Prologue
“เฮ่อ” ทันทีที่ฝ่าเท้ารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งระคนร้อนระอุของพื้นปูนด้านหน้าอาคารเรียนหลังใหญ่ อังคารก็ลอบผ่อนลมหายใจยาวเหยียดพลางกวาดตามองบรรยากาศโดยรอบอีกครั้งด้วยความคิดหลากหลายปะปน
ใครเลยจะรู้ว่า หลังจากหมดหวังไปเมื่อสามปีก่อน ที่สุดแล้วเขาจะได้หวนคืนสู่สถานภาพนักเรียนอีกครั้ง แม้คราวนี้จะเป็นเพียงเด็กสอบเทียบก็ตาม แต่ในเมื่อได้รับโอกาสที่สองทั้งที เขาจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาขัดขวางความเจริญอีกเป็นอันขาด
ส่วนเรื่องเงินก็ช่างหัวมัน ตราบใดที่คนจ่ายค่าเล่าเรียนยังทำตามสัญญา เขาก็จะก้มหน้าก้มตาเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่หัวสมองจะรับไหว ต่อให้ใครจะหาว่าอังคารเป็นตัวเหลือบไรหากินกับเหตุการณ์นั่นไม่เลิกรา ขี้ปากของไอ้พวกขี้อิจฉาก็ไม่ได้จ่ายค่ากิน ค่าอยู่ ไหนจะค่ากศน. ให้เขาได้เสียหน่อย หนำซ้ำลองให้คนพวกนั้นเจออย่างที่เขาเจอดูก่อนเถอะ ขี้คร้านค่าทำขวัญที่เด็กหนุ่มได้รับคงเป็นเพียงเศษเงินเมื่อเทียบกับค่าชดเชยที่พวกฉวยโอกาสเรียกร้องแน่ ๆ
ทว่าก่อนที่ห้วงความคิดของอังคารจะเตลิดไปถึงไหน ๆ สายลมเย็นยะเยือกที่เป่ารดต้นคอโดยไร้ที่มาที่ไปกับเงาลาง ๆ รูปร่างคล้ายคนตรงหางตาก็ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะออกวิ่งโดยไม่ยอมเหลียวหลัง
เชี่ยเอ๊ย แม่งเล่นกูอีกแล้ว!
“เชี่ย เชี่ย เชี่ย เชี่ย เชี่ย!”อังคารไม่ใช่พวกสบถพร่ำเพรื่อ แต่ขืนเอาแต่หุบปากหลับหูหลับตาโกยแน่บท่าเดียว เขาก็ดันกลัวว่าริ้วลมเย็นที่ยังคงเกาะติดแผ่นหลังแน่นหนึบมาจนถึงเดี๋ยวนี้จะส่งเสียงประหลาดประกาศศักดาเข้าให้ เพราะฉะนั้น การก่นด่าอะไรก็ได้ย่อมดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับสิ่งลี้ลับในสภาวะจำยอมอยู่แล้ว
เคราะห์ดีที่เมื่อขาทั้งสองข้างก้าวพ้นประตูรั้ว นับเป็นจังหวะเดียวกับรถตู้โดยสารสายที่วิ่งผ่านหน้าปากซอยบ้านกำลังจอดเทียบป้ายด้านหน้าศูนย์กศน. พอดิบพอดี อังคารจึงกลั้นใจเร่งฝีเท้าทิ้งท้ายแล้วจึงกระโจนพรวดพราดขึ้นพาหนะตรงหน้าโดยไม่ลังเล
เมื่อแน่ใจว่าตนเองสลัดความรู้สึกชวนขนหัวลุกทิ้งได้อย่างราบคาบ เด็กหนุ่มก็หย่อนกายลงจับจองเบาะเดี่ยวตอนกลางคันรถ ก่อนจะหลับตาพร้อมกับเบี่ยงลำตัวพิงหน้าเบียดกระจกด้วยตั้งใจจะหลบเลี่ยงสายตาสงสัยใคร่รู้ของผู้โดยสารคนอื่น ๆ ให้พ้น ๆ
ไม่ว่าเมื่อไร อังคารมักจะหงุดหงิดไปเสียทุกครั้งที่ต้องตกเป็นเป้านิ่งให้คนแปลกหน้าลอบประเมิน หลัก ๆ แล้วคงเป็นเพราะความมั่นใจที่ถูกรูปลักษณ์คล้ายเด็กบั่นทอนจนเจ้าตัวต้องพยายามวางก้ามเพื่อบดบังปมด้อยดังกล่าวเอาไว้เสมอ แต่ครั้นเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันที่กลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่โตเมื่อสองเดือนก่อน การทำท่าน่าเกรงขาม หรือตีหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้กลับไม่ใช่ทางสว่างอีกต่อไป
อย่างไรก็ดี การต้องใช้ชีวิตท่ามกลางการสอดส่องมองตามของคนอื่นดูจะง่ายดายยิ่งกว่าเหตุการณ์ผิดปกติที่เขาต้องพบพานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหลายเท่านัก... เป็นเพราะอุบัติเหตุคราวนั้นแท้ ๆ เชียว
จริงอยู่ที่การตกเป็นเหยื่อรถชนคือความซวยครั้งใหญ่รับวัยยี่สิบ แต่โอกาสในการเรียนต่อกับเงินชดเชยก้อนโตจนน่าหมั่นไส้ก็ทำให้อังคารรอมชอมยอมความโดยไม่อ้อมค้อม กระนั้น แทนที่ชีวิตเขาจะสดใสซาบซ่า เด็กหนุ่มกลับพบว่าอุบัติเหตุครั้งดังกล่าวนำมาซื่งทุกข์มากกว่าลาภไปเสียฉิบ เพราะนอกจากจะต้องเข้ารับการผ่าตัดถึงสองครั้งสองครา ประสบการณ์สดใหม่ช่วงสามสี่วันก่อนหน้าทำให้อังคารตระหนักว่า ‘มัน’ ขยันปรากฏตัวถี่กว่าตอนที่เขาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเป็นไหน ๆ
รถติดจนอังคารเลิกสนใจเวลา เด็กหนุ่มเท้าคางเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของผู้คนมากหน้าบนทางเท้าอย่างเลื่อนลอยได้เพียงไม่นาน จากนั้นอากาศเย็น ๆ ภายในห้องโดยสาร พ่วงด้วยเสียงเครื่องยนต์ครางต่ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อีกทั้งความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเพราะไม่ต้องอยู่ตามลำพังก็ทำให้อาการนอนไม่พอกำเริบจนเขาม่อยหลับไปโดยไม่ทันรู้ตัว
ในฝัน เด็กหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังโดยสารรถตู้มุ่งหน้ากลับที่พัก หากแต่สิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง คือ ท้องฟ้าและไอแดดถูกแทนที่ด้วยหยาดฝนระลอกใหญ่ซึ่งเทกระหน่ำใส่ยวดยานทั้งหลายแบบไม่ลืมหูลืมตา ทว่าน่าแปลกที่การจราจรบนถนนสองเลนย่านชานเมืองกลับปลอดโปร่งเสียจนคนขับเหยียบคันเร่งได้โดยไม่นึกคร้ามต่อสายฝนเลยสักนิด เมื่อเห็นป้ายรถเมล์หน้าปากซอยบ้านอยู่ไม่ไกล อังคารก็กระชับกระเป๋าสะพายพร้อมเอนตัวไปข้างหน้าเพื่อตะโกนบอกป้ายแก่คนขับแต่เนิ่น ๆ กระนั้นสัญญาณไฟที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างกะทันหันก็สั่งให้รถทั้งคันหยุดนิ่งโดยดุษณี
ขณะที่นับถอยหลังรอให้รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้านั้นเอง อะไรบางอย่างก็ดึงดูดสายตาของอังคารให้เหลือบลงจับจ้องทางม้าลายคนข้ามข้าง ๆ ตัวรถอย่างตั้งอกตั้งใจ บนแถบสีขาวชิดขอบทางเท้า มีปลายเท้าเปล่าคู่หนึ่งที่ขาวซีดยิ่งกว่าสีทาพื้นข้างใต้ยืนปักหลักท้าทายลมฟ้าห่าฝนโดยไม่หลบไปไหน
บ้าเปล่าวะ มายืนอะไรตรงนี้?
ความสงสัยทำให้อังคารเลื่อนกรอบสายตาสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทันทีที่สายตาเลื่อนพ้นปลีน่องที่ซีดเผือดยิ่งกว่ากระดาษ กลับไม่มี หัวเข่า ต้นขา หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายให้วางตาอีกต่อไป ณ ที่แห่งนั้นมีเพียงปลายขาคู่หนึ่งตั้งฉากอยู่กับพื้นอย่างไม่หวั่นไหวคล้ายถูกตรึงไว้กับที่ จะมีก็เพียงแต่เลือดที่ค่อย ๆ หลั่งไหลออกมาจากขอบตัดด้านบนจนอังคารทนมองไม่ไหว
เชี่ย! ผีหลอก!!
ทันทีที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เด็กหนุ่มก็รีบเบือนหน้าหนีเท้าผีที่เห็นไปยังทิศทางตรงกันข้าม แต่ภาพของศรีษะมีเลือดนองไหลบ่าท่วมหูท่วมตาที่ห้อยต่องแต่งอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าก็ทำให้อังคารผวาจนกรีดร้องเสียงหลง “อ้ากกก!!”
“เป็นไรน้อง จะลงป้ายหน้าเหรอ?”
“...” อังคารที่เพิ่งสะดุ้งตื่นจากความฝันหันรีหันขวางมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างไม่ไว้วางใจ ภาพติดตาจากความฝันทำให้เด็กหนุ่มหลงลืมความกระอักกระอ่วนจากสายตาของคนแปลกหน้าไปหมดสิ้น
“ว่าไงน้อง จะลงไหม?” สายตาเร่งเร้าของคนขับ สีหน้าไม่พอใจของผู้โดยสารคนอื่น ๆ และเสียงแตรจากรถคันข้างหลังทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจลงรถแม้ข้างนอกฝนจะกำลังตก และป้ายนั้นจะอยู่ห่างจากซอยบ้านไปอีกหลายกิโลเมตรก็ตาม อังคารใช้กระเป๋าสะพายต่างร่ม เด็กหนุ่มเดินตามคลื่นฝูงชนกลับบ้านด้วยจิตใจประหวั่นพรั่นพรึง
***********
“โธ่เอ๊ยเจ้าเพียร! ร่มเริ่มไม่มีหรือไง ทำไมปล่อยให้ตัวเองเป็นลูกหมาตกน้ำตกท่าอย่างนี้?” เจ้าของน้ำเสียงห่วงใยเป็นหญิงวัยไม้ใกล้ฝั่งที่กำลังนั่งเคี้ยวหมากมองสายฝนหย่อนใจอยู่บนม้านั่งตัวเก่าข้าง ๆ ประตูห้อง
“...” อังคารยกมือไหว้นางสินเจ้าของห้องเช่าบนชั้นสามของแฟลตเก่าโทรมแห่งนี้อย่างเซื่อง ๆ ก่อนจะเดินลากเท้าผ่านหล่อนไปไขประตูห้องบานข้าง ๆ ตามปกติวิสัย เมื่อเด็กหนุ่มหายลับเข้าห้องไป หญิงชราก็ส่ายหัวป้อยด้วยรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจกับเพื่อนร่วมแฟลตต่างวัยที่หล่อนนึกเอ็นดูไม่ต่างจากลูกหลาน
“เจ้าเพียรนี่ดื้อจริง ๆ ถ้าเป็นหวัดแล้วมาขอยานะ ฉันจะหยิกให้” นางสินบ่นกระปอดกระแปดตามประสาพลางเหลียวมองชั้นยาในห้อง เมื่อเหลือบเห็นแผงยาแก้ไข้ขวัญใจคนยากก็คลายใจ เพราะอย่างน้อย ๆ หากเจ้าเพียรเกิดไม่สบายดังปากว่าจริง ๆ เด็กหนุ่มก็จะยังมียากินบรรเทาอาการให้พอทุเลา
ทว่าจังหวะที่นางสินหันกลับมา หล่อนก็เห็นเด็กหนุ่มคุ้นหน้าอีกคนเดินเนิบ ๆ มุ่งหน้าไปยังห้องของอังคารด้วยท่าทีสำรวม สภาพเปียกปอนจนผมเผ้าผ้าผ่อนลู่ติดตามเนื้อตัวของอีกฝ่ายทำให้หล่อนรู้สึกเวทนาจนต้องออกปาก “ไป ๆ รีบตามเจ้าเพียรไปอาบน้ำอาบท่าไปหนู”
“...” เด็กหนุ่มผิวขาวสว่างราวกระดาษที่ทอดน่องตามหลังอังคารมาห่าง ๆ ค้อมหัวพลางคลี่ยิ้มน้อย ๆ น่ามองให้หญิงชราก่อนจะเดินผ่านหน้าเจ้าหล่อนเข้าห้องข้าง ๆ ไปติด ๆ
“เจ้าเพียรก็เหลือเกินจริง ๆ พาเพื่อนเดินตากฝนกลับบ้าน เดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดกันทั้งคู่พอดี” ค่าที่มัวแต่พะวงว่ายาแผงน้อยอาจไม่พอแจกจ่ายแก่เด็กหนุ่มข้างห้องทั้งสอง นางสินจึงไม่ทันได้สังเกตความต่างประการสำคัญระหว่างเพียรกับเพื่อนสนิทตามที่หล่อนเข้าใจไปถนัดตา ไม่อย่างนั้นนางสินคงจะเห็นแต่แรกแล้วว่า ฝ่ายแรกใส่รองเท้า ในขณะที่อีกคนเดินเท้าเปล่าแบบไม่ติดพื้น
*****|| TBC||*****