“นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ออกมาจากจิตนาการของผู้แต่งล้วนๆ กรณีที่เนื้อหาบางส่วนหรือชื่อของใครบางคนหรือเหตุการณ์บางอย่างมีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์จริงหรือชื่อบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง กรณีดังกล่าวข้างต้นถือว่าเป็นเพียงแค่ความบังเอิญเท่านั้น
ยกเว้นในกรณีที่เป็นเหตุการณ์สถานที่และบุคคลสมมุติที่ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้วเท่านั้นที่ผู้แต่งอาจตั้งใจนำมาเขียนในนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาในเรื่องได้ง่ายขึ้นเพียงเท่านั้น
นิยายเรื่องนี้แต่งมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น กรุณาอย่าเอามาคิดจริงจัง และสนุกไปกับสิ่งที่นิยายเรื่องนี้ต้องการจะสื่อให้ทุกคนได้รู้ดีกว่า”
(ผู้แต่ง,2559)
______________________________________________
บทนำ
สิ่งแรกที่เกิดขึ้นเมื่อฉันได้ก้าวสู่ “ความเป็นผู้ใหญ่”
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2561
วันนี้เป็นวันแรกของชีวิตนักศึกษามหา'ลัยอย่างเป็นทางการของฉัน หรือที่เรียกว่า ชีวิตเด็กเฟรชชี่
ชีวิตเฟรชชี่ในความคิดของหลายคนอาจหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ รู้จักเพื่อนใหม่ ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ เรียนรู้วิชาใหม่ หรือตำนานรักครั้งใหม่ #สำหรับพวกโลกสวยทั้งหลาย
แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่คิดว่าชีวิตเฟรชชี่หมายถึงการจากลาจากชีวิตวัยเด็ก การที่จะต้องยอมรับความจริงว่าบทบาทของตนเองได้เปลี่ยนไปแล้ว การที่เราไม่สามารถขอให้ผู้ใหญ่มาช่วยทำอะไรให้ได้เหมือนแต่ก่อน รวมถึงการที่เราจะต้องรู้สึกเจ็ปปวดในแบบที่ผู้ใหญ่เจ็บกัน
สำหรับฉัน หัวใจข้างซ้ายของฉันดีใจที่จะได้พบกับการผจญภัยครั้งใหม่ แต่หัวใจข้างขวาของฉันรู้สึก"กลัว" กลัวที่จะต้องเจ็บ เจ็บจากการเผชิญหน้ากับความจริง
ฉันได้แต่นอนอยู่บนเตียง อธิษฐานให้ทุกสิ่งเป็นเพียงแค่ความฝัน อธิษฐานให้เจ้าชายโฉมงามมาจุมพิษฉัน พาฉันไปอยู่ในปราสาทสีนํ้าทะเลและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์
“ปิ๊ปๆ ปิ๊ปๆ ปิ๊ปๆ”
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น พอเหลือบดูก็เห็นตัวเลขที่ฉันเกลียดที่สุด
05:30 AM
ตัวเลขนั้นพยายามจะบอกฉันว่า “หยุดฝันและยอมรับความจริงที่แสนโหดร้ายได้แล้ว”
ฉันจำเป็นที่ต้องทำตามที่นาฬิกาปลุกคอยเตือน เพราะถ้าไม่ทำ ฉันจะต้องพบกับฝันร้ายที่ฉันกลัวที่สุดในวัยเด็กของฉัน
ซึ่งก็คือคุณพ่อของฉันเอง
ฉันลุกจากเตียงไปอาบนํ้าแต่งตัวจัดกระเป๋าให้พร้อมกับการไปโรงเรียน
ฉันเองก็ยังตกใจตนเองไม่หาย แต่ก่อนฉันต้องใส่เสื้อแขนยาวผูกไทค์กับกระโปรงพรีตสีกรมท่า แต่ตอนนี้ฉันต้องใส่เสื้อแขนสั้นติดตรามหา'ลัยกับกระโปรงพรีตสีดำ ส่วนกระเป๋าก็เปลี่ยนจากกระเป๋าจาค็อปตามระเบียบโรงเรียนไปเป็นกระเป๋าสะพายตามสมัยนิยม
แต่ก็ยังพออุ่นใจที่ยังมีบางสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนไป คือ แฟ้มเอกสารลายโดราเอม่อนที่ใช้มาตั้งแต่ตอนม.ปลาย ฉันเอาแฟ้มนี้ไปทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้านไปเรียนหรือไปทำธุระต่างๆ รวมถึงแว่นตาทรงเหลี่ยมสีดำที่ใส่ประจำ
พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยฉันจึงลงไปชั้นล่าง เห็นคุณพ่อสตาร์ทรถรอแล้ว ข้างในรถก็เห็นพี่ชายของฉันที่สวมเสื้อยืดสีฟ้าสดใสกับกางเกงยีนขายาวสีน้ำตาลอยู่ด้วย ดูท่าพี่คงจะยังไม่เปิดเทอมแน่ๆ
ฉันขึ้นไปนั้งบนรถ พ่อลงรถไปปิดบ้าน แล้วกลับขึ้นรถมา แล้วจึงเริ่มเดินเครื่องออกจากบ้าน จากนั้นพ่อก็ยื่นเอกสารพร้อมกับเงินจำนวนสามพันบาทมาให้ฉันแล้วพูดว่า
“อุมิ ลูกต้องเอาเอกสารนี้ไปยื่นให้ที่เคาน์เตอร์นะ พ่อไม่รู้ว่าจากนั้นต้องทำอะไรอีกบ้าง ลูกก็ทำตามที่พี่ๆเขาแนะนำแล้วกันนะ”
“...ค่ะพ่อ”
“เก็บเอกสารใส่ในกระเป๋าเลย เดี๋ยวลูกก็ไปวางลืมไว้ที่ไหนก็ไม่รู้อีก”
พ่อพูดเตือนเชิงดุใส่ฉัน แต่ฉันก็ยอมทำตามแต่โดยดี เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องทะเลาะกันแต่เช้า
พ่อขับรถมาถึงมหา'ลัยพลางบ่นเรื่องที่จอดรถ พ่อฉันมักจะบ่นเรื่องนี้ทุกครั้งที่จะต้องขับรถมาทำธุระนอกบ้าน จากนั้นพ่อก็ปล่อยฉันกับพี่ลงจากรถให้ไปมอบตัวกันก่อนระหว่างที่พ่อวนหาที่จอดรถ
ฉันกับพี่เดินไปที่ตึกธุรการ เห็นนิสิตนักศึกษาบริเวณรอบตึกนี้เยอะมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นแบบเดียวกันกับฉัน คือมามอบตัวเป็นเฟรชชี่กันหมด
ฉันยืนกอดแฟ้ม มองไปรอบๆเห็นแต่คนหน้าใหม่ที่ไม่รู้จักทั้งนั้น ฉันกลัวที่จะต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้ามากมายขนาดนี้ ฉันรู้สึกเหมือนกับเด็ก5ขวบที่หลงทางอยู่ในสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ ซึ่งอาจจะมีใครมาลักพาตัวฉันไปขายให้กับเศษรฐีใจร้ายที่ใช้งานฉันเยี่ยงทาสก็เป็นได้
จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูเรียกชื่อฉัน ฉันคิดว่าฉันหูฝาดไปแน่ๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาดู
“ยัยอัญชัน!”
ฉันตะโกนเรียกชื่อผู้หญิงอ้วนผมหยิกในชุดนักศึกษาคนนั้นด้วยความดีใจ ใช้แล้วหละ ฉันกับอัญชันเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเด็กนั่นเอง
“อุมิ ดีใจจังที่ได้เรียนที่เดียวกัน”
“แกจะเข้าคณะวิทย์ใช่ไหม เหมือนฉันเลย”
“อ้าว...พี่โซระอยู่ด้วยเหรอ สวัสดีค่ะ”
“อืม”
พี่โซระพยักหน้าพร้อมกับอ่านเท็กซ์ต่อไปโดยไม่สนใจอะไร ก็อย่างว่าแหล่ะคนเรียนหมอก็เนี้ย
“ระวัง! จักรยานเบรกแตก...!”
เสียงผู้ชายตะโกนมาจากฝังด้านนอกของถนน ยังไม่ทันจะได้หันไปดูก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมากมาย รู้สึกตัวอีกทีตัวฉันก็โดนผลักจากคนรอบข้างจนล้ม ซํ้าร้ายมีข้าวกล่องจากที่ไหนก็ไม่รู้ลอยมาตกบนหน้าฉัน
ไข่เจียวอยู่บนตาซ้าย กะเพราหมูกรอบอยู่บนตาขวา กล่องโฟมตกอยู่บนหัวพอดี สภาพฉันตอนนี้ไม่ต่างไปจากขยะรีไซเคิลเดินได้เลย ยังดีที่ฉันยังกอดแฟ้มลายโดราเอม่อนไว้แน่นจนไม่หลุดออกจากอ้อมแขนของฉัน คนที่เป็นเจ้าของกล่องข้าวกล่องนี้ต้องไม่ใช่คนที่รักสิ่งแวดล้อมแน่ๆ
“ขอโทษครับ เป็นอะไรไหมครับ”
ฉันหันไปหาต้นเสียงก็เห็นผู้ชายสูงประมาณ180เซ็นติเมตร รูปร่างสมส่วน ผมยาวปะบ่า สวมชุดนิสิตถูกระเบียบ สะพายกระเป๋าเป้แบบพาดบ่าสีส้ม และที่สำคัญ ผู้ชายคนนี้สวมที่คาดผมสีเหลืองอ๋อย ฉันว่าที่คาดผมนี่สามารถเรียกมนุษย์ต่างดาวให้มาจับผู้ชายคนนี้ไปทำการทดลองวิทยาศาสตร์ที่สุดแสนหน้ากลัวได้แน่ๆ
“ฉ...ฉันไม่เป็นไรหรอก...”
ฉันตอบไปตามมารยาทของนางเอกละครหลังข่าว
“ข้าวหกเลอะหน้าแบบนี้จะไม่เป็นไรได้ไงหล่ะ เดี๋ยวผมพาไปห้องนํ้าให้ ผมรู้ครับว่าต้องไปทางไหน”
“ไม่! ไม่ต้อง ฉันไปเองได้ค่ะ”
ในใจฉันคิดว่า ผู้ชายบ้าอะไรพอมีโอกาสแล้วก็จะพาผู้หญิงไปห้องนํ้า ไม่ต้องเลย ฉันไม่ให้นายมากินข้าวกะเพราหมูกรอบไข่เจียวของฉันหรอก
ผู้ชายคนนั้นได้ตามตื้อขอโทษฉันตลอดการมอบตัวจนฉันใจอ่อนยอมยกโทษให้
ภายหลังฉันรู้มาว่าผู้ชายคนนั้นชื่อว่ากล้วย เป็นรุ่นพี่ที่ซิ่วมาจากคณะแพทย์ของอีกมหา'ลัยหนึ่ง เพื่อมาเรียนที่คณะวิททยาศาสตร์ที่นี่ แค่เจอกันครั้งแรกก็เกิดเรื่องขนาดนี้ แล้วถ้าต้องพบกันทุกวันจะเกิดเรื่องขนาดไหนละเนี่ย
หลังจากที่ฉันทำธุระเสร็จฉันกับพี่โซระก็ขึ้นรถพ่อกลับบ้านไป ระหว่างทางกลับบ้านพ่อก็ได้พูดกับฉันว่า
“อุมิ ลูกโตเป็นสาวแล้ว จะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังก่อน อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบมาทำให้ลูกตัดสินใจผิดพลาด เพราะนอกจากลูกจะเจ็บแล้วคนอื่นๆอาจต้องเดือดร้อนกับการกระทำของลูกด้วย เข้าใจไหม”
“...ค่ะพ่อ”
______________________________________________
ข้อความต่อไปนี้ไม่มีความจำเป็นต้องอ่าน แต่ถ้าผู้อ่านคนไหนมีความประสงค์ที่จะอ่านจริงๆแล้ว ผมก็ต้องขอบคุณที่ยอมรับฟังความในใจของผมกับการแต่งนิยายเรื่องนี้ ก่อนที่จะไปพบกับความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่ผมได้สร้างไว้ในนิยายเรื่องนี้
"นิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายนปีห้าเก้า ซึ่งก็แต่งเสร็จตั้งแต่เดือนกันยายนแล้ว แต่ผมยังลังเลอยู่ว่าจะลงให้คนอื่นอ่านหรือไม่ ระหว่างนั้นก็ได้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เนื้อเรื่องบางส่วนของนิยายผิดไปจากความเป็นจริง ผมได้ประเมินแล้วว่าถ้าทำการแก้ไขเนื้อเรื่องที่สมบูรณ์แล้วให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันจะทำให้โครงเรื่องของนิยายเรื่องนี้เกิดความเสียหายมากกว่าที่จะทำให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสมากขึ้น ในที่นี้ผมก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ แล้วอยากให้เข้าใจว่า
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา
ถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรนอกเหนือจากนี้ อย่างเช่นตัวสะกดผิด หรือสีตัวอักษรไม่สามารถอ่านได้ ทุกคนสามารถลงความเห็นได้นะครับ ขอบคุณครับ"
(ผู้แต่ง, 2559)