กราบสวัสดีทุกท่าน
ประการแรก เรื่องสั้นที่ท่านกำลังจะได้อ่านขณะนี้ อยู่ในหมวดประเภทชายรักชาย ซึ่งคิดว่าท่านที่กดเข้ามารับชมคงจะทราบดีอยู่แล้ว
หากว่าท่านไม่ทราบและได้เกิดทะเล่อทะล่ากดเข้ามาดูชมโปรดกดปิดไปแล้วถือว่าเรานั้นไม่เคยได้พบพานกันมาก่อน
ประการต่อมา เรื่องสั้นเรื่องนี้ เคยจัดพิมพ์มาแล้วในฉบับฟิคชั่น ซึ่งมีนักร้องนำเป็นตัวละครเอก หากว่าท่านใดเคยอ่านมาก่อนแล้ว โปรดเข้าใจได้ว่านี่มิใช่การลอกเลียนแบบผลงานแต่อย่างใด
เนื่องในโอกาสอันดีที่ได้สมัครเข้ามาสู่เวปธันวลัยเป็นวันแรก จึงได้นำเรื่องสั้นอ่อนหวานละมุนใจมาฝากนักอ่านทุกท่านเป็นของขวัญกลางดึกเช่นนี้
ดั่งที่แจ้งแล้วว่าเรื่องสั้นนี้ เดิมทีเขียนในแบบฉบับฟิคชั่นที่ใช้นักร้องนำจากวงดนตรีหนึ่งเป็นตัวเอก
ณ ตอนนี้มีความคิดว่าเห็นทีเราจะลองเขียนนิยายวายดูบ้าง แต่เวล่ำเวลามันช่างจำกัดจำเขี่ยเสียเหลือเกิน หากเราจะนั่งมะงุมมะงาหราเขียนเรื่องใหม่ คงต้องใช้เวลาอีกอักโข
เราจึงดำริว่าควรจะนำเรื่องที่เรามีอยู่แล้ว มาลองแปลงบทเปลี่ยนตัวละครดูเสียใหม่ แต่คงอรรถรสความเป็นวายชนิดชายรักชายไว้ได้เต็มเปี่ยม จึงได้นึกถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ค่าที่เป็นเรื่องสั้นอ่อนละมุน อุ่นหัวใจ
ในฉบับฟิคชั่นนั้นเป็นเรื่องสั้นตอนเดียวจบ ไม่มีตอนต่อ แต่ในฉบับนิยายวายนั้น อาจจะมีตอนต่อตามมาก็เป็นได้ สักตอนหรือสองตอน
จึงขอฝาก นักเขียนหนุ่มกรดล และหนุ่มน้อยหลังบานหน้าต่างสีขาวที่ชื่อภากร ไว้ในใจของทุกท่าน
ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ ดิฉันมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับฟังทุกความคิดเห็น และความรู้สึกของทุกท่านที่มีต่อเรื่องสั้นเรื่องนี้
หวังว่าทุกท่านจะชอบและมีความสุขไปกับหน้าต่างแห่งรักนี่นะคะ
White Window
หน้าต่างกระจกใสกรอบสีขาวบานนั้น
กรดลเฝ้ามองมาไม่รู้กี่วันแล้ว วันนี้หน้าต่างบานนั้นปิดสนิท ผ้าม่านหนาหนักถูกรวบไว้เหลือเพียงม่านพรางตาผืนบางเบาที่ไม่อาจปิดกั้นห้องนั้นจากสายตาของคนนอก มันเงียบ...ไร้การเคลื่อนไหวของผู้ที่อาศัยอยู่ภายใน
“ไปไหนนะ...”
กรดล หรือกร นึกสงสัยระหว่างนั่งชิดริมหน้าต่าง มือใหญ่ นิ้วเรียวยาวที่ปกติแสนจะคล่องแคล่วเวลาทำงาน ขณะนี้มันกลับค้างเติ่งชะงักงันอยู่เหนือแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ หนุ่มตัวโต ผิวขาวจัดใบหน้าคมเข้มสลัดศีรษะไล่ความหงุดหงิดใจก่อนจะลุกไปหาเครื่องดื่มมาคลายอารมณ์ จิบโคล่าไปครึ่งกระป๋องแล้วกลับมานั่งที่เดิม
อีกครั้งที่มือสองข้างวางค้างไว้บนแป้นพิมพ์ กดก๊อกแก๊กไปได้สองสามตัวอักษรแล้วก็ลบทิ้งก่อนเริ่มพิมพ์ใหม่อีกหน แล้วก็ลบมันทิ้งไปอีก วนเวียนอยู่หลายครั้งหลายหนจนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเลิกทำงาน เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังตัวใหญ่หลับตาผ่อนคลายจิตใจ
ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางความบันเทิงอย่างเดียวที่เขาชื่นชอบคือเสียงเพลง กรดลไม่ชอบดูโทรทัศน์เพราะเปลืองเวลาการทำงาน ถ้าอยากติดตามข่าวสารเขาเลือกที่จะอ่านเอาจากหนังสือพิมพ์หรือท่องโลกอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
ชายหนุ่มกดรีโมตเปิดเพลงคลาสสิกจากเครื่องเสียงขนาดย่อมในห้อง เขาชอบเสียงไวโอลินหวีดหวานยามทอดทำนองอ่อนเอื้อนราวสายน้ำเย็นไหลผ่านโขดหินลดเลี้ยวสาดเซาะลงมาชั้นต่อชั้น
กรดลเอนหลังพิงพนักโซฟา อาชีพของเขาทำเงินได้ดีแม้ไม่ได้มากชนิดล้นฟ้าแต่มันก็ทำให้มีความสุขในการใช้ชีวิต ห้องพักที่อาศัยอยู่เป็นห้องพักกลางเก่ากลางใหม่ไม่ใหญ่โตหรูหรา แต่ก็เรียบโก้ในแบบที่เขาชอบ ห้องสีน้ำตาลอาจจะดูเข้มขลังไปบ้างสำหรับใครอื่น แต่สำหรับเขา สีเปลือกไม้เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกสงบ ใบห้องกว้างเรียบโล่งตกแต่งสไตล์มินิมอล เน้นแนวคิดน้อยคือมาก มีเฟอร์นิเจอร์แค่ที่จำเป็น โต๊ะทำงานตัวใหญ่ ไฟสีนวลส่องสว่าง ผ้าม่านสีครีม เตียงใหญ่ในห้องนอน และตู้เสื้อผ้าสีครีม ทุกอย่างเรียบง่าย แต่มีความงามในแบบของมัน แม้ไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันแต่ก็พอเพียงกับการใช้ชีวิต คนเราจะต้องการของใช้มากมายไปไย ในเมื่อในความเป็นจริงแล้ว คุณก็ใช้เฉพาะแต่ของที่จำเป็นก็เท่านั้น กรชอบแกล้งบอกใครต่อใครว่าอยู่ชั้นเพนท์เฮาส์ แหม มันดูหรูหราพิลึก แต่ความเป็นจริงแล้ว เขาเพียงแค่อยู่บนชั้นสูงสุดของอพารท์เมนต์กลางเก่ากลางใหม่แห่งนี้ก็เท่านั้น
ชีวิตของเขาเรียบง่ายมันเรียบง่ายเหลือเกินจนติดจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ ชายหนุ่มยกโคล่าขึ้นจิบอีกอึกหนึ่งก่อนจะหยิบหนังสือที่วางอยู่ข้างโต๊ะขึ้นมาอ่าน โดยมากก็เป็นบทกวีหรือหนังสือแปล เขาดื่มด่ำไปกับตัวอักษรปล่อยจิตใจให้เพลิดเพลินไปกับความงดงามแห่งบทกวีที่ขับกล่อมไปพร้อมกันกับเสียงไวโอลินแว่วหวาน
ในความเรียบง่ายแบบนี้ เขาพึงพอใจมันมาตลอด
จนกระทั่งวันหนึ่ง
วันที่หน้าต่างสีขาวบานนั้นถูกเปิดออก
ภากร หรือภา เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในภาคเหนือ เขาเป็นหนุ่มน้อยผิวขาวละเมียด ใบหน้าอ่อนเยาว์ สดใส มีรอยยิ้มยั่วเย้าเจิดจรัส ดวงตาเป็นประกายสุกใส ดั่งคนที่มองโลกอย่างสวยงาม ภากรปาดเหงื่อที่หน้าผากมนเล็กน้อย จากความเหนื่อยอ่อนที่ต้องขนกระเป๋าหลายใบขึ้นมาจากชั้นล่าง ดีที่มีรถเข็นคันใหญ่ และคุณรปภ. หน้าดุแต่ใจดี ช่วยขนของขึ้นรถมาให้ ไม่อย่างนั้น เขาได้หลังหักตายก่อนพอดี
เขาย้ายเข้ามาอยู่ในอพาร์ตเม้นท์หรูหราราคาแพงที่สร้างตระหง่านอยู่ท่ามกลางชุมชนแออัดรอบข้าง ดูแตกต่างประหลาดตาอย่างน่าขันยามเมื่อมองจากภายนอก ที่อพาร์ตเมนท์หรูหราแห่งนี้มาอยู่ท่ามกลางแหล่งซ่อมซ่อรอบข้าง แต่ภากรก็ไม่สนใจ เขาชอบที่นี่ ค่าที่มันราคาไม่แพงเกินไปนัก และใกล้กับที่ทำงานของเขา มันช่วยประหยัดเวลาเดินทางในเมืองหลวงที่มีการจราจรจอแจแบบนี้ได้ไปมากโข
เด็กหนุ่มเปิดประตูห้องสีแดงสดออก เขาชอบนักสีสันสดใสเช่นนี้ มันแจ่มจรัสเจิดจ้าสร้างความชื่นบานในชีวิต กระเป๋าเดินทางใบแล้วใบเล่าถูกลำเลียงเข้ามาไว้ในห้องมันจัดแยกไปตามส่วนต่างๆ ทั้งห้องนอน ห้องรับแขก และห้องน้ำ ภากรจัดเรียงข้าวของอย่างเพลิดเพลินชีวิตอิสระจากครอบครัวทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างตื่นเต้นเสียเหลือเกิน เด็กหนุ่มเปิดเพลงดังสนั่นทำนองเพลงเร่งเร้ารัวเร็วทำให้เขาอดไม่ได้ต้องโยกกายตาม
ภากรร้องเพลงไป เก็บของไปอย่างมีความสุขชีวิตของเขากำลังจะเริ่มต้น งานใหม่ เพื่อนใหม่ โลกทั้งโลกนี้เป็นของเขา เด็กหนุ่มเดินเข้าไปยังห้องนอนสีขาวขนาดกว้างขวางพอดูเตียงขนาดใหญ่ตั้งอยู่มุมห้องตรงด้านข้างของห้องนอนมีหน้าต่างขนาดใหญ่หนึ่งบานปิดสนิทอยู่ ภากรฮัมเพลงในลำคอ เขาไม่ค่อยชอบความอุดอู้ในห้องนี้เลย
เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังบานหน้าต่างนั้น ออกแรงดันมันเบาๆบานหน้าต่างใหญ่โตก็เปิดออกอย่างง่ายดายแสงอาทิตย์อันอบอุ่นสาดส่องเข้ามาในห้องสีขาวสร้างความสว่างเจิดจ้าให้กับห้องนอนห้องใหม่ของเขา
เด็กหนุ่มยิ้ม มันเป็นยิ้มที่แย้มรับให้กับคนทั้งโลก
“เดี๋ยวค่อยหาผ้าม่านมาใส่ก็แล้วกัน เอ๊ะตรงนี้มีระเบียงเล็กๆด้วย ดีจังหาต้นไม้มาปลูกน่าจะดี” ภากรรำพึงเบาๆ กับตัวเองก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วเดินเข้าไปจัดของในห้องต่อจนเรียบร้อย
ปล่อยบานหน้าต่างสีขาวนั้นเปิดอ้าเพื่อรับความสดใสใหม่ให้กับชีวิต
กรดลเดินวนกลับไปดูที่หน้าต่างบานเดิมอีกครั้งแล้วก็ต้องถอนหายใจอีกหน เด็กคนนั้นหายไปไหนกันนะเด็กผู้ชายที่เปลี่ยนสีผมแทบจะทุกเดือนกี่เดือนกันแล้วที่เขาเห็นเด็กหนุ่มคนเดิมเดินออกมารดน้ำต้นไม้กระถางเล็กๆที่ริมหน้าต่างสีขาวเขาเฝ้าดูปากอิ่มนั้นขยับขึ้นลงเจรจาอยู่กับบรรดามวลดอกไม้เล็กจิ๋วสีสันสดใส แม้ไม่ได้ยินเสียงจำนรรจาแต่จากอากัปกิริยาน่าดูชมเหล่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกรอยยิ้มให้เขาได้ในแต่ละวัน
บางวันในยามเช้า ช่วงเวลาแห่งความเร่งรีบของคนกรุง เขาจะเห็นเด็กหนุ่มรีบร้อนแต่งตัวเพื่อออกไปทำงาน คนตัวเล็กจะวิ่งตึงตังไปรอบ ๆ ห้อง บางครั้งก็ใส่แค่กางเกงในตัวเดียววิ่งร่อนหาเสื้อผ้าใส่จนครบ กรดลหัวเราะกับภาพที่เห็นเหล่านั้นทุกที
บางคราวเขาจะเห็นเด็กหนุ่มใส่หูฟังเดินวนไปมาร้องเพลงอยู่คนเดียวเป็นที่เพลินใจ ก่อนภาพนั้นจะหายไปเมื่อเด็กหนุ่มเจ้าของห้องเดินลับมุมหน้าต่างไปอยู่ในจุดที่เขามองไม่เห็น
กรดลนึกอยากให้หน้าต่างสีขาวบานนั้นมันขยายขนาดให้เต็มฝาผนังทั้งด้านเสียเหลือเกิน
ภากรรดน้ำต้นไม้ไปพร้อมกับร้องเพลงคลอไปด้วยเบาๆ เขาอาศัยอยู่บนชั้นหกของอพาร์ตเม้นท์จากห้องรับแขกเมื่อเปิดประตูระเบียงออกไปก็จะเห็นวิวสวนสาธารณะให้ผ่อนคลายอารมณ์ได้บ้าง แต่แย่หน่อยก็คือวิวฝั่งห้องนอนที่ไม่ดีเอาเสียเลยมันติดกับอาคารหอพักอีกแห่งหนึ่ง ระยะไม่ได้ห่างกันมากนักแต่ไม่ถึงกับใกล้เสียจนชะโงกคุยกันได้
แต่ถึงยังไงภากรก็ไม่ชอบอยู่ดี
เขาไม่ชอบความมืดหม่นอึมครึมของมันเลยผนังปูนเปลือยนั้นมันคงดูดีกว่านี้ถ้าจะรู้จักบูรณะซ่อมแซมมันบ้างหรืออย่างน้อยทาสีทับก็ยังดีแต่นี่เล่นปล่อยให้ดูเก่าซ่อมซ่อเหมือนอาคารผีสิงไปได้
ยิ่งดูยิ่งขนลุกเป็นที่สุด ภากรรดน้ำต้นไม้จนเสร็จ ก่อนจะปิดบานหน้าต่างกระจกลง
“แย่จริง ยังไม่ได้ซื้อผ้าม่านเลย ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อก็แล้วกัน”
ภากรผิวปากก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปแต่งตัว
กรดลเสพติดหน้าต่างบานนั้นเสียแล้ว
เขาเสพติดละครชีวิต ที่ฉายผ่านหน้าต่างสีขาวบานใหญ่ ละครที่มีตัวเอกเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กผิวขาวจัดคนนั้นเข้าให้จนถอนตัวไม่ขึ้น
ชายหนุ่มลากโต๊ะทำงานมาไว้ที่ริมหน้าต่างเพื่อที่จะไม่ต้องเดินมาแอบดูบ่อยๆ เขาจิบกาแฟระหว่างนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เหลือบแลสายตามองไปยังเด็กหนุ่มในห้องนั้นบานหน้าต่างสีขาวยังคงเปิดอ้า ดอกไม้ดอกเล็กปลิวไหวตามแรงลมพัดหวิว
มันหวิววาบไม่แพ้ภาพในห้อง
กรดลแทบสำลักกาแฟเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเจ้าของห้องปลดผ้าขนหนูออกจากตัวแล้วเดินเปลือยกายโทงๆ ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีทันที หาใช่รังเกียจหากแต่รู้สึกอับอายแทนเจ้าของร่างกายนัก
แม้แวบเดียวเขาก็รับรู้ได้ว่า ผิวกายนั้นขาวละเอียดขนาดไหน เอวคอดบอบบางราวกับจะหักได้หากถูกกอดรัดแรงๆ เพียงหน
เขาอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายผอมบางเช่นนั้นจะมีคนรักเป็นผู้หญิงได้อย่างไรในเมื่อเจ้าตัวดูสวยงามสะโอดสะองกว่าหญิงสาวหลายคนที่เขาเคยพบเจอ
ชายหนุ่มเหลือบแลไปยังหน้าต่างสีขาวนั้นอีกหนเจ้าของห้องยังคงเดินนวยนาดอยู่ในห้องทั้งที่มีเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียวปกปิดกาย
เป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากให้หน้าต่างสีขาวบานนั้นปิดเสีย
จะได้ไม่มีใครเห็นอย่างที่เขาเห็น
คำตอบที่ว่า เด็กหนุ่มเจ้าของห้องนั้น มีคนรักเป็นหญิงหรือชายกระจ่างใจกรดลในอีกไม่กี่วันต่อมา
กลางดึกของคืนวันพระจันทร์เดือนมืดเขานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่างตัวเดิม พยายามห้ามใจไม่ให้เหลือบแลไปยังหน้าต่างสีขาวบานนั้นอีกแต่ก็ห้ามได้ยากเหลือเกิน เขาแทบจะชะเง้อคอมองเมื่อเห็นแสงไฟจากห้องฝั่งตรงข้ามสว่างขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของชายคนอื่นที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มเจ้าของห้อง กรดลขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ไม่นานคนที่เขาเฝ้ารอก็เดินตามเข้ามา ใบหน้าอ่อนใสนั้นแต่งยิ้มเช่นเดิม แต่มันไม่ใช่ยิ้มแย้มสดใสอย่างที่เขาเห็นทุกวัน
ภาษากวีเขาเรียกว่าอย่างไรเล่า
.....ยิ้มยั่วเย้าเว้าวอนหวาน.....
กรดลนึกด่าความสามารถทางกวีอันน้อยนิดของตนเองขึ้นมาทันที เพราะยิ้มที่เขาเห็นแต้มแต่งอยู่บนกลีบปากสีลิ้นจี่จิ้มลิ้มมันยั่วเย้า เว้าวอน งามวังเวงใจชายหนุ่มอย่างเขานัก งามเสียจนเขาไม่อาจสรรคำขึ้นมาบรรรยายมันได้ทันท่วงที
ชายหนุ่มเผลอไผลไปกับรอยยิ้มนั้นเช่นกันดวงตาสีเข้มจ้องมองเพลินหากแต่ได้สติอีกทีเมื่อรู้สึกว่าบางอย่างเริ่มแปลกไป
แขนเรียวของเด็กหนุ่มโน้มคอชายข้างกายลงมาชิด
กลีบปากทั้งคู่ประกบกัน
กรดลรู้สึกราวกับรับรู้ถึงรสจูบนั้นไปด้วยชายหนุ่มเบือนหน้าหนีทันที พลางดึงผ้าม่านปิดลงเพราะไม่อยากรับรู้ภาพจากหน้าต่างสีขาวบานนั้นอีก
ดูเหมือนละครชีวิตที่เขาเฝ้ารอดูมาตลอดวันนี้คงไม่สนุกเท่าไหร่
ชายหนุ่มถอนใจเขากลับไปนั่งลงตรงที่โต๊ะทำงานเหมือนเดิม
นิ้วมือพร่างพรมลงไปบนแป้นพิมพ์นั้นไม่คล่องไวดังเก่า
วันที่เท่าไหร่แล้วนะเขาไม่เห็นเด็กคนนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว กรดลถอนหายใจ ลุกขึ้นจากโซฟาหลังจากอ่านหนังสือจบไปตามที่ต้องการนับตั้งแต่วันที่เขาเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นพาคู่รักเพศเดียวกันมาที่ห้องเขาก็ไม่กล้าเสี่ยงมองผ่านหน้าต่างสีขาวบานนั้นอีกเลยแต่หลายหนก็อดไม่ได้ที่จะมองผ่านหน้าต่างบานนั้นเข้าไปหาตัวละครที่โลดแล่นอยู่ในห้อง
เขายังชอบมองเวลามือเล็กพรมรดน้ำต้นไม้ เริ่มแรกเขาเห็นเด็กหนุ่ม ใช้วิธีจุ่มนิ้วมือลงในแก้วน้ำแล้วสะบัดพรมใส่ต้นไม้อย่างเบามือ ต่อมาจึงเริ่มซื้อกระบอกฉีดน้ำเล็กๆมาไว้พรมน้ำให้ต้นไม้เหล่านั้น
เขาชอบเห็นปากจิ้มลิ้มสีสด ยิ้มหัวกับดอกไม้ในวันที่อารมณ์ดี เด็กหนุ่มคนนั้นจะร้องเพลงกล่อมอารมณ์ให้ดอกไม้ใบจิ๋วแต่ในวันที่เศร้าโศกก็ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องก็ร้องไห้กับต้นไม้ได้เหมือนกัน
เขาอยากเข้าไปปลอบเหลือเกิน
กรดลเอนหลังกับโต๊ะทำงาน เขาเบื่อที่จะถามตัวเองว่ากี่วันแล้ว ในเมื่อเขารู้คำตอบดี จะไม่รู้ได้อย่างไรในเมื่อนั่งนับมันทุกวัน วันนี้ก็ห้าวันเข้าไปแล้วที่ไม่เห็นเจ้าของห้องนั้น เจ้าของบานหน้าต่างสีขาว ไม่เห็นมือเล็กๆ ทำหน้าที่พร่างพรมน้ำให้ต้นไม้จิ๋วที่ริมหน้าต่าง ไม่เห็นปากอิ่มยิ้มสดใสเจิดจ้าดังเดิม
กรดลถอนหายใจความสดใสของบานหน้าต่างสีขาวดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาหรือละครโรงเล็กของเขากำลังจะปิดฉากลงเด็กหนุ่มคนนั้นอาจจะย้ายไปอยู่ที่อื่นหรือจะย้ายไปอยู่กับคนรักหนุ่มคนนั้นแล้วหนอ
นิ้วมือใหญ่พรมลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์อีกหน เขาปล่อยหัวใจปลดสมองจากเรื่องที่กางกั้นความคิด แล้วเริ่มพิมพ์ทุกอย่างที่ใจต้องการ หลายเดือนผ่านมานี่ความสดใสของหน้าต่างสีขาวบานนั้นถูกเขาถ่ายทอดลงมาเป็นตัวอักษร
เขาสร้างตัวละครที่สดใสเจิดจ้าอย่างที่เขาอยากให้เป็น สร้างชายหนุ่มที่เคร่งขรึมมีชีวิตน่าเบื่อหน่าย เสกสรรตัวบท ฉาก และบทสนทนาให้เป็นไปตามใจ
กรดลกำหนดทุกอย่างให้เป็นไปตามที่หวังจะให้เป็น การพบกันที่น่าตื่นเต้น การตกหลุมรักที่แสนหวาน อุปสรรคสุดขมขื่นและความรักความมั่นใจที่ตัวละครเอกมีให้แก่กันจนก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหลายไปได้
ในโลกแห่งนวนิยายนั้นทุกอย่างเป็นได้จริงเสมอ
เรื่องของหนุ่มน้อยหน้าต่างสีขาว กับ นักเขียนหนุ่มในตึกเก่าๆ มันก็น่าจะเป็นจริงได้เหมือนกัน
แม้จะผ่านแค่ตัวอักษรก็ตาม
วันหนึ่งกลางฤดูร้อน เมื่อเขาทำงานทุกอย่างเสร็จสิ้น กรดลสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่งหอบหิ้วกระเป๋าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กคู่ใจออกมาจากห้องด้วย วันนี้เป็นวันส่งงานเขาอยากไปถึงสำนักพิมพ์ให้เร็วกว่าปกติเสียหน่อย ก่อนจะปิดประตูลงก็ยังอดไม่ได้ต้องหันกลับไปมองหน้าต่างสีขาวบานนั้นผ้าม่านเนื้อบางยังปิดสนิทเหมือนเดิม ดอกไม้ใบจิ๋วจ้อยพวกนั้นมันดูไม่สดใสเหมือนเก่าเมื่อไม่มีรอยยิ้มจากเจ้าของห้องมาช่วยแต่งแต้ม
“ช่างเถอะ” ชายหนุ่มสะบัดหัวก่อนจะออกเดินทางไปยังสำนักพิมพ์
เขาเป็นนักเขียนขายดีผลงานติดอันดับหนึ่งในสิบของสำนักพิมพ์เสมอ กรดลไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงมาลงเอยกับอาชีพนี้ รู้แต่เพียงว่าเขาชอบใช้เวลายามค่ำมืดนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าพร่างนิ้วพรมพิมพ์เรื่องราวต่าง ๆ ลงมาเป็นบทความ จากบทความสั้นๆ เริ่มร้อยเรียงเป็นเรื่องสั้นหลากหลายลงเผยแพร่ในบล๊อกส่วนตัว และเริ่มเสนองานเขียนให้กับบรรดาสำนักพิมพ์ทั้งหลายไม่นานผลงานก็เริ่มเป็นที่รู้จัก เขาเริ่มต้นเขียนนิยายขนาดยาวสร้างตัวละครหลายต่อหลายตัวให้ออกมาโลดแล่นผ่านความงามละมุนละไมของตัวอักษร
มันอบอุ่นละลายใจผู้อ่าน ตัวอักษรของเขานั้นทรงพลังนักมันดึงให้ผู้ที่กวาดสายตาอ่านต้องหยุดชะงักและสาปให้ผู้อ่านนั้นมึนเมาหลงใหลกับความงดงามแห่งสำนวนภาษาที่เลือกใช้
มันหลอมดวงใจผู้อ่านทุกคน บิดขยี้ แล้วปลุกปั้นปลอบใจสร้างรอยยิ้มสดใสทั้งหยาดน้ำตาทำทุกอย่างให้เป็นไปตามที่เขาลากปากกาจะให้เป็น หากแต่ใครจะล่วงรู้เล่าว่าในเบื้องลึกจิตใจผู้เขียนนั้นเปลี่ยวเหงาขนาดไหน
ปลายปากกาจรดสรรอักขระทำให้ทุกตัวละครสมหวังหากแต่ในชีวิตจริงของเขาแล้วนั้นไม่เคยได้ประสบความหวานชื่นอย่างที่เฝ้าเสกสรรให้ผู้อื่นเป็น
มันก็ยังคงอ้างว้างเปลี่ยวเปล่าอยู่ทุกวัน
ยิ่งเขาทุ่มเทกับการเขียนเท่าไหร่ โลกแห่งความจริงก็ดูจะห่างไกลจากเขาไปเท่านั้น หรือบางทีหน้าต่างสีขาวบานนั้นคงเป็นเพียงความสุขที่ทำได้แค่เพียงจินตนาการถึงเท่านั้น
หาใช่ความจริงที่เขาจะไขว่คว้ามาได้
“คุณกรดลครับ ผมเป็นบรรณาธิการคนใหม่ชื่อภากร ยินดีที่ได้ร่วมงานด้วยครับ” เด็กหนุ่มข้างหน้าโค้งตัวให้เขา
กรดลยืนชะงักอยู่กับที่ข้าวของที่ถือมาในมือแทบร่วงหลุดหล่นจากมือเขาโค้งตัวตอบก่อนจะพยักหน้าให้อย่างเงียบขรึม ชายหนุ่มส่งผลงานในมือให้คุณบรรณาธิการคนใหม่ มันถูกพิมพ์เป็นต้นฉบับขนาดเอสี่เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านหากผลงานชิ้นนี้ผ่านการพิจารณา ก็จะได้ส่งผลงานที่อยู่ในไฟล์คอมพิวเตอร์ให้สำนักพิมพ์เพื่อจัดพิมพ์ต่อไป
เป็นครั้งแรกที่กรดลไม่อยากให้งานของเขาถูกตีพิมพ์ ไม่อยากให้ใครได้อ่านมัน
“คุณหายไปนานเลย บรรดานักอ่านบ่นถึงผลงานของคุณกันใหญ่” ปากอิ่มสีลิ้นจี่นั้นเอ่ยวาจากรดลได้แต่ยืนเบื้อใบ้เฝ้ามองดวงหน้าหวานที่อยู่ใกล้กว่าที่เขาเคยเห็น
ยิ่งชวนพิศ ยิ้มพริ้มเพรา ยิ่งยั่วเย้า เร้าโหยหา
ชายหนุ่มผงกหัวรับคำ ค่อย ๆ นั่งลงตรงเก้าอี้ด้านหน้าของบรรณาธิการคนใหม่
“เรื่องนี้เป็นยังไงบ้างครับ” ภากรเริ่มพลิกต้นฉบับดูเขามีหน้าที่อ่านบทนำ พิจารณาความเหมาะสมในการเผยแพร่แต่กรดลเป็นนักเขียนขายดีของสำนักพิมพ์งานนี้ก็คงได้รับการตีพิมพ์อีกตามเคย
เขาเฝ้ารอคำตอบจากนักเขียนหนุ่มตรงหน้าหากแต่ที่ได้รับกลับมาคือความเงียบงันใบหน้าหล่อเหลานั้นยังไม่แสดงความรู้สึกใดดวงตาคมเข้มจับจ้องบนดวงหน้าของเขา มันไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดหากแต่ตรงกันข้ามแวววาวไหวริกในแก้วตานั้นราวกับจะบอกความตื่นเต้นภายในใจชายหนุ่ม ปากบางหยักไม่แย้มยิ้มมันเผยอออกเพียงนิดราวกับจะอ้างเอ่ยถามบางอย่างที่ค้างคาในใจภากรยิ้มบางเบากับภาพที่เห็น
“เห็นหลายคนบอกว่าคุณพูดน้อย ผมไม่คิดว่าจะน้อยขนาดนี้” ภากรพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะก้มลงอ่านบทนำคร่าวๆ
กรดลอยากจะกระชากต้นฉบับนั้นกลับคืนมาเหลือเกิน มือใหญ่กำเกร็งอยู่บนหน้าตักชายหนุ่มได้แต่มองบรรณาธิการหนุ่มน้อยนั้นตั้งอกตั้งใจอ่านผลงานของเขา
‘ได้โปรด ขอให้เป็นเพียงคนที่หน้าเหมือนกันเท่านั้นเถอะ’เขาวิงวอนในใจ
นานกว่าอึดใจกว่าบรรณาธิการหนุ่มจะเงยหน้าขึ้นมาจากผลงานของเขา ดวงตากลมใสจ้องมอง พร้อมความกังขาในใจ
“เรื่องนี้ดูเหลือเชื่อนะครับการที่คนสองคนจะตกหลุมรักกันผ่านบานหน้าต่างซ้ำยังเป็นการตกหลุมรักข้างเดียวเสียด้วย”ภากรยิ้มบางเบา
ยิ้มด้วยปากอิ่มสีลิ้นจี่ชื่นชูใจเช่นนั้น
“ผมก็คิดว่ามันเหลือเชื่อ” กรดลตอบกลับเสียงเบานุ่ม เขาก้มหน้าหลบสายตาสดใสของคนตรงหน้า
เหมือนแสงอาทิตย์เหลือเกิน สดใสเจิดจ้าน่าหลงใหล แต่ไม่อาจจับต้อง
“นั่นสิครับ แต่มันโรแมนติกมาก ผมชอบนะครับชอบการบรรยายความรู้สึกของการหลงรักข้างเดียวการเฝ้าหวังรอคอยว่าเมื่อไหร่บานหน้าต่างนั้นจะเปิดออกจนวันที่ทั้งคู่สบสายตากันและกันเป็นครั้งแรก”
ในตอนนั้นเองที่กรดลเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคู่คมโศกสบเข้ากับประกายตาแจ่มจ้า
ราวกับทั้งคู่เห็นกันและกันเป็นครั้งแรก
กรดลไร้คำจะกล่าวพูดตลกเหลือเกินอาชีพของเขานั้นขายถ้อยคำและตัวอักษร ขายคำหวานฉ่ำหัวใจหากแต่ในตอนนี้เขากลับไร้วาจาใดจะเอื้อนเอ่ย ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ
“แล้วผมจะติดต่อกลับไปนะครับ” ภากรสรุปก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นกรดลทำท่าจะเดินออกจากห้องชายหนุ่มโค้งตัวรับคำหันหลังกลับทันที
คุณบรรณาธิการจะรู้รึเปล่าหนอ
ว่าเรื่องราวที่ร้อยเรียงออกมาเป็นสายธารแห่งอักษร หน้าต่างสีขาวที่เขาเฝ้ามองทุกวัน
มันเป็นเรื่องของตัวเขาเอง
กรดลครุ่นคำนึงอยู่ในใจระหว่างเดินออกจากห้องทำงานของบรรณาธิการคนใหม่
“วันนี้ผมจะกลับไปรดน้ำต้นไม้นะครับดูเหมือนว่ามีคนเป็นห่วงมันมากกว่าผมเสียอีก” เสียงเล็กเบาหวานดังขึ้นจากเบื้องหลัง
กรดลตัวชาวาบ
หน้าต่างสีขาวบานนั้น
ได้แต่หวังว่ามันคงเปิดให้เขาตลอดกาล
แถมพก
“รู้ตอนไหนว่าเป็นเรื่องของคุณ” กรดลถามภากรระหว่างที่ทั้งคู่ออกมาเดินเล่นกันในสวนสาธารณะตอนเช้าตรู่ ภากรมีงานอดิเรกคือช่วยพาหมาตัวโตของเจ้าของอพาร์ตเมนต์ออกมาเดินเล่นตอนเช้าก่อนออกไปทำงาน
ตอนนี้เขารู้ชื่อเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว
ภากร
ดวงตะวันอันสดใสของเขา
ภากรหัวเราะเสียงใส มือเล็กกระตุกสายจูงหมาให้เดินช้าลงหน่อย เจ้าหมาตัวนี้ยิ่งโตแรงยิ่งเยอะ
“ก็รู้ตั้งแต่บานหน้าต่างสีขาวกับตึกฝั่งตรงข้ามทึบทึมแล้วครับ เอะใจอยู่บ้างมาชัดเจนเอาตอนที่รดน้ำต้นไม้ กับแก้ผ้าวิ่งรอบห้องนี่ละ” ภากรยิ้มขัดเขิน
“แอบดูผมมานานเท่าไหร่กัน” ภากรหันไปถามบ้าง กรดลอมยิ้มอยู่ในใบหน้าหล่อเหลา
“ก็ ห้าหกเดือน ตั้งแต่คุณย้ายเข้ามา”
“ผมก็เลยกลายเป็นตัวละครของคุณไปเลยงั้นสิ” ภากรพูดยิ้มๆ
“ก็อย่างนั้นละครับ” กรดลหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนความขัดเขินในใจ
“ในเรื่องมีฉากจูบกันในสวนสาธารณะด้วยนะครับ” ภากรหันมาเอียงคอมองผู้ชายตัวสูงข้างๆ
“อยากให้เป็นจริงหรือไง”กรดลขยับตัวเข้าใกล้คนตัวเล็กอีกนิด มือใหญ่ช่วยดึงรั้งสายจูงสุนัขให้อยู่นิ่ง
“บางทีก็อยากเป็นนางเอกในนิยายบ้าง” ภากรอมยิ้มกระซิบตอบ
กรดลหัวเราะเบาๆ มือใหญ่รั้งราวเอวบางเข้ามาชิด ก่อนจะก้มลงจูบพวงแก้มอิ่มเต็ม
“นี่มันหอมแก้ม” ภากรประท้วง ช้อนตาขึ้นมองคุณนักเขียนที่ชอบทำหน้าเคร่งขรึมตลอด
“ก็ในเรื่อง จูบ มันเก็บไว้จูบกันสองคน .....ในห้อง......ตอนปิดหน้าต่างแล้ว” ชายหนุ่มกระซิบตอบก่อนจะโอบเอวภากรให้ก้าวเดินต่อไป
“แต่ชีวิตจริง ผมอยากให้จูบตรงนี้นี่ครับ” ภากรร้องงอแง
กลีบปากสีลิ้นจี่ที่กรดลเฝ้ามองมาตลอดเผยอแย้มยิ้ม ไม่นานนักเขาก็ก้มลงเคล้าคลึงมันตามใจเจ้าของ
ภากรตอบรับจูบอ่อนหวานนั้นอย่างยินดีมือใหญ่เกี่ยวกุมมือเล็กไว้มั่น มันประสานกันแน่นสองคนผละออกจากรสจูบหวานหอมก่อนจะสบสายตาเข้าหากัน
หน้าต่างสีขาวบานนั้น อาจจะปิดลงในวันที่ฝนตก ลมพายุพัดแรง
แต่หน้าต่างหัวใจของทั้งคู่ จะเปิดออกให้แก่กันตลอดกาล
FIN.