ในเมืองที่ห่างไกลตั้งอยู่กลางหุบเขา โดยที่ใจกลางเมืองมีทะเลสาปที่เป็นเหมือนใจกลางหลักของเมือง เป็นแหล่งน้ำรองสำหรับใช้สอย ยามที่เส้นทางไปลำธารที่ห่างออกไปเกิดปัญหา ทะเลสาปจะเป็นที่พึ่งผิงยามลำบาก เป็นเมืองเล็กๆที่มีเจ้าเมืองปกครองอย่างใกล้ชิด ดูแลความเป็นอยู่ สุขทุกข์เสมอมา ทำให้ชาวบ้านในเมืองใช้ชีวิตอย่างราบรื่น การที่ชาวเมืองจำนวนไม่มากนักจึงทำให้รู้จักสนิทสนมกันหมด ยามมีงานรื่นเริงทุกคนต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และสำหรับเมืองเล็กๆนี้ นอกจากมีเจ้าเมืองเป็นพึ่งในการดำเนินชีวิตแล้ว พวกเขายังมีดวงดาวเป็นที่พึ่งจิตใจ และนำทางให้กับชีวิต นั่นจึงทำให้เมืองนี้มีเทศกาลสำคัญคือ “เทศกาลลอยโคม” ที่จะจัดขึ้นที่ปีในวันเดือนดับหรือเป็นวันที่ไร้ซึ่งแสงใดบนท้องฟ้า ทำให้เป็นคืนที่มืดมิดยิ่งนัก การลอยโคมก็เพื่อแทนแสงดาวบนท้องฟ้า และมันไม่น่าเชื่อว่าเทศกาลนี้มันทำให้ผมได้เจอกับดอกไม้ของผม
สวัสดีครับผม อเล็กซ์ เซดดัล อายุ 25 ปี ครอบครัวผมเปิดร้านขนมปังที่ใหญ่ที่สุดและร้านเดียวของเมือง นั่นเลยทำให้ผมลูกชายคนที่ 2 ต้องอยู่ช่วยงานที่บ้านตั้งแต่เด็ก จากหยิบจับเล็กๆน้อยๆ เป็นปั้นขนมปัง จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีที่แล้วพ่อเพิ่งอนุญาตให้ผมใช้เตาถ่านเป็นครั้งแรก เพราะหากทำไม่ดีขนมปังจะเสียหายเป็นจำนวนมาก แต่ถึงผมจะใช้ได้แล้วแต่ก็ไม่มาก เพราะมันคืองานหลักของพ่อกับพี่ชาย ส่วนผมกับแม่จะปั้นและตัดขนมปังและขายหน้าร้าน ที่จริงผมมีพี่สาวอีกคนแต่เธออยู่คนละบ้านเพราะแต่งงานไป แต่นั่นแหละกิจการบ้านผมเป็นไปอย่างดี และมีความสำคัญกับเมืองมาก เพราะขนมปังเป็นองค์ประกอบหลักของอาหารแต่ละมื้อ ซึ่งใช่ว่าอยู่ดีๆบ้านผมจะเปิดได้ แต่เพราะคุณฑวดของคุณฑวดสนิทกับเจ้าเมืองคนก่อนๆและช่วยเจ้าเมืองพยายามสร้างเมืองนี้มา ท่านจึงยกธุรกิจสำคัญให้บ้านเราเป็นรางวัลตอบแทน และอีกหน้าที่สำคัญที่ท่านเจ้าเมืองไว้ใจและมอบหมายให้ทำคือ จัดการกับ “โคมลอย” หลังวันเทศกาลที่จะตกอยู่ในทะเลสาป โดยรุ่งเช้าของวันถัดมา เราจะออกเรือไปเก็บโคมเหล่านั้นและเอาไปส่งปราสาทเจ้าเมืองที่จะเอาไปตากแห้งแล้วเก็บไว้ในคลัง จนกว่าจะวันเทศกาลปีถัดไปจะนำโคมเหล่านั้นไปแจกชาวเมือง ซึ่งอันที่จริงมันเป็นอีกเวลาที่ผมรอคอยเลยทีเดียว
มันเกิดขึ้นตอนผมอายุได้ 8 ปี ผมโตจนพ่อคิดว่าสามารถออกไปเก็บโคมลอยได้ มันฟังอาจดูเป็นงานง่ายๆเพราะเมืองเรามีไม่กี่ครัวเรือน แต่เพราะมันคือโคมของทุกคน ทุกคนไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ต้องมีโคมของตัวเองเพื่อเติมเต็มดาวบนฟ้าและนอกจากนั้นโคมลอยยังเหมือนสิ่งที่นำคำอธิษฐานของเราไปสู่ฝากฟ้า แต่เราจะไม่ใช้วิธเขียนคำอธิษฐานลงไปแต่เราจะอธิษฐานมันด้วยใจทั้งหมดของเรา เพราะไม่สิ้นเปลืองในการผลิตใหม่ทุกปี เราจึงไม่เขียนเพื่อให้สามารถเอากลับมาใช้ใหม่ได้ และวันแรกในการลงเรือของผม ผมใช้กระชอนก้านยาวช้อนโคมขึ้นเรือเรื่อยๆ อาจยังไม่สามารถตักทีละเยอะๆได้ แต่ผมก็พยายามเก็บอย่างดีไม่ให้โคมขาด เพราะถึงแม้โคมเราจะใช้กระดาษแบบพิเศษที่ทำให้ไม่ละลายน้ำและสามารถนำมาใช้ใหม่ได้ ผมเก็บไปเรื่อยๆจนสายตาไปสะดุดกับโคมแปลกๆอันหนึ่ง แม้มันจะอยู่ห่างไกลออกไปสักนิดแต่ความสงสัยของผมก็ไม่รอวนเรือไปแต่เอื้อมแขนไปสุดแขน เท้าเหยียบขอบเรือหมิ่นเหม่ขนาดที่ว่าพ่อที่อยู่ข้างหลังถึงกับร้องเสียงหลง ปล่อยกระชอนแล้วมาคว้าผมไว้ เก็บเสร็จผมนี่โดนชุดใหญ่ แต่มันก็คุ้มนะ เพราะโคมที่ผมเก็บมามีลักษณะแตกต่างกับทุกอัน เพราะมันถูกวาดลวดลาย “ดอกกุหลาบ” ลงไปโดยที่ขอบโคมมีข้อความเล็กๆเขียนไว้ว่า “ขอให้ได้เห็นโคมลอยอยู่บนฟ้าสักครั้ง” อาจเพราะตอนนั้นผมยังเด็กเลยไม่ได้คิดอะไรแค่เห็นว่ามันแตกต่างจากอันอื่นและอีกอย่างเพราะมันแตกต่างจะไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ผมจึงขอพ่อเก็บเอาไว้ แล้วเวลาก็ผ่านไปจนเข้าปีที่สองที่ผมไปช่วยเก็บโคม นั่นทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเจอโคมดอกไม้อีกครั้ง แต่มีข้อความเล็กๆประโยคเดิมเขียนไว้ แม้ตอนนั้นผมจะประหลาดใจและสนใจแต่ผมก็ยังไม่สามารถหาที่มาของมันได้ โดยที่ทุกปีๆผมจะเจอมันและเก็บมาทุกปีจนผ่าน 12 ปี ผมก็ยังไม่ได้คำตอบ
“นี่ๆวันนี้เด็กนั้นมาโรงอาบน้ำอีกแล้ว”
“แย่จริงเลย เราจะติดโรคเพี้ยนมาจากเธอรึเปล่า”
และผมก็ตื่นจากภวังค์เพราะเสียงของลูกค้าสองคนหน้าร้าน “เด็กคนนั้น” ก็คงเป็นคนเดิม ที่ชอบก้มหน้าอ่านหนังสือ ไม่พูดไม่จากับใคร และเธอชอบมีพฤติกรรมแปลก เช่นไปยืนมองดอกไม้ในสวนอยู่คนเดียว เธอชอบมีของแปลกๆใช้นั่นยิ่งทำให้เธอดูเพี้ยน จนชาวบ้านคิดว่าเธอคงมีโรคเพี้ยนและไม่พูดคุยกับเธอ ไม่รู้สิ เพราะผมไม่เคยเจอเธอเลยสักครั้ง ที่ผมพูดมาทั้งหมดเป็นคำพูดของเหล่าแม่บ้านที่มาซื้อขนมปังทุกวัน ผมไม่เคยเจอเธอเพราะ เธออยู่อีกฟากของทะเลสาป ซึ่งเป็นฝั่งหมู่บ้าน มีเพียงบ้านเรือนพักอาศัยเท่านั้นมีโรงอาบน้ำ บ่อซักผ้าหรือพอจะมีเพียงร้านค้าไม่กี่ร้านและเป็นร้านเล็กๆ ไม่เหมือนฝั่งผมเป็นศูนย์กลางของเมือง เพราะติดกับปราสาทเจ้าเมือง ที่มีร้านค้าใหญ่ๆ หอสมุด โดยที่ครอบครัวผมอาศัยอยู่ชั้นบนของร้านขนมปัง และนั่นทำให้ผมไม่เคยไปฝั่งหมู่บ้านเลยสักครั้ง จนวันหนึ่ง…
“อเล็กซ์ วันนี้เอาขนมปังไปส่งที่บ้านครอบครัวเชลตัลหน่อยนะ พอดีพรุ่งนี้บ้านเขาจะมีงานเลี้ยงเลยสั่งขนมปังเยอะเป็นพิเศษ”
“ได้ๆ”
ที่จริงบ้านผมก็ต้องไปส่งขนมปังฝั่งนู้นบ่อยๆ แต่ปกติคนที่ไปส่งจะเป็นพี่ชายผม เพราะต้องเข็นรถขนขนมปังไปจำนวนมาก ซึ่งแม่ผมกลัวว่าผมจะไม่ไหว เพราะผมไม่ได้สูงใหญ่ดูกำยำแบบพี่ชาย แต่กลับผอมสูง นั่นเลยทำให้แม่ผมไม่ให้ไป แต่วันนี้เพราะพี่ชายผมไม่สบายจึงทำให้ไม่สามารถลงมาช่วยงานได้ เลยเหลือแต่ผม เพราะไอครั้นจะให้พ่อไปส่งก็จะไม่มีใครอยู่คุมร้านเผื่อมีลูกค้าสั่งชุดใหญ่
“ไปละนะครับ”
“เดินดีๆนะอเล็กซ์”
ถึงมันจะหนักหน่อยๆเพราะรถลากไม้แต่ก็ใช่ว่าจะแบกไม่ไหวเสียหน่อย ผมค่อยๆเดินข้ามสะพานยาวที่เชื่อมฝั่งเมืองกับหมู่บ้านเอาไว้ เพราะหากไม่มีสะพานนี้ เราคงสัญจรไปมาระหว่างสองฝั่งลำบาก ผมค่อยๆเดินมาเรื่อยๆจนเริ่มเห็นหลังคาบ้านเรือนเรียงรายติดๆกัน เดินเข้ามาเรื่อยจะพบว่าบ้านทุกหลังมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก หากใครเพิ่งมาแบบผมต้องหลงแน่ๆ แต่ดีที่ผมมีแผนที่มาด้วย ผมจึงถึงบ้านครอบครัวเชลตัลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อส่งของเสร็จก็ไม่มีกิจให้อยู่ต่อและอีกอย่างก็ต้องรีบกลับไปช่วยที่ร้านอีก แต่ผมว่าผมก็เดินกลับทางเดิมแล้วนะ แต่คงเพราะรูปแบบบ้าน สีบ้าน เหมือนกันไปหมด ผมคงจะเลี้ยวผิดสักตรงแหละ ผมค่อยเดินมาตรงมาเรื่อยๆด้วยความมึนงงกับความหลงทางนี้ จนมาพบกับสวนหนึ่ง มันเป็นสวนเล็กๆ มีเพียงต้นไม้ใหญ่ไม่กี่ต้นแต่ก็พอจะเป็นร่มเงาบังแสงแดดได้ และยังมีพุ่มดอกไม้ประปรายพอให้ดูสวยงาม มันเงียบสงบต่างกับทางบ้านเมืองที่ผมเดินมา ผมทำให้รู้สงบแปลกๆผมจึงค่อยๆเดินเข้าไปมองบรรยากาศรอบๆ สูดกลิ่นดอกไม้ให้ชื่นใจ ผมก้มหน้ายิ้มให้กับตัวเองที่มาเจอที่สงบแบบนี้ แต่เมื่อผมเงยสายตาผมก็ไปพบกับหญิงสาวคนนึง เธอนั่งอยู่ม้านั่งหินอ่อนที่ตั้งหลบอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ แม้เธอจะนั่งหันข้างแต่ผมก็รู้ว่าแก้มเธอแดงตัดกับผิวขาวเธอขนาดไหน ผมยาวๆสีน้าตาลเข้มที่ปรกหน้าเธอ เธอนั่งพิงกับต้นไม้ที่เป็นร่มเงาให้เธอ สายตาเธอจดจ่องอยู่กับหนังสือตรงหน้า เธอยิ้มและหัวเราะให้กับมัน ผมไม่รู้ว่าผมยืนมองเธอนานขนาดไหน แต่มันคงนานพอที่ผมจะจดจำภาพของเธอได้ขึ้นใจ
“อ้าว อเล็กซ์”
แล้วผก็หลุดจากภวังค์ เมื่อมิสมอร์แกรนด์ ลูกค้าเจ้าประจำที่ร้านมาทักผม เสียงทักไม่ได้ทำให้ผมหลุดจากภวังค์คนเดียว แต่มันยังรวมถึงสาวตรงหน้าผม เธอเงยหน้ามองมาตามเสียง แม้จะไม่ได้มองมาที่ผมโดยตรง แต่ผมกลับทำตัวไม่ถูก ดวงตากลมที่เปร่งประกรายคู่นั้น ปากเธอทั้งเล็กทั้งบางที่สีเดียวกับแก้มชมพูของเธอ คิ้วเข็มตัดกับผิวขาวๆของเธอ บอกเลยว่าผมเหมือนหยุดหายใจ
“อเล็กซ์มาทำอะไรที่นี่ ออกมานี่เร็ว” มิสมอร์แกรนด์ไม่ได้พูดเปล่า เธอเดินเข้ามาฉุดแขนผมออกจากสวน"
“เอ่อ..”
“อะไรจ๊ะอเล็กซ์”
“ผู้หญิงคนนั้น…”
“ใครจ๊ะ…อ๋อ เด็กผู้หญิงในสวนนะหรอ เห็นเขาว่าชื่อ “ลิลลี่” นะ น้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะไม่เคยมีใครไปถามเธอและเธอก็ไม่คุยกับใครด้วย”
“ทำไมละครับ”
“น้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่อเล็กซ์อย่าไม่ยุ่งกับเธอเลย เดี๋ยวติดโรคเพี้ยนๆมาจากเธอ”
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพียงแค่เหลียวหลังกลับไปมองทางไปสวนเท่านั้น และผมก็เดินทางกลับบ้านพร้อมกับภาพของเธอที่วนเวียนอยู่ในหัว “ลิลลี่”งั้นหรอ อาจเป็นเพราะเธอดูต่างจากผู้หญิงในเมืองที่จะแต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องสำอาง หน้าของพวกเธอจะแดงจัดจ้าน ต่างกับแก้มของเธอที่ชมพูอย่างธรรมชาติ ปราศจากการแต่งแต้มเครื่องสำอาง ความคิดทั้งหมดนี้ทำให้ผมใจเต้นแรงใกล้ระเบิด แรงจนผมต้องหยุดเดินสลัดความคิดบ้าๆออกไป เพราะผมคงไม่มีโอกาสและเหตุผมจะได้พบเธออีก
หลังจากวันนั้นผมก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเช่นเคยมันเรื่อยมา จนกระทั่งพี่เขยผมที่ดูแลร้านอยู่ฝั่งหมู่บ้านเกิดไม่สบายหนัก ไม่สามารถลงมาทำงานหน้าร้านได้ ประกอบกับพี่สาวผมที่เพิ่งคลอดลูกคนแรกไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วจึงทำให้ตอนนี้ร้านที่นั่นไม่มีใครดูแลได้ ซึ่งครั้นจะปิดร้านก็เกรงว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะเดือดร้อนเพราะ ที่เราเปิดสาขาที่นั่นเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่สามารถเดินทางมาฝั่งเมืองได้ทุกวัน เราจึงต้องเปิดที่นั่น โดยที่ทุกเช้ามืดพี่ชายจะขนขนมปังไปส่ง และเพราะเหตุนี้เองผมจึงได้รับการไว้วานเชิงบังคับให้ไปดูแลร้านแทนจนกว่าพี่เขยจะหายป่วย
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ผมเดินทางพร้อมกับพี่ชายที่ขนขนมปังมาส่งแล้วกลับไป ปล่อยให้ผมจะร้านตามลำพังแบบ งง เพิ่งเคยมาครั้งแรกแต่ทิ้งกันไว้กลางทางขนาดนี้ นั่นจึงทำให้กว่าจะจัดเสร็จก็เกือบ 6 โมงเช้าเสียแล้ว มันคงช้ากว่าปกติเพราะ ลูกค้าคนแรกมีการจิ๊จ๊ะปากเล็กน้อย ผมได้แต่ก้มหน้าขอโทษไป คือผมก็ไม่เคยรู้ว่าฝั่งนี้จะเปิดเร็วกว่าฝั่งบ้านผม และที่น่าตกใจต่อมาคือลูกค้าเยอะมาก เยอะจนกว่าจะหมดหางแถว ผมนี่หัวฟูพองพอๆกับขนมปังเลยทีเดียว เฮ้อ แล้วก็ 8 โมงมวลชนหายไปหมดแล้ว 2 ชั่วโมงที่ยืนขายตลอด ตอนนี้ขอนั่งพักให้หายเหนื่อยเสียหน่อย แต่แล้วเหมือนว่าสิ่งที่จะไม่ได้พักคือ ใจของผม ที่เต้นแรงขึ้นมา เพราะการมาของลูกค้าคนนึง เธอเดินมาเงียบๆหยิบขนมปังปอนใหญ่ แล้วยืนมือมาที่ผม ผมมองตาเธอปริบๆอย่างสงสัย และดูเหมือนเธอคงจะอ่านมันออก
“ค่าขนมปังค่ะ”
ผมสะดุ้ง พร้อมกับยื่นมือออกไปรับ แล้วเธอก็หันหลังเดินออกไป มันคงจะสายไปเสียแล้ว กว่าสติจะกลับมาก็ไม่ทันได้กล่าวขอบคุณเสียแล้ว จะว่าผมทึกทักไปเองก็ได้นะ ถ้าผมจะบอกว่าผมได้คุยกับเธอแล้ว ทำไมถึงไม่มีใครอยากคุยกับเธอ ทั้งที่เสียงเธอออกจะนุ่มนวลน่าฟังแบบนี้ แต่ก็ได้ดีแล้วผมก็ไม่อยากให้ใครได้ยินเหมือนกัน “หวง” โอ๊ย เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว ไปเฝ้าร้านต่อดีกว่า
1 เดือนผ่านไป ผมยังคงเฝ้าร้านแทน เพราะสรุปแล้วพี่เขยผมต่อไปนอนโรงพยาบาลอีกเมืองที่ใหญ่กว่า มีหมอที่ดีกว่า ดังนั้นพี่สาวเลยต้องกระเตงลูกไปเฝ้าอยู่ที่เมืองนั้นด้วย ผมเลยยาวเลย แต่ผมก็ชอบนะ เพราะผมได้เจอกับเธอทุกวันเลย ทุกวันเวลาเดิม ที่เพิ่มเติมคือเธอไม่เคยคุยกับผมอีกเลย เพราะเธอก็ซื้อเหมือนเดิมทุกวัน จำนวนเงินเท่าเดิม จะให้ผมทำหน้างงทุกวันก็คงไม่ได้ ดังนั้นทุกวันเธอก็จ่ายเงินแล้วเดินออกไปเช่นเคย แต่ถึงอย่างนั้นการที่ผมมาอยู่นี่มันก็ดีกับผมอยู่ดี เพราะทุกวันขนมปังจะหมดประมาณเที่ยงตรง ผมจะสามารถปิดร้านแล้วเดินรอบๆหมู่บ้านได้ ตอนแรกก็แค่เดินไปมาจนกระทั่งวันหนึ่งผมเดินมาเจอสวนที่ผมเคยเจอเธอครั้งแรก ผมค่อยๆเดินเข้ามาแล้วก็ยิ้มออก เมื่อผมเจอสาวผมน้ำตาลเข้มคนเดิมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ม้านั่งเดิมและไม่สนใจผมเหมือนเดิม ดังนั้นผมเลยขอไม่รบกวนเธอและเดินออกมา แม้ผมจะไม่เข้าไปทักเธอแต่ผมก็รู้สึกดีที่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนนะ และวันถัดมาหลังจากปิดร้านผมก็รีบดิ่งมาที่สวน แต่แล้วก็แห้วกินเพราะเธอไม่อยู่ ตอนแรกผมว่าจะกลับเลย แต่บรรยากาศ อากาศหรืออะไรก็แล้วแต่มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย สงบ ปราศจากผู้คนที่พูดแข่งกันเหมือนตอนขายของ หรือการเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เสียงคนขายของ คนซื้อ ช่างวุ่นวาย ที่จริงที่นี่ก็ดีเหมือนกันนะ ผมใช้เวลาซึบซับบรรยากาศเพลินจนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมง จนนาฬิกาตีเวลาบ่าย 2 ผมค่อยๆลุกขึ้นและจะเดินออกไป แต่แล้วคนที่ผมหาอยู่ก็มา “ลิลลี่” เธอเดินกอดหนังสือเข้ามาแล้วผ่านผมไปประหนึ่งผมเป็นอากาศ แล้วไปนั่งอ่านหนังสือที่เดิม หน้าเธอตอนอ่านหนังสือช่างแตกต่างกับคนตอนเช้าของทุกวัน เธอยิ้ม เธอหัวเราะ เธอขมวดคิ้ว สีหน้าต่างๆแสดงออกมา โดยเฉพาะแววตาของเธอยามอ่านหนังสือ มันเปร่งประกายราวกับเจอขุมสมบัติ ผมชอบที่จะมองจังเลย ฮึ!! และนั่นเองทุกวันบ่าย 2 ผมจะมารอเธอที่สวน และมองเธออ่านหนังสือ จนนานเข้าผมก็หาหนังสือมาอ่านด้วย อ่านหนังสือไปกับเธอจน 5 โมงเย็นเธอก็ออกไป ผมก็ได้เวลากลับเหมือนกัน ผมทำแบบนี้ทุกวันๆแรมเดือน แม้ผมจะไม่เคยได้คุยกับเธอเลยสักคำ แต่ผมก็สุขใจที่ได้นั่งข้างๆเธอแบบนี้ทุกวัน
แต่แล้วดูเหมือนว่าผมคงไม่ค่อยได้เจอเธออีกเพราะไม่กี่วันมานี้พี่สาวเพิ่งส่งจดหมายมาว่าพี่เขยหายแล้วและกำลังจะเดินทางกลับในเร็ววัน ซึ่งมันทำให้ผมใจหายไม่ใช่น้อย แม้ผมจะไม่ได้คุยอะไรกับเธอเลย แต่การที่ผมได้เจอเธอทุกวันเท่านี้ก็พอใจแล้ว เฮ้อ ผมได้แต่ถอนหายใจมองฝนที่ตกกระหน่ำ ทำให้วันนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า เลยยังปิดร้านไม่ได้ ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยๆจนได้ยินเสียง
ตุบ!!