1…
เช้าอีกวันที่สำนักงานบริหารจัดการอาคารมะลิซ้อนเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นวันที่สามของการทำงานของอาภรณ์กับสถานที่แห่งนี้หล่อนก็มาเช้าเหมือนเช่นสองวันที่ผ่านมา
พอมาถึงในสำนักงานด้านในที่หล่อนนั่งทำงานอยู่นั้นหลังจากที่เดินผ่านประตูเข้ามาได้ หล่อนก็เกิดอาการสะดุ้งเล็กน้อยกับอากาศรอบห้องที่ค่อนข้างเย็นกว่าปรกติอันเนื่องมาจากเครื่องปรับอากาศของห้องได้ถูกเปิดเอาไว้
“
ใครเข้ามาเปิดแอร์ห้องนี้ทิ้งไว้นะ
?”
พนักงานฝ่ายธุรการคนใหม่ของฝ่ายอาคารย่นหัวคิ้วแล้วตั้งคำถามในใจตนเองเพราะจำได้ เมื่อวานนี้ก่อนกลับบ้านนั้นหล่อนออกเป็นคนสุดท้ายของห้องแล้วก็จำได้อย่างแม่นยำว่า ได้ปิดสวิทซ์ของเครื่องปรับอากาศกับมือของตนเองชัดๆ
แล้วทำไมเครื่องปรับอากาศถึงได้เปิดไว้ล่ะ หล่อนถามในใจตนเองด้วยความสงกาฉงนฉงายความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง
แต่แล้วคำตอบก็เปิดเผยให้หล่อนรับทราบได้อย่างไม่ต้องเคลือบแคลงสงสัยแต่ประการใดอีก เมื่อเหลือบไปเห็นร่างของนรวรนอนหลับฟุบคาโต๊ะของหล่อนอยู่พอดี
“
คุณวอนคะ
...
คุณวอน
...
ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ
?”
อาภรณ์สะกิดที่ไหล่ออกเสียงเรียกคนที่กำลังหลับอยู่
“
หืออ
...”
คนถูกปลุกครางเสียงรับก่อนที่จะขยับตัวผงกศีรษะมอง เมื่อมองเห็นว่าเป็นใครที่กำลังปลุกเขาแล้วนั้นก็เปิดยิ้มจางแล้วเอ่ยเสียงงัวเงีย
“
ขอโทษทีมายึดโต๊ะของคุณเป็นที่นอน
”
กล่าวจบก็ขยับตัวลุกออกจากตรงที่นั่งหลับนกอยู่นั้น
“
ทำไมถึงมานอนที่นี้ล่ะคะ
...
หรือว่ามาแต่เช้ามากเลยงีบฆ่าเวลา
?”
อาภรณ์ถามอย่างชวนอีกฝ่ายพูดคุยด้วยมากกว่ามิได้เจาะจงจะตั้งใจถามที่ต้องการคำตอบแต่ประการใดทั้งสิ้น พลางขยับตัวเข้านั่งประจำที่ยังโต๊ะทำงานประจำของตนแต่ทว่าคนถูกถามกลับทำเสียงเข้มตอบ
“
ผมไม่ได้มาเช้าหรอกครับคุณได๋
”
“
อ้าวแล้วทำไม...
?”
ความเคยปากของการสนทนาโดยทั่วๆไปมากกว่าที่ทำให้หล่อนเอ่ยตั้งกระทู้ถามนั้นออกไปทั้งที่ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากกว่านี้ เพราะเนื่องจากหูของหล่อนเริ่มจับกระแสเสียงที่พูดของนรวรได้แล้วว่าเขาอยู่ในอารมณ์ใดต่อการพูดคุยครั้งนี้
“
ผมยังไม่ได้กลับบ้านเลยตั้งแต่เมื่อคืนนี้
...
น่าจะถูกต้องกว่า
”
“
เรื่องอะไรล่ะคะ
...
ขอโทษค่ะไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณ
?”
พนักงานฝ่ายธุรการคนใหม่ของสำนักนักงานฝ่ายจัดการอาคารมะลิซ้อนเซ็นเตอร์ชะงักคำถามที่มีต่อผู้ช่วยผู้จัดการและหัวหน้าช่างอาคารทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าอันค่อนข้างเครียดของเขาก่อนที่จะเอ่ยขอโทษ
นรวรสั่นหน้าแล้วก็ถอนใจก่อนเอ่ยเสียงอย่างละโหยความรู้สึก
“
ไม่เป็นไรหรอกคุณได๋
...
ผมไม่ถือหรอกคนหยั่งผมเรื่องใดที่สามารถบอกได้ผมก็บอกกล่าวกันอย่างเต็มที่อยู่แล้วไม่มีปิดบังอะไรหรอก
...
เชิญถามได้เลย
”
“
ค่ะ
”
อาภรณ์รับคำอย่างสั้นๆไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่านี้อีกแล้วเพราะเกิดความละอายใจแต่นรวรก็เป็นฝ่ายบอกออกมาเอง
“
สาเหตุที่ผมไม่ได้กลับบ้าน
...
ก็เนื่องจากสาเหตุที่ค่อนข้างจะเลวร้ายมากที่สุดในชีวิตของผมที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้น่ะแหละ
!”
“
หมายความว่าคุณวอนทะเลาะกับภรรยาที่บ้าน
...?”
นรวรหงึกหน้ารับพลางบอกเสียงละห้อย
“
ใช่
...
อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็ว่าได้
”
“
แล้วทำไมคุณวอนไม่อธิบายเหตุผลให้ภรรยาฟังล่ะคะ
?”
อาภรณ์แน่ะนำอย่างหวังดีให้อีกฝ่ายฟังด้วยความเห็นใจ
คนที่กำลังอยู่ในอาการทุกข์โศกต่อชีวิตครอบครัวเม้มปากพลางส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะทำอะไรมากไปกว่านี้ได้ก่อนที่จะเล่าเสียงเฉื่อยๆให้คนที่เห็นใจเขาฟังว่า
“
ผมพยายามทั้งอธิบายทั้งขอโทษขอโพยจนปากแทบจะฉีกถึงใบหูแล้วเขาก็ยังไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งสิ้นเลย
...
เอาแต่เงียบขรึมร้องไห้อย่างเดียว
...
แล้วบอกผมให้ไปเสียพ้นๆจากตัวเขาๆไม่อยากพบหน้าผมอีกแล้ว
...
เฮ้ออ
...!”
“
อย่างนั้นคุณวอนก็ลำบากแย่เลยสิคะนี่
?”
“
ทำไงได้ล่ะครับ
...
ทุกอย่าง
...”
นรวรพูดด้วยความรู้สึกลำบากใจอีกครั้ง
“...
มันเกิดจากตัวผมเองทั้งสิ้น
...
จากความบ้าแรดของตัวเองที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเองเสียบ้างปล่อยให้หลงระเริงไปกับเรื่องพรรณ์หยั่งว่ามากเกินไป
...”
“
ค่ะ
”
“
แต่ที่ผมเสียใจมากที่สุดก็คือ
...
การทะเลาะกันทุกครั้งเขาจะโวยวายเป็นอย่างมากซึ่งผมคิด
ว่าแบบนั้นผมยังสามารถรับได้มากกว่า
...
แต่ครั้งนี้นี่เขาเอาแต่ร้องไห้ไม่พูดจาหรือโวยวายอะไรทั้งสิ้นเลย
...
มันยิ่งทำให้ผมเห็นถึงความเลวทรามของตัวเองมากไปยิ่งขึ้น
”
“
เดี๋ยวก็คงค่อยๆเคลียร์กันได้มั้งคะ
?”
ได๋หรืออาภรณ์พยายามพูดปลอบใจเพื่อให้นรวรเกิดความสบายใจแต่เขากลับถอนใจแล้วกล่าวว่า
“
สงสัยชีวิตครอบครัวของผมคงล่มสลายคราวนี้ล่ะครับ
!”
“
อุ๊ย
...
คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ
...
ถึงได๋จะไม่เคยใช้ชีวิตคู่กะใครมาก่อนก็ตามที
...
แต่ได๋ก็พอจะรู้ว่าผัวเมียกันก็เหมือนลิ้นกับฟันนั่นแหละต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นสิ่งธรรมดา
...
แต่ถ้าได้มีการปรับความเข้าใจซึ่งกันและกันแล้ว
...
ยังไงได๋คิดว่าก็ยังน่าที่จะปรับความเข้าใจกันได้อยู่ดีขอให้ค่อยๆพูดกันด้วยเหตุผลเถอะค่ะ
”
“
ขอบคุณคุณได๋มากครับที่ช่วยปลอบใจผม
...
แม้มันจะค่อนข้างริบหรี่กับความเป็นจริงแต่ผมก็หวังว่ามันคงจะเป็นอย่างที่คุณพูดปลอบให้ฟัง
”
“
ยังไงได๋ก็ขออวยพรอีกครั้งนะคะให้คุณวอนสามารถปรับความเข้าใจกับภรรยาได้ในเร็ววันค่ะ
”
นรวรยิ้มเซียวรับความหวังดีของเพื่อนร่วมงานในบริษัทคนใหม่
“
ขอบคุณในคำอวยพรอีกครั้งก็แล้วกันครับ
...
ยังไงผมต้องขอตัวก่อนจะได้ไปล้างหน้าตาแล้วจะได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ต่อไป
”
อาภรณ์ส่งยิ้มให้อีกครั้ง
“
เชิญค่ะ
...
ทำใจให้สบายๆนะคะ
”
แล้วนรวรก็หันหลังเดินออกไป
...
* * *
หลังจากที่ได้จัดการกับธุระส่วนตัวอันเป็นกิจวัตรในช่วงเช้าของคนทุกผู้นามที่ตื่นนอนมาใหม่ๆเวลาเช้าในห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้วนรวรก็เดินเรื่อยๆมาที่ชั้นแปดของอาคารซึ่งเป็นลานจอดรถเสียเป็นส่วนใหญ่
แต่ทางฝ่ายบริหารอาคารก็ได้กันพื้นที่ส่วนหนึ่งจัดให้ไว้เป็นห้องของบริษัทแม่บ้านที่เข้ามารับเหมาทำความสะอาดให้กับพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดได้ใช้สอยโดยแยกเป็นห้องเก็บเครื่องมือส่วนหนึ่งห้องพักของพนักงานเหมดหรือแม่บ้านอีกส่วนหนึ่งและที่ซักล้างทำความสะอาดผ้าขี้ริ้วรวมทั้งไม้ม๊อบอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานอีกส่วนหนึ่งด้วย
การที่เขาเดินมาตรงนี้เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเดินมาด้วยสาเหตุอะไรทั้งที่โดยทุกๆวันของการทำงานนั้นเริ่มแรกหลังจากเข้างานตามเวลาแล้วเขาจะต้องไปห้องช่างที่ตั้งอยู่ชั้นเจ็ดด้านหน้าทางจะผ่านเข้าไปออฟฟิศด้านในที่เป็นห้องของพนักงานธุรการบัญชีและผู้จัดการฝ่ายอาคารเสียก่อนเพื่อทำการตรวจรายชื่อการเข้าออกทำงานของ
ช่างเวรอาคารฯ
,
รปภ
.
และเหมดรวมทั้งอ่านรายงานจากพวกที่ว่ามาแล้วซึ่งเขามีหน้าที่ในการตรวจการทำงานของบรรดาพวกเขาเหล่านั้นอีกทีนั่นเองด้วยและใช้เวลาในการนี้อย่างน้อยก็ต้องมีสิบนาทีขึ้นแต่ทว่าเช้านี้การที่เขาไม่ได้ทำเหมือนเช่นทุกวัน
ก็เพราะเนื่องจากในจิตใจใต้สำนึกของเขามันไม่ยอมรับกับเหตุการณ์อันเป็นประจำวันของชีวิตเอาเสียเลยความรู้สึกนึกคิดมันคอยแต่คิดถึงแต่เหตุการณ์อันค่อนข้างเลวร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเมื่อวานนี้อย่างเดียวเลยก็ว่าได้
ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองคู่ชีวิตอันเปิดเผยได้และที่สำคัญก็คือคู่แอบพิศวาสที่บัดนี้ได้กลายเป็นคนที่หาชีวิตไม่ไปแล้วอีกคนด้วยและการคิดถึงคู่แอบพิศวาสขึ้นมานี่เองที่ทำให้เขาต้องเดินทอดน่องเรื่อยๆจนมาถึงยังชั้นแปดซึ่งเป็นห้องพักของร่าเริงเดินขึ้นบันไดมาในใจของเขาก็ใช้ความคิดประหวัดไปถึงหล่อนซึ่งตายไปแล้วด้วยความรู้สึกเครียดๆว่า
“
ใครหนอ
...
ทำไมมันถึงได้ใจร้ายฆ่าเธอได้อย่างโหดเหี้ยมเสียเหลือเกิน
...
บ้าฉิบหายเลยไอ้ฆาตกรระยำ
...
แม่งนอกจากจะทำให้มีคนตายแล้วยังจะมาเสือกทำให้คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างกูต้องพลอยซวยเกือบติดร่างแหติดคุกติดตะรางไปแล้วไหมล่ะ
...
แต่ที่แน่ๆตอนนี้ครอบครัวกูคงแตกสลายล่มไปอย่างไม่เป็นท่าแล้ว
...
ใครวะแม่งกูอยากรู้ตัวเหลือเกิ้น
...
โคตรแม่งเอ้ยถ้ารู้ตัวว่าใครล่ะก็กูจะเอาเรื่องแม่งจริงๆให้ตายห่าสิ
!...”
บึ้กก
!
เสียงของแข็งอย่างหนึ่งกระทบเข้าที่ด้านหลังของนรวรในขณะที่เขากำลังใช้ความคิดอย่างค่อนข้างจะเครียดและดุเดือดระหว่างที่กำลังเดินขึ้นโผล่ตัวมาจนถึงบริเวณหน้าลิฟท์ชั้นแปดแล้วซึ่งเขาก็ไม่รู้มันคืออะไรหรือใครกันแน่ที่แอบเล่นงานเขานี้
แต่ที่แน่ๆมันทำให้เขาหัวคะมำพร้อมกับร่าง ที่ลงไปนอนเค้เก้กับพื้นหน้าลิฟท์อย่างไม่เป็นท่าอย่างทันท่วงที
“
แม่งฆ่าเมียกู
...
กูจะเล่นงานมึงให้ตายไอ้สัตว์
!...”
ผู้ที่แอบทำร้ายด้านหลังของนรวรโผล่ตัวออกมาพร้อมส่งเสียงขู่คำรามเกรี้ยวกราดลั่นด้วยใบหน้าที่ถมึงทึงบ่งบอกอารมณ์ของคนผู้นั้นได้ดีว่าคงกำลังอยู่ในความรู้สึกที่เดือดพล่านจนยากจะระงับได้แล้วพลางเงื้อไม้หน้าสามอย่างสุดเหยียดแขนซึ่งทีแรกคงใช้แอบตีตัวเขามาก่อนนั่นเอง
หมายจะซ้ำให้สาแก่ใจของตนแต่ทว่าเขาผู้แอบทำร้ายคนอื่นยังไม่ได้กระทำต่อได้ดังที่ตั้งใจไว้ก็ถูกเข้าขวางกั้นและร้องเสียงหลงจากเหมดที่ชื่อชงโคเสียก่อน
“
อย่าพี่สำรอง
...
อย่าไปทำผู้ช่วย
...
เขาไม่รู้เรื่องอะไรหรอก
...
เชื่อฉันเถอะนะ
!...”
“
ไม่จริง
...
มันนั่นแหละเป็นคนทำ
...
ไม่งั้นตำรวจเขาจะเอาตัวมันไปสอบสวนเหรอ
?”
สำรองซึ่งถูกชงโคกอดรัดตัวไว้ไม่ให้เข้าไปทำการตีนรวรซ้ำได้อีกยังคงฮึดฮัดดิ้นรนไปมาเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนของหล่อนพลางร้องเสียงหลงเถียงต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายแบบที่เรียกกันได้ว่าเถียงคำไม่ตกฟากเลยทีเดียว
“
แต่ตำรวจเขาก็ปล่อยคุณวอนออกมาแล้วนี่
...
ก็หมายความว่าคุณวอนเขาไม่ได้ทำหรอกเชื่อฉันเถอะพี่สำรอง
...
นี่รปภ
.
เข้ามาช่วยจับตัวเขาไว้หน่อยสิฉันจะไม่ไหวแล้วนะ
...”
ขณะที่พยายามอธิบายเพิ่มเติมให้คนที่กำลังอยู่ในภาวะคลั่งแค้นฟังนั้นท้ายเสียงของหล่อนก็หันไปโวยวายเอากับพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งคอยดูแลด้านการจอดรถอยู่ชั้นนั้นและได้เข้ามาดูสถานการณ์ด้วยท่าทางที่งกๆเงิ่นๆทำอะไรไม่ถูก
จวบจนถูกเหมดชงโคโวยวายเอาแล้วนั่นแหละรปภ
.
ผู้นั้นถึงได้นึกจะทำอย่างไรขึ้นมาได้จึงรีบเข้าไปจับตัวของมือมืดที่แอบตีพนักงานของฝ่ายอาคารที่ทำหน้าที่ในการตรวจงานของพวกตนอีกทีด้วยท่าล็อคอย่างถูกต้องตามที่ได้รับการฝึกหัดมาจากบริษัทรักษาความปลอดภัยก่อนที่จะให้มาประจำการทำงานยังอาคารแห่งนี้อีกที
หลังจากสำรองถูกยึดตัวไว้อย่างแน่นหนาจากพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้วชงโคก็รีบมาพยุงร่างของนรวรที่กำลังยักแย้ยักยันยืนขึ้นพลางถามด้วยความเป็นห่วง
“
เป็นไงบ้างคะคุณวอน
?”
“
ไม่เป็นไร
...
ขอบคุณมากชงโค
!”
นรวรบอกพลางขยับหลังของตนเองไปมาเพื่อคลายความเจ็บปวดจากการโดนตีจากคนที่ถูกล็อคอยู่ในเวลานี้แล้วขณะที่คนถูกจับตัวยังส่งเสียงด้วยความเกรี้ยวกราดและโกรธแค้นไม่หาย
“
ปล่อยกูสิโว้ย
...
ไอ้ระยำ
...
ปล่อยกู
...
กูจะไปเล่นงานไอ้คนเหี้ยๆที่มันทำกับเมียกูนั่น
...
กูบอกให้ปล่อยไงล่ะวะ
...
โธ่แม่ง
!...”
“
อย่าดิ้นสิคุณ
...
ถ้าคุณไม่เชื่อผมนี่
...
ผมจะหักแค้นคุณก่อนนะ
...
อย่าดิ้นซีวะ
...
บอกให้หยุดไง
...
อยากแขนหักเหรอ
?”
รปภ
.
ซึ่งล็อคแขนของสำรองไว้อยู่นั้นเอ่ยขู่ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่เอาจริงเอาจังจนสำรองซึ่งมีรูปร่างเล็กกว่าคนที่ทำการจับตัวเขาอยู่นี่มากนักต้องหยุดตามที่ถูกขู่อย่างทันท่วงที
นรวรซึ่งหลังขยับเนื้อตัวจนหายเมื่อยปวดดีแล้วก็เดินเข้าไปจนเกือบจะใกล้กับคนที่แอบทำร้ายร่างเขาสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่ก่อนที่จะมองหน้าของอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยไม่มีการหลบตาอีกฝ่ายแม้แต่น้อยก่อนเอ่ยเสียงเข้มอย่างจริงจังว่า
“
คุณสำรองครับ
...
ไม่ว่าคุณจะเชื่อคำพูดของผมหรือไม่ก็ตามทีแต่ผมขอบอกอย่างลูกผู้ชายได้เลยว่า
...
ผมไม่ได้เป็นคนฆ่าร่าเริงอย่างแน่นอน
...
ให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้
?...”
สายตาภายใต้คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเนื่องจากความรู้สึกหงุดหงิดและฉุนเฉียวระคนโกรธแค้นของสำรองที่เวลานี้นั้นเขาได้ถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยของอาคารแห่งนี้คงล็อคแขนไว้อยู่อย่างค่อนข้างแน่นได้มองไปยังร่างของนรวรเขม็ง
ขณะที่คนถูกมองก็มองตอบฝ่ายสามีผู้หญิงที่เขาแอบมีความสัมพันธ์อันล้ำลึกด้วยอย่างไม่ยี่หระเพราะเนื่องจากเขามั่นใจในความบริสุทธ์ใจของตนเองต่อคำกล่าวหาของอีกฝ่าย
“
มีอะไรกันรึครับผู้ช่วย
?”