ฉันเข้าใจมาโดยตลอด ห้องปิดตายนี้ฉันสร้างขึ้นมาเองและมีอิสระที่จะออกไปตอนไหนก็ได้ แต่ความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่า ฉันไม่ได้มีอิสระและนี่ไม่ใช่ห้องปิดตายในอุดมคติของฉัน แต่มันคือห้องปิดตายจริงๆ ที่ขังฉันเอาไว้นานกว่า 15 วันแล้ว

ไม่เอานะ ไม่เอาแบบนี้

อย่าขังฉันไว้แบบนี้

ฉันพยายามกระแทกประตูอย่างเต็มแรง แต่มันก็ไม่สามารถทำให้ประตูเปิดออกได้ แม้จะเริ่มเจ็บที่ข้อมือและที่หัวไหล่ ฉันก็ยังไม่หยุดกระแทกต่อไป เพราะฉันกลัว ห้องมืดๆนี่ ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว กลับกันมันเหมือนว่าฉันกำลังอยู่ในท้องของตัวอะไรสักอย่าง ไม่นานก็คงโดยย่อยสยายหายไป มันกลายเป็นสถานที่ที่อันตรายสุดๆไปเสียแล้ว

“ใครก็ได้ เปิดประตูที”

“ใครก็ได้ ช่วยฉันด้วย”

“ขอร้องล่ะ มีใครอยู่ไหมโว้ย!”

เปลี่ยนจากกระแทกฉันเริ่มใช้กำปั้นทุบไปที่ประตูอย่างกระวนกระวาย หวังแค่ว่าเสียงนี้จะปลุกใครสักคนในหอให้มาช่วยฉันออกไป ฉันทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆจนรู้สึกเหนื่อยก็ยังไม่มีวี่แววใครเข้ามาช่วย

“ใช่แล้ว โทรศัพท์ไง”

“โทรหาเพื่อน หาพ่อแม่ หรือหาอาจารย์ ให้มาช่วยก็ได้นี่”

แล้วฉันก็เดินกลับไปที่เตียงเพื่อหยิบโทรศัพท์ แสงไฟฉายจากโทรศัพท์จางลงจากตอนแกรที่ใช้อย่างเห็นได้ชัด และพอฉันหยิบมันขึ้นมา ไฟฉายก็ดับ หน้าจอมืดสนิทและก็เปิดไม่ติดอีกเลย

“โถ่โว้ย”

ฉันปาโทรศัพท์ทิ้งไป ในหัวคิดอะไรไม่ออกแล้ว ฉันได้แต่นั่งร้องให้เสียใจกับทุกๆอย่าง เดินวนไปวนมารอบห้อง ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ จนทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายฉันก็ไปนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมหน้าต่าง และร้องให้ปนสะอึกอยู่ตรงนั้น จนเหนื่อยพอที่จะ หลับใหลลงไปอีกครั้ง ถ้าเป็นไปได้ ฉันเองอยากให้นี่เป็นการหลับครั้งสุดท้ายของฉันเลยเสียด้วยซ้ำ ...

∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞∞

 

เสียงจิ๊บจั๊บของเหล่านกตัวน้อยดังกระซิบลอยมาจากนอกหน้าต่าง ลมพัดเบาๆทำให้เหล่าใบไม้เล็กใหญ่พริ้วไหวไปมา พาอากาศเย็นๆพัดเข้ามาในห้องพร้อมกับแสงสว่างยามเช้าจากดวงอาทิตย์ที่แสนอ่อนโยน ฉันลืมตาตื่นมาได้สักพักแล้วแต่ยังคงไม่ขยับไปไหน เพราะมัวแต่ชื่นชมบรรยากาศโดยรอบที่ฉันไม่ได้สัมผัสมานานหลายวัน ความรู้สึกสดชื่นหลังผ่านคำคืนอันโหดร้ายนี่ช่างแสนวิเศษเกินบรรยาย ทั้งๆที่เป็นทิวทัศน์ทั่วไปที่เห็นได้ทุกๆวัน แต่ฉันกลับรู้สึกชื่นชอบมันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ ณ เวลานี้ เวลาที่ฉันได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญของชีวิต

ท้องฉันยังหิว ขาของฉันก็ไม่มีแรง แต่ฉันก็ยังสามารถฝืนลุกขึ้น เดินไปที่ลิ้นชักข้างเตียงนอนเพื่อหยิบ ใขควงอันเล็กๆที่ฉันมีขึ้นมากำเอาไว้แน่น ก่อนจะหยิบแท่งราวตาผ้าเดินไปที่หน้าประตู แม้จะถูกล็อคแน่นหนาแต่นี่เป็นแค่ประตูไม้ ถ้าเปิดมันทั้งบานไม่ได้ก็ขอพังมันทั้งเลยก็แล้วกัน

ฉันใช้ใขควงเป็นตะปูและใช้แท่งเหล็กของราวตากผ้าเป็นค้อน ตีทับเข้าไป มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะทำให้ใขควงทะลุเข้าไป แต่ฉันก็พยายามจนทำมันสำเร็จ การตีกระทบไปที่ประตูทุกครั้งก่อให้เกิดเสียงดังสะท้อนไปทั่วหอ ฉันเองก็ยังหวังให้ใครได้ยินเสียงนี้และเข้ามาดู แต่ฉันรอคนมาช่วยไม่ไหวแล้ว ฉันต้องเอาชนะเอาชนะอุปสรรค์นี้ด้วยตัวเอง ฉันเป็นต้นเหตุให้ตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ฉันต้องรับผิดชอบมันด้วยตัวเอง

แคร็ก แคร้ก

หลังจากที่เจาะใขควงทะลุได้สำเร็จฉันก็ใช้ด้ามของใม้กวาดกะเทาะที่รูนั้นเพื่อให้มันขยายใหญ่ขึ้น ฉันทุ่มเข้าไปสุดแรงทุกๆครั้งที่เข้ากระแทก มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้รู้ว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่อเอาชนะปัญหาอยู่ ไม่ได้หนีหัวซุกหัวซุนเหมือนอย่างที่เคย มันอาจฟังดูบ้าแต่ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆที่ได้เห็นประตูที่ขังฉันไว้กำลังค่อยๆแตกออก

ในที่สุดประตูก็พังไม่เหลือชิ้นดีจากการทุบตีของฉันเอง ฉันผู้ไม่เคยออกแรงมากขนาดนี้ ไม่เคยรู้เลยว่ามันรู้สึกดีขนาดไหน ที่ได้ทำลายสิ่งที่กักขังตัวฉันเอาไว้ ทั้งทางกายและทางจิตใจด้วย ฉันมุดออกมาจากรอยแตกของประตูด้วยความภาคภูมิใจ ถ้าใครมาเห็นฉันตอนนี้คงจะแปลกใจน่าดู แต่ช่างคนอื่นสิ ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าฉันดีใจแค่ไหนที่ออกมาจากห้องปิดตายนั่นได้

ทันทีที่สังเกตประตูห้องจากภายนอกฉันก็เริ่มเข้าใจทุกอย่าง กระดาษแผ่นใหญ่ที่ติดอยู่ขอบบนของประตู คือบิลค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าห้อง เดือนก่อนฉันเผลอลืมจ่ายไป บวกกับของเดือนนี้ที่ฉันไม่ยอมออกไปไหน คงทำให้เจ้าของหอเข้าใจว่าฉันไม่อยู่แล้วแน่ๆเลย ถึงได้ล็อคประตูไว้แบบนั้น ทำไมไม่เปิดเข้าไปเช็คด้านในก่อน ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แถมนี่คงอยู่ในช่วงวันหยุดเทศกาลพอดี ทำให้หอพักแทบไม่มีใครอยู่เลย

จะอะไรก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันรู้สึกดีสุดๆ กว่าที่เคยเป็น ฉันเข้าใจแล้วว่า ชีวิตมันไม่ได้เรียบง่าย ไม่ใช่ทางลาดโล่งเตียนที่ฉันจะเดินดุ่มๆไปคว้าความสำเร็จอย่างที่ฉันคาดไว้ ในวันที่ฉันเดินไปเจอสิ่งกีดขวาง ฉันต้องสู้กับอุปสรรค์ที่มันเกิดขึ้น ไม่ใช่หนีไปที่อื่น เพราะไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน สิ่งกีดขวางมันก็ยังอยู่ตรงนั้นที่ที่มันเคยอยู่ แม้การจะเอาชนะมันได้จะต้องใช้ทั้งแรงกาย แรงใจมากแค่ไหน ใช้ทั้งความพยายามและความอดทนมากแค่ไหน แต่ความรู้สึกตอนที่เอาชนะมันมาได้นั้นเป็นอะไรที่คุ้มค่าที่จะฝืน คุ้มค่ากับความพยายามจริงๆ

จริงๆแล้วฉันก็รู้มาโดยตลอดว่าไม่ว่าหนีไปที่ใด ฉันก็หนีไม่พ้นมันได้หรอก ทุกๆวันฉันก็คิดถึงแต่เรื่องนั้น ถ้าฉันยังหนีอยู่แบบนี้ ฉันคงต้องอยู่กับมันตลอดไป ซึ่งฉันไม่เอาแล้ว ไม่เอาอีกแล้วความรู้สึกแบบนั้น ฉันจะออกไปเผชิญกับมัน ฉันไม่รู้หรอกว่าจะแก้ใขมันยังไง ฉันไม่รู้ด้วยว่าอะไรมันจะดีขึ้นหรือไม่ แต่ฉันจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว…

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว