บทเพลงแห่งฝัน
3
ตอน
1.16K
เข้าชม
49
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
2
เพิ่มลงคลัง

 

ตอนที่ 1 เพลินจิตลิขิตฝัน

 

"Listen, I am alone at a crossroads

I'm not at home in my own home

And I've tried and tried

To say what's on my mind

You should have known"

เมื่อ พลับพลึง ร้องเพลง Listen จบ ทุกคนในโรงละครเพลินจิตลุกขึ้นปรบมืออย่างพร้อมเพรียง ในน้ำเสียงอันทรงพลังที่สุดในเพลินจิตของพลับพลึง ช่อดอกไม้และพวงมาลัยจากแม่ยกที่ปลื้มพลับพลึงก็ค่อยๆถาโถมเข้าไปที่หน้าเวที ภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่พลับพลึงขึ้นโชว์

 

"และดาวเด่นของเพลินจิตในปี 2531 นี้ได้แก่ พลับพลึง"

พาดหัวใหญ่ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องกล่าวถึงพลับพลึงทุกปีที่มีการจัดอันดับ ดาวเด่นเพลินจิต ดาวเด่นแห่งโรงละครที่ศิวิไลซ์ที่สุดในทศวรรษนี้

 

"ลูกแม่เนี่ยเก่งมากเลยนะ ดาวเด่นเพลินจิตหนีไม่พ้นลูกสักปี ถ้ายัยไพลินมันได้ดีแบบลูกบ้างก็คงดี"

พิศมัย แม่ของพลับพลึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมพลับพลึง

 

"หนูแค่ไม่อยากไปอยู่ในเพลินจิตต่างหากล่ะแม่ ถ้าหนูไปนะ รับรอง หนูกับพี่พลับพลึงต้องเป็นตัวเต็งแย่งตำแหน่งดาวเด่นเพลินจิตกันทุกปีแหงๆ"

ไพลินผู้เป็นลูกสาวคนเล็กคุยโวอย่างน่าหมั่นไส้

 

"พอเลยทั้งสองคน เดี๋ยวหนูทำงานคนเดียวก็เลี้ยงทั้งแม่และน้องสบายแล้ว"

พลับพลึงเข้ามาขัดจังหวะ

 

"จ้าแม่คนเก่ง"

ไฟลินประชดพลับพลึง

 

"เอานี่ ไพลิน แม่ ชั้นซื้อข้าวต้มมัดกับขนมช่อม่วงร้านป้าพริ้มหน้าเพลินจิตมาฝากจ้ะ"

 

"ว๊าย ร้านป้าพริ้มอร่อยที่สุดในย่านนั้นเลยนะ เอามานี่ ชั้นขอก่อน"

ไพลินแกะขนมอย่างีบร้อน พิศมัยและพลับพลึงมองน้องสาวอย่างเอ็นดู

 

ณ โรงละครเพลินจิต

คุณ พลสันต์ เจ้าของโรงละครเพลินจิต กำลังเพลิดเพลินไปกับการอ่านข่าวพลับพลึง ดาวเด่นของเขา

"เฮ้อ เพลินจิตของเรานี่ดังจริงๆเลยนะไมตรี"

พลสันต์กล่าวกับผู้ช่วยดูแลโรงละครของเขา

 

"ใช่ครับคุณพลสันต์ ตั้งแต่มีพลับพลึง โรงละครของเราก็ดังเป็นพลุแตกเลยนะครับ"

ไมตรีตอบกลับ

 

"ใช่เลยไมตรี เราขาดพลับพลึงไม่ได้"

 

เช้าวันใหม่ที่สดใส ณ บ้านของพลับพลึงที่เริ่มไม่สดใส

 

"แม่ๆ พี่พลับพลึงเป็นลมล้มลงไปแล้วค่ะแม่"

ไพลินตะโกนเป็นเจ้าเข้า

 

"เอ้า มัวทำอะไรอยู่ล่ะ รีบตามรถโรงพยาบาลเข้าสิ"

พิศมัยกล่าวด้วยความตกใจ

 

ณ โรงพยาบาล

"ตอนนี้คนไข้เป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย หมอเกรงว่าจะอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งเดือน"

 

หลังจากสิ้นเสียงกล่าวบอกอาการของพลับพลึงจากหมอที่ไร้ความรู้สึกใดใด ก็ได้แทนที่ด้วยเสียงร้องไห้ของสองแม่ลูก พิศมัยและไพลิน ซึ่งหากใครได้ยินก็รับรู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนกำลังเสียใจอย่าหนักหนา ที่กำลังจะสูญเสียเสาหลักของบ้านอย่างพลับพลึงไป!

 

ยี่สิบแปดวันผ่านไปหลังจากนั้น พลับพลึงจากไปอย่างสงบ ที่บ้านของพลับพลึงกำลังวุ่นไปด้วยการจัดเตรียมงานศพให้พลับพลึงอย่างสมเกียรติของผู้เป็นดาวเด่นเพลินจิตหกปีซ้อน

 

"คุณพลสันต์สวัสดีค่ะ"

พิศมัยและไพลินกล่าวสวัสดีพลสันต์ เจ้าของโรงละครผู้ให้ชีวิตพลับพลึง

 

"ผมจะช่วยงานพลับพลึงอย่างเต็มที่ครับคุณพิศมัย"

พลสันต์กล่าวกับแม่ของพลับพลึงด้วยน้ำเสียงแสนเศร้าใจ และเสียใจ

 

ในวันเผาศพพลับพลึง ทุกคนในเพลินจิตและครอบครัวของพลับพลึงได้มาส่งพลับพลึงเป็นครั้งสุดท้าย

น้ำตา ความเสียใจ หากพลับพลึงสามารถรับรู้ได้ หากว่าเธอสื่อสารได้ เธอคงไม่อยากให้ใครต้องเสียใจอยู่แบบนี้อย่างแน่นอน

 

ยี่สิบปีให้หลัง จากวันที่เสียพลับพลึง เพลินจิตไม่ได้รับความนิยมเหมือนแต่ก่อน เพราะขาดดาวเด่นอย่างพลับพลึงไป การจัดอันดับดาวเด่น ก็ดูจะได้แต่ดาวเด่นที่ด้อยคุณภาพ ทำให้ผู้คนหันไปชมการแสดงพวกคาบาเร่กันมากกว่า

 

"เราจะทำยังไงดีครับคุณพลสันต์"

ไมตรีถามเจ้าของเพลินจิตด้วยเสียงที่กังวล

 

"เงินในบัญชีมีเท่าไหร่ไมตรี"

"สี่ล้านกว่าๆครับ"

 

...

"เราจะจัดเวทีประกวดร้องเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสยาม"

"ไปพิมพ์ใบปลิวเกี่ยวกับการประกวดร้องเพลงของเพลินจิต ชั้นจะให้เงินรางวัลผู้ชนะหนี่งล้านบาท"

พลสันต์สั่งให้ไมตรีไปพิมพ์ปลิวรับสมัครคนประกวดร้องเพลง

 

ไมตรีรีบไปทำงานทันทีที่ได้รับคำสั่ง

 

คุณพลสันต์ยิ้มอย่างมีความหวัง

"นี่คือความหวังสุดท้ายของพวกเราไมตรี ชั้นเชื่อว่าคนต้องสนใจนักร้องหน้าใหม่ และจำกลับมานิยมเพลินจิตอีกครั้งแน่ๆ"

 

..

#โปรดติดตามตอนต่อไป

#บทเพลงแห่งฝัน

#รพีนักเขียนมือใหม่

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว