ณ บ้านหลังน้อยย่านแคนซัส ยังมีครอบครัวเล็กๆ อาศัยอยู่ท่ามกลางหิมะหนาที่ปกคลุม ทว่าความหนาวเหน็บไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของพวกเขาจางหาย มันกลับเพิ่มความอบอุ่นด้วยไอรักจากอ้อมกอด...
ครอบครัววูสเชอร์ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก ตามแบบฉบับครอบครัวที่อยู่อย่างพอเพียง แต่ในวันนี้บ้านไม้หลังเก่ากลับพรั่งพรูไปด้วยอาหารและขนมหวาน พวกเขากำลังมีความสุข ความสุขที่ได้จากการฉลองวันเกิดให้กับลูกสาวตัวน้อยวัย 5 ขวบ
วาเลอรี่ วูสเชอร์คือชื่อของเธอ และถ้ามองผิวเผินเธอก็คงไม่ต่างอะไรไปจากเด็กน้อยธรรมดาๆ แต่นัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่มุ่งมั่นฉายแววทะเยอทะยานเกินวัยเสมอ ยังไม่รวมถึงหมวกนางพยาบาลใบจิ๋วและเข็มฉีดยายิ่งทำให้เธอมองดูคล้ายแพทย์สาวในวัยเยาว์ ซึ่งมันก็คือสิ่งที่เธอเฝ้าฝันถึง
“เอาล่ะ คุณหมอตัวน้อย บอกพ่อซิว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด”
“ชุดนางพยาบาลค่ะ” เธอตอบเสียงใส
“ลูกได้มันแล้ว และใส่มันอยู่จริงไหม” ผู้เป็นพ่อลูบผมสีน้ำตาลด้วยรอยยิ้ม “แต่ไม่ต้องกลัวปีนี้เซอร์ไพรส์ไม่แพ้ปีที่แล้วแน่”
“อะไรเหรอคะ” เธอถามอย่างร้อนรนในขณะที่จอห์นพ่อของเธอหันไปหาคาร่าพร้อมส่งสัญญาณ “ช่วยหน่อยที่รัก” ภรรยาร่างสวยเดินออกมาพร้อมกับกล่องของขวัญสีชมพู โบว์สีขาวที่ผูกอย่างประณีตถูกดึงออกโดยเร็วเมื่อถึงมือเจ้าของงานวันเกิด
วาเลอรี่แกะของขวัญอย่างตั้งอกตั้งใจ ดวงตาของเธอกลมโตเมื่อสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มของบางสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง ก่อนที่มือนั้นจะค่อยๆ ดึงขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่สุกใส
“ลูกชอบมันไหมจ๊ะ” คาร่าถามขณะลูบแก้มผู้เป็นดั่งดวงใจ
“ชอบสิคะ” วาเลอรี่กอดตุ๊กตาหมีแน่นขึ้น รอยยิ้มของเธอทำให้จอห์นและคาร่าหันมายิ้มให้กัน “ลูก” คือชีวิตของพวกเขา ชีวิตที่ไม่ว่าจะพบเจออุปสรรคแค่ไหนหรืออยู่อย่างยากลำบากเพียงไร พวกเขาก็พร้อมจะฝ่าไปเพื่อเห็นเธอเติบใหญ่
จริงอยู่ที่บ้านวูสเชอร์ไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาครอบครัวของเขาก็อยู่กันอย่างมีความสุข...ความทุกข์ไม่เคยย่างกราย ความโศกไม่เคยบั่นทอน จนมาถึงวันนี้
“ก๊อกๆๆ...” เสียงเคาะประตูที่หน้าบ้านหยุดรอยยิ้มของจอห์นและคาร่าชั่วขณะ จอห์นจูบที่แก้มภรรยาและลูกสาวทิ้งท้ายก่อนอาสาไปเปิดประตู และเพียงแค่ได้เห็น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีเมื่อรับรู้ถึงผู้มาเยือน
“บ้านวูสเชอร์หลังที่12 รึเปล่า”
“ใช่ครับ” จอห์นตอบชายไว้หนวดอย่างกังวลใจพร้อมมองดูเสื้อสูทอย่างถี่ถ้วน การแต่งกายของเขาบ่งบอกถึงผู้ดีมีระดับ ซึ่งไม่บ่อยนักที่บุคคลประเภทนี้จะพบปะกับเขา ยกเว้นแต่ตระกูลของกลอสเตอร์
“ใช่ที่นี่แหละครับคุณกลอสเตอร์” ชายไว้หนวดวิ่งกลับไปยังรถที่จอดรอ เพียงไม่นานร่างของชายและหญิงวัยกลางคนก็ก้าวลงจากเบาะ หลงเหลือเพียงร่างทะมึนเล็กๆ อยู่รอในรถต่ออย่างไม่สนใจ
“สวัสดีครับคุณและคุณนายกลอสเตอร์” จอห์นก้มหัวทักทายอย่างนอบน้อม เสียงพูดของเขาดังไปถึงหูของคาร่า เพียงแค่ได้ยินดวงตาของเธอก็หรี่เศร้า สองมือโอบกอดลูกสาวอย่างเลื่อนลอย
เลื่อนลอยจนถูกเสียงใสเรียก...
“คุณแม่เป็นอะไรเหรอคะ” คาร่าตั้งสติเช็ดน้ำตาที่เกือบจะเอ่อล้นก่อนตอบ “วาเลอรี่ แม่อยากให้ลูกรู้ว่าชีวิตของลูกกำลังจะเปลี่ยนไป”
“เปลี่ยนไป? หนูจะได้เป็นคุณหมอแล้วเหรอคะ”
“ไม่ลูกรัก ลูกจะไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากสิ่งที่บรรพบุรุษของลูกให้ไว้”
“คุณแม่หมายถึงอะไรเหรอคะ แต่หนูอยากเป็นหมอนี่คะ” คาร่ากอดเธอและร้องไห้ออกมา
“ลูกยังเด็ก แต่อีกหน่อยลูกจะเข้าใจ ลูกต้องลืมมันซะ ลืมทุกอย่างที่ลูกฝันถึง” เธอร้องหนักขึ้น “แม่ขอโทษ...แม่ขอโทษ”
คาร่ากอดลูกน้อยด้วยหัวใจที่บอบช้ำ บ่อยครั้งที่เธอเคยทำใจว่าสักวันมันต้องมาถึง วันที่สนธิสัญญาระหว่างวูสเชอร์และกลอสเตอร์เวียนมาบรรจบที่ครอบครัวของเธอ ซึ่งสนธิสัญญาจะเป็นผลก็ต่อเมื่อวาเลอรี่อายุครบ 18 อีกเพียง 13 ปีเท่านั้นที่เธอจะไม่ได้เห็นหน้าของลูกน้อย หรือบางทีอาจจากไปตลอดกาล
“เด็กนี่น่ะเหรอที่จะมาอยู่กับอีวานของฉัน หวังว่าโตขึ้นคงจะไม่ใจแตกหรอกนะ”
“ไม่เอาน่าที่รัก ถึงจะเป็นอย่างงั้นเราก็จัดการกับเธอได้นี่จริงไหม” สองสามีภรรยาจากตระกูลกลอสเตอร์แวะเวียนเข้ามาดูโฉมหน้าของวาเลอรี่ แววตาของพวกเขาเพ่งมองอย่างเหยียดหยาม ในขณะที่มือเรียวติดแหวนเพชรเซ็นสัญญาอย่างไม่เต็มใจนัก คาร่าไม่อยากให้ลูกน้อยเก็บภาพและเสียงที่ไม่น่าจดจำ เธอจึงพาวาเลอรี่หลบไปยังห้องครัว ก่อนกลับไปยังห้องรับแขกด้วยน้ำเสียงวิงวอนเรื่องสัญญา
วาเลอรี่ในวัย 5 ขวบ ไม่อาจเข้าใจได้มากนัก เธอรู้แต่เพียงว่าแม่ของเธอร้องไห้อย่างหนัก พ่อของเธอไม่ยิ้มอีกเลยหลังจากที่คนแปลกหน้าสองคนเข้ามาในบ้าน เรื่องทั้งหมดยากเกินที่วัยอย่างเธอจะรับไหว แต่ในขณะที่ความสงสัยกวนใจ สายตาของเธอก็สะดุดกับใครบางคนที่นอกหน้าต่าง
ร่างของเด็กชายในเสื้อกันหนาวเนื้อดีกำลังนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ ท่าทางสบายๆ ของเขาทำให้วาเลอรี่ทึ่งและอยากรู้อยากเห็น เธอวิ่งไปยังประตูและเปิดออกโดยเร็ว ลมหนาวที่ตีเข้าที่หน้าทำให้เด็กสาวต้องกอดตุ๊กตาหมีแน่นขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของเธอลดลงไปเลย
“เธอทำได้ยังไงเหรอ” วาเลอรี่ถามเมื่อมาถึงต้นไม้ใหญ่ เด็กชายข้างบนไม่ได้ตอบ เขากระโจนลงมายืนอยู่ตรงหน้าของเธอแทนราวกับต้องการย้ำเตือนความแข็งแรง
“ว้าว” เด็กสาวเบิกตากว้างพร้อมจ้องมองทุกส่วนของคนตรงหน้า ร่างของเขาสูงกว่าเธอเป็นเท่าตัว อายุห่างกันราวๆ 6-7 ปี ใบหน้าไม่ได้ยิ้มต้อนรับเช่นเดียวกับเธอ นัยน์ตาสีครามของเขามองจ้องเธออยากเยือกเย็น หากแต่มันกลับทำให้เด็กสาวไม่อาจละเลยได้
ความงามของมันทำให้เธอนึกถึงหมู่ดาวที่ทอแสงทุกครั้งที่กระพริบถี่ แต่เส้นผมที่ปกลงมากลับดำขลับดั่งรัตติกาลในเดือนมืด รูปลักษณ์ดังกล่าวช่างน่าเกรงขามและน่าค้นหาจนเด็กสาวเอ่ยทักอีกครั้งอย่างเป็นมิตร
“สวัสดี เธอชื่ออะไรเหรอ ฉันวาเลอรี่” รอยยิ้มน้อยๆ แย้มออกในขณะที่คนตรงข้ามยังนิ่งเฉย ดวงตาจ้องมองมากขึ้นเมื่อได้รู้ชื่อของผู้เอ่ยทัก
“เล่นด้วยกันไหม” ตุ๊กตาหมีถูกยื่นไปด้วยรอยยิ้ม เด็กชายมองมันอยู่ชั่วครู่ ก่อนรับน้ำใจนั้นด้วยสองมือ
เขากำและเริ่มบีบตุ๊กตาแน่นจนขนสีน้ำตาลบุบลงตามแรงบีบ แต่เพียงชั่วพริบตามือนั้นก็ฉีกกระชากปุยนุ่นออกเป็นชิ้นๆ แขนและขาแยกออกจากการด้วยใบหน้าที่พอใจ ก่อนปิดด้วยการเหยียบย่ำอย่างไม่ปรานี
เสียงสะอื้นของเด็กสาวทำให้รอยยิ้มมุมปากฉีกกว่าขึ้นมากกว่าเดิม น้ำตาที่ไหลรินทำให้เลือดแล่นพล่านราวกับมันคือกิจกรรมโปรดของเขา...กิจกรรมทำลายไม่ให้เหลือชิ้นดี
“ทำไมถึงทำแบบนี้” วาเลอรี่กล่าวทั้งน้ำตา
“ทำไมเหรอ? ยังน้อยไปด้วยซ้ำ!” เสียงที่เงียบมานานถูกเอ่ยในที่สุด
“สิ่งที่เธอทำไว้กับตระกูลของฉันน่ะหนักกว่าที่เธอเจอ แต่ไม่ต้องห่วงซักวันฉันจะเอามันคืน” เขาชี้หน้าด้วยแววตาดุดัน
“ตุ๊กตานี่มันก็เหมือนกับเธอนั่นแหละ! เหมือนกับเธอที่ต้องโดนจับบดขยี้ให้แหลกคามือและตายทั้งเป็นยิ่งกว่าหมาข้างถนน...”
“อีวานมาได้แล้วลูก” เสียงแหลมเล็กของคุณนายกลอสเตอร์ช่วยฉุดอารมณ์เกลียดชังของเด็กชายชั่วขณะ เขามองร่างน้อยที่ยังคงสะอื้นด้วยดวงตาเหยียดอีกครั้ง ก่อนเดินข้ามเศษตุ๊กตาหมีไปอย่างไม่ใยดี หลงเหลือเพียงร่างของเด็กสาวกับคราบน้ำตาที่ยังคงไหลรินเช่นเดียวกับเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป
13 ปีต่อมา...