เรื่องราวในตอนต้นของเรื่องนี้สื่อคำพูดออกมาเป็นคำว่า “รักในหลวง” เกิดจากความตั้งใจจะถ่ายทอดความรู้ คำสอนของพ่อหลวง และข้อคิดที่ยูได้เรียนรู้มาทั้งชีวิตออกมาเป็นตัวหนังสือ เพราะยูคือนักเขียน นี่เป็นวิธีในแบบของยู นิยายเรื่องนี้จึงเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตที่ได้กล่าวถึงพ่อหลวงของไทย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙
ขอน้อมส่งสู่สวรรคาลัย หากท่านได้กลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง ยูหวังว่าท่านจะได้อยู่อย่างสุขสบาย
ข้าพระพุทธเจ้า นางสาวศศิธร แก้วมูล จะขอเป็นข้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกชาติไป
.......................................................................................................................................................................
Happy Birthday To YU
นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย
...คิดคิดมิวายกังวลให้หม่นฤทัยหมอง
ขาดมวลมิตรไร้คนสนิทคู่เคียงครอง
หลงใหลหมายปองคนปรานี…
ฉันสีไวโอลินไปตามท่วงทำนองของเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 5 เพลง ชะตาชีวิต เพลงที่ฉันชอบที่สุดในบรรดาเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งหมด พูดให้ตรงกว่านี้คือฉันชอบฟังเพลงนี้ที่เขาร้องให้ฟังมากกว่า
...ขาดเรือนแหล่งพักพำนักนอน
ขาดญาติบิดรและน้องพี่
บาปกรรมคงมี จำทนระทม...
เขาชอบร้องเพลงพระราชนิพนธ์ให้ฉันฟังบ่อยๆ ทุกวันที่เราเจอกัน ทุกครั้งที่เราเดินบนถนน ทุกเวลาที่เรานั่งพัก และทุกวินาทีที่เราใช้ชีวิตร่วมกัน นับจากนี้มันไม่มีอีกแล้ว...
...ท้องฟ้าสายัณห์ตะวันเลือน
แสงลับนับวันจะเตือนให้ใจต้องขื่นขม
หากเย็นลงฟ้าคงยิ่งมืดยิ่งตรอมตรม
ชีวิตระทมเพราะรอมา
ฉันสีไวโอลินไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในใจ บ้างก็เชื่องช้าและลากยาวจนบาดลึกในจิตใจ บ้างก็รวดเร็วดุดันราวกับจะส่งต่อความเจ็บปวด ทั้งหมดมันคือความคะนึงถึงคนสำคัญในชีวิตของฉัน ความทรงจำที่เรามีร่วมกัน ฉันจะไม่มีวันลืม
...จวบจันทร์แจ่มฟ้านภาผ่อง
เฝ้ามองให้เดือนชุบวิญญาณ
สักวันบุญมา ชะตาคงดี
เขามีเส้นเสียงที่ดีมาก นุ่มนวล และอ่อนโยน เขามีทั้งฐานะ มีทั้งพรสวรรค์ เรียนก็ดี กีฬาก็เก่ง ฉันเคยประชดว่าพระเจ้าช่างใจดีจังนะที่ส่งคนสมบูรณ์พร้อมแบบนี้มา ในเวลาต่อมาฉันถึงได้รู้ว่า...แม้พระเจ้าจะให้อะไรมามากมายแค่ไหน แต่เวลาเท่านั้นที่ไม่ได้มอบให้
วันนี้ของทุกปีคือวันคล้ายวันเกิดของฉัน และในวันนี้เมื่อปีที่แล้ว วันที่เราเดินเลือกซื้อของขวัญวันเกิดด้วยกัน วันนั้นรถยนต์ซึ่งขับมาด้วยความเร็วสูงเกิดเสียหลักพุ่งชนผู้คนที่เดินอยู่บนฟุตบาท บาดเจ็บสี่ราย บาดเจ็บสาหัสหกราย และเสียชีวิตคาที่สองราย ฉันกับเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉันบาดเจ็บเล็กน้อยเพราะเขายืนอยู่ฝั่งถนน เขาเคยบอกว่าบนถนนอาจมีรถเชี่ยวชนได้ เขาเป็นผู้ชายควรปกป้องฉันที่เป็นผู้หญิง นั่นคือเหตุผลที่เขาบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เขาเป็นผู้ชายที่ดี จิตใจดี รักและห่วงผู้อื่นเสมอ ช่างไร้ที่ติ รอยด่างพร้อยเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือการได้รู้จักกับฉัน
ก่อนจากกันตลอดกาลเขากล่าวกับฉันว่า “ดีแล้วที่เป็นฉัน เพราะถ้าเธอเป็นอะไรฉันคงเจ็บใจตัวเองไปจนตายแน่”
แล้วฉันล่ะ?
คนใจร้ายกล้าทิ้งฉันได้ลงคอ ตัวเองไม่ต้องทนทรมานกับการจากไปของเพื่อน ในขณะที่ฉันยังเสียใจอยู่ทุกวันนี้ เจ็บปวดไม่เคยจางหาย สุดท้ายเราคนหนึ่งก็ต้องจากกันอยู่ดี ไม่ว่าฝ่ายไหนก็เจ็บปวดทั้งนั้น...
“We 've got the Hungry Men's Blues.
You'll be hungry too, if you're in this band.
Don't you think that our music is grand?
We've got the Hungry Men's Blues.
You've eaten now all of you.
We'd like to eat with you too,
That's why we've got the H.M. Blues.”
ฉันสีไวโอลินท่อนที่สองพร้อมกับร้องไปด้วย ในขณะที่ท่อนแรกเป็นภาษาไทย ท่อนที่สองเป็นภาษาอังกฤษ เขามักจะร้องท่อนไทย บอกว่าถ้าเป็นภาษาไทยจะสามารถสื่ออารมณ์ได้ดีกว่า แต่ฉันเสียงไม่ดี ใส่อารมณ์ไม่ค่อยได้จึงร้องท่อนอังกฤษแทน แม้เสียงของเราทั้งคู่จะคนละระดับ เปรียบเหมือนอนุบาลกับมหาลัย แต่กระนั้นเราก็ยังคงร้องเพลงไปด้วยกัน
ฉันบรรเลงเพลงไปตามท่วงอารมณ์จนจบ โน้ตสุดท้ายลากเสียงยาวจนบาดลึกข้างในจิตใจของฉันเอง ราวกับเสียงกรีดร้องที่มิอาจปลดปล่อยออกมาข้างนอกได้จึงต้องปลดปล่อยมันไปกับโน้ตเพลง
แปะๆ
เสียงปรบมือสองทีคล้ายไม่จริงจัง ไม่คิดเลยว่าจะมีผู้ชมไม่ได้รับเชิญอยู่ด้วย ฉันหันกลับไปมอง ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์กำลังพิงกรอบประตูรับชมอยู่เงียบๆ จนกระทั่งจบเพลงเขาจึงค่อยขัดจังหวะ
“ทำไมถึงเจ็บปวดขนาดนั้นล่ะ?” เขาถาม เขาไม่รู้จักเพื่อนคนนั้นของฉัน เคยเห็นแค่ในรูป และไม่รู้ว่าฉันเล่นเพลงนี้เพื่อรำลึกถึงเพื่อนคนนั้น
ฉันเก็บไวโอลินลงกล่องอย่างเบามือ ถามว่า “กลับมาเมื่อไหร่?”
“เครื่องลงเมื่อวาน เพิ่งมาถึงคฤหาสน์เมื่อกี้นี้เอง” เขามองสำรวจฉัน “แปลกนะที่เธอใส่ชุดแบบนี้ ไม่เคยเห็นมาก่อน”
“งั้นจงถ่ายรูปเก็บไว้เดี๋ยวนี้” ฉันมือเท้าเอว หน้าเชิด มือซ้ายปัดผมสีดำอันเงางามไปข้างหลัง
วันนี้ฉันใส่ชุดวันพีชกระโปรงยาวสีขาวแต้มด้วยลายดอกไม้สีฟ้า ทำให้ดูเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนขัดกับตัวตนของฉันมาก แต่เป็นภาพที่เขาคนนั้นอยากเห็นที่สุด ฉันยิ้มหมองๆ พูดกับพี่ชายว่า “เขาอยากเห็นฉันทำตัวสมกับเป็นผู้หญิง นอกจากกระโปรงนักเรียนฉันก็ไม่เคยสวมกระโปรงอื่นเลย ดังนั้น วันนี้ฉันก็เลย...”
“ใส่มาให้เขาดูงั้นสิ” พี่ชายหัวเราะคล้ายเยาะเย้ย ฉันเตรียมต่อว่า แต่เขาก็พูดขัดขึ้นก่อน “เสียงของเธอก็ยังแย่เหมือนเดิมเลยนะ ที่ดีขึ้นมีแค่ภาษาหรือไง ตอนที่ร้องท่อนไทยยังเพราะกว่าอีก”
“ตอนที่ร้องท่อนไทย? นายเคยได้ยินฉันร้องเพลงนี้ด้วยเหรอ?” ฉันกับพี่ชายพบหน้ากันปีละครั้ง เขาเดินตามความฝันของตัวเองด้วยการไปเรียนทำอาหารที่ประเทศต่างๆ ทุกปีในวันเกิดของฉันเขาจะกลับมาเพื่อทำอาหารที่ตนร่ำเรียนมาให้ทาน เวลาที่เราคุยกันน้อยมาก เป็นพี่น้องที่ไม่สนิทกันมากๆ คู่หนึ่ง อีกอย่างน้อยครั้งที่ฉันจะร้องเพลงต่อหน้าผู้อื่น ส่วนใหญ่จะฮัมเพลงเป็นท่อนๆ ไปแล้วแต่อารมณ์ ดังนั้นเขาน่าจะไม่เคยได้ยินฉันร้องเพลง
พี่ชายดูสับสน เขาถาม “เมื่อกี้เธอร้องท่อนไทยก่อนจะร้องท่อนอังกฤษไม่ใช่เหรอ?”
ฉันเงียบ “...ฉันร้องแค่ท่อนภาษาอังกฤษ ท่อนแรกเป็นเสียงโซโล่ของไวโอลินเท่านั้น”
“...” ได้ยินคำตอบแล้วเขาก็ครุ่นคิด “แต่เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงร้องภาษาไทย เสียงเบาๆ คล้ายคลอตามจังหวะไวโอลิน จนกระทั่งเปิดประตูก็เห็นเธอสีไวโอลินอยู่คนเดียวก็เลยคิดว่าเธอร้อง พอได้ยินเธอร้องท่อนอังกฤษก็แปลกใจหน่อยๆ ว่าทำไมเสียงมันคนละชั้นกันแบบนี้ แต่ไม่ได้ต่างกันมาก”
“ฉันว่ามันต่างกันมากเลยนะ” ฉันเคยเล่นดนตรีเพลงนี้ให้คนอื่นฟังบ้างแต่ไม่เคยร้องมาก่อน มักเป็นโซโล่ไวโอลินกับเปียโน นอกนั้นก็เล่นกับวงออร์เคสตราประจำโรงเรียนซึ่งมีนักร้องอยู่แล้ว แต่เวลาที่ฉันเล่นโซโล่จะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น มีคนพูดกันหลายเสียงว่าได้ยินคนร้องคลอตามไปกับดนตรีทั้งที่เห็นกับตาว่าฉันไม่ได้ร้อง และเสียงนั้นเป็นผู้ชาย ฉันไม่เคยได้ยิน พูดติดตลกกับพวกเขาว่า สงสัยเพื่อนของฉันคงอยากร้องบ้าง วันนี้พี่ชายได้ยินกับหูตัวเองฉันก็อยากถามเหมือนกันว่ามีจริงหรือ?
แต่ฉันยังไม่ได้ถามอะไรเขาก็พูดว่า “ต่างกันมากจริงๆ ลองนึกดูดีๆ แล้วเสียงแรกที่ได้ยินคล้ายเสียงผู้ชาย ฉันยังนึกว่าเธอดัดเสียงเลย...”
ขณะพูด สายตาของเขาไม่ได้มองฉัน แต่มองไปข้างหลัง ด้านซ้ายของฉัน เขามองอยู่ครู่หนึ่งจึงถอนสายตาออกกลับมามองฉันเหมือนเดิม ฉันรู้ว่าเขาเห็นอะไรบางอย่างจากตรงนั้น เขามีสัมผัสที่ 6 มาจากสายเลือดของพ่อ แต่น่าเสียดายที่ฉันมีน้อยเกินไป
“นายเห็นอะไร?” ฉันอดถามไม่ได้ เพราะอยากรู้เหลือเกิน
เขาถอนหายใจ ถามว่า “ถ้าพูดเธอจะกลัวมั้ย?”
ฉันส่ายหน้าทันที “ถึงไม่เห็นแต่ก็สัมผัสได้ ฉันสัมผัสได้ว่ามีอะไรอยู่ใกล้ๆ มาตลอด แต่ไม่รู้สึกว่ามีอันตราย”
เขาได้ยินก็พยักหน้า “ไม่มีอันตรายอะไร เธอวางใจเถอะ”
“เป็นเขาเหรอ?” ฉันหันกลับไปมองในจุดที่เขาเคยมอง นอกจากอากาศก็ไม่มีอะไรอีก
ขณะนี้เราอยู่บนดาดฟ้าของเรือนรับรองเล็กภายในหมู่คฤหาสน์ของตระกูล ฉันยืนหันหน้าออกไปนอกเรือน เห็นวิวทิวทัศน์และลมเย็นสบาย เหมาะจะให้เสียงเพลงลอยไปตามสายลม ด้านหลังเป็นสระน้ำสีฟ้าใส ขณะบรรเลงเพลงอยู่นั้นก็รู้สึกเสมอว่ามีคนอยู่ด้านหลังซึ่งไม่น่าจะมีคนยืนอยู่ได้ แต่เพราะใจของฉันกำลังนึกถึงเขาก็เลยเข้าใจว่าคิดไปเอง
พี่ชายพูดว่า “จนถึงเมื่อกี้ฉันไม่เห็นใคร สงสัยตอนที่เปิดประตูเข้ามาเขาคงหลบไปแล้ว พอเห็นเรายืนคุยกันแถมพูดถึงเขา เขาก็เลยปรากฏตัว ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ”
“ลักษณะล่ะ?” ฉันมองไปรอบๆ มือควานหาไปอย่างไร้จุดหมาย
“ผอมสูง สีหน้าอ่อนโยนดีทีเดียว เสื้อสีขาว นอกนั้นไม่เห็น มันลางมาก” ฉันหยุดมือในจุดที่เขากำลังมอง “ใช่ เขายืนอยู่ตรงนั้น”
ฉันสัมผัสอะไรไม่ได้ ได้แต่ยิ้มขมขื่น พยายามกลั้นน้ำตาสุดฤทธิ์
พี่ชายถอนหายใจ บ่นพึมพำบางอย่าง “ฉันไม่ใช่เครื่องมือสื่อสารนะ...”
ฉันได้ยินดังนั้นก็รีบถาม “เขาพูดว่าอะไร?”
ยังไม่ทันตอบฉันก็คู้ตัวลงนั่งกับพื้น ฝืนน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ตอนนั้นรับรู้ได้ว่ามีอารมณ์จากภายนอกกำลังสื่อกับฉันอยู่ คงเป็นพลังอันน้อยนิดของฉันที่กำลังทำหน้าที่ของมัน
พี่ชายถอนหายใจอีกที ลดตัวเป็นวิทยุสื่อสารที่ถูกไหว้วานมา “ผู้ชายคนนั้นพูดว่า ถึงจะสมกับเป็นผู้หญิงแต่...อย่าร้องไห้อีกเลยนะ”
พี่เป็นคนแข็งกระด้าง ไม่มีทางพูดคำนี้ออกมาแน่ แล้วทั้งสองก็ยังไม่เคยคุยกัน ยากที่พี่จะโกหกฉัน
ฉันรู้แล้ว เป็นนายจริงๆ สินะที่อยู่ข้างๆ ฉัน...
คฤหาสน์ตระกูลวิชญานนท์หรือเรียกตามคนภายนอกว่า ‘หมู่คฤหาสน์วิชญานนท์’ เป็นคฤหาสน์กลางเก่ากลางใหม่ สร้างเมื่อแปดสิบกว่าปีก่อน บูรณะไปแล้วหลายสิบรอบ แต่เดิมมีเพียงหลังเดียว แต่ได้สร้างเพิ่มทีละหลังสองหลังตามลูกหลานที่เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นหมู่คฤหาสน์ ตั้งอยู่ในทำเลพิชัยสงคราม ตัวหมู่คฤหาสน์อยู่บริเวณตีนเขาล้อมด้วยรั้วสูงใหญ่ บริเวณกว้างหลายพันไร่ ด้านตะวันออกเป็นหน้าผาสูงชันติดทะเลลึก ตะวันตกติดค่ายทหาร ทางเข้าเดียวคือตรงกลาง ซึ่งมีถนนไชน่าทาวน์เปิดทำการก่อนจะถึงคฤหาสน์ ทุกด้านคือปราการชั้นดี ยากต่อการบุกรุก
คุณตาเป็นคนจีน ตอนจะลงหลักปักฐานที่ประเทศไทยได้ใช้ศาสตร์ฮวงจุ้ยตามหาถิ่นอาศัยจนเจอที่ดินเหมาะๆ ในจังหวัดเชียงใหม่แห่งนี้ ตามตำราว่าเขาลูกนี้คือเศียรมังกร ทั้งยังเป็นมังกรผงาด มีลักษณะคล้ายมังกรกำลังจะบินขึ้นฟ้า ส่วนคฤหาสน์ตั้งอยู่บนแผงคอมังกรพอดี ตำราว่าหน้าไม่ควรสูงกว่าหลัง เพราะจะบังโชคลาภที่เข้ามาหา ด้านหลังเป็นเขาเขียว(หลังเต่าดำ) ป้องกันภัยลุกลาน ด้านหน้าลาดลง(นกแดงรองรับฝ่าเท้า) ทำให้สิ่งไม่ดีไม่สามารถกล้ำกรายมาถึง ตะวันตกมีพยัคฆ์คอยปกป้อง(ค่ายทหาร) และตะวันออกก็มีมังกรธาตุน้ำอยู่ ที่ดินนี้จึงมีแต่เจริญรุ่งเรือง หน้าที่การงานเติบโต และลูกหลานอยู่รอดปลอดภัย
ขณะนี้ฉันกับพี่อยู่ที่โถงกลางของคฤหาสน์ใหญ่ เพราะเป็นสถานที่นัดคุยกันเกี่ยวกับรายละเอียดของงานฉลองวันคล้ายวันเกิดที่จะจัดเย็นนี้ บ่ายโมงตรงคนที่ว่างและไม่ได้ทำอะไรจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่าคนที่มาคือคนที่มีความสามารถพอจะช่วยกันจัดสรรแบ่งเบางานได้
“ปีนี้ได้ขยายร้านเพิ่มไหม? เปิดที่ไหนบ้าง?” ฉันถามขณะกำลังลงบันทึกพัฒนาการของฉันและของพี่
ตระกูลของฉันมีกฎเกณฑ์หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการเก็บข้อมูลพัฒนาการ เมื่อถึงวันเกิดของแต่ละคนจะต้องตรวจสุขภาพและบันทึกการเจริญก้าวหน้า ทั้งคนที่เรียนและคนที่ทำงานแล้วเพื่อจะได้รู้ว่าปีนี้เขาพัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน เช่น มีโรคประจำตัว เรียนอยู่ชั้นปีไหน โรงเรียน สายการเรียน สถานที่ทำงาน ทำงานอะไร มีกิจการอะไรบ้าง เติบโตหรือขยายไปมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น ทำแบบนี้เพื่อให้ลูกหลานรุ่นต่อไปได้ดูเป็นแบบอย่าง
ข้อมูลของพี่ต้องเก็บวันเดียวกับฉัน เพราะเป็นวันเดียวที่เขากลับบ้าน ข้อมูลมีสองส่วน ส่วนของโรงพยาบาลทหารจะต้องเดินทางไปตรวจที่ค่าย ส่วนของฉันเป็นข้อมูลพื้นฐานแค่ถามก็พอ
พี่นั่งอยู่บนโซฟาหรูด้านซ้ายมือของฉัน ท่าทางผ่อนคลาย เขาคิดอยู่นานก่อนจะตอบว่า “ปีนี้มีร้านเพิ่มหนึ่งร้านในญี่ปุ่น ส่วนร้านเก่าก็ลงตัวแล้ว ไม่มีอะไรเพิ่มเติม”
พี่เรียนรู้อาหารของแต่ละประเทศและเปิดร้านอาหารนานาชาติไปด้วย มีอยู่สี่ร้านเพิ่มของปีนี้ก็ห้า ในไทยหนึ่งร้าน จีนหนึ่งร้าน ที่เหลืออยู่ที่ญี่ปุ่น ลูกน้องเยอะ ร่ำรวยทีเดียว ขนาดอายุแค่ยี่สิบสามเองนะ ก็เขาสู้เพื่อความฝันมาตั้งแต่หกขวบ น่าซูฮกมาก แบบนี้พอมีครอบครัวแล้วเมียคงสบายไปถึงชาติหน้า ฉันถามอย่างอยากรู้ทันที “เปิดร้านที่ญี่ปุ่นอีกแล้วเหรอ? นี่เป็นร้านที่สามแล้วนะ รู้สึกว่านายจะชอบญี่ปุ่นเป็นพิเศษ หรือมีอะไรดีๆ อยู่ที่นั่นกันแน่?”
พี่หันมามองฉันทันที แต่เงียบไม่ยอมตอบ ฉันกำลังจะอ้าปากแซวเขาก็พูดว่า “ฉันมีเพื่อนที่ญี่ปุ่นอยู่หลายคน พวกนั้นว่างๆ ก็เลยเปิดร้านให้ดูแล”
“พวกลูกคุณหนูเหรอ? เห คนนี้หรือเปล่า?” ฉันควักสมาร์ทโฟนสีดำขนาดเหมาะมือเครื่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คิดว่าในนี้จะต้องเก็บรูปสุดที่รักไว้แน่ จากนั้นก็โชว์ด้านหลังที่เพนท์ลายเสือขาวเอาไว้ เขาไม่มีทางจำเครื่องนี้ไม่ได้แน่ ตบกระเป๋ากางเกงทันที
“เธอเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่ที่นายเข้าใกล้ฉัน” ฉันยกยิ้ม
“ครั้งเดียวที่เข้าใกล้เธอคือตอนช่วยถือไวโอลิน ใช้เวลาแค่สิบวินาทีเท่านั้น มือไวไปแล้วนะ” พี่แยกเขี้ยว
ฉันไม่สนใจ พยายามปลดล็อกเครื่อง แต่มันติดรหัส ฉันถาม “รหัสอะไร?”
“ฉันไม่มีทางบอกเธอแน่นอน” เขายกยิ้มอย่างคนเหนือกว่า หึ รู้จักฉันน้อยไป ฉันหันหน้าจอที่ปลดล็อกแล้วให้เขาดู เขาตกใจจนผุดลุกขึ้น ถามว่า “เธอทำได้ยังไง?”
“ฐานข้อมูลเก่า” ฉันใจดีไขปริศนาให้ “เสือบนหลังเครื่องคือรหัส เสือขาวหรือพยัคฆ์ขาวในความหมายจีนคือทิศตะวันตก ประเทศแรกที่นายไปเยือนคือฝรั่งเศส อยู่ทางตะวันตกของไทย ตอนนั้นนายอายุหกขวบ รหัสคือ 06france”
“บ้าไปแล้ว” พี่กรอกตา “อะไรทำให้มั่นใจว่าใช่ล่ะ? เธอใช้เวลาหารหัสแค่สั้นๆ ไม่กี่วิเองนะ”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ เครื่องนี้มาอยู่ในมือฉันตั้งสามสิบแปดนาที” ฉันยิ้มเยาะบ้าง
“ฉันไม่เห็นเธอเอาออกมาเลยจนกระทั่งเมื่อกี้” เขายังสงสัยอยู่
“นายไม่คิดถึงเวลาที่ฉันนั่งบ้างล่ะ เวลานั่งก็มากพอให้ฉันกดหารหัสอยู่ใต้โต๊ะแล้วนะ” ฉันหัวเราะ “พอเถอะ บอกความจริงก็ได้ เสือขาวคือสัญลักษณ์ที่นายใช้บ่อยที่สุด ฉะนั้นรหัสต้องเกี่ยวกับตัวนาย เรื่องอะไรที่นายจะจำได้แม่นที่สุดและแน่ใจว่าไม่มีใครรู้ คือวันที่ตัวเองเดินทางไปฝรั่งเศส ตอนนั้นนายแอบไปใช่ไหม มันเป็นวันที่หกเดือนหกวันเกิดอายุครบหกปีของนายพอดี เพราะฉะนั้นรหัสจริงๆ คือ 060606GTF(go to France)”
ฉันลองใส่รหัสผิดไปสองครั้ง ครั้งที่สามจึงพบว่าความคิดนี้มันถูกต้อง ถ้าผิดอีกไม่มีทางปลดล็อกได้อีกแล้ว
“ถ้าไม่มีใครรู้ แล้วเธอรู้ได้ยังไง?” พี่หรี่ตามองอย่างน่ากลัว เวลาปกติหน้าก็โหดอยู่แล้ว พอขมวดคิ้วแบบนี้ยิ่งโหดเข้าไปใหญ่
“บอกแล้วว่าฐานข้อมูลเก่า นายนึกว่ามีแค่เครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้นเหรอที่เก็บข้อมูลได้” ฉันใช้นิ้วเคาะหัวตัวเอง “อย่าลืมสิว่าคอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมาเลียนแบบสมองของคนนะ ในวันนั้นยังมีอีกคนที่เห็นนายเดินทางไม่ใช่เหรอ เธอยังไปส่งนายที่สนามบินเลย”
“...รู้จากแม่นี่เอง” เขาถอนหายใจเหมือนโล่งอก อะไรของเขา?
ฉันเลื่อนดูรูปไปพลางๆ ส่วนใหญ่เป็นรูปร้าน รูปเพื่อนบ้าง รูปเชฟบ้าง สารพัดสารเพ เหอะ ฉันนึกว่านายไม่ชอบถ่ายรูปเสียอีก พอเลื่อนๆ ไปก็สะดุดกับภาพหนึ่ง เป็นภาพเซลฟี่ของพี่ชายทำหน้าเคร่งเครียดคล้ายไม่พอใจกำลังยืนข้างคนถ่าย คนถ่ายที่อยู่ใกล้กล้องเป็นผู้ชายหน้าตาดีมากคนหนึ่ง ขาวใสไร้มลทิน แถมยังร่าเริง น่ารักอย่างกับเกาหลี ตี๋ๆ เหมือนหนุ่มจีน รู้สึกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ของพี่ เพราะพวกเขาไม่มีรูปที่ชวนพี่ถ่ายเซลฟี่เลย แต่คนนี้มี เดาจากสถานการณ์ในรูปคงมีการบังคับกัน ฉันยิ้มกรุ้มกริ่มขณะมองพี่ เขาชักสีหน้า รู้ว่าฉันเจอของดีเข้าแล้ว
“คนญี่ปุ่นสินะ” ฉันถาม ขณะคืนมือถือให้ เขาชอบแนวนี้นี่เอง มิน่าถึงล็อกเครื่องแน่นหนา
“อาจจะเป็นคนจีนก็ได้” พี่รับไปแล้วนั่งลง ไม่ปฏิเสธ แสดงว่าใช่
ฉันกลับไปจริงจังกับการเก็บข้อมูลอีกครั้ง พลางพูดว่า “ฉันมองออกหรอกน่า น้องสาวนายไม่โง่นะ คนที่นายไปมาหาสู่บ่อยๆ ล่ะสิ” ฉันไม่ได้ดูรูปอื่นมากไปกว่านั้น เพราะดูเขาไม่ชอบใจที่ถูกถ่ายในลักษณะนี้ และบางทีมันอาจจะไม่มีรูปอื่นอีก ฉันถามต่อ “แล้วรายได้ของร้านล่ะ? ดีขึ้นหรือแย่ลง?”
ในความคิดของฉัน การที่เขาโมโหมากขนาดนี้เพราะไม่อยากให้มีข่าวลือเกี่ยวกับเพื่อนชายที่อาจคบกันมากกว่าเพื่อน เพราะหากทางคุณตารู้ อำนาจของพี่ที่มีต่อตระกูลนี้อาจจะสิ้นสุดลงทันที ถึงเขาจะอยู่ที่อื่นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสูญเสียสิทธิ์ในการขึ้นเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป ถ้ามีข่าวฉาวคุณตาคงเขี่ยเขาทิ้งแน่ โดยเฉพาะเมื่อท่านมีตัวเลือกผู้ถือสิทธิ์มากขึ้น ฉะนั้นเมื่อฉันรู้แล้วก็ต้องรีบเก็บความลับทันที ไม่อย่างนั้นอนาคตของพี่สะใภ้อาจจะไม่สวยงามก็ได้
จากนั้นเราก็เก็บข้อมูลกันต่อ ร่วมสามสิบนาทีคนในบ้านก็มารวมกันตามที่นัดแนะไว้ มีด้วยกันยี่สิบกว่าคน ทุกคนเป็นคนวัยตั้งแต่สิบสองถึงยี่สิบห้า เราทักทายกันนิดหน่อย โดยเฉพาะพี่ชายที่ทุกคนไม่ค่อยได้เจอหน้า เมื่อทุกคนมากันแล้วฉันก็แจกจ่ายเอกสารเกี่ยวกับงานเลี้ยงให้
“ฉันเขียนแผนงานกับความคิดเห็นของฉันเอาไว้ มีหลายอย่างที่เริ่มทำไปแล้ว ทุกคนลองดูนะว่าพอจะช่วยทำอะไรได้บ้าง” ทุกคนอ่านกันอย่างจริงจัง
ผ่านไปสักพักก็มีคนพูดว่า “มิน่าถึงเพิ่งนัดทุกคนมาคุยงานกันในวันจัด ปกติต้องเริ่มจัดงานตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้วนี่”
“งานนี้มันจะไม่เล็กไปเหรอ?” อีกคนหนึ่งถาม เขาคงหมายถึงสถานที่จัดงาน
ฉันตอบอย่างกระชับใจความว่า “เอาแค่นี้ก็พอ เล็กๆ ไม่ต้องจัดมาก สิ้นเปลือง”
ทุกคนที่สงสัยนิ่ง บางคนที่จะถามต่อก็ไปไม่ถูกเลยทีเดียว ส่วนคนที่รู้อยู่แล้วเพราะช่วยฉันเตรียมงานล่วงหน้าก็แอบขำ
ปกติตระกูลนี้ต้องจัดงานใหญ่โต มีคนจากหลายฝ่ายทั้งภายนอกและภายในเกี่ยวข้อง และทุกคนในตระกูลต้องช่วยกันจัดตามธรรมเนียมของบ้าน เพราะคุณตาเป็นคนใหญ่คนโต ลูกหลานในตระกูลก็มีหน้ามีตา งานเลี้ยงงานฉลองต่างๆ จะต้องยิ่งใหญ่ให้สมเกียรติสมศักดิ์ศรีและมีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย นั่นคือปกตินะ แต่งานของฉันไม่เคยปกติสักปี ก็เลยจบลงที่โดนผู้ใหญ่หลายคนตำหนิ แต่ใครเล่าจะสนใจ ฉันก็มีความคิดของฉัน และมันก็เป็นที่ยอมรับของทุกคนทุกครั้งไป ปีนี้ก็ต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
“เดี๋ยวๆ แล้วแขกในงานล่ะ เธอเชิญใครมาบ้าง? สถานที่จัดนี่มันไม่พอจุแขกที่มาหรอกนะ”
“ไม่มีแขกที่ไหน มีแค่คนในบ้านวิชญานนท์เท่านั้น” ฉันตอบ
“ไม่เชิญใครเลยเหรอ?”
“ไม่”
“จะบ้าเหรอไง” พี่อีกคนต่อว่าฉัน “เธอจะจัดแบบนี้ได้ยังไง แล้วหน้าคุณปู่ล่ะ? เธอต้องจัดให้สมเกียรติคนบ้านวิชญานนท์บ้าง”
ฉันถอนหายใจ รู้ว่าต้องมีคนไม่ยอมรับ ขณะจะตอบก็มีคนพูดแทรกว่า “แต่ฉันเข้าใจนะ ความคิดของยูน่ะ”
คนๆ นั้นเดินมาสวมกอดฉันจากข้างหลัง สัมผัสนุ่มนิ่มและกลิ่นหอมตามมา
“สวัสดีจ้าทุกคน” พี่สาวยกมือทักทาย เธอคงเข้ามาทางประตูหลังเราเลยไม่ทันเห็น คงกะจะทำให้ฉันตกใจ ขณะที่ยังไม่ปล่อยมือจากคอฉัน เธอพูดอีกว่า “น้องชายฉันติดเรียนเลยส่งฉันมา ฉันรู้แผนงานจากเขาแล้ว ทำไมพวกนายไม่ลองอ่านอีกทีแล้วคิดให้ดีๆ ล่ะ?” ว่าแล้วก็ชี้หน้าคนที่ต่อว่าฉัน
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ก้มลงอ่านอีกครั้ง
“แบบนี้เอง...”
“เอ่อ เดี๋ยว แล้วทำไมต้องประหยัดงบขนาดนี้ล่ะ เราจนเหรอ?” ยังมีคนสงสัยอีก
“อะไรคือจนกับรวยล่ะ? ฉันรู้จักแค่พอประมาณ เอาแค่พอดี และทำเท่าที่ทำได้” ฉันตอบอย่างใจเย็น “คนที่จัดงานในครั้งนี้คือคนรุ่นเดียวกับฉัน อาศัยมันสมองและความสามารถของพวกเรา ถ้าทำงานใหญ่แล้วล่มก็จะเสียหน้า”
“แล้วทำไมถึงให้เด็กวัยรุ่นจัดกันเองล่ะ?”
ฉันเลิกคิ้ว “นายไม่คิดจะให้เด็กรุ่นฉันได้เติบโตหน่อยเหรอ? ให้เราได้แจ้งเกิดบ้างสิ เราก็มีหน้าตาของเราที่ต้องควบคุมรักษานะ ”
“คือ...ก็เข้าใจนะ แต่งานมันเล็กเกินไป ควรทำให้ใหญ่อีกหน่อยไหม เดี๋ยวก็โดนว่าอีกหรอก” นายยังไม่เข้าใจเลยต่างหาก
“ไม่ งานนี้มันแสดงความเป็นตัวยูออกมาได้ดีทีเดียว จัดการได้ดีมาก ลองทำดูเถอะ”
“อืม เท่าที่อ่านมาผมไม่คิดว่ามันจะไม่ดีตรงไหนนะ วันนี้มันวันพิเศษของพี่ยู เราต้องทำตามความคิดพี่ยูสิ พวกเราจะทำเต็มที่เลย!” ฉันยิ้มขอบคุณให้น้องชายที่เล็กกว่าฉันแค่สองปี
“หยุดพูดได้แล้ว!” พี่คนที่เคยต่อว่าฉันตวาดเสียงดังจนกลบเสียงทุกคน เขาหันมามองฉัน สีหน้าไม่พอใจสุดๆ แต่มันก็ทำให้พี่ชายของฉันหันไปมองเขาเช่นกัน เขาอายุมากกว่าพี่ มากกว่าทุกคนในนี้จึงต้องแสดงอำนาจให้สมกับอายุ เขาพูดเสียงเย็นกับฉันว่า “เธอควรคำนึงถึงชื่อเสียงคุณปู่มากกว่านี้นะ เธอมันเด็กเกินไปจริงๆ ทำไมไม่ให้ผู้ใหญ่คนอื่นเป็นแม่งานคอยควบคุมงานแทนล่ะ”
ฉันเองก็มีอำนาจในฐานะหลานสาวผู้นำที่มีสิทธิ์สืบทอดตระกูลมากที่สุด ถึงจะอายุน้อยกว่าเขาแต่ใช่ว่าเขาจะมาใช้อำนาจกับฉันได้ทุกอย่าง คุณตาสอนเป็นประจำว่าต้องแสดงอำนาจของตนให้ญาติคนอื่นได้เห็น ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะหลงตัวเองและไม่เห็นความสำคัญของฉันได้ พูดง่ายๆ คือข้ามหัว แต่มันก็อยู่ที่ว่าฉันจัดอำนาจของตัวเองเอาไว้ที่ไหน ถ้าฉันไม่มีความสามารถ ไม่คอยควบคุม ปล่อยเลยตามเลยก็จะอยู่ใต้คนอื่นและเสียสิทธิ์ในการขึ้นเป็นผู้นำทันที
ในความคิดของฉัน ฉันควรจะจัดการงานหลายๆ อย่างด้วยตัวเองเพื่อแสดงว่าฉันมีความสามารถและพยายามจะเติบโต และแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าความคิดของฉันเป็นยังไง อยู่ที่ว่าจะมีสักกี่คนที่มองเห็นและเข้าใจ ไม่ว่ามันจะแปลกแยกแค่ไหน แต่ฉันก็ยังยืนยันสิ่งที่ฉันคิด เพราะไม่เห็นว่ามันจะผิดตรงไหน ฉันคิดจนหัวแทบระเบิดทุกวันเพื่อจัดการสิ่งที่ดีที่สุดให้ตระกูลนี้ ตามคำสอนของคุณตาทุกประการ เขาสอนให้เราเติบโต ไม่ใช่จมปลัก หรือเป็นแค่ดอกบัวใต้เงาอำนาจผู้อื่น
ฉันฟังเขาเจียระไนถึงระเบียบพิธีการที่บ้านของเราใช้จัดงานด้วยความนิ่ง พอพูดจบเขาก็หันมาบอกว่าเธอต้องทำแบบนี้
ฉันก็เลยยิ้ม พูดว่า “แล้วทำไมฉันต้องเหมือนคนอื่น ฉันจะมีความคิดเป็นของตัวเองไม่ได้เลยเหรอ?”
“พี่กำลังบอกว่าเธอหลงตัวเองมากเกินไป เธอมั่นใจมากแค่ไหนว่ามันจะดีที่สุดและถูกต้องที่สุด ถ้าเราไม่ทำตามแบบแผนที่เคยมีมาแล้วเกิดผิดพลาด เธอจะรับผิดชอบต่อหน้าตาของตระกูลยังไง?”
ฉันมองเขานิ่งๆ พูดอย่างถูกต้องสมควรที่สุดว่า “ฉันก็รักษาหน้าคุณตาและครอบครัวมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ ใครอยากจัดงานยังไงฉันก็ช่วยเต็มที่ งานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืองานของคุณตา งานใหญ่รองลงมาคือของพวกคุณพ่อคุณแม่ ต่อมาก็พวกพี่ และพวกเด็กๆ อย่างฉันไง”
“แต่งานของเธอมันเล็กเกินไป เธอกำลังจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลนะ!”
“ถึงฉันจะเป็นว่าที่ผู้นำหรือเป็นผู้นำตระกูลยังไงฉันก็ยังยืนยันความคิดตัวเอง นายควรจะเปลี่ยนมุมมองบ้างนะ” พูดไปแล้วฉันก็ถอนหายใจอีก มันจะยืดยาวไปอีกนานไหม?
เขาโมโหจนพูดไม่ออก อีกอย่างฉันก็ผิดเองที่หักหน้าเขาต่อหน้าคนอื่น ฉันเลยแก้ทางโดยการยิ้ม พูดว่า “แล้วนายจะให้งานของฉันยิ่งใหญ่เกินหน้าพวกคุณพ่อคุณแม่ได้ยังไง อีกอย่างฉันก็ใช้งานนี้แสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา”
ได้ฟังดังนั้นเขาก็นั่งลงอย่างหมดแรง ทุกคนที่นิ่งเงียบไม่กล้าเอ่ยแทรกเมื่อครู่แอบยกนิ้วให้ฉัน หลายคนเข้าใจความคิดของฉัน แต่ก็มีคนที่ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะคนที่โตแล้วและเคยใช้อำนาจมาแล้ว เมื่ออยู่กับการใช้อำนาจมากเกินไปจะมีบางอย่างที่พวกเขามองข้าม คุณตาสอนว่าการมีอำนาจนั้นไม่ผิด แต่ต้องใช้ให้ถูกทาง ให้ถูกที่สุดคือต้องควบคุมอำนาจให้มีหนักเบาและใช้ถูกคน ฉันเองก็อายุสิบหกแล้ว เติบโตพอจะเข้าใจหลายอย่าง แม้บางอย่างจะต้องเรียนรู้อีกมากก็ตาม
เพราะพวกเราเป็นตระกูลใหญ่ มีคนในตระกูลมาก ควบคุมกิจการหลายอย่าง เป็นเจ้าคนนายคน มียศมีศักดิ์ มีหน้ามีตาในสังคม เรื่องพวกนี้ฉันฟังคุณตาพูดมามากจนเริ่มจะเข้าใจและเอาไปสอนน้องๆ ได้ แต่ฉันก็ไม่ข้ามขั้นถึงกับเอาไปสอนคนที่โตกว่า เพราะมันคือการไม่ไว้หน้ากัน เขาก็มีศักดิ์ศรีในฐานะคนที่มีประสบการณ์มามากกว่าฉัน ฉันจะต้องระมัดระวังในเรื่องนี้ให้ดี
“เราเป็นตระกูลใหญ่ อย่างน้อยก็ทำให้สมกับเป็นตระกูลใหญ่หน่อยสิ” เขากุมขมับพูดอย่างไม่ยอมแพ้
ฉันพูดความคิดของตัวเองออกไป ระมัดระวังคำพูดมากกว่าเดิม “ตอนนี้ตระกูลใหญ่ในความคิดของคนในบ้านกลายเป็นตระกูลชั้นสูงไปแล้ว ถามหน่อยสิว่าเราเป็นคนชั้นสูงตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ทุกคนอึ้ง คล้ายคิดไม่ถึง
“คุณตาเป็นคนจีน เข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย แต่งงานกับคนไทย มีลูกมีหลานเป็นคนไทย ท่านทำงานเหนื่อยยากจนกระทั่งมีฐานะมียศมีศักดิ์เพราะเป็นทหาร ตระกูลเราก็เลยพลอยได้ลืมตาอ้าปากในสังคม เป็นคุณหญิงคุณนาย เป็นเจ้านายคนหลายคน แต่นั่นก็เพราะเรามีความสามารถในการทำงาน ไม่ใช่เส้นสายของคุณตา สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ก็พอให้เราเป็นบุคคลชั้นกลางในประเทศไทยได้ ถ้านายกำลังใช้คำว่า ‘ชนชั้น’ น่ะนะ”
“คุณตามักจะสอนพวกเราและทหารรุ่นใหม่ด้วยวิดีโอพระราชกิจของพระเจ้าอยู่หัวฯ และบุคคลอันเป็นต้นแบบหลายคนทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อบอกพวกเราว่าให้เติบโตโดยมีแบบอย่างที่ดีและไม่ควรหลงลืมรากเหง้าตัวเอง ถึงท่านจะเป็นคนจีนแต่ท่านก็ทำงานเป็นทหารให้กับคนไทย ท่านรักประเทศนี้ที่ให้ที่อยู่อาศัยและเคารพพระเจ้าแผ่นดินที่ไม่ได้ขับไล่ท่านออกจากประเทศจึงยินดีทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยและสั่งสอนเด็กรุ่นใหม่ให้รักและปกป้องประเทศ”
“ถึงกระนั้นก็ไม่เคยสอนว่าควรใช้อำนาจบาตรใหญ่ หลงตนว่ามีหน้ามีตา ร่ำรวยมีเงินมีทอง ใช้จ่ายต้องสมศักดิ์ศรี ถึงได้บอกไงว่าฉันไม่รู้จักจนหรือรวย รู้จักแค่พอมีกินและใช้เท่าที่จำเป็น เราต้องบังคับตัวเองให้อยู่อย่างพอประมาณสิ เศรษฐกิจพอเพียงน่ะรู้จักไหม? พ่อหลวงทิ้งคำสอนดีๆ ให้ตั้งหลายอย่าง เคยเอามาคิดและปรับใช้ในชีวิตประจำวันไหม? ถ้าวันใดวันหนึ่งเกิดไม่มีกินขึ้นมานายจะอยู่อย่างคนไม่มีอะไรได้ยังไง”
พูดไปพูดมากลายเป็นบ่น เพราะฉันเองก็เกิดมาอย่างคนไม่มีอะไรจึงไม่ชอบวิธีคิดบางอย่างของผู้ใหญ่ตระกูลนี้ และกลัวมากว่ามันจะปลูกฝังสิ่งผิดๆ ให้กับเด็กๆ รุ่นหลังได้ น่าเสียดายที่ฉันเด็กกว่าหลายๆ คนจึงพูดมากไม่ได้ เพราะแค่นี้พวกเขาก็หาว่าฉันบ้าอำนาจมากพอแล้ว ใช่ เพราะฉันมักชอบสั่งคนอื่นให้ทำตามที่ตัวเองคิด แต่ฉันรู้ตัวว่าคำสั่งที่ตัวเองใช้นั้นมาจากสิ่งดีๆ เป็นสิ่งที่ถูกที่ควร ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นได้รับผลประโยชน์ ไม่ใช่เบียดเบียนและกดขี่ เหมือนที่คุณตาพร่ำสั่งสอนจนปากเปียกปากแฉะ ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องมาใช้สมองคิดจนปวดหัวขนาดนี้เพื่อนำสิ่งดีๆ มาเป็นตัวอย่างให้น้องๆ เหรอ?
เอาล่ะ ฉันบ่นจบแล้ว
พอจะสังเกตท่าทีของทุกคนก็สะดุ้ง เพราะน้องๆ สองสามคนที่อายุน้อยหน่อยถึงกับร้องไห้ออกมา พูดว่า “พี่ยูพูดถูก ถ้าตอนนั้นคุณตาถูกไล่ออกจากประเทศ และกลับไปเป็นทหารในช่วงสงครามเหมือนก่อนจะหนีมาไทย ตอนนั้นท่านอาจจะ...ไม่ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ก็ได้”
“ถ้าไม่มีปู่ก็ไม่มีพวกเรา ไม่ได้เกิดในประเทศที่สงบสุขอย่างประเทศไทย ไม่ได้ดูวิดีโอพระราชกิจของในหลวง แล้วก็...ฮึก ไม่ได้รู้จักกับทุกคนด้วย ทั้งพ่อแม่ ทั้งพี่ๆ พวกคุณป้าในไชน่าทาวน์ พวกคุณลุงในค่าย”
ประวัติของคุณตาและผู้ใหญ่หลายคนที่สู้ชีวิตมาจนทุกวันนี้ถูกเก็บไว้ในหอเกียรติยศของตระกูลซึ่งเก็บประวัติของทหารในค่ายด้านล่างนี้ไว้ด้วย เด็กรุ่นหลังจึงได้ศึกษาวิถีชีวิตของพวกเขา เพราะฉะนั้นทุกคนจึงรู้ว่าผู้นำของตระกูลเราเป็นคนจีนที่หนีทัพในช่วงสงครามมาในไทย ต่อสู้กับความยากลำบาก สุดท้ายก็ไม่ลืมชีวิตทหาร อุทิศตนให้กับการปกป้องประเทศ แต่สิ่งที่คุณตาอยากปกป้องมากที่สุดคือวิถีชีวิตของลูกหลาน ท่านจึงใช้ชีวิตตัวเองเป็นแบบอย่างและตั้งใจสั่งสอนสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อให้พวกเราเติบโตอย่างมีคุณภาพ สามารถช่วยเหลือตัวเองและอยู่รอดในสังคมได้
ปัดโธ่ พวกนี้จะช่วยกันบิ้วท์อารมณ์ทำไมเนี่ย ต่อมน้ำตาฉันไม่ค่อยมีความอดทนนะ ฉันเงยหน้าขึ้น เก็บก้อนสะอื้นเอาไว้ ถ้าขืนปล่อยให้ร่วงตรงนี้ก็ไม่มีหน้าพูดว่าตัวเองเป็นพี่ที่เข้มแข็ง สามารถเป็นแบบอย่างให้น้องๆ ได้แล้วหรอก
หลายคนซึมไปถนัดตา แม้แต่พี่ใหญ่ที่เคยตวาดฉันเมื่อกี้ก็ยอมศิโรราบให้น้ำตาของน้องๆ เขาลูบหัวน้องชายที่นั่งข้างๆ อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองเป็นพี่ชายต้องเป็นแบบอย่างให้น้องๆ
มีใครคนหนึ่งทำลายความเงียบชวนน้ำตาแตกนี้ขึ้นมา “ว่าแต่ว่างานนี้ใช้งบน้อยจริงๆ นะ อะไรประหยัดได้ก็ประหยัดหมด อันไหนใช้วัสดุแทนได้ก็แทนหมด”
“ขนาดวัตถุดิบในอาหารยังเปลี่ยนเป็นถูกที่สุดเลยมั้งเนี่ย” ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย ฉันเคารพในรสชาติและต้นตำรับของอาหารนะ!
“ยูประหยัดเกินไปแล้ว” พวกเขาหัวเราะ ถ้าหัวเราะเยาะฉันล่ะก็เตรียมโดนเอาคืนได้เลย
“ที่ประหยัดนี่เศรษฐกิจพอเพียงหรือขี้เหนียวกันแน่?” แล้วก็หัวเราะหนักขึ้นไปอีก
มีคนต่อ “ก็ยูเป็นหลานคนจีน คนจีนก็ขี้เหนียวแบบนี้ล่ะ”
“เหมือนพวกเราทุกคนไง!”
“ฮ่าๆๆๆ”
จากนั้นเราก็ไม่ได้เถียงกันต่อ เราช่วยกันแจกจ่ายงาน ใครทำตรงไหนได้ช่วยตรงนั้น ใครมีความสามารถอะไรก็เอาความสามารถของตัวเองมาช่วย พอแจกจ่ายงานเสร็จก็เริ่มแยกย้ายกันทำงานทันที
ในส่วนที่ฉันรับผิดชอบหลักคือการแสดง เพราะเป็นคนต้นคิด จริงๆ ก็คิดทั้งงานแล้วก็เป็นแม่งานเองด้วย ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ต้องประสานงานกับฉัน ส่วนตัวฉันมีหน้าที่หลักในการควบคุมการแสดงเพราะเป็นนักดนตรี ต้องฝึกร่วมกับทุกคน
ส่วนของการแสดงเริ่มฝึกกันมาตั้งแต่ต้นเดือน พร้อมๆ กับส่วนของการวางรูปแบบสถานที่ ฉันกับลูกพี่ลูกน้องอีกห้าหกคนช่วยกันคิดว่าจะจัดวางอะไรไว้ตรงไหนดีเพื่อตกแต่งสถานที่ให้ดูสบายตา สามารถเดินเหินได้สะดวก ผู้คนที่มาร่วมงานเป็นญาติของเราทั้งหมด ทั้งญาติร่วมสายเลือดและญาติที่เกี่ยวดองกันจากการแต่งงาน รวมทั้งบุตรบุญธรรมและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอีกหลายคนที่ถูกเชิญมาโดยฉันเอง มีทั้งหมดร้อยกว่าคน มีตั้งขนาดนี้ยังถูกหาว่าไม่เชิญแขกอีก
สถานที่ที่สามารถจุคนร้อยคนโดยไม่แออัด สามารถจัดเรียงอาหารและของตกแต่งได้โดยไม่มากเกินพอดีหรือน้อยจนดูน่าเกลียด และยังสามารถจัดแสดงภายในห้องเก็บเสียงได้ มีอยู่หลายห้อง เราเลือกมาห้องหนึ่ง ห้องนี้จะติดแอร์ ไม่มีหน้าต่างเพื่อเก็บเสียง ปูพื้นด้วยพรมสีเขียวและผนังสีขาวสบายตา มียกพื้นเตี้ยเป็นเวที ติดตั้งกล้องถ่ายวีดิโอและลำโพงถ่ายทอดเสียงคุณภาพดี กินบริเวณกว้างพอๆ กับโรงยิม เพดานสูง ปกติใช้เป็นห้องกิจกรรมเล็กๆ เช่น กีฬาภายในร่ม กิจกรรมเต้นแอโรบิค ซ้อมการแสดงดนตรีก็มี ถึงหมู่คฤหาสน์จะมีห้องมากมายแต่ที่นี่นับว่ามีประโยชน์ใช้สอยมากที่สุด
และขณะนี้พวกเขาก็กำลังจัดเตรียมสถานที่กันอยู่
ส่วนฉันมุ่งหน้าไปที่ห้องซ้อมดนตรี ภายในนั้นทุกคนกำลังตรวจความเรียบร้อยของเครื่องดนตรี ฉันขอให้ทุกคนที่มีความสามารถทางด้านดนตรีและการขับร้องมาแสดงร่วมกัน การแสดงวันนี้คือการร้องประสานเสียง โดยจะให้เด็กที่มีความสามารถในการร้องระดับหนึ่งมาก่อนแล้วเป็นผู้ร้อง ส่วนใหญ่จะอายุห้าถึงแปดขวบ ส่วนเด็กอายุประมาณสิบถึงสิบแปดปีที่สามารถเล่นดนตรีคลาสสิกได้จะเป็นผู้บรรเลงให้กับวงเล็กๆ ภายในครอบครัววงนี้
เรามีเด็กที่ร้องประสานเสียงทั้งหมดสิบหกคน ทุกคนกำลังลองเสื้อผ้าที่เพิ่งมาถึงเมื่อวาน เสื้อผ้าจะเน้นสีขาวเหมือนนางฟ้าและเทพบุตรตัวน้อยๆ ส่วนนักดนตรีจะใส่เสื้อผ้าเน้นสีดำค่อนข้างเป็นพิธีการ เพราะเราต้องบรรเลงเพลงของพ่อหลวง แต่วงของเราจะเน้นให้นักร้องได้ร้องนำเสียงดนตรี เพื่อให้ได้ยินเสียงร้องมากขึ้น และถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี ผ่านเสียงดนตรีแนวบัลลาดฟังสบายหูและไม่กลบเสียงร้อง มีเครื่องดนตรีเพียงสองชนิดคือไวโอลินสามเครื่อง และเปียโนหนึ่งหลัง นักดนตรีสี่คน เป็นวงที่มีเครื่องสายเป็นหลัก นี่คือทั้งหมดของการแสดงเย็นนี้ ซึ่งเราไม่เน้นเลิศหรูอลังการแต่เน้นง่ายและให้ครอบครัวได้ร่วมสนุกร่วมสามัคคีกัน ฉะนั้นฉันจึงไม่เชิญวงซิมโฟนีมืออาชีพมา
พอทุกคนแต่งกายกันเรียบร้อย เราก็จัดรูปขบวนที่จะใช้แสดงและเริ่มฝึกร้องจริงกันอีกครั้ง
ราวสี่โมงเย็น พวกเราก็ไปยังสถานที่จัดงาน นักร้องและนักดนตรีทั้งหมดอยู่ที่ห้องเตรียมตัว ส่วนฉันต้องตรวจความเรียบร้อยภายในงาน ถึงจะมั่นใจว่าคนอื่นๆ สามารถทำได้ดีแต่ก็ต้องออกไปให้ทุกคนเห็นหน้าบ้าง
ภายในห้องจัดงานมีแสงไฟสว่าง ทั้งห้องค่อนข้างโล่ง ตรงกลางห้องมีโต๊ะยาวสองแถวสำหรับวางอาหารแบบบุฟเฟต์ ตามมุมต่างๆ ทั้งมุมห้องและมุมโต๊ะ ตกแต่งด้วยตั้งหนังสือเพราะฉันชอบอ่านหนังสือ มีสัตว์ในเทพนิยายที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตจากขนมปัง แยม และลูกกวาด ทาด้วยสีผสมอาหาร สามารถกินได้ แน่นอนว่าเราไม่ได้กินแต่จะนำไปให้ปลาในแม่น้ำหลังเสร็จงาน และยังมีสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์อย่างหอไอเฟล หอเอนเมืองปิซ่า โคลอสเซียม และอื่นๆ ที่จำลองออกมาได้สมจริงแต่ขนาดย่อส่วน เพราะพวกเขารู้ว่าฉันชอบอ่านหนังสือแนวแฟนตาซีและประวัติศาสตร์ เหตุผลอีกอย่างก็เพื่อให้เด็กๆ รู้จักสถานที่เหล่านี้ด้วย
นอกนั้นก็จะมีดอกไม้ประดิษฐ์จากขนมบ้าง ลูกกวาดหลากสีวางตามมุมเล็กๆ เพิ่มสีสันบ้าง ที่สำคัญ มันมีของบางอย่างที่พอฉันเห็นก็รีบวิ่งเข้าใส่ทันที แมวน้อยนั่นเอง มีแมวสีสันต่างๆ หลายพันธุ์วางแอบตามโต๊ะตามมุมต่างๆ วางบนหนังสือก็มี เรียกได้ว่าในห้องนี้มีแต่แมวเต็มไปหมด แน่นอนว่าเป็นแมวขนมปังแต่ห้ามใครกินน้องเหมียวของฉันเด็ดขาด ของตกแต่งและรูปแบบการจัดวางมาจากความคิดของพวกเราห้าคนรวมทั้งฉัน แต่คนทำเป็นพวกเขาสี่คนที่มีฝีมือด้านนี้ ส่วนลูกแมวพวกเขาเอามาวางกันเอง เพราะรู้ว่าฉันเป็นทาสแมว
ขนมปังประณีตพวกนี้ทำยากที่สุดในงาน เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงมีคนสามสี่คนกำลังถือกล้องดิจิตอลถ่ายรูปงานฝีมือเหล่านี้ไว้ก่อนมันจะเสียหายเพื่อนำไปโพสในเว็บบล็อก ตอนนี้ยังไม่มีแขกเพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดงาน มีแค่คนที่กำลังจัดงานเท่านั้นและมันก็กำลังจะเสร็จในไม่ช้า ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
ฉันเดินไปดูด้านห้องครัว พี่ชายในชุดเชฟกับชูเชฟลูกน้องของเขากำลังขมีขมันกับทำอาหารอยู่ มีอาหารมากมายวางเรียงรายพร้อมเสริฟ หัวหน้าเชฟคือพี่ ฉันดูไม่รู้ว่าเสร็จไปถึงไหนจึงเดินไปถามเขา แต่เขากลับบอกว่าเกะกะแล้วไล่ฉันออกมา บอกว่าเสร็จทันเวลาแน่ โธ่ ให้ฉันได้ชื่นชมอาหารสักนิดก็ไม่ได้
ส่วนทางด้านเครื่องดื่ม พวกเขาชูสองนิ้วบอกว่าพร้อมสรรพ ฉันจึงเดินกลับเข้าไปในห้อง เดินดูความเรียบร้อยเพลินๆ ไม่นานก็ถึงเวลา ใกล้จะหกโมงตามเวลานัดแล้ว แขกทุกคนมาถึงนานแล้วแต่รออยู่ในห้องรับรอง ฉันเดินไปทักทายพวกเขา มีทั้งคนที่พบหน้ากันบ่อยๆ และไม่ได้พบกันนาน แต่ฉันคุยกับพวกเขานานไม่ได้จึงบอกว่าคุยกันหลังการแสดงเลิก ขอให้ทุกคนทยอยเข้างานได้แล้วเพราะการแสดงกำลังจะเริ่ม
วันนี้ทุกคนสวยงามมาก พวกเขามีร้อยกว่าคน มาตามคำเชิญกันมากมาย ผู้ชายส่วนใหญ่จะใส่สูท เป็นชุดที่ง่ายและพร้อมทุกงาน ผู้หญิงแต่งกายด้วยชุดราตรีกึ่งทางการ ยังไงก็คนรวยล่ะนะ ถึงฉันจะบอกว่าสบายๆ ไม่ต้องพิถีพิถันมากก็ตาม แต่ที่ชมว่าสวยงามเพราะพวกเขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทุกคนเดินเข้าไปในงานอย่างพร้อมเพรียง เหตุผลหลักอาจเพราะว่าฉันเป็นคนตรงเวลาและมีระเบียบ ที่สำคัญคือดุร้าย...น่าจะใช้คำว่าบ้าอำนาจได้ ง่ายๆ คือพูดคำไหนคำนั้น ญาติทุกคนเข้าใจดีจึงทำตามโดยไม่บิดพลิ้ว อีกอย่างพวกเขาส่วนใหญ่ผ่านโรงเรียนทหารและการฝึกของทหารมาแล้วทั้งนั้น โดยพื้นฐานจึงมีระเบียบและเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาการดี วันนี้เป็นงานของฉันพวกเขาก็จงให้ความร่วมมือซะดีๆ
จากนั้นฉันก็เดินไปยังห้องเตรียมตัวนักแสดง เชิญพวกเขาขึ้นเวที ขณะเดินไปเรียงแถวตามลำดับก็มีเสียงปรบมือจากแขกดังมาด้วย ทุกคนทั้งนักร้องและนักดนตรีก็จะโค้งและถอนสายบัวให้แขก เมื่อบนเวทีเตรียมตัวพร้อมแล้วฉันก็สำรวจชุดที่ตัวเองใส่อีกครั้ง เสื้อสูทสีดำ กระโปรงจีบรอบ ไม่มีรอยยับ เรียบร้อยพร้อมลุย จากนั้นก็หยิบไวโอลินและขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย ทุกคนปรบมือให้อีกครั้ง ฉันถอนสายบัวให้พวกเขาอย่างสวยงาม กล่าวเปิดงานพอเป็นพิธี
“สวัสดีค่ะทุกคน ฉันดีใจและขอบคุณทุกคนมากที่มาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้า วันนี้เป็นวันดีขอให้ฉันและเด็กรุ่นใหม่ของบ้านเราได้ร่วมแสดงการร้องประสานเสียงให้ทุกคนได้ชมกันนะคะ” ฉันผายมือไปยังนักร้องและนักดนตรี ประกาศชื่อและบทบาทของทุกคนให้บรรดาคนบ้านเดียวกันได้รับทราบ เสร็จแล้วก็พูดต่อว่า “บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ฉันขอให้ทุกคนโปรดยืนตรงและร่วมร้องเพลงชาติไทยกันอย่างพร้อมเพียงด้วยค่ะ จากนั้นรับชมการแสดงของพวกเราต่อด้วยความสงบด้วยนะคะ”
พูดจบฉันก็เริ่มสีไวโอลินเป็นเพลงชาติไทยพร้อมกับนาฬิกาบอกเวลาหกโมงเย็น ฉันสีนำหนึ่งท่อนและไวโอลินสองเครื่องก็สีตาม ตามมาด้วยเปียโน เป็นลำดับขั้นแบบแคนนอนคือเริ่มบรรเลงไม่พร้อมกัน ดนตรีบรรเลงไปอย่างเบาสบายแต่ยังคงทำนองของเพลงชาติไทยอยู่ พอถึงคิวนักร้องก็เริ่มร้องเพลงชาติทันทีพร้อมกับแขกทุกคนในงาน
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัย ชโย…
ท่อนจบฉันลากเสียงไวโอลินยาวเพื่อปิดเพลง เป็นจังหวะหนักแน่นเพื่อย้ำว่าฉันจะรักประเทศไทยตลอดไป
สิ้นเสียงเพลงชาติฉันก็เริ่มเดี่ยวไวโอลินด้วยจังหวะที่รวดเร็ว ดุดัน บางท่อนรัวเร็วจนแทบหายใจไม่ทัน บางท่อนก็ช้าบาดหู เป็นเสียงไวโอลินที่ทำให้ผู้ฟังสะเทือนอารมณ์ได้มาก ทั้งยังแปรปรวน แฝงไปด้วยอำนาจเด็ดขาดและความเจ็บปวด เสียงไวโอลินที่เป็นเอกลักษณ์ของฉัน ฉันสีไปตามความเป็นตัวของตัวเอง และท่อนสุดท้ายเป็นเสียงยาวที่ก้องกังวานพร้อมด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ เพื่อบอกทุกคนว่า นี่แหละคือตัวฉัน คนที่ทั้งเด็ดขาดและเติบโตมาด้วยความเศร้าระทม แต่ฉันก็รักในความเป็นตัวเอง เพราะหากฉันไม่รักตัวเอง ฉันคงรู้สึกผิดต่อคนที่รักฉันแน่ๆ
พอเสียงไวโอลินของฉันเงียบลง นิ่งสงบอยู่ชั่วครู่ แล้วฉันก็กดคันสีลงบนสายช้าๆ เริ่มบรรเลงนำวงด้วยทำนองเพลงสรรเสริญพระบารมีซึ่งจะต้องบรรเลงก่อนการแสดงเสมอ พอฉันนำหนึ่งท่อนแล้วดนตรีทั้งหมดจะบรรเลงพร้อมกันกับนักร้องประสานเสียงของเรา เด็กๆ ร้องด้วยความสงบ
ข้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน นบพระภูมิบาล บุญดิเรก เอกบรมจักริน พระสยามินทร์ พระยศยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล ผลพระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์ ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดัง หวังวรหฤทัย ดุจถวายชัย ชโย
ข้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน
ข้าวรพุทธเจ้า
เอามโนและศิระกราน
นบพระภูมิบาล บุญดิเรก
นบพระภูมิบาล
บุญดิเรก
เอกบรมจักริน พระสยามินทร์
เอกบรมจักริน
พระสยามินทร์
พระยศยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล
พระยศยิ่งยง
เย็นศิระเพราะพระบริบาล
ผลพระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์
ผลพระคุณ ธ รักษา
ปวงประชาเป็นสุขศานต์
ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด
ขอบันดาล
ธ ประสงค์ใด
จงสฤษดิ์ดัง หวังวรหฤทัย
จงสฤษดิ์ดัง
หวังวรหฤทัย
ดุจถวายชัย ชโย
ดุจถวายชัย
ชโย
เมื่อสิ้นเสียงเราทั้งหมดในงานก็แสดงความเคารพอย่างพร้อมเพียง ผู้ชายโค้งตัว ผู้หญิงถอนสายบัว จากนั้นเราก็บรรเลงเพลงสดุดีมหาราชาต่อด้วยความเคารพถึงพระเจ้าแผ่นดินและเป็นการขออนุญาตนำเพลงของพระองค์มาบรรเลงในวันนี้
ขอเดชะองค์พระประมุขภูมิพล
มิ่งขวัญปวงชนประชาชาติไทย
มหาราชขัตติยภูวไนย
ดุจร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงประชา
ขอเดชะองค์สมเด็จพระราชินี
คู่บุญบารมีจักรีเกริกฟ้า
องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาราชา
ข้าพระพุทธเจ้าขอสดุดี
อ่าองค์พระสยมบรมราชันขวัญหล้า
เปล่งบุญญาสมสง่าบารมี
ผองข้าพระพุทธเจ้า
น้อมเกล้าขออัญชุลี
สดุดีมหาราชา สดุดีมหาราชินี
พอสิ้นเสียงเพลงทุกคนบนเวทีก็สลับตำแหน่ง จากนักร้องที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ด้านหน้าสุดก็แยกเป็นสองแถวตามลำดับความสูง เด็กตัวน้อยสิบคนอยู่หน้าสุด อีกแปดคนที่สูงกว่าอยู่ข้างหลัง ส่วนนักดนตรีหลบมุมอยู่ทางซ้ายมือของนักร้อง การแสดงของเราต้องการโชว์ศักยภาพของนักร้องรุ่นใหม่เหล่านี้
พอแปรขบวนเสร็จสิ้น ฉันก็ทำหน้าที่นำวงอีกครั้ง เริ่มบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 4 เพลงใกล้รุ่งด้วยทำนองบัลลาด เรียบๆ เย็น แต่ฟังสบายหู
แล้วนักร้องตัวน้อยของเราก็เริ่มร้องไปพร้อมกับขยับส่วนต่างๆ ของร่างกายไปตามเนื้อเพลงและอารมณ์ที่ต้องการถ่ายทอดของเพลงพระราชนิพนธ์บทนั้น โดยเราจะร้องทั้งสิ้นสามบทเพลง คือเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 4 เพลงใกล้รุ่ง เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 5 เพลงชะตาชีวิต และเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 34 เพลงแผ่นดินของเรา
ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ไกลไกล
ชุ่มชื่นฤทัยหวานใดจะปาน
ฟังเสียงบรรเลงขับเพลงประสาน
จากทิพย์วิมานประทานกล่อมใจ
ใกล้ยามเมื่อแสงทองส่อง
ฉันคอยมองจ้องฟ้าเรืองรำไร
ลมโบกโบยมาหนาวใจ
รอช้าเพียงไรตะวันจะมา
เพลิดเพลินฤทัยฟังไก่ประสานเสียงกัน
ดอกมะลิวัลย์อวลกลิ่นระคนมณฑา
โอ้ในยามนี้เพลินหนักหนาแสงทองนวลผ่องนภา
แสนเพลินอุราสำราญ
หมู่มวลวิหคบินผกมาแต่รังนอน
เฝ้าเชยชิดช้อนลิ้มชมบัวบาน
ยินเสียงบรรเลงดังเพลงขับขาน
สอดคล้องกังวานซาบซ่านจับใจ
การถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงนี้จะออกเป็นแนวรื่นรมย์ สนุกสนาน เรียบร้อยไม่เร่งร้อน นักร้องและทุกคนในงานขยับตัวไปด้วยรอยยิ้ม ต่อมาคือเพลงชะตาชีวิต เพลงนี้จะเปลี่ยนอารมณ์ให้สงบลง แต่ไม่ถึงกับเศร้า ไม่ได้ครึ่งของเพลงชะตาชีวิตที่ฉันเดี่ยวไวโอลินในตอนเช้าแน่นอน
นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย
คิดคิดมิวายกังวลให้หม่นฤทัยหมอง
ขาดมวลมิตรไร้คนสนิทคู่เคียงครอง
หลงใหลหมายปองคนปรานี
ขาดเรือนแหล่งพักพำนักนอน
ขาดญาติบิดรและน้องพี่
บาปกรรมคงมี
จำทนระทม
ท้องฟ้าสายัณห์ตะวันเลือน
แสงลับนับวันจะเตือนให้ใจต้องขื่นขม
หากเย็นลงฟ้าคงยิ่งมืดยิ่งตรอมตรม
ชีวิตระทมเพราะรอมา
จวบจันทร์แจ่มฟ้านภาผ่อง
เฝ้ามองให้เดือนชุบวิญญาณ
สักวันบุญมา
ชะตาคงดี
นักร้องจะใช้ท่าทางมาช่วยเสริมในการแสดงอารมณ์ที่มากกว่าเพลงแรก เพื่อให้เข้าใจและสอดคล้องกับเนื้อหาของเพลง มีทั้งชี้ฟ้าและกอดตัวเองแสดงความเหงาออกมา ทุกคนแสดงออกมาได้น่าชื่นชมมาก แม่ๆ หลายคนให้ใจลูกหลานกันไปเลย พอเพลงนี้จบเราก็ต่อแบบเมดเลย์เช่นเดียวกับเพลงที่สองด้วยบทเพลงแผ่นดินของเรา
ถึงอยู่แคว้นใด ไม่สุขสำราญ
เหมือนอยู่บ้านเรา ชื่นฉ่ำค่ำเช้าสุขทวี
ทรัพย์จากผืนดิน สินจากนที
มีสิทธิ์เสรี สันติครองเมือง
เรามีป่าไม้อยู่สมบูรณ์ ไร่นาสดใสใต้ฟ้าเรือง
โบราณสถานส่งนามประเทือง เกียรติเมืองไทยขจรไปทั่วแดนไกล
รักชาติของเรา ไว้เถิดผองไทย
ผืนแผ่นแหลมทอง รวมพี่รวมน้องด้วยกัน
รักเกียรติรักวงศ์ เสริมส่งสัมพันธ์
ทูนเทิดเมืองไทยนั้น ให้ยืนยง
เพลงนี้จะค่อนข้างสงบลงและทำนองช้ากว่าเพลงอื่นมาก เราลากเสียงร้องยาวและแสดงท่าทางกำลังอ้อนวอนออกมาเป็นการนำเสนอหลักของเรา เพื่อส่งคำพูดไปให้ถึงเหล่าผู้ใหญ่ของเราและส่งไปให้ถึงชาวไทยทุกคนที่กำลังชมผลงานการแสดงของพวกเรา เพราะเราได้ถ่ายทำเอาไว้ด้วยกล้องวิดีโอแล้ว หลังตัดต่อเสร็จทุกคนจะได้ชมกันทั้งประเทศผ่านเว็บเผยแพร่วิดีโอ สำหรับเรื่องดีๆ เราไม่เก็บไว้ดูคนเดียวหรอก ต้องเผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้ด้วย
จากนั้นเราก็จบการแสดงด้วยเพลงสรรเสริญพระบารมีอีกครั้งเช่นเดียวกับธรรมเนียมปฏิบัติของมหรสพไทยทั้งประเทศ
ฉันปิดการแสดงด้วยการเดี่ยวไวโอลินอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงของมันนุ่มนวลอ่อนหวานสื่อความรู้สึกดีๆ ออกมา ท่อนสุดท้ายฉันลากยาวด้วยโน้ตสูงหลายระดับ มันดังก้องและกังวานไปทั่วทั้งห้อง
หากมันส่งไปถึงสวรรค์ได้ก็คงดี
เมื่อจบการแสดงทั้งหมดทุกคนก็แสดงความเคารพและเดินลงเวทีไปพักผ่อน แต่ที่แรกที่ทุกคนต้องไปคือโซฟาสุดหรูหน้าเวทีที่คุณตานั่งอยู่ เด็กๆ วิ่งลงไปหาท่านอย่างตื่นเต้น ขอให้ท่านเอ่ยชม พวกฉันเองหลังจากเก็บเครื่องดนตรีแล้วก็เดินลงไปหาคุณตาเช่นกัน กล่าวสวัสดีท่าน ส่วนท่านไม่ได้พูดอะไรกับฉันมาก บอกแค่ว่าทำได้ดี ท่านก็เป็นแบบนี้ เคร่งขรึม เย็นชา นอกจากคำสอนสั่งแล้วก็ไม่พูดอะไรเรื่อยเปื่อย คงเพราะท่านมีชีวิตอยู่กับการจับปืนมานาน
คุณตากล่าวชมเด็กๆ อยู่ให้เด็กๆ กอดได้พักหนึ่งก็ขอตัวกลับ เพราะท่านอายุใกล้เก้าสิบแล้ว ถึงจะแข็งแรงแต่ก็อยู่ในงานรื่นเริงที่มีเสียงดังมากๆ ไม่ดี ฉันเดินไปส่งท่านที่หน้าประตูห้องจัดงาน หมอประจำตัวของท่านคอยรับช่วงต่อ ก่อนจะกลับท่านหันมาหาฉันแล้วพูดว่า “โตขึ้นมากเลยนะ”
มันเป็นคำชมที่มีค่าที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ฉันตรงเข้าไปกอดท่าน ท่านลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน ฉันไม่ชอบเรื่องซึ้งๆ เคล้าน้ำตาเท่าไหร่ เพราะบ่อน้ำตาฉันตื้นมาก แล้วเมื่อไหร่ที่ฉันร้องไห้ก็จะรักษามาดสุขุมเอาไว้ไม่ได้
ฉันอยากโตมากกว่านี้...
จากนั้นฉันก็มองส่งคุณตาเดินจากไปพร้อมกับหมอ ท่านยังคงแข็งแรงอยู่ แม้จะใช้ไม้เท้าค้ำยัน แต่ฝีเท้ายังคงมั่นคง หลังยืดตรงนั้นแบกไว้ซึ่งอำนาจ น่าเกรงขาม เข้มแข็ง ดุดัน ลักษณะที่ผู้นำต้องมี ฉันมีท่านเป็นแบบอย่างจริงๆ
ฉันเดินกลับเข้าไปในงาน พูดคุยกับญาติพี่น้องคนอื่น ได้รับเสียงชื่นชมต่างๆ นาๆ จนตัวแทบจะลอยติดเพดาน แต่ตอนนี้ต้องทำตัวให้สงบเสงี่ยมเข้าไว้ ต้องรักษามาดหลานสาวของคุณตา
“เหมือนเดิมค่ะ ปีนี้ฉันก็ถ่ายทอดทั้งภาพทั้งเสียงให้ทุกคนได้ดู ทั้งพวกคุณพี่ในค่ายทหารแล้วก็พวกคุณน้าในไชน่าทาวน์” ฉันตอบคำถามของญาติรุ่นใหญ่คนหนึ่ง “ทำแบบนี้เราก็เลยไม่ต้องเชิญทุกคนมาในงาน แต่ได้รับฟังรับชมกันอย่างทั่วถึงไงคะ”
มีคนชมฉันประมาณว่าโตแล้ว มีความคิดเข้าท่าดี มีประโยชน์ และที่ชอบที่สุดคือคำพูดที่บอกว่า สมกับเป็นหลานท่านผู้นำ
ฉันคุยกับพวกเขาอยู่นาน พยายามจะหาทางแยกเพราะเหนื่อยและหิวมาก น้ำที่บริกรคอยยกเสริฟไม่พอถมกระเพาะของฉันหรอก แต่ทุกคนก็ชวนคุยไม่ได้หยุด โชคดีที่มีญาติคนหนึ่งรู้ตัวรีบเบรกทุกคนขอให้ฉันได้พักผ่อนก่อน นั่นแหละฉันถึงได้ปลีกตัวออกไปหาที่นั่งพิเศษของฉันได้
ตอนนี้อาหารบุปเฟ่ต์ทยอยเข้ามาวางเรียงบนโต๊ะอย่างสวยงาม โดยพ่อบ้านแม่บ้านของเรา นำขบวนโดยพี่ชายและเชฟของเขา เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าใครเป็นผู้ทำอาหารในค่ำคืนนี้ จากนั้นพี่ก็อยู่คุยกับทุกคนพอเป็นพิธี แต่ก็ยังแยกตัวออกมาไม่ได้ เพราะพี่ไม่ค่อยกลับตระกูล แถมยังเป็นคนมีชื่อเสียงมากสำหรับตระกูลของเรา เพราะเขาประสบความสำเร็จด้วยอายุยังน้อย เรียกได้ว่าเป็นตัวอย่าง เป็นไอดอลของใครหลายๆ คน รวมทั้งฉันด้วย แต่สำหรับฉันมันค่อนไปทางอิจฉาริษยาเสียมากกว่า
ฉันนั่งรอพี่อยู่กับโต๊ะอาหารเพียงหนึ่งเดียวในห้อง ตั้งอยู่มุมขวาสุด ตกแต่งด้วยดอกไม้และน้องเหมียว พูดให้สุภาพ พื้นที่ตรงนี้คือพื้นที่ส่วนตัวของฉัน แต่ถ้าพูดในแบบของฉันมันคือพื้นที่ในการสวาปามห้ามใครเหยียบถิ่น คงยังไม่ลืมสินะว่าฉันได้ให้พี่ชายทำอาหารร้อยจานมาเสริฟเป็นของขวัญวันเกิดซึ่งก็เป็นแบบนี้ทุกปี แน่นอนว่าจะกินอาหารหรูระดับภัตตาคารฟรีๆ ก็กระไรอยู่ ฉันเลยสัญญากับพวกเขาว่าจะช่วยชิมให้ แล้วก็จดส่วนที่ต้องปรับปรุงไว้ให้ เพื่อที่พวกเขาจะได้นำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงหลังฉันลงจากเวทีจนมานั่งรอสวาปามบนโต๊ะ ตอนนี้ท้องฉันประท้วงดังมาก แต่สายตากับประสาทหูก็ยังสนใจเสียงดนตรีบนเวทีเพราะเป็นสิ่งดึงดูดเดียว ตั้งแต่การแสดงวงดนตรีคลาสสิกของฉันจบลงก็มีการตั้งวงดนตรีสากลโดยพี่น้องวัยรุ่น มีการนำกลองชุด กีตาร์ เบส และคีย์บอร์ดมาครบชุด และมีนักร้องพลัดกันขึ้นไปร้อง มีหลากหลายแนวเพลงตามความถนัดของแต่ละคน แต่ช่วงหัวค่ำที่เด็กๆ ยังอยู่จะต้องจำกัดแนวเพลงไม่ให้รุนแรงหรือส่อเสียดมากเกินไป มันไม่ดีต่อเยาวชน แต่พอหลังสามทุ่มก็จะไม่จำกัดแนวเพลงอีกเพราะเด็กๆ ต้องไปนอน ดังนั้นทุกคนก็จะสามารถสนุกได้เต็มที่ ฉันก็กำลังรอเวลานั้นอยู่ เผื่อจะออกไปปลดปล่อยเสียงร้องเทพๆ ของตัวเองบ้าง
ไม่นานพี่ชายก็มา สั่งให้เชฟปรุงอาหารตามรายการของเขาและนำมาเสริฟทีละอย่าง สั่งเสร็จก็นั่งลงโต๊ะเดียวกับฉัน ถอนหายใจผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า สั่งเครื่องดื่มจากบริกร ไม่นานบริกรก็เดินกลับมาด้วยแก้วไวน์ที่มีน้ำสีเหลืองอยู่
พอมาใกล้ๆ ฉันก็ได้กลิ่นฉุนบาดจมูก ขณะที่เขากำลังจะยกขึ้นดื่มฉันก็แตะแขนเขา ปรามว่า “ตอนนี้ดื่มได้เหรอ?” พลางชี้นาฬิกาข้อมือของตัวเอง
เขาวางแก้วลงโดยไม่ทันดื่ม กวักมือเรียกบริกรอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเครื่องดื่ม
ฉันบ่นว่า “นายนี่ติดชีวิตคนเมืองนอกมากไปแล้ว ที่นี่เมืองไทย แล้วในนี้ก็มีเด็กอยู่เยอะ อยากดื่มเหล้าก็รอหน่อยสิ”
“ฉันลืมไป” เขายอมรับ แล้วรับเครื่องดื่มใหม่จากบริกร เขายกน้ำสีแดงเข้มขึ้นให้ฉันเห็น “แค่ไวน์คงไม่ผิดนะ”
ฉันหยักหน้า ขี้เกียจจะพูด ขณะนั้นเองก็มีกลิ่นหอมของอาหารโชยมาแตะจมูก แม่บ้านยกอาหารชามหนึ่งมาวางตรงหน้าฉัน ซุปญี่ปุ่นเรียกน้ำย่อย กลิ่นหอมและสีสันน่าทาน แต่แปลกที่มีเห็ดหลินจือลอยอยู่
พี่ชายทำหน้าที่เชฟ เขาอธิบายว่า “ซุปมิโซะเห็ดหลินจือ ดาชิปลาแม่น้ำอบแห้ง...”
“คุณหนูครับ” พี่ยังพูดไม่จบก็มีคนขัดเสียก่อน พวกเราชะงัก เป็นพ่อบ้าน เขาพูดว่า “คนจากค่ายโทรมาบอกว่าของมาแล้วครับ ให้คุณไปตรวจสอบด้วย”
ฉันเงียบ สูดลมหายใจก่อนตอบ “ได้”
จากนั้นฉันก็ชิมอาหารเงียบๆ เพื่อประหยัดเวลาพี่ก็เลยไม่ได้อธิบายสูตรอาหาร จากที่ตั้งใจว่าจะละเลียดชิมไปฟังไปอย่างสำราญ แต่ตอนนี้ฉันต้องรีบไปค่ายทหารเพื่อรับกล่องของขวัญชิ้นใหญ่ที่รอมานาน ฉันเลยชิมไปจดไป พี่บอกว่าไม่ต้องจดก็ได้ แต่ฉันโบกมือ บอกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพื่อไม่ให้อาหารที่ทำมาต้องเสียเปล่าฉันเลยชิมไปจานละสองสามคำ เขียนคำติชมลงไปทุกจาน ทำแบบนี้จึงจะคุ้มที่สุด กว่าจะชิมครบร้อยจานก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่า
ถามว่าฉันกินเข้าไปไหวได้ยังไง ถึงจานละสองสามคำแต่ร้อยจานก็มีน้ำหนักรวมกันเกือบสองกิโลกรัม ปัจจุบันฉันฝึกอยู่ในค่ายทหาร เรามีกฎระเบียบพื้นฐานเกี่ยวกับการกินว่าต้องกินให้มากเพื่อรับพลังงานและกินให้เร็วเพื่อประหยัดเวลา นี่เป็นความสามารถพื้นฐานของฉัน และฉันยังสามารถรับเข้าไปได้อีกสามกิโลกรัม ไม่ต้องเป็นห่วงไป
จากนั้นฉันก็เดินขึ้นเวที ขอไมค์ประกาศให้ทุกคนทราบว่าฉันต้องไปรับของ แต่อาจจะใช้เวลานาน ทุกคนไม่ต้องรอ และขอโทษขอโพยทุกคนไปด้วย แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจดี เพราะเป็นแบบนี้มาหลายปี ส่วนใหญ่ของนั่นมักจะมาตอนกลางคืนก่อนจะเลยเที่ยงคืนฉิวเฉียด ส่วนของขวัญและคำอวยพรจากทุกคนก็สบายมาก เพราะพวกเขาแค่เปลี่ยนมาเขียนใส่การ์ดและฝากให้ฉันทีหลังเท่านั้นเอง
จากนั้นพี่ชายก็อาสาขับรถไปส่ง จากคฤหาสน์ไปค่ายทหารระยะทางร่วมสิบหกกิโลเมตร แต่พี่ขับรถเร็วมากแค่สิบกว่านาทีก็ถึงที่หมาย อาจเพราะเป็นถนนส่วนบุคคล ไม่มีรถขวางทาง พอไปถึงหน้าประตูใหญ่ก็มีคนเปิดรอรับและนำไปยังห้องนิรภัยห้องหนึ่งทันที
ในห้องนั้นมีทหารอยู่หลายสิบนาย ทุกคนเห็นฉันแล้วทำความเคารพ ฉันตอบกลับไปแบบเดียวกัน เขาเชิญให้ฉันดูกล่องของขวัญใบใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ กล่องมีสีขาวลายชมพูเหมือนจะเป็นซากุระ ฉันเดาว่าของขวัญนี่ส่งมาจากประเทศญี่ปุ่น เขาต้องอยู่ที่ญี่ปุ่นแน่ๆ
ทุกปีในวันเกิดของฉันจะมีของขวัญที่ไม่มีชื่อผู้ส่งส่งมาให้ฉัน ของขวัญนั่นลึกลับพอควร ทหารจะคอยตรวจสอบพัสดุที่ส่งมาให้คนในตระกูล วันนี้วันเกิดฉันมีของขวัญมากมายส่งมา พวกเขาคอยทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่ของขวัญกล่องนี้แปลกมาก กล่องเป็นโลหะผสม หนาหนัก ที่มันน่าแปลกคือต้องใช้รหัสในการเปิด และรหัสก็มีฉันเพียงคนเดียวที่เปิดได้ ฉะนั้นพวกเขาจึงขอให้ฉันมาเปิดกล่องถึงในค่าย หากว่ามันเปิดไม่ได้ก็ไม่ใช่ของจริง อาจเป็นระเบิดต้องรีบกำจัดทิ้ง ดังนั้นห้องนี้จึงมีทหารระวังภัยและพยานร่วมสิบนาย
เพราะเกี่ยวพันถึงชีวิตเราจึงมีการส่งสัญญาณบอกขั้นตอนตลอดเวลา เพื่อระวังภัยในรูปแบบต่างๆ เช่น กับดักที่สามารถยิงกระสุนหรือลูกดอกได้ ที่แย่กว่านั้นคือระเบิด เสี่ยงมากจริงๆ แต่เพราะเป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว ทุกคนเริ่มเข้าใจแล้ว ตอนปีแรกๆ แทบจะถูกกำจัดทิ้งทันที โชคดีที่ฉันอธิบายได้ทัน หลังๆ มาจึงมีมาตรการตรวจสอบภายในห้องนิรภัยที่มีทหารควบคุมอยู่ หนึ่งคือระวังภัยกับตัวฉัน สองคือระวังว่าฉันอาจเป็นสายให้อาชญากร ดังนั้นพวกเขาจึงขอถ่ายวิดีโอเก็บไว้ทุกขั้นตอนเพื่อไม่ให้ฉันตุกติก ฉันต้องพยายามปรับตัวให้ได้
กล่องมีขนาดเท่ากับโต๊ะตัวหนึ่ง เมื่อปีที่แล้วเล็กกว่านี้ พ่อของฉันจะส่งของขวัญที่มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกปีเหมือนฉันที่เติบโตขึ้นทุกปี อาจจะเพื่อย้ำเตือนว่าเขามองดูลูกสาวของเขาอยู่ตลอดเวลา ลวดลายบนกล่องแสดงเอกลักษณ์ของประเทศที่เขาอยู่ในปัจจุบัน พ่อถูกห้ามเจอหน้าฉันและถูกถอดออกจากการเป็นเขยของตระกูลวิชญานนท์ เห็นว่ามีประวัติอาชญากรรมจึงถูกตระกูลกีดกัน พ่อจากไปเพื่ออนาคตของฉัน หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยเจอหน้าหรือพูดคุยกันอีก เป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกัน ของขวัญใบนี้จึงเป็นสิ่งเชื่อมโยงเดียวระหว่างเรา หากถึงวันที่ไม่มีกล่องส่งมาคงเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดี ฉันกลัวมากและตั้งตารอของขวัญใบนี้มาตลอด
ฉันขอให้พี่ทหารยกกล่องไปวางบนเก้าอี้กลมไม่มีพนัก รอบกล่องจะต้องว่างเพื่อให้ฉันหมุนได้ กล่องนี้มีกลไกให้สามารถบิดกล่องได้คล้ายรูบิค แต่ส่วนที่ขยับได้มีแค่ด้านบน ซ้าย ขวา หน้า และหลังเพียงแถวเดียวไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก่อนจะบิดได้ต้องใส่รหัสเสียก่อน
รหัสเป็นตัวเลขที่จะเปลี่ยนไปทุกปีตามการเจริญเติบโตของฉัน รหัสที่ไม่หยุดนิ่งนี้เรียกว่า รหัสพัฒนาการ คือมีเพียงแค่วิธีหารหัส ไม่ใช่รหัสโดยตรง เพื่อไม่ให้ผู้อื่นสวมรอยได้ พ่อระมัดระวังตัวแจเสมอ ไม่รู้กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าพ่อของฉันเป็นใครหรือกลัวศัตรูของพ่อจะสวมรอยปองร้ายฉันกันแน่ คิดว่าคงทั้งสองอย่าง
ส่วนวิธีคำนวณรหัส ทั้งฉันและเขาร่วมกันคิดขึ้นมาสองคน ไม่มีคนอื่นรู้อีก ยากต่อการสวมรอย ถ้าฉันหมุนกล่องด้วยรหัสที่คำนวณได้ก็จะแสดงภาพจริงของกล่องออกมา กล่องจะซ่อนภาพเอาไว้เหมือนจิ๊กซอว์ ขณะยังไม่ปลดล็อกจะมองภาพจริงไม่ออก และต้องปลดล็อกฝากล่องเพื่อเปิดเอาของขวัญจริงๆ ที่อยู่ข้างในออกมา
รหัสคือตัวเลขพัฒนาการและฉันให้ความสำคัญสามลำดับ อายุ ส่วนสูง และน้ำหนัก หาอายุโดยการนำพ.ศ. ปัจจุบันลบกับพ.ศ.เกิด ปีนี้ได้ 16 ส่วนสูงปัจจุบันลบส่วนสูงแรกเกิด คิดเป็นเซนติเมตรเพราะตอนเกิดมาฉันสูง 50 เซนติเมตรพอดี ปีนี้ได้ 119 เอาสองตัวหลังคือ 19 น้ำหนักปัจจุบันลบกับน้ำหนักแรกเกิด คิดเป็นกรัมได้ 52800 เอาสองตัวหน้าได้ 52 รหัสปีนี้คือ 16 19 52 ตัวเลขสองหลักสามชุด
คงจะงงว่าพ่อมีรหัสพัฒนาการของฉันปีนี้ได้ยัง ถ้ายังจำได้ ตระกูลของเราจะต้องตรวจร่างกายและบันทึกพัฒนาการเก็บไว้ทุกปี คิดว่าคงมีคนส่งส่วยไปให้พ่อดู ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เขาก็มีวิธีหามาจนได้
วิธีในการอ่านรหัสคือเลขตัวแรกกำหนดด้านที่ต้องหมุน โดยหมุนตามเข็มนาฬิกาเสมอ เลขตัวที่สองคือจำนวนครั้งที่ต้องหมุน ที่ยากที่สุดคือวิธีอ่านตัวเลข เลขแต่ละตัวจะมีวิธีคิดต่างกัน เลขหนึ่งมีลักษณะคล้ายลูกศรชี้ขึ้น รหัสชุดแรกหมายความว่าให้หมุนด้านบนหกครั้ง
ฉันสวมถุงมือกันสารพิษ เพราะถ้ามันไม่ใช่ของจริงแต่สวมรอยมาคล้ายกับของจริงก็แสดงว่ามีคนปองร้าย โดยพื้นฐานอาจจะมีสารพิษปนเปื้อน ก่อนหมุนกล่องฉันยกนิ้วชี้ขึ้น บอกพวกเขาว่าจะเริ่มถอดรหัสแรกแล้ว พวกเขาเตรียมความพร้อมและกล้อง เสร็จแล้วก็พยักหน้า ฉันจึงเริ่มหมุนด้านบนตามเข็มไปหกครั้งอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเงียบและกดดันของพี่ทหาร ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันพยักหน้าบอกพวกเขาว่ารหัสแรกผ่านไปแล้ว
จากนั้นก็ชูสองนิ้วเริ่มรหัสชุดที่สอง เลขหนึ่งคือด้านบน หากรหัสชุดที่สองคือด้านเดียวกับชุดแรกให้หมุนกลับด้านกัน หมายความว่าให้หมุนด้านบนทวนเข็มเก้าครั้ง เท่ากับหมุนด้านบนจากตำแหน่งเดิมไปตามเข็มนาฬิกาแค่ 3 ครั้งเท่านั้น ซับซ้อนจริงๆ ถ้ายังมีคนสวมรอยได้ฉันคงต้องกราบเท้าโดยดุษฎีแล้ว
และรหัสชุดสุดท้าย ฉันชูสามนิ้ว ครั้งนี้ทุกคนขยับตัวเพราะตื่นเต้นและกดดันเป็นพิเศษ ในกรณีที่ไม่ใช่เลขหนึ่งหรือเลขศูนย์ ให้มองหัวของเลข ถ้าปลายที่เป็นเส้นตรงชี้ไปทางไหนคือหมุนด้านนั้น เลขห้าปลายของหัวชี้ไปทางขวาให้หมุนด้านขวาสองครั้ง ระหว่างหมุนทุกคนลุ้นจนแทบลืมหายใจ
แกร๊กๆ กริ๊ก!
เมื่อเสียงกริ๊กดังขึ้นทุกผ่อนลมหายใจไปตามๆ กัน ขั้นที่หนึ่งสำเร็จแล้ว เราสามารถเปิดฝากล่องได้แล้ว
สิ่งที่ปรากฏขึ้นบนฝากล่องคือภาพทิวทัศน์ของภูเขาหิมะที่ขาวโพลนไปหมด มีซากุระสีชมพูลอยล่องตามสายลมไปพร้อมกับหิมะ ที่มุมล่างขวาของกล่องคือภาพจางๆ ที่แทบถูกหิมะกลบ มันซ่อนอยู่ภายในภาพใหญ่อีกที เป็นภาพชายคนหนึ่งจูงมือเด็กหญิงเดินไปตามทาง ภาพนี้คือภาพในความทรงจำของฉันกับเขา ครั้งหนึ่งเราเคยไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน เหตุการณ์คล้ายภาพนี้
เมื่อรหัสถูกต้องสามารถปลดล็อกกล่องได้ ทุกปีจะมีภาพความทรงจำของฉันกับเขาปรากฏอยู่ในมุมเล็กๆ ที่ไม่มีจุดเด่นและหามองได้ยาก เรียกว่าปรากฏการณ์ซ่อนภาพในภาพ หากนอกเหนือจากนี้แสดงว่าเราถูกหลอก เป็นรหัสขั้นที่สอง รหัสตัวนี้ต้องอาศัยความทรงจำของฉัน เกิดวันไหนฉันความจำเสื่อมก็โยนกล่องทิ้งได้เลย
ฉันพยักหน้าให้พี่ๆ ทหาร ยืนยันว่ากล่องเป็นของจริง พวกเขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ความตึงเครียดหายไปทันที ตอนนี้กล้องถ่ายตามมุมต่างๆ ของกล่องไว้เพื่อยืนยันหลักฐาน
ทหารนายหนึ่งขออนุญาตฉันยกฝากล่องขึ้น หลายคนลุ้นว่าข้างในคืออะไร ฉันพยักหน้าให้เขาเปิด ฉันเองก็อยากรู้ใจจะขาด พอเปิดฝากล่อง กลไกของกล่องก็ดันพนังอีกสี่ด้านของกล่องลงอัตโนมัติ ทำให้เห็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกแกะสลักขึ้นจากช็อกโกแลตสีดำทั้งก้อน อยู่ภายในครอบแก้วเก็บความเย็นเพื่อไม่ให้ช็อกโกแลตละลายเร็ว
ทุกคนรู้ว่าฉันไม่กินขนมหวานแต่ชอบช็อกโกแลต ดาร์กช็อกโกแลตไม่เอา ไวท์ช็อกโกแลตก็ไม่เอา ต้องช็อกโกแลตผสมนมแบบลงตัว มากหรือน้อยไปก็ไม่เอา ฉันเรื่องมากกับของกินเกินไปไหม?
พ่อมักจะส่งช็อกโกแลตทั้งก้อนซึ่งแกะสลักไว้อย่างประณีตงดงามมาให้ ส่วนสถานที่ที่ถูกจำลองนั้น แม้จะดำมืดไปหมดแต่ก็อาศัยแสงเงาช่วยให้มองออกว่าเป็นสถานที่ที่มีลักษณะคล้ายศาลาวัดแห่งหนึ่งในเกียวโต ปกติเขาจะจำลองสถานที่สำคัญของเมืองที่เขาพักอาศัยอยู่มา สถานที่นี้เป็นหนึ่งในสองวัดสำคัญของเกียวโต ฉันคุ้นภาพมากทีเดียว มันถอดออกมาจากภาพบนเว็บท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ แต่ต้องสังเกตดูให้ดีเพราะมีสองวัดที่คล้ายกัน
“นี่คือบ้านญี่ปุ่นเหรอครับ?” พี่ทหารถาม สิ่งที่เห็นชัดคือต้นบอนไซ
ฉันเพ่งมองหลายนาที จับจุดเด่นของสิ่งปลูกสร้างนี้ออกมา เป็นศาลาที่มีสามชั้น ชั้นแรกกว้าง ชั้นบนขึ้นไปจะแคบลงคล้ายเจดีย์เตี้ย ปกติมีสีทองเรียกว่าศาลาทอง แต่ช็อกโกแลตทั้งก้อนมีแค่สีดำสีเดียว ด้านหลังศาลาทองเป็นต้นไม้ ด้านหน้าติดกับสระน้ำ โชคดีที่ชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์และหาความรู้รอบตัวอยู่เสมอ ฉันเห็นภาพนี้บ่อยในเว็บท่องเที่ยว ตอบเขาว่า “ดูเหมือนจะเป็นวัดโรคุอง ศาลานี้เรียกว่าศาลาทอง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าวัดคิงคาคุ(ศาลาทอง) มรดกโลกของเมืองเกียวโต”
จากนั้นพวกเขาก็ขอเซลฟี่ส่วนตัวร่วมกับงานศิลปะชั้นสูงที่น่าตื่นตะลึงนี้ไว้ ก่อนจะปิดฝากล่องตามเดิมและนำไปส่งให้ฉันที่ตระกูล ฉันขอให้เขานำไปให้คนในงาน พวกนั้นจะได้ถ่ายรูปเก็บไว้ ส่วนฉันถูกพี่ชายลักพาตัวไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่บอกว่าลักพาตัวเพราะฉันไม่เต็มใจจะไป
พี่ชายขับรถพาฉันไปบริษัทของแม่ ใช้เวลานานเกือบชั่วโมงกว่าจะไปถึง ขณะนี้ใกล้จะเลยเที่ยงคืนแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้พบหน้าแม่เลย เพราะรู้ว่าแม่ติดงานเลยไม่อยากรบกวน แต่พี่ชายไม่สนใจ เขายืนยันจะไปหาแม่ให้ได้ ระหว่างทางฉันส่งข้อความถามแม่ว่าอยู่ที่ไหน เธอยังอยู่ที่บริษัทเหมือนเดิม แอบถามว่าวันนี้วันอะไร แม่ก็ส่งอีโมชั่นตุ๊กตาร้องไห้ บอกว่าแม่ผิดไปแล้ว แสดงว่าเธอรู้แต่ปลีกตัวออกมาไม่ได้
ไม่นานก็ถึงบริษัทของแม่ ลงรถได้ก็เดินเข้าไป ตอนนี้มีแค่รปภ. เท่านั้นที่ทำงานอยู่ พอพวกเขาเห็นเราก็ทักทายแล้วก็อวยพรให้ฉันอย่างอบอุ่น พี่ถามพวกเขาว่าแม่อยู่ไหน เขาบอกว่าที่เดิม เราเลยเดินตรงไปยังห้องประธาน ก่อนที่พี่จะเปิดประตูเข้าไปอย่างอุกอาจนั้นก็ถูกฉันฉุดให้นั่งลงแอบเสียก่อน พี่กำลังอ้าปากถามฉันก็ปิดปากเขาไว้ มือส่งไลน์ไปหาแม่ ถามว่าทำอะไรอยู่ เสียงไลน์ดังขึ้นในห้อง เธอยังทำงานอยู่จริงๆ ทั้งที่จะหมดวันแล้ว จากนั้นเธอก็ตอบไลน์กลับด้วยการคร่ำครวญเป็นชุดว่างานเยอะ ต้องทำให้เสร็จ และอีกมากมาย ฉันบอกเธออีกว่าพักผ่อนบ้างเถอะ เธอบอกว่าเดี๋ยว ฉันรู้สึกฉุนขึ้นมา ดึงมือพี่กลับทันที
พี่ตามฉันมาอย่างไม่เข้าใจ ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“นิดหน่อย ไปหามื้อดึกกินกัน” แล้วฉันก็ลากเขาเข้าไปในลิฟต์ เอามือถือให้ดูว่าคุยอะไรกับแม่
พี่ชายดูแล้วก็พยักหน้า พูดว่า “ฉันเองก็กำลังโมโหอยู่นี่ไงที่แม่มัวแต่ทำงานไม่สนใจวันเกิดลูก”
“ใช่ที่ไหน ฉันโมโหที่แม่ปฏิเสธความหวังดีของฉันต่างหาก” ฉันบ่นให้เขาฟัง “ดูนะ ฉันบอกให้แม่พักผ่อน แต่กลับบอกว่าเดี๋ยว แสดงว่าคำพูดของฉันไม่สำคัญอะไร ไม่ต้องใส่ใจก็ได้ ถ้าแม่รักษาน้ำใจฉันสักหน่อย บอกว่าได้ กำลังจะไปยังจะดีซะกว่า”
“...เธอก็คิดเรื่องหยุมหยิมเกินไป” พี่ชายพึมพำ “แม่คงคิดไม่ถึง”
“ใช่ไง ถึงได้บอกว่าคำพูดฉันไม่สำคัญ ไม่ต้องเก็บไปคิดก็ได้ อย่างน้อยคำพูดของลูกเธอก็ควรฟังบ้าง ถ้าฉันพูดอะไรที่มันเอาแต่ใจฉันคงไม่มาบ่นให้นายฟังหรอก เพราะนั่นคือฉันผิดเอง แต่นี่ฉันพูดเพราะห่วงเธอ เธอกลับไม่ใส่สักนิด... ฉันเป็นลูกของเธอนะ เธอควรเห็นความสำคัญของฉันบ้าง...” แล้วฉันก็ซึมลง
พี่ตบหลังฉันป๊าบใหญ่ เจ็บจนต้องแยกเขี้ยว เขาพูดว่า “คิดมาก”
ฉันไม่ได้พูดอะไรอีกจนเราลงจากตึก แล้วขึ้นรถไปหามื้อดึกกิน แต่เอาเข้าจริงเราก็แวะสวนสาธารณะใกล้ๆ หาที่นั่งรับลมเย็น พี่คงต้องการให้ฉันหัวสมองโล่ง ลืมเรื่องเมื่อครู่ไป ไม่งั้นอาจจะทะเลาะกับแม่ได้ จากนั้นเขาก็อาสาไปซื้อน้ำดื่มที่ร้านสะดวกซื้อเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงให้
ฉันนั่งถอนหายใจทิ้งได้ชั่วครู่พี่ชายก็เดินกลับมาพร้อมเสียงไลน์ในกระเป๋าดังขึ้น ขณะกำลังจะหยิบขึ้นมาเปิดอ่านก็มีอะไรบางอย่างคล้ายหมวกสวมปิดทั้งหัว แถมไม่มีรูที่ตาทำให้มองไม่เห็น พอจะถอดออกก็มีคนสกัดมือเอาไว้ ด้วยความตกใจฉันจึงจับมือเขาไว้ทันทีเพื่อล็อกตำแหน่ง เขาตั้งตัวไม่ทันจึงถูกฉันจับได้ แต่ต่อมาก็พบว่าฉันคิดผิด ฉันต่างหากที่ถูกจับได้ เขามีพรรคพวกอีกคน คนนั้นพูดกับฉันว่า “ตามมาเงียบๆ”
ได้ยินเสียงคุ้นหูนั้นแล้วฉันก็ฉุนกึก ถามว่า “นายเล่นอะไร?”
เสียงของพี่ชายดังทางซ้ายมือ “เรื่องสนุกๆ”
ถ้าพี่ชายอยู่ฝั่งซ้าย แล้วฝั่งขวาที่จับฉันไว้คือใคร “ที่นายเดินไปเมื่อกี้เพื่อเรียกเพื่อนมาเหรอ นี่นายคิดจะเล่นปิดตาตีแตงโมหรือไง?”
มีเสียงกลั้นหัวเราะที่เบามากดังขึ้นทางฝั่งขวา เป็นเสียงผู้หญิงแต่ฟังไม่ชัดว่าใคร พี่ชายถอนหายใจ ฉันถูกพาเดินไปสักพักพวกเขาก็หยุด มีเสียงเปิดประตูและพนักงานกล่าวต้อนรับ บอกให้เราตามไป พี่ชายจับมืออีกข้างของฉันไว้ ตอนนี้ฉันเลยเหมือนเจ้าหญิงที่มีคนจูงมือทั้งสองฝั่ง เสียแต่เป็นเจ้าหญิงที่ถูกอะไรไม่รู้คลุมหัวอยู่
รอบข้างมีเสียงคนคุยกันอยู่หลายเสียง แต่เบามาก อาจจะอยู่ไกล สถานที่ที่ไม่หนวกหูแต่มีคนอยู่มากแม้จะเกือบเที่ยงคืนแล้วมีอยู่หลายแห่ง เช่น โรงพยาบาล แต่โรงพยาบาลไม่ใช้เสียง และมีกลิ่นเฉพาะ เข้ามาก็รู้ทันที ที่นี่อาจจะเป็นภัตตาคารที่เปิดดึก แถมเป็นภัตตาคารหรูที่มีโซนแยกอยู่ห่างๆ กัน ฉันเดาเอาจากสิ่งที่สัมผัสได้จากรอบกาย แต่ไอ้หัวที่ครอบอยู่นี่มันปิดเสียงจนดังอู้อี้ไปหมด
ในเมื่อรู้ว่ามีคนอื่นอยู่ ฉันก็รักษามาดให้นิ่งไว้โดยฉับพลัน เดินหลังตรงและมั่นคง แม้ตาจะถูกปิดไว้ก็ตาม อีกอย่าง ฉันอยากถามเหลือเกินว่าฉันยังเหลือมาดให้รักษาอีกไหม? เอาหัวอะไรมาสวมให้ฉัน?
ขณะเดินเหมือนเจ้าหญิงง่อยไปได้สักพัก ขึ้นลิฟต์อีกพัก เดินไปอีกหน่อยพวกเขาก็หยุด ทันใดนั้นหัวที่สวมอยู่ก็ถูกถอดออก แล้วแสงสีทองก็แยงเข้าตาพร้อมภาพเบื้องหน้าที่สุดแสนจะอลังการ
เฟอเรโร่ รอชเชอร์สีทองอร่ามถูกประดับไว้เต็มห้อง แสงไฟสีเหลืองสว่างช่วยให้แสงจากห่อเฟอเรโร่เป็นประกายสีทอง แม้จะมีสีดำปะปนอยู่บ้างแต่ก็โดนสีทองกลบไปหมด เฟอเรโร่สีทองและสีดำที่ฉันชอบมากถึงมากที่สุด มีแปลงเฟอเรโร่สีทองแซมดำถูกปลูกไว้สองข้างทางแทนสวนดอกไม้ ช่อดอกเฟอเรโร่หลายช่อทั้งสีทองและสีดำวางตามจุดต่างๆ ที่ถูกจัดแต่งไว้เพื่อวางโดยเฉพาะ ยิ่งกว่าโฆษณาขายเฟอเรโร่อีก ที่สำคัญ มันคืองานศิลปะชั้นเลิศ! ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจริญหูเจริญตา ตรงมุมที่ทางเดินทอดตรงไปหามีโต๊ะทานอาหารตัวหนึ่ง แจกันเฟอเรโร่ถูกประดับไว้กลางโต๊ะ มีเก้าอี้สามตัวตั้งอยู่สามมุม น่าจะเป็นห้องวีไอพี ที่นี่คือภัตตาคารหรูจริงด้วย
ฉันตีหน้านิ่ง หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยิ้มดีใจและภูมิใจอยู่ เธอยังอยู่ในชุดสูท ใบหน้าแต่งแต้มสีสันพองาม เครื่องหน้าสวยดูดีตามธรรมชาติ ดูแล้วไม่รู้เลยว่ามีลูกมาแล้วสองคน ด้านหลังเธอคือพี่ชายที่ถือหัวมาสคอตแมวเหมียวเอาไว้
ผู้หญิงที่ฉันเรียกว่าแม่ยังคงยิ้ม ฉันรู้แล้วว่าเธอจองห้องวีไอพี ตกแต่งด้วยเฟอเรโร่ รอชเชอร์ที่ฉันชอบเอาไว้ คนที่ทำแบบนี้ได้ก็มีแต่เธอคนเดียว ฉันฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี พี่เห็นแล้วแปลกใจจึงขยับตัวแต่ไม่ได้เข้ามาใกล้ ฉันกุมสองมือของแม่ไว้แน่น โน้มตัวเข้าไปใกล้เธอ ถามว่า “หลอกยูทำไม?”
ฉันรู้ว่าอยากเซอร์ไพส์ แต่ไม่เข้าใจว่าจะโกหกกันทำไม ถ้าความคิดของฉันถูกต้อง ฉันโดนหลอกตั้งแต่ออกจากค่ายทหารและถูกพามาที่นี่ พี่หลอกฉัน พวกเขาสองคนร่วมมือกัน
ได้ยินฉันถามแม่ก็ตกใจจนเกินจริง แล้วทำสีหน้าน้อยใจ พึมพำว่า “...แม่ไม่มีเวลากลับไปหายูเลยก็เลยอยากชวนมาทานอาหารรอบดึกด้วยกัน ให้ของขวัญสุดวิเศษกับยู แม่รู้ว่ายูต้องชอบมากแน่ๆ โฮๆๆ ยูอย่าทำหน้าโหดใส่แม่สิ! ใจร้าย!”
แม่สิ ทำท่าทางไม่สมอายุแบบนี้จะดีเหรอ? ถ้าลูกน้องมาเห็นจะทำยังไง?
แม่ถอดแบบจากคุณตา เคร่งขรึม มีระเบียบ มีกฎเกณฑ์แน่นหนา แต่แม่โหดกว่ามาก เด็ดขาดมาก สามารถคุมลูกน้องและพนักงานหลายพันชีวิตได้ ฉันรู้ว่าฉันได้รับความโหดมาจากแม่ แม่เหมือนราชินีที่ใครๆ ก็ต้องรับใช้เธอ ปกติจะนิ่งขรึม สุขุม จริงจัง ใครๆ ก็เคารพ ไม่ลามปาม รู้ว่าใครเจ้านายใครลูกน้อง นั่นคืออำนาจของเธอ แต่ไม่รู้ทำไมเวลาอยู่กับฉันถึงเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้
พี่ขัดเรา พูดว่า “คิดว่าฉันหลอกตอนไหน?”
ฉันงง ถามทำไม? แต่ก็ยอมตอบ “นายหลอกฉันว่าจะพาไปหาแม่ ทำทีเป็นโมโหแม่ที่ไม่มาร่วมงานวันเกิดลูก แต่จริงๆ แล้วนายพาฉันมาตามคำสั่งแม่ใช่ไหมล่ะ”
พี่ยกยิ้ม เห็นแล้วอยากชกสักที ฉันพูดแกมโมโหว่า “จากนั้นก็พาฉันแวะที่สวนสาธารณะเพราะอยู่ใกล้กับที่นี่ อาสาไปซื้อน้ำเพื่อเรียกแม่ลงมา พอแม่ลงมานายก็ไลน์หาฉันเพื่อดึงความสนใจไปจากบางอย่างที่อยู่ข้างหลัง ฉันถึงถูกสวมมาสคอตอย่างง่ายดาย ไง ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่า?”
“เธอหาว่าแม่หลอกเธอด้วยนี่” พี่ยังคงถาม ไม่แก้ตัว
“ตอนฉันไลน์ถามหน้าห้องว่าทำอะไรอยู่ เธอบอกว่ากำลังทำงาน ตอนนั้นเธอทิ้งมือถือไว้ทำทีเป็นว่าอยู่ในห้อง คนที่ตอบกลับมาเป็นลูกน้อง ตอนนั้นเธออยู่ข้างล่างแล้ว”
“ทำไมถึงคิดว่าอยู่ข้างล่าง?”
ฉันขมวดคิ้ว “ก็ถ้าไม่อยู่ข้างล่าง แล้วจะมาถึงที่นี่โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีได้ยังไง จากห้องลงมาถึงที่นี่ใช้เวลาประมาณสิบนาที นายเดินไปซื้อน้ำจนกระทั่งเดินกลับมาแค่สามนาที ตอนนั้นแม่ไม่ได้แอบอยู่แถวนั้นแล้วหรอกเหรอ”
แปะๆๆๆ
มีเสียงปรบมือดังมาจากทั้งสองคน แม่พูดอย่างดีใจว่า “เก่งจังเลยยู! เดาถูกหมดเลย!”
พี่ค้านว่า “ผิดหมดเลยต่างหากล่ะ ฉันไม่ได้หลอกเธอ แม่ต่างหากที่หลอกฉันกับเธอ”
“หา??” ฉันอ้าปากค้าง มองหน้าแม่ แม่ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม
พี่อธิบายให้ฉันผู้โง่งมฟังว่า “ฉันไม่ได้ติดต่อกับแม่เลยตั้งแต่มาถึงไทย รอจนกระทั่งเกือบเลยเที่ยงคืนก็ยังไม่เห็นหน้า คิดว่าไม่ถูก ปกติแม่ไม่มีทางเพิกเฉยกับความรู้สึกของลูกสาวแน่ มันอาจจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นก็เลยชวนเธอไปหา บางทีแม่อาจจะกำลังต้องการความช่วยเหลือ แต่เห็นแม่พิมพ์ไลน์ตอบเธอก็งงอยู่เหมือนกัน คิดว่าถ้าแม่เล่นตลกอะไรคงมีเคลียร์กันหน่อย”
“งั้น...ที่ส่งไลน์หาฉันตอนสุดท้ายนั่นถ้าไม่ใช่นายแล้วเป็นใคร มือถือแม่อยู่ที่ห้องไม่ใช่เหรอ?” ฉันงงหนัก
แม่หัวเราะสดใสอย่างภาคภูมิใจที่ฉันเดาไม่ถูก พี่ตอบหน้านิ่งว่า “แค่ยืมลูกน้องมาก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ฉันรู้สึกเหมือนมีหินหล่นทับ ถูกหลอกซับซ้อนจนมึนไปหมด
“ตอนแวะสวนสาธารณะก็เพราะเห็นคนคล้ายแม่ยืนโบกมือให้ในซอยมืด ไม่แน่ใจเลยต้องจอดเพื่อไปหา แต่ก็ไม่มี พอกลับออกมาจากร้านก็เห็นแม่ถือหัวมาสคอตอยู่เลยเข้าใจเรื่องทั้งหมด จากนั้นฉันก็ให้ความร่วมมือด้วย จริงๆ มันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก”
ใช่สิ ฉันมันโง่
“แต่ก็เกือบพลาดเหมือนกันนะ” แม่ยอมเอ่ยปากพูด พี่พยักหน้าเห็นด้วย แต่ฉันไม่เข้าใจ เอาง่ายๆ ตอนนี้ไม่มีอะไรจะเข้าหัวแล้ว จิตใจมันซอกซ้ำระทมทน... แม่ถอนหายใจพูดว่า “ตอนที่สวมหัวแมวให้ยูแล้วถูกจับมือไว้ได้น่ะแม่หัวใจแทบวาย ถ้าเกิดยูฟาดแขนฟาดขาใส่แม่คงเจ็บตัวแน่”
“...ก็ใครใช้ให้ถูกตัวยูในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครล่ะ” ฉันพูดอย่างยอมรับ “พอจับแล้วก็รู้ว่าเป็นมือผู้หญิงยูเลยชะงัก ไม่ได้ลงมือ”
“อุ้ย” แม่ยกมือปิดปาก “ยูของแม่สุภาพบุรุษจังเลย!”
“ยูเป็นผู้หญิง...”
แม่คว้าตัวฉันไปกอดอย่างไว “จะผู้ชาย ผู้หญิง กระเทย ทอม ดี้ ขอแค่เป็นยูของแม่ แม่ก็รักทั้งนั้นแหละ!”
ฉันเหลือบตามองพี่ แล้วถ้ามีสะใภ้เป็นผู้ชายล่ะแม่? พี่ถลึงตามองฉัน ได้ความว่า หุบปากซะ
“เอาล่ะยู เราไปทานมื้อดึกกันดีกว่า” แล้วแม่ก็จูงมือฉันเข้าห้อง พาฉันไปนั่งที่หัวโต๊ะ พี่เดินเข้าไปลากเก้าอี้ให้แม่อย่างรู้งาน เราสามนั่งจ้องหน้ากัน แม่ยิ้มอย่างมีความสุขหาที่ใดเปรียบไม่ได้ พูดว่า “นานแล้วนะที่เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกันทั้งครอบครัวแบบนี้”
ถ้าจะพูดว่าทั้งครอบครัวก็ต้องสี่คนสิ แม่เอาพ่อไปไว้ที่ไหนซะล่ะ? ฉันกับพี่ยิ้มจืดให้กับแม่
“อ้อ จริงสิ แม่มีอะไรจะให้” ว่าแล้วก็หยิบกล่องขนาดเล็กสีชมพูหวานออกมา พอๆ กับกล่องใส่แหวน ไม่ก็กำไล ฉันเห็นแล้วก็งงหนัก นึกว่าเฟอเรโร่คือของขวัญของแม่แล้ว ยังมีอีกเหรอ? แม่ยื่นกล่องให้ฉัน เปิดฝากล่องให้ดู เป็นป้ายชื่อปลาสีขาวกรอบดำเขียนว่า MIKKY
“มิกกี้?” ฉันขมวดคิ้ว
แม่พยักหน้า บอกว่า “ดูรูปที่แม่ส่งไปให้สิ”
ฉันหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูไลน์ที่ส่งมาล่าสุด มันคือรูปลูกแมวตัวน้อยขนสีขาวแต้มดำ เข้าใจทันทีว่าป้ายชื่อคงเป็นชื่อของเจ้าตัวน้อยนี้ น่าจะเพิ่งเกิดไม่นาน ตัดนิดเดียว ในรูปมันนอนหลับอยู่อย่างน่ารัก ฉันเผลอยิ้มกับความน่ารักของลูกแมว ก็ฉันมันทาสแมวนี่ อดไม่ได้ต้องพูดออกมาว่า “น่ารักจัง!”
แปลก พอฉันพูดว่าน่ารัก น้ำตาของฉันกลับสะอื้นออกมา ฉันเก็บก้อนสะอื้นอย่างมึนงง อะไร? พอดีกันนั้นพี่ก็มองมาทางนี้ คล้ายว่าเขาจะมองฉัน แต่จริงๆ กำลังมองหลังเก้าอี้ของฉันต่างหาก ฉันมองไปบ้าง ซ้ายทีขวาที ไม่เจออะไร
แม่ไม่รู้ว่าเรามองอะไร เธออธิบายว่า “ไลน์ที่ส่งไปให้เป็นของเพื่อนแม่เอง ในนั้นมีรูปลูกแมวที่เธอซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดลูกสาวคนเล็กของเธอ แต่ตอนนี้คงต้องให้ยูช่วยดูแลแทนแล้วล่ะ”
“ทำไมคะ?” ฉันถาม แต่ในใจรู้สึกเจ็บแปล๊บ คล้ายกับรู้คำตอบอยู่แล้ว
“ลูกสาวเธอเพิ่งจากไปได้สองเดือน พอรู้ว่าลูกของแม่ก็ชอบแมว เธอเลยอยากให้ลูกดูแลมิกกี้แทนลูกสาวของเธอด้วย สามีเธอไม่ชอบแมว ยิ่งพอลูกสาวจากไปคนเป็นพ่อก็ยิ่งทำใจไม่ได้เมื่อเห็นมิกกี้ มันพาลนึกไปถึงลูกสาวที่น่ารักของพวกเขา เพราะฉะนั้นนะยู...” แม่กุมมือฉันไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ช่วยดูแลมิกกี้แทนน้องเขาด้วยนะลูก”
“...ค่ะ” ฉันตอบรับด้วยเสียงสั่นเครือ พอเก็บกดอารมณ์ลงไปได้ก็พูดขึ้นว่า “พี่จะดูแลมิกกี้อย่างดี แล้วก็ให้ความรักอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะ ไปสบายเถอะ วันหนึ่งที่เธอกลับมา มิกกี้ก็คงตัวอ้วนเป็นหมูแล้วล่ะ!” พูดจบก็หัวเราะ หันไปสบตากับพี่ เขาพยักหน้า แสดงว่าเธอรับรู้
แม่รู้ว่าฉันไม่ได้พูดกับเธอ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เธอยิ้มหวานให้ฉัน ฉันบอกขอบคุณแม่ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “จริงสิ แม่ยังไม่ได้อวยพรยูเลย มาๆๆ มาให้แม่อวยพรหน่อย”
เธอยื่นแขนออกมาต้องการให้ฉันไปกอด เดินหน้ามุ่ยไปหา ทำไมต้องกอดด้วยเนี่ย? กว่าจะเก็บน้ำตาได้นี่ยังจะมาทำซึ้งอีก เดี๋ยวก็ปล่อยโฮกันพอดี ฉันเดินไปหาแม่ ไม่ได้สวมกอดเธออย่างที่เธอต้องการ
แม่ลูบหัวฉัน พูดว่า “ที่แม่หลอกยูแม่ขอโทษน้า แม่แค่คิดว่ายูอาจจะเบื่อก็เลยหาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ให้ยูได้เล่นได้ฝึกสมองบ้าง แต่ถ้ายูไม่ชอบ คราวหลังแม่...”
“...ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบสักหน่อย” แค่รู้สึกว่ายังฉลาดไปพอเท่านั้นเอง
แม่ลูบหัวฉันอย่างโยน บอกว่า “แม่รู้ว่าหนูไม่ชอบให้แม่พูดอะไรซึ้งๆ ใช่ไหม?”
“...ยูอยากให้แม่รอ” เสียงของฉันแผ่วเบาลง “รอวันที่ยูจะโตกว่านี้ รอวันที่ยูจะสามารถพูดเรื่องซึ้งๆ ได้โดยไม่ร้องไห้ รอให้ยูเข้มแข็งขึ้นอีกหน่อย แล้วยูจะควบคุมความอ่อนแอของตัวเองให้ดู”
“จ้า” แม่รับคำ เธอประคองใบหน้าฉันไว้ด้วยสองมือ “เพราะฉะนั้นแม่มีคำพูดคำหนึ่งอยากบอกลูก ไม่ได้ซึ้งอะไรมากมายหรอก แม่แค่อยากบอกว่า...ขอบคุณที่เกิดมาเป็นลูกแม่นะ!” จากนั้นเธอก็ยิ้มกว้าง บรรจงจูบลงที่หน้าผากฉัน
ฉันเม้มปาก รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา สักพักก็พูดกับเธอว่า “ยูก็...ขอบคุณที่แม่คลอดยูออกมานะ แล้วก็ขอบคุณที่เลี้ยงดูยูจนเติบใหญ่ขนาดนี้” ฉันหน้าก้มลง สะกดอารมณ์ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นยิ้มกว้างไม่ต่างจากแม่ “ขอบคุณที่ให้ความรักกับยูนะ!”
แม่คว้าฉันไปกอดทันที เธอสะอื้นออกมา พูดว่า “ดีจริงๆ ที่แม่มียูเป็นลูก ยูไม่ต้องเก่งก็ได้ลูก ไม่ต้องฉลาดกว่านี้แล้วก็ได้ แต่ว่า...ไม่เป็นลูกแม่ไม่ได้นะ!”
ฉันกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ฮึก...ว่าจะไม่ร้องไห้แล้วนะ
คุณตาเคยบอกเอาไว้ว่า สิ่งที่ต้องทำในวันเกิดของเราไม่ใช่งานเลี้ยง การทำบุญตักบาตรก็ยังไม่ใช่ การทำความดีหรือบำเพ็ญก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำที่สุด สิ่งที่เราต้องทำในวันเกิดของเราที่สุดคือการขอบคุณแม่ที่ทนเจ็บปวดเพื่อคลอดเราออกมาเป็นตัวเป็นตนอย่างที่เห็นทุกวันนี้
วันนี้เมื่อ 16 ปีที่แล้วหรือก่อนหน้านั้น หากแม่ไม่พบกับพ่อ หากแม่ไม่ทนอุ้มท้องฉันมา หากแม่ทนคลอดฉันไม่ไหว วันนี้คงไม่มีฉัน รัชนีกร วิชญานนท์อย่างแน่นอน
ขอบคุณมากค่ะ!
[Talk]
เกิดพล็อตเรื่องนี้ก่อนวันเกิดประมาณครึ่งเดือน ก่อนหน้านั้นคิดว่าควรมีอะไรมาเฉลิมฉลองการเริ่มต้นที่ดีของตัวเองสักหน่อย ก็เลยตั้งใจแต่งเรื่องนี้มา เป็นเรื่องสั้นที่อาจจะยาวไปสักหน่อย แต่จบในตอนค่ะ
อีกประการคือ หลังจากแต่งต้นเรื่องที่มีการใช้เพลงของพระเจ้าอยู่หัว ยูเริ่มมีความคิดว่าอยากจะเขียนคำสอนของพ่อหลวงที่ยูได้เรียนรู้มาทั้งชีวิตฝากไว้ให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้จากนิยายเรื่องนี้ค่ะ!
การเขียนนิยายแนวชีวิตจริงไม่ใช่แนวถนัดของยู ระหว่างแต่งมีความรู้สึกว่ามันยากนะ เพราะต้องนำเสนอความรู้จริง ใช้งานได้จริง จึงมีการเขียนไปเก็บข้อมูลไปตลอด แม้ว่ามันจะยากและไม่ถนัดสักแค่ไหนแต่ยูมีความตั้งใจมาก พอสำเร็จออกมายูจึงภูมิใจมาก สมกับเป็นนิยายเพื่อเกียรติสูงสุดของตัวเอง ดังนั้นนิยายแนวนี้จึงเป็นเรื่องแรกของยู ผิดพลาดประการใดขอรับคำตำหนิติเตียนทุกประการค่ะ
ขอให้สนุกและได้รับความรู้นะคะ!