คุณอาจเคยได้ยินเรื่องราวความรักของชายอัปลักษณ์ที่ไดคนรักเป็นสาวงามมาแล้ว เรื่องของผมก็เช่นกันแต่เรื่องราวของผมเป็นเรื่องราวความรักของสาวงามกับชายตาบอด ผมชื่อมานพ อดีตผมเป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่ง เติบโตในสถานเลี้ยงเด็ก แต่ด้วยความขยันทำให้ผมสามารถสอบชิงทุนของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งได้ พอเรียนจบผมได้งานเป็นวิศวะกรให้กับบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ด้วยความเป็นหนุ่มไฟแรงผมตั้งใจขยันทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวจนผมมีทุกสิ่งเพรียบพร้อมทั้งหน้าที่การงาน หน้าตา และคนรัก เธอกับผมเราเรียนมาด้วยกันแฟนของผมเป็นสาวสวยที่ทางบ้านค่อนข้างจะมีฐานะ แต่ด้วยความรักที่เรามีให้กันผมคิดว่ามันทำให้เธอมองข้ามแล้วมาคบกับคนแบบผมเราวางแผนจะแต่งงานกันหลังจากที่โปรเจ็คสร้างห้างสรรพสินค้าของผมเสร็จเรียบร้อย แต่ทว่ากลางเดือนสิงหาคมเมื่อปีที่แล้วผมกลับจากงานแล้วไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ เย็นวันนั้นผมดื่มหนักผมเมามากและไม่สามมารถควบคุมสติได้เพื่อนของผมเสนอที่จะไปส่งผมที่บ้านแต่ผมปฏิเสธ คืนนั้นฝนตกหนักมากคลายว่าเป็นพายุลูกเห็บ ผมเมาหนักกึ่งหลับกึ่งตื่นขณะที่ขับรถ ทันใดนั้นมีรถกระบะอีกคันส่วนทางมาปะทะเข้ากับรถผมจังๆ หลังจากคืนนั้นผมอยู่โรงพยาบาลนานเกือบสองเดือน ผมทราบจากหมอมาว่าคนที่ขับรถมาชนผมเสียชีวิตคาที หมอบอกผมว่ายังดีที่ผมรอดมาได้แต่ผมกลับต้องสูญเสียการมองเห็นเนื่องจากเศษกระจกรถกระเด็นเข้าไปทำลายม่านตาผม หลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาลได้สามวันผมกลับมาอยู่ที่บ้าน มีเพียงนางพยาบาลที่ผมจ้างมาคอยอยู่ดูแล ทางบริษัทส่งเงินค่าดูแลรักษาก้อนใหญ่มาให้ผมรวมทั้งค่าจ้างเดือนสุดท้าย แน่นอนอยู่แล้วคงไม่มีใครอยากจะจ้างคนตาบอดให้ไปทำงานด้วยแน่นอน ผมทำใจตั้งแต่วินาทีนั้นว่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของผม สองสัปดาห์ผ่านไปผมยังไม่ข่าวของคนรักของผมเลย ผมตัดสินใจโทรหาเธอแต่ไม่สามารถติดต่อได้ ผมโทรไปที่บ้านแต่ไม่มีใครรับสาย ผ่านไปเดือนกว่าผมท้อและหมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อ ผมย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่หลังเดิมไปหาบ้านหลังเล็กๆชานเมืองอยู่ โดยมีป้าพยาบาลที่ดูแลและจัดการเดินเรื่องให้ผมในเวลาเช่นนนี้อย่างน้อยผมก็ยังมีป้าพยาบาลอยู่ด้วย เธอขออนุญาตผมว่าจะพาหลานสาวที่พึ่งเรียนจบอาศัยด้วยอาทิตย์หน้าผมไม่ได้ขัดข้องอะไร เย็นวันหนึ่งในขณะที่ผมออกไปข้างนอกโดยขอให้นางพยาบาลที่จ้างมาพาไปยังสวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน เธอเข็นรถผมเดินทั่วแล้วหยุดพัก “คุณนพค่ะเดี๋ยวป้าขอไปซื้อน้ำดื่มก่อนนะค่ะอยู่ตรงนี้สักครู่นะค่ะ” นางพยาบาลบอกผมเธอล๊อกล้อรถเข็นผมไว้แล้วเดือนไป ผมรอเธออยู่ครู่หนึ่งนั่งนิ่งๆฟังเสียงผู้คนมากมายที่วิ่งและเดินผ่านผมไป เสียงเด็กน้อยร้องไห้ เสียงหัวเราะของสาวๆ เสียงคนผิวปากอย่างสบายใจลมเอื่อยๆพัดมาผมนึกในใจตอนนั้นว่าเมื่อชีวิตของผมไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นภาพสวยงามเหล่านั้นและจะอยู่ต่อไปทำไมกัน ผมลุกขึ้นยื่นแล้วเดินหน้าทั้งที่ไม่มีไม้เท้า ทั้งที่ไม่รู้จุดหมาย ทั้งที่ตาบอดสนิทในหัวของผมคิดว่าคงดีถ้าเดินออกไปมีรถสักคันวิ่งมาชนจะได้ตายๆไปซะ สวรรค์คงได้ยินเสียงปรารถนาในใจผม ทันใดนั้นมีรถวิ่งมาด้วยความเร็วสูงผมได้ยินเสียงแตรที่กดไล่มาแต่ไกลผมไม่รู้ว่าจะต้องก้าวไปทางไหนจึงหยุดอยู่กลางถนนนาทีนั้นคิดว่าอีกไม่นานความทรมารที่เป็นอยู่จะสิ้นสุดลง แต่แล้วก็มีมือเล็กคว้าแขนผมลากผมออกมาจากจุดที่ยื่นอยู่ผมล้มลงบนพื้นถนนแข็งๆ “นี้คุณบ้าไปแล้วหรอค่ะทำไมถึงไปยืนขว้างทางรถกลางถนนแบบนั้น” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว ผมไม่พูดอะไรตอนนั้นน้ำตาของผมไหลโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าจะดีใจรึว่าเสียใจกันแน่ที่ยังมีชีวิตรอด ผมยังได้ยินเสียงเธอบ่นอยู่รู้สึกได้ว่าเธอลุกขึ้นแล้วกำลังจะเดินจากไปแต่ เธอเงียบไปสักครู่หญิงสาวผมรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังจ้องหน้าผมอยู่ เธอเลื่อนมือมาสัมผัสที่หน้าของผม “ที่แท้คุณก็ตาบอดนี้เอง ฉันขอโทษนะค่ะที่ต่อว่าคุณ ว่าแต่บ้านของคุณที่อยู่ไหนค่ะเดี๋ยวฉันไปส่งค่ะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเห็นใจ ผมไม่ตอบแต่ได้ยินเสียงของป้าพยาบาลใกล้เข้ามา “คุณนพทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะค่ะเนี้ยป้าเป็นห่วงแทบแย่นะค่ะ” ผมยังไม่ทันได้พูดหรือตอบคำถามใดๆ “อ้าวนิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ป้านึกว่าหนูจะมาอาทิตย์หน้าเสียอีก” ผมเริ่มจับใจความได้แล้วหญิงสาวที่ช่วยผมที่แท้คือหลานของป้าพยาบาลที่จะมาขออยู่ด้วยนี้เอง “ขอโทดที่ไม่ได้บอกก่อนนะค่ะคือช่วงนี้นิดขาดจ่ายค่าหอพักไปสองเดือนค่ะพอดีช่วงนี้ยังหางานไม่ได้ค่ะนิดต้องใช้เงินค่ะ พอไม่ได้จ่ายเค้าเลยให้ออกก่อนเวลานิดเลยกะว่าจะมาตามหาป้าตามที่อยู่ที่ได้รับมาเนี้ยค่ะ”พอ กลับถึงบ้านป้าพยาบาลจัดการธุระของผมเสร็จแล้ว เธอก็ขอไปพักผมนอนไม่หลับเลยออกมานั่งรับลมนที่ระเบียง คุณคงไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตัวใช่มั้ยค่ะคุณนพ เสียงหวานของสาวน้อยเอ่ยถามเค้า ผมไม่ตอบยังคงนิ่งเงียบ “ฉันสังเกตุคุณมาครู่หนึ่งคนตาบอดปกติหน้าจะถือไม้เท้าแต่คุณไม่ แล้วสีหน้าของคุณตอนนั้นก็ดูเหมือนกับชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรแล้วทำนอนนั้นเลย”ผมไม่อยากบอกกับใครๆว่าผมอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครมาสมเพสเวทนาผมในชีวิตนี้ผมเจอคำพูดแบบนี้มามากพอแล้ว ผมถอนหายใจแล้วเอ่ยถามเธอ “คุณนิดทำงานอะไรครับ” “ฉันเพิ่งเรียนจบค่ะฉันเรียนบัญชีมาค่ะ” เธอตอบ ผมเลยถามเธอต่อไปอีกว่า แล้วทำไมถึงมาอยู่ชานเมืองไม่คิดจะไปอยู่ในเมืองหรอครับใกล้ที่ทำงาน ดิฉันยังไม่มีงานค่ะสมัครไว้หลายที่แต่ยังใม่มีที่ไหนติดต่อกลับมาเลยยค่ะฉันเลยต้องมาขออาศัยคุณอยู่เนี้ยแหละค่ะ เธอตอบด้วยเสียงอ่อยๆ ผมพอเข้าใจว่าเธอก็คงเกรงในผมแต่คนเราเมื่อสิ้นทางออกจริงๆถึงตอนนั้นเราก้อย่อมจะหาสิ่งที่ทำให้อยู่รอด “อย่างน้อยคนตาบอดอย่างผมก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้างนะเนี้ย ยินดีตอนรับสู่บ้านหลังเล็กๆหลังนี้นะครับ” ผมพูดปนหัวเราะเพราะไม่อยากให้เธอเกร็งไปมากว่านี้ผมได้ยินเธอหัวเราะ คืนนั้นเรานั่งคุยกันจนดึกเมื่อนาฬิกากลางบ้านส่งเสียงบอกเวลา เธอบอกผมว่าต้อนนี้เลยเวลามามากแล้วผมควรเข้านอนเธอขยับเข้ามาใกล้จนผมได้กลิ่นสบู่อ่อนๆจากตัวเธอ เธอจูงเมื่อผมเดินไปยังห้องนอน มือของเธอช่างนุ่มราวกับมือเด็ก ผมเอนตัวลงบนเตียงเธอห่มผ้าให้ผมกล่าวราตรีสวัสดิ์ ผมได้ยินเสียงปิดประตูเธอเดินออกไปแล้ว คืนนี้เราคุยกันหลายเรื่องทำให้ผมได้รู้จักเธอคร่าวๆ แอร์เย็นๆทำให้ผมเคลิ้มหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้นป้าพยาบาลทำข้าวต้มหมูกลิ่นหอมฉุยหากผมไม่ตาบอดคงจะลอยตามกลิ่นไปแล้ว วันนี้ข้าวต้มของป้าก็ยังอร่อยเหมือนเดิมนะครับ ผมเอ่ยขึ้น ขอบคุณค่ะคุณนพ ป้าพยาบาลตอบ แล้วนิดไม่มาทานด้วยกันหรอครับ อ้อรายนั้นน่ะเค้าตื่นแต่เช้าออกไปแล้วล่ะค่ะ บอกว่าจะไปธนาคารใกล้ๆเนี้ยล่ะค่ะ ป้าตอบผมพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร บ่ายวันนั้นป้าพยาบาลขอเข้าไปเอายาที่โรงพยาบาลให้ผม เธอบอกจะรีบกลับ ผมนั่งที่ระเบียงที่เดิม ได้ยินเสียงคนเดินมาจากด้านหลังกลิ่งน้ำหอมราคาแพงที่คุ้นเคย ลินดานั้นคุณใช่มั้ย ผมถาม หัวใจผมเต้นรั่วถี่ๆ น้ำตาแห่งความดีใจไหลพรั่งพรูออกมา เธอกุมมือผมไว้หยดน้ำตาของเธอรดลงที่มือผม ลินขอโทษนะนพที่ไม่ได้ติดต่อเลย เธอพูดด้วยเสียงสั่นเครือ มานพปาดน้ำตาเค้าแล้วตอบกลับไปว่า “ผมให้อภัยคุณเสมอลิน นี้คุณจะกลับมาหาผมแล้วใช่มั้ยลิน เราจะแต่งงานกันอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมใช่มั้ย คุณไม่ต้องห่วงผมจะรีบรักษาให้หายแล้วเราจะจัดงานแต่งให้เร็วที่สุด” ไม่มีเสียงตอบใดๆมานพเอื้อมมือไปคว้ามือของครักสิ่งที่เค้าสัมผัสได้คือที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอสวมแหวนอยู่ “นี้มันหมายความว่ายังไงลิน” “ลินขอโทษนะนพที่ไม่ได้บอกแล้วหายไปเงียบๆ ทางบ้านลินกิจการของคุณพ่อกำลังจะล้มละลายลิน เพื่อนของคุณพ่อมีลูกชายที่จบจากเมืองนอกเค้าดีมากเลยนะนพเค้าดูแลลินและช่วยบริษัทของพ่อไว้ เราเลยตกลงใจแต่งงานกันเมืออาทิตย์ก่อน ที่ลินไม่ได้บอกเพราะลินกลัวนพเสียใจ ลินติดต่อนพไม่ได้เพราะเราบินไปจัดงานที่ยุโรป ลินขอโทษนะ” เธอตอบด้วยเสียงสั่นเครือ มานพจุกอกจนไม่สามารถจะหาคำพูดใดๆออกมาได้เค้าได้แต่นิ่งเงียบ “นพไม่โกรธลินใช่มั้ย” เธอกุมมือเค้าแน่น มานพยังคงเงียบ นพค่ะลินคงต้องไปแล้วขอโทษนะค่ะ เธอลุกแล้วเดินออกไปสิ้นเสียฝีเท้าเธอ ความเงียบเข้าปกคลุมถูกกลบด้วยเสียงร้องไห้สะอื้นของชายหนุ่ม มานพเสียใจอย่างที่สุดเค้าสูญเสียการมองเห็น หน้าที่การงาน และคนรักเพียงเพราะว่าเมาเหล้าคืนคืนเดียวทำลายชีวิตของเค้า เค้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้วมานพลุกขึ้นก้าวเดินออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย เขาเดินชนกับโต๊ะ และสิ่งกีดขว้างที่ไม่สามารถมองเห็นเช่นเคยเขาเดินตรงไปที่รั้วบ้านเปิดประตูออกไปเดินหน้าไปที่ถนน คราวนี้สวรรค์คงเป็นใจได้ยินเสียงปรารถนาของเขา มานพได้ยินเสียงรถวิ่งมาด้วยความเร็วแต่แล้วเขาก็ถูกพลักล้มอย่างแรง เขาล้มลงบนถนน คุณนพคุณเป็นอะไรรึปล่าวค่ะทำไมไปยืนกลางถนนแบบนั้น นิดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจปนเหนื่อย เธอคงเห็นเขาแต่ไกลเลยรีบวิ่งมา เป็นอีกครั้งที่เธอช่วยชีวิตเค้าไว้ มานพน้ำตาไหลเขาหมดแรงแม้กระทั่งจะยืน นิดประคองเค้าเข้าไปในบ้าน เขาเอนตัวลงที่เก้าอี้โยก น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาไม่หยุด แต่แล้วมือเล็กเรียวนุ่มๆนั้นเอื้อมมาปาดน้ำตาของเค้า “ฉันไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมาบ้างในชีวิตไม่ว่าคุณจะอยากเล่าหรือไม่อยากเล่าให้ฉันฟังแต่ชีวิตของคุณมีค่าเสมอนะค่ะคุณนพ ถึงคุณไม่มีใครอย่างน้อยยังมีป้าแล้วก็เพื่อนแบบฉันอยู่ข้างๆนะค่ะ” คำพูดของเธอทำให้เขารู้สึกใจชื่นขึ้นมามานพยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ตกเย็นวันนั้นมีพายุฝนตกหนักป้าพยาบาลยังกลับมาไม่ได้เลยโทรบอกเขาว่าเธอจะพักที่บ้านพักในโรงพยาบาล นิดทำอาหารเย็นและดูแลนพแทนป้าในคืนนั้น หลังทานข้าวเย็นเสร็จมานพนอนเองหลังที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เขายังจดจำทุกคำพูดของลินคนรักเก่าได้เสมอ ทุกคำพูดที่บาดลึกและทำรายจิตใจเขา ในห้องนี้มีเพียงความเงียบและความมืดมิดชีวิตเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนตกนกรกทั้งเป็น “คุณเบื่อรึปล่าวค่ะคุณนพ” เสียงใสๆเอ่ยถาม มานพยังคงนิ่งไม่พูด “งั้นฉันจะอ่านหนังสือให้ฟังดีมั้ยค่ะ เอาเป็นเรื่องนี้แล้วกันนะ เจ้าหญิงเงือกน้อย คุณคงเคยได้ยิน” มานพฟังเรื่องนี้มาเป็นร้อยรอบจากผู้ดูแลเด็กกำพร้านิทานเรื่องนี้ตอนจบช่างหน้าเศร้าที่เจ้าหญิงเงือกต้องสลายกลายเป็นฟองอากาศถึงแม้ว่านางจะรักเจ้าชายแค่ไหนก็ตาม มานพไม่ได้ฟังเนื้อหาของนิทานเพียงแต่จดจ่อกับน้ำเสียงของผู้อ่าน เสียงช่างไพเราะราวเพลงขับขานกล่อมเขาให้เผลอหลับไปในที่สุด