ตอนที่ 1 เพลินจิตลิขิตฝัน
"Listen, I am alone at a crossroads
I'm not at home in my own home
And I've tried and tried
To say what's on my mind
You should have known"
เมื่อ พลับพลึง ร้องเพลง Listen จบ ทุกคนในโรงละครเพลินจิตลุกขึ้นปรบมืออย่างพร้อมเพรียง ในน้ำเสียงอันทรงพลังที่สุดในเพลินจิตของพลับพลึง ช่อดอกไม้และพวงมาลัยจากแม่ยกที่ปลื้มพลับพลึงก็ค่อยๆถาโถมเข้าไปที่หน้าเวที ภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่พลับพลึงขึ้นโชว์
"และดาวเด่นของเพลินจิตในปี 2531 นี้ได้แก่ พลับพลึง"
พาดหัวใหญ่ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องกล่าวถึงพลับพลึงทุกปีที่มีการจัดอันดับ ดาวเด่นเพลินจิต ดาวเด่นแห่งโรงละครที่ศิวิไลซ์ที่สุดในทศวรรษนี้
"ลูกแม่เนี่ยเก่งมากเลยนะ ดาวเด่นเพลินจิตหนีไม่พ้นลูกสักปี ถ้ายัยไพลินมันได้ดีแบบลูกบ้างก็คงดี"
พิศมัย แม่ของพลับพลึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมพลับพลึง
"หนูแค่ไม่อยากไปอยู่ในเพลินจิตต่างหากล่ะแม่ ถ้าหนูไปนะ รับรอง หนูกับพี่พลับพลึงต้องเป็นตัวเต็งแย่งตำแหน่งดาวเด่นเพลินจิตกันทุกปีแหงๆ"
ไพลินผู้เป็นลูกสาวคนเล็กคุยโวอย่างน่าหมั่นไส้
"พอเลยทั้งสองคน เดี๋ยวหนูทำงานคนเดียวก็เลี้ยงทั้งแม่และน้องสบายแล้ว"
พลับพลึงเข้ามาขัดจังหวะ
"จ้าแม่คนเก่ง"
ไฟลินประชดพลับพลึง
"เอานี่ ไพลิน แม่ ชั้นซื้อข้าวต้มมัดกับขนมช่อม่วงร้านป้าพริ้มหน้าเพลินจิตมาฝากจ้ะ"
"ว๊าย ร้านป้าพริ้มอร่อยที่สุดในย่านนั้นเลยนะ เอามานี่ ชั้นขอก่อน"
ไพลินแกะขนมอย่างีบร้อน พิศมัยและพลับพลึงมองน้องสาวอย่างเอ็นดู
ณ โรงละครเพลินจิต
คุณ พลสันต์ เจ้าของโรงละครเพลินจิต กำลังเพลิดเพลินไปกับการอ่านข่าวพลับพลึง ดาวเด่นของเขา
"เฮ้อ เพลินจิตของเรานี่ดังจริงๆเลยนะไมตรี"
พลสันต์กล่าวกับผู้ช่วยดูแลโรงละครของเขา
"ใช่ครับคุณพลสันต์ ตั้งแต่มีพลับพลึง โรงละครของเราก็ดังเป็นพลุแตกเลยนะครับ"
ไมตรีตอบกลับ
"ใช่เลยไมตรี เราขาดพลับพลึงไม่ได้"
เช้าวันใหม่ที่สดใส ณ บ้านของพลับพลึงที่เริ่มไม่สดใส
"แม่ๆ พี่พลับพลึงเป็นลมล้มลงไปแล้วค่ะแม่"
ไพลินตะโกนเป็นเจ้าเข้า
"เอ้า มัวทำอะไรอยู่ล่ะ รีบตามรถโรงพยาบาลเข้าสิ"
พิศมัยกล่าวด้วยความตกใจ
ณ โรงพยาบาล
"ตอนนี้คนไข้เป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย หมอเกรงว่าจะอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งเดือน"
หลังจากสิ้นเสียงกล่าวบอกอาการของพลับพลึงจากหมอที่ไร้ความรู้สึกใดใด ก็ได้แทนที่ด้วยเสียงร้องไห้ของสองแม่ลูก พิศมัยและไพลิน ซึ่งหากใครได้ยินก็รับรู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนกำลังเสียใจอย่าหนักหนา ที่กำลังจะสูญเสียเสาหลักของบ้านอย่างพลับพลึงไป!
ยี่สิบแปดวันผ่านไปหลังจากนั้น พลับพลึงจากไปอย่างสงบ ที่บ้านของพลับพลึงกำลังวุ่นไปด้วยการจัดเตรียมงานศพให้พลับพลึงอย่างสมเกียรติของผู้เป็นดาวเด่นเพลินจิตหกปีซ้อน
"คุณพลสันต์สวัสดีค่ะ"
พิศมัยและไพลินกล่าวสวัสดีพลสันต์ เจ้าของโรงละครผู้ให้ชีวิตพลับพลึง
"ผมจะช่วยงานพลับพลึงอย่างเต็มที่ครับคุณพิศมัย"
พลสันต์กล่าวกับแม่ของพลับพลึงด้วยน้ำเสียงแสนเศร้าใจ และเสียใจ
ในวันเผาศพพลับพลึง ทุกคนในเพลินจิตและครอบครัวของพลับพลึงได้มาส่งพลับพลึงเป็นครั้งสุดท้าย
น้ำตา ความเสียใจ หากพลับพลึงสามารถรับรู้ได้ หากว่าเธอสื่อสารได้ เธอคงไม่อยากให้ใครต้องเสียใจอยู่แบบนี้อย่างแน่นอน
ยี่สิบปีให้หลัง จากวันที่เสียพลับพลึง เพลินจิตไม่ได้รับความนิยมเหมือนแต่ก่อน เพราะขาดดาวเด่นอย่างพลับพลึงไป การจัดอันดับดาวเด่น ก็ดูจะได้แต่ดาวเด่นที่ด้อยคุณภาพ ทำให้ผู้คนหันไปชมการแสดงพวกคาบาเร่กันมากกว่า
"เราจะทำยังไงดีครับคุณพลสันต์"
ไมตรีถามเจ้าของเพลินจิตด้วยเสียงที่กังวล
"เงินในบัญชีมีเท่าไหร่ไมตรี"
"สี่ล้านกว่าๆครับ"
...
"เราจะจัดเวทีประกวดร้องเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสยาม"
"ไปพิมพ์ใบปลิวเกี่ยวกับการประกวดร้องเพลงของเพลินจิต ชั้นจะให้เงินรางวัลผู้ชนะหนี่งล้านบาท"
พลสันต์สั่งให้ไมตรีไปพิมพ์ปลิวรับสมัครคนประกวดร้องเพลง
ไมตรีรีบไปทำงานทันทีที่ได้รับคำสั่ง
คุณพลสันต์ยิ้มอย่างมีความหวัง
"นี่คือความหวังสุดท้ายของพวกเราไมตรี ชั้นเชื่อว่าคนต้องสนใจนักร้องหน้าใหม่ และจำกลับมานิยมเพลินจิตอีกครั้งแน่ๆ"
..
#โปรดติดตามตอนต่อไป
#บทเพลงแห่งฝัน
#รพีนักเขียนมือใหม่