“แค่นี้แหละ ไว้เจอกันวันเสาร์”เสียงจากปลายสายบอกผมก่อนจะเงียบไป วันเสาร์งั้นเหรออีกไม่กี่วันเองนี่เนอะ เดี๋ยวก็จะได้เจอกันแล้วนี่นา ผมไม่ควรคิดมากหรอกใช่ไหม
ใช่ถ้าเกิดว่าไม่ได้รู้อยู่เต็มอกว่าระหว่างที่ไม่ได้เจอกันนั้น เค้ามีคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่รู้แบบนี้แต่ผมก็ยังยอมทำตัวเป็นคนที่เหมือนจะไร้ค่า เพราะอะไรนะเหรอ เพราะผมรักเค้าไงล่ะเรื่องนี้มันเริ่มจากตรงไหนกันนะ
“โอเล่กูมีอะไรจะบอก”ผมบอกกับเพื่อนสนิทขณะที่อยู่ในห้องน้ำของโรงเรียน เค้าเป็นเพื่อนสนิทผมเอง เรารู้จักกันตั้งแต่ ม.1 เค้าเป็นคนต่างถิ่นที่เพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้ตอนมัธยมนี่เอง ผมสนิทกับเค้าค่อนข้างเร็วเพราะเค้าเป็นคนบ้าๆ บอๆ กวนประสาทผมอยู่บ่อยๆ เลยกลายเป็นสนิทกันไปโดยปริยาย พอตอนนี้วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบ และเราเพิ่งจะออกจากห้องสอบวิชาสุดท้ายของชีวิตมัธยมกันแล้ว ผมเลยกะว่าจะบอกอะไรบางอย่างกับเค้า ผมรู้ว่าถ้าบอกออกไปแล้วแล้วเค้าอาจจะเกลียดผมก็เป็นได้
ความรู้สึกที่ผมมีต่อเค้ามันเริ่มเปลี่ยนจากคำว่าเพื่อนมาตั้งแต่ ม.5 แล้ว ผมไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน แต่ช่วงตั้งแต่ม.5 มาผมรู้สึกว่าการมาโรงเรียนในแต่ละวันที่ได้มาเจอเค้ามันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผม
“มีอะไรวะ”มันยังยืนส่องกระจกจัดทรงผมให้ตั้งๆ เหมือนพวกเด็กมัธยมทั่วๆไป อยู่โดยไม่ได้หันมามองผม
“เรารู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้วมึงจำได้ไหม”ผมยืนพิงผนังห่างออกมาจากมันไม่มากเท่าไหร่ ถามมันออกไป มันหันมามองผมแวบนึงเหมือนจะข้องใจว่าถามทำไม
“ไม่รู้สิ ก็รู้จักกันตั้งแต่ ม.1 ตอนนี้ก็ 5-6 ปีแล้วมั้ง ถามทำไมเหรอ”แล้วมันก็หันกลับไปส่องกระจกอีกเหมือนเดิม
“ถ้ากูพูดอะไรออกไป ยังไงเราก็จะยังเป็นเพื่อนกันอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม”ผมกลัวว่าถ้าบอกมันออกไปแล้ว มันจะรังเกียจผมและไม่คบผมเป็นเพื่อนอีกต่อไป
“มีเรื่องอะไรวะ”คราวนี้มันหันมาจ้องหน้าผม
“ไม่ว่าจะยังไงเราจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่นะ”ผมย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ แต่ถึงมันจะยืนยันหรือเปล่าผมก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าความสัมพันธ์ของเราจะออกมาแบบไหนหลังจากที่ผมสารภาพออกไป
“เออน่า มีอะไรก็ว่ามา”เหมือนมันจะเริ่มรำคาญที่ผมอ้ำอึ้งไม่บอกออกไปเสียที ผมถอนหายใจแล้วก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะตัดสินใจบอกออกไป
“กูชอบมึง”ใช่แล้วในที่สุดผมก็พูดออกไปจนได้ แล้วผลที่จะตามมาละ
ไอ้โอเล่มีสีหน้าตกใจไม่น้อย แล้วมันก็เงียบ เงยหน้าจ้องมองกระจก แต่ไม่ได้พูดคำใดๆ ออกมา ผมเริ่มรับรู้ได้แล้วว่าความเป็นเพื่อนของเราที่ผมยังอยากให้มีอยู่หลังจากที่ผมบอกว่าชอบเค้า เค้าอาจจะไม่เหลือความเป็นเพื่อนให้ผมอีกแล้วก็ได้
“ตกลงเราจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม”ผมถามออกไปเสียงแผ่ว เพราะมันรู้สึกจุกๆ ที่ลำคอเหมือนมันตีบตันขึ้นมา ทั้งที่เตรียมใจมาแล้วว่า ยังไงเค้าก็ไม่ได้คิดอะไรกับผมอยู่แล้ว แต่ผมก็แค่อยากบอกให้เค้ารับรู้ไว้ และผมก็ยังอยากจะเป็นเพื่อนกับเค้าอยู่ แต่ดูจากอาการแล้วแค่ความเป็นเพื่อนเค้าก็คงจะไม่มีเหลือให้ผมเสียแล้ว
“เราจะยังเป็นเพื่อนกันได้ไหม”ผมย้ำออกไปอีกครั้งเมื่อเห็นเค้าเอาแต่นิ่งเงียบ
“ไม่รู้สิ”เหมือนเค้าจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่มันก็ดังพอที่ผมจะได้ยิน ผมต้องแหงนหน้าขึ้นมองเพดานเพราะเหมือนน้ำตามันจะไหลออกมา คำว่า “ไม่รู้สิ” ของเค้า ไม่ต้องแปลผมก็พอจะรู้ว่ามันหมายความว่าเราจะไม่เหมือนเดิมกันอีกแล้ว จากนี้ไปผมจะไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนของเค้าอีกแล้ว
“งั้นเหรอ แค่มึงทำตัวเป็นเพื่อนกับกูเหมือนเดิมมันก็คงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วสินะ”เค้าไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าผม เค้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาอีก
ผมบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะยังไงเราก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ถ้าเค้าจะเกลียดผมก็ไม่เป็นไร แค่ผมได้บอกออกไปนี่ก็ดีแล้ว จากนี้ไปเราก็คงจะต้องต่างคนต่างไปมีชีวิตของตัวเอง ผมเลือกที่เรียนเรียบร้อยแล้วว่าผมจะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยไหน ส่วนเค้ายังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ก็คงจะเป็นคนละที่กับผมอยู่แล้ว
ผมค่อยๆ ก้าวเดินออกจากห้องน้ำอย่างช้าๆ หันมองเค้าอีกครั้งผมอยากจะจดจำเค้าไว้ จะจดจำไว้ให้ลึกสุดใจ จากนี้ไปเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วผมค่อยๆ จดจำใบหน้านั้นบันทึกมันลงในความทรงจำ เค้าไม่หันมามองผมแม้แต่น้อย ผมละสายตาจากเค้าและก้าวออกจากห้องน้ำนั่น แต่ละย่างก้าวมันช่างยากลำบาก
นี่สินะอาการของคนอกหัก มันเหมือนลอยๆ ใจมันโหวงๆ อยากจะร้องไห้ แต่ทำไมน้ำตามันเหมือนจะไม่ไหลแล้ว ทั้งที่เมื่อกี้มันยังอยากจะไหลแต่ตอนนี้กลับ ไม่มีเลย การที่เค้าไม่ชอบผมในแบบที่ผมชอบเค้า มันไม่ได้ทำให้ผมเสียใจมากเท่าไหร่ เพราะผมเตรียมใจมาแล้ว แต่ที่ผมเสียใจมากกว่าคือ ความสัมพันธ์แบบเพื่อนที่เรามีให้กันมานานนั่นต่างหาก แต่ผมจะไม่โทษเค้าเลย ที่ตัดความเป็นเพื่อนกับผม เพราะผมเป็นคนเริ่มที่จะทำลายมิตรภาพนั้นเอง
“แฟ้ม”เสียงหนึ่งตะโกนมาจากเบื้องหลังผม ผมหันกลับไปมอง ก็เห็นคนที่เพิ่งอยู่กับผมในห้องน้ำเมื่อสักครู่ ยืนจ้องมองมาที่ผม ผมหยุดยืน เค้าวิ่งตามมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
ผมทำได้แค่ฝืนยิ้มเจื่อนๆให้กับเค้า ส่วนเค้านั้นมีใบหน้าเรียบเฉย จนไม่สามารถเดาได้เลยว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่ ผมจ้องมองเค้านิ่งรอฟังว่าเค้ารั้งผมไว้ด้วยเหตุผลอะไร
“ลองคบกันดูไหมล่ะ”แล้วเค้าก็พูดในสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อน บอกตรงๆว่าถึงแม้ผมจะทำใจมาแล้วว่ายังไงเค้าก็คงไม่ชอบผม แต่ในส่วนลึกแล้ว ผมก็ยังคงมีหวัง แม้จะเป็นความหวังอันน้อยนิดก็เถอะ
แต่พอผมมาได้ยินเค้าพูดแบบนี้ ผมกลับไม่รู้สึกยินดีสักนิด ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่ถ้าเค้ามาบอกแบบนี้ผมควรจะยินดีไม่ใช่หรือ แต่ทำไม ทำไมกัน ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เหรอ ที่ผมเฝ้ามองมานาน จากความเป็นเพื่อน จนความห่วงหาและอาทรได้แปรเปลี่ยนไป และมีคำว่ารักเพิ่มเข้ามา
“คิดดีแล้วเหรอ”ผมถามออกไปเสียงเรียบพร้อมกับจ้องมองลึกลงไปในดวงตานั้น ผมไม่เข้าใจว่าเค้าจะทำแบบนี้ทำไม ผมมั่นใจว่าเค้าคงไม่ได้รักได้ชอบผมแน่นอน คงด้วยเพราะเหตุนี้ผมเลยไม่รู้สึกยินดีที่เค้าจะมาคบกับผม
เค้าพยักหน้ายืนยัน แต่ผมยังคงเต็มไปด้วยความข้องใจ สงสัยว่าคนตรงหน้านี้กำลังคิดจะทำอะไรอยู่
“กลับบ้านกันเถอะ”เค้าเอ่ยปากอีกครั้งเมื่อเห็นผมยังคงนิ่ง เงียบ ผมเดินตามเค้าออกไปเงียบๆ ไม่มีคำพูดระหว่างเราอีก ผมและเค้าออกมานั่งรอรถที่เดิมเหมือนทุกวัน สายตาผมมองเหม่อไปบนถนนที่รถวิ่งสวนไปมา ตอนนี้ในใจของผมคงเหมือนกับรถที่อยู่ในถนน วิ่งสวนกันไปมา สับสนปนเปกันไปหมด
“ถ้าคบกันนี่ต้องทำยังไงบ้างเหรอ”อยู่ๆ เค้าก็ถามผมขึ้น ผมหันไปมองหน้าเค้า ไม่ค่อยเข้าใจว่าเค้าถามทำไม
“ก็กูยังไม่เคยคบใคร เลยไม่รู้ว่าคนเป็นแฟนกันเค้าต้องทำยังไงบ้าง”เค้าพูดอย่างอายๆ จริงสินะไอ้เพื่อนผมคนนี้มันก็ยังไม่เคยมีแฟนเลยนี่นา ผมเองก็เหมือนกันแหละ เพราะเราอยู่ด้วยกันตลอด ไม่ใช่แค่อยู่ด้วยกันสองคนหรอกครับ แต่อยู่กันเป็นกลุ่มเพื่อนหลายคน แต่เราสองคนจะสนิทกันเป็นพิเศษแค่ในฐานะเพื่อนเท่านั้น
ผมยิ้มให้เค้าโดยไม่ได้ตอบอะไรออกไป และนั่นมันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมถลำลึกลงไปเรื่อยๆ
--------------------
เรื่องนี้แต่งไว้นานแล้วครับ แล้วก็เคยรื้อตอนจบไปหลายรอบมาก
อาจจะมีหน่วงนิดๆ ไปจนหน่วงมาก 😁😁 ตัวละครทุกตัวมีความเห็นแก่ตัว
และมองแค่ในด้านของตัวเองเสียส่วนมาก สุดท้ายความสัมพันธ์มันยุ่งเหยิงจนยากที่จะแก้ไข
ยังไงฝากติดตามด้วยนะคร๊าบบบ
😘😘