ณ ประเทศทมิฬ
พลรีบขับมอเตอร์ไซด์ไปยังโรงพยาบาลทันทีเมื่อทราบข่าว
พอมาถึงโรงพยาบาล เขาก็รีบไปพบหมอที่นัดเขาไว้
เมื่อพลเจอหมอแล้วประโยคแรกที่เขาพูดกับหมอก็คือ “ผมอยากไปดูศพพี่ชายผมครับ”
“อย่าเลย” หมอทัดทานไว้ “เรื่องศพให้เป็นเรื่องของผมดีกว่า”
แต่พลยังอยากดูศพพจน์ พี่ชายของเขา
“ผมขอร้องล่ะครับ ผมอยากเจอเขา”
หมอมองตาของพลอยู่นานจนเขาตัดสินใจพูด “ก็ได้”
หมอพาพลไปที่ห้องเก็บศพ แล้วให้เจ้าหน้าที่เข็นศพของพจน์ พี่ชายของพลมาข้างๆเขา
“คุณพร้อมนะครับ” เมื่อหมอพูดจบ พลก็พยักหน้าทันที
เมื่อหมอเปิดผ้าคลุม ศพของพจน์จึงปรากฏออกมา
ตอนนี้พจน์อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ร่างกายทุกส่วนของเขาบอบช้ำอย่างหนัก
พลมองศพของพี่ชาย เขาปวดร้าวมาก แต่ไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด
“ตอนที่กรมนำเขามาที่โรงพยาบาล เขาอยู่ในสภาพนี้เหรอครับ”
“ใช่” หมอตอบพลด้วยความลำบากใจ
“เขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ตอนนั้นเขายังไม่ตาย แต่ร่างกายบอบช้ำมาก เขามาตายที่โรงพยาบาล
ขนาดโดนถึงขนาดนี้ แต่เขายังพอทนได้ เพียงแต่ร่างกายของเขามันยับเยินจริงๆ เขาจึงทนไม่ไหว”
“ทางกรมทหารว่ายังไงบ้างครับ” พลถามทั้งๆที่ยังมองศพพี่ชายอยู่
“เขาเป็นครูฝึกทหารและยังเป็นรบพิเศษด้วย ทางกรมจึงตัดสินใจไม่สอบสวนใดๆทั้งนั้น”
พลมองศพของพี่ชายนิ่ง แล้วหันมามองหน้าหมอ
“ผมฝากจัดการศพเขาด้วยนะครับ”
หมอพอจะเข้าใจว่าพลต้องการจะทำอะไร
“ครับ ไม่ต้องห่วง ผมจะจัดการให้อย่างดี”
พลออกไปจากตึก แล้วก็ขับมอเตอร์ไซค์ออกไป
เขาเป็นรบพิเศษรุ้นน้องของพจน์ประมาณ 3 ปี
โชคดีที่เขาใช้นามสกุลแม่ แล้วพจน์ใช้นามสกุลพ่อ
เขาอยากรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร
มีใครเกี่ยวข้องบ้าง
พลจึงสมัครไปเป็นครูฝึกในกรมทหารแห่งนี้
โปรดติดตามบท (ที่ 1) ต่อไป