ฉันนวดหัวคิ้วตัวเองแกมปวดหัวหน่อยๆหลังจากที่ฟังโรเวลล์เล่า คุณพ่อคะ คุณแม่คะ...พลังหนูมันจะสุดยอดเกินไปแล้วค่ะ...
"เอาน่า~ ดีเสียอีก ข้าเองก็อยากเห็นหิมะตกเหมือนกัน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นของจริงเลย ใช่ไหมวินซ์?"
"เอ่อ...ตอนเด็กๆผมอยู่ที่เมืองทางเหนือมาก่อนเลยคุ้นชินกับสภาพอากาศหนาวและหิมะพอสมควรครับ"
"โห~ ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย"
ฉันพูดออกมาก่อนจะกระชับผ้าห่มอีกครั้ง ตอนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนหมีที่จำศีลมากๆ
"เสียดายเนอะ เจ้าแฝดกับซีนอสกลับบ้านเลยอดมาเที่ยวด้วยกันเลย"
เอริคพูดขึ้น ท้องฟ้าตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำและมีกระแสพลังเวทไหลผ่านบางๆเป็นสีต่างๆที่มีแค่บางวันเท่านั้น ถึงแม้คนที่นี่จะชินกับมันแต่สำหรับฉันมันยังสร้างความตื่นตาตื่นใจไม่หายเลยล่ะ
"ดูนั่นสิครับ ระฆังแขวนที่ยอดหอคอยแล้ว"
วินซ์พูดขึ้นและชี้ไปยังยอดหอคอยสูงลิ่วใจกลางเมืองหลวงซึ่งจะเป็นสถานที่ตั้งของผลึกเวท เห็นริเวียล่าบอกว่าวิลเลียมให้ลงมนตราป้องกันขั้นสูงสุดเอาไว้ป้องกันการขโมยและทำลายอีกชั้น
ระฆังที่แขวนเริ่มตีส่งเสียงให้สัญญาณว่าพิธีกำลังจะเริ่ม จากนั้นแสงสีทองก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและเริ่มขยายอาณาเขตจนท้องฟ้าสว่างเสมือนตอนกลางวันจนสุดลูกหูลูกตา จากนั้นก็เห็นว่ามีผลึกที่ถูกเจียระไนจนเป็นทรงกลมลอยอยู่ที่ยอดหอคอยแล้วพร้อมกับแสงจ้าที่ลดลงเหลือเป็นแสงระยิบระยับแทน สวยจังเลยนะ~ ขนาดอยู่ไกลยังสวยขนาดนี้เลย~
จากนั้นไม่นานการแสดงพลุก็เริ่มขึ้น ผู้คนต่างปรบมือให้กับการแสดงนี้มีทั้งพลุที่เป็นทรงมาตรฐาน กับพลุที่เป็นรูปร่างต่างๆ อ๊ะ! อันนี้เหมือนไกอายืนกุมมือเลย สุดยอด~
"ชอบไหม?"
"อื้ม! ชอบมากเลย~"
ฉันพยักหน้าให้คนถามแต่ก็ไม่ได้ละสายตาไปจากการดูพลุและหยิบขนมกินไปด้วย
"ข้าก็ชอบ"
"ก็มันสวยนี่ไม่ชอบสิแปลก"
"ก็สวยจริงๆนั่นแหละ"
ฉันหันไปหาคนข้างๆประมาณว่าวันนี้มาแปลก ปกติไม่เห็นจะพูดอะไรแบบนี้
"กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย เห็นปกติไม่เห็นจะสนใจอะไรแบบนี้"
ฉันพูดแหย่โรเวลล์ ซึ่งตอนนี้เสียงพลุที่เริ่มจุดเยอะขึ้นเริ่มดังจนเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง
"เปล่านี่ ฉันก็แค่พูดตามที่คิด"
เขายิ้มก่อนจะจับหัวฉันหมุนให้ไปดูพลุดังเดิม...ประหลาดคนเสียจริง
"เอลล่า!~"
"คะพี่?!~"
"สนุกไหม!~"
ฉันพยักหน้าให้เอริคแทนพลางหัวเราะต้องตะโกนคุยกันขนาดนี้เลยหรือ ฮะๆๆ~
"ฮ่า~ จุใจชะมัด นานๆทีได้มาดูเทศกาลแบบนี้ก็เหมือนกันเนอะ ว่าไหมริล"
"หืม? อื้ม ฉันก็ว่าอย่างนั้น"
เอริคหันไปคุยกับริเวียล่าแบบคนลืมตัวจนฉันกับวินซ์มองหน้ากันอย่างรู้ทันก่อนพากันยิ้มกริ่มและเริ่มแกล้งเขา
"ทำไมท่านพี่ถามแต่ริเวียล่าคนเดียวเลยนะ~"
"นั่นสินายน้อย เอ๊ย! เอริค นายลำเอียงจัง"
"อะ-อะไรกันเล่า! ข้าก็แค่พูดตามปกติเฉยๆนี่!"
"อยู่ตรงนี้อีกตั้งสามคน แต่เจาะจงเฉพาะริเวียล่า แปลกจังเลยเนอะวินซ์~"
"ผมก็คิดเหมือนกับคุณหนูเลยครับ"
"ข้าไม่คุยกับพวกเจ้าแล้ว!"
"ฮ่าๆๆๆๆ!~~"
ฉันหัวเราะออกมาพร้อมแปะมือกับวินซ์ที่ร่วมมือกันเป็นอย่างดี ส่วนเอริคก็งอนแก้มตุ๊บป่อง ริเวียล่าก็ดื่มชาแก้เขินด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ
"โรเวลล์ วันนี้ฉันอนุญาตช่วยแก้แค้นน้องฉันแทนที"
เอริคพูดกับโรเวลล์พร้อมบุ้ยปากมาทางฉันอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
"พี่เธออนุญาตแล้วงั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ"
พูดจบเขาก็ดึงฉันเข้าไปหาและจุมพิตที่หน้าผากฉันไปหนึ่งที อะ-อะไรก๊าน!~ ฉันเอามือปิดหัวตัวเองอย่างเร็วและตาโตด้วยความตกใจท่ามกลางเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของคนที่เหลือ ส่วนวินซ์ได้แต่ส่งสายตาว่าผมก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกันมาให้ฉันแทน
"น่าจะแก้แค้นได้ผลนะเอริค"
"เกินเรื่องไปนิด แต่ก็ใช้ได้~"
พวกเขาแปะมือกันอย่างผู้ชนะและหันมายิ้มให้ฉันที่ยังนั่งเหวออยู่อีกรอบ
"ทะ-ที่นี่เขาแกล้งกันแบบนี้งั้นหรือ??"
ฉันถามออกมาด้วยความงงงวยขั้นสุดเพราะไม่เคยโดนทำแบบนี้หรือฉันควรชินได้แล้ว??
"ฮะๆๆๆ~"
ทุกคนหัวเราออกมาทันทีกับท่าทางเด๋อด๋าของฉัน อะไรอ้ะ!
"เพราะแบบนี้ไงถึงได้น่าแกล้ง"
โรเวลล์พูดพลางอมยิ้มและยื่นหน้ามากระซิบลงข้างๆหูฉัน
"รอบหน้าอาจจะมากกว่าหน้าผากก็ได้นะ"
"...เดี๋ยวเถอะ!"
ฉันตีแขนเขาทันทีก่อนที่เขาจะหัวเราะหนักกว่าเดิมและยอมให้ฉันตีแต่โดยดีโดยไม่ปริปากบ่น
"แฮ่ก..."
"พอเลย ไม่แกล้งแล้ว นั่งพักอยู่เฉยๆเดี๋ยวนี้"
ฉันมีอาการเหนื่อยหอบเล็กน้อยก่อนจะโดนโรเวลล์จับบ่าแล้วให้นั่งเฉยๆและเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อที่ใบหน้าให้ท่ามกลางสายตาเป็นห่วงของทุกคน
"อากาศเย็นขนาดนี้แต่เหงื่อออกเนี่ยนะน้องพี่ ดูแล้วอาการเจ้าน่าจะแย่ลงนะ"
"แน่สิ...เอลล่าเพิ่งฟื้นเองนะ มาเดินเที่ยวแบบนี้จะไม่เป็นอะไรจริงๆหรือ?"
เอริคและริเวียล่าสลับกันพูดพลางเอาหลังมือมาแนบหน้าผากฉันเพื่อวัดไข้
"ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ แค่อยู่ในช่วงพักฟื้นก็เท่านั้น แต่ถ้าเป็นอะไรไปตอนนี้อย่างน้อยก็มีคนช่วยตั้งหลายคนนี่นา"
ฉันพูดทีเล่นทีจริงเพื่อให้พวกเขาไม่ต้องรู้สึกกังวลและห่วงไปมากกว่านี้
"ตอนนี้ก็มืดแล้วงั้นกลับบ้านเลยดีไหม"
ทุกคนพยักหน้าให้กับโรเวลล์จากนั้นเขาก็สอดแขนมาอุ้มฉันพร้อมผ้าห่มของเขาและร่ายเวทสร้างความอุ่นไว้ให้ ส่วนวินซ์ก็หิ้วปีกเอริคและริเวียล่าก็ถือตะกร้าใส่ของทั้งหมดและบินออกมาพร้อมกันทันทีพร้อมกับอาณาเขตบังตาที่สลายไป
ณ คฤหาสน์แอชวูดส์
"ยินดีต้อนรับนายน้อยทั้งสอง คุณหนูใหญ่ และองค์รัชทายาทสู่คฤหาสน์แอชวูดส์ขอรับ"
"อัลเบิร์ต เดี๋ยวช่วยให้คนเตรียมอะไรอุ่นๆไปที่ห้องของเอลล่าทีนะ อาการเธอทรุดน่ะ"
"รับทราบขอรับนายน้อย"
เอริคพูดจบหัวหน้าพ่อบ้านก็แทบจะหายตัวไปในทันที เลยพากันเดินขึ้นไปยังชั้นสามแต่ก่อนหน้านั้นก็เจออีธานกับเอวาระหว่างทาง
"กลับมากันแล้วหรือเด็กๆ~"
"กลับมาแล้วค่ะ / กลับมาแล้วครับ"
"ขอทักทายท่านดยุคและท่านดัชเชสอีกครั้งครับ"
"สวัสดีค่ะท่านดยุค ท่านดัชเชส"
"สวัสดีเช่นกันค่ะองค์หญิงและองค์ชาย"
เอวาทักทายพวกฉันและริเวียล่ากับโรเวลล์ก่อนจะชวนคุยเล็กๆน้อยๆ
"ไปเที่ยวสนุกไหมลูกสาวแม่?"
"สนุกค่ะ ได้ของมาเยอะแยะเลย" ฉันตอบเอวา
"ลำบากท่านแล้วองค์ชาย"
"ด้วยความยินดีครับท่านเอวา"
เอวาหันไปยิ้มเล็กยิ้มน้อยกับโรเวลล์จนหน้าฉันเริ่มยู่...
"เจ้าตัวน้อยของพ่ออาการเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นแล้วหรือยัง?"
อีธานนั่งย่อลงตรงหน้าฉันก่อนจะเอามือแตะที่แก้มฉันเบาๆเพื่อวัดอุณหภูมิ
"ยังมีอาการเพลียกับไข้เล็กน้อยค่ะ ว่าแต่ แล้วท่านพ่อล่ะคะอาการเป็นอย่างไรบ้าง"
"เหมือนปกติเลยล่ะ อาจจะต้องฟื้นฟูพลังเวทอีกสักพัก เพราะมีปาฏิหาริย์ที่ชื่อว่าเอลล่าสินะเนี่ย"
"ฮะๆๆ~ โล่งอกไปทีนะคะ"
ฉันยิ้มให้อีธานที่กำลังลูบหัวให้อย่างเอ็นดูก่อนเอวาจะถามโรเวลล์และริเวียล่าว่าจะค้างที่นี่ไหมเพราะตอนนี้ก็ดึกแล้วเดี๋ยวเธอจะคอลบอกวิลเลียมและเบลโรสให้เอง ผลสรุปก็คือ...
"จองตรงนี้!"
"ฝันไปเถอะ ฉันวางหมอนก่อนนายอีกเอริค"
"เอ่อ...งั้นผมนอนข้างๆเตียงนะครับ"
"ฉันนอนกับเอลล่านะ~"
กลายเป็นว่าทุกคนมารวมตัวกันนอนที่ห้องฉันกันหมด...เอริคกับโรเวลล์แย่งที่นอนกันตรงโซฟา ส่วนวินซ์ก็เอาฟูกหนามาปูข้างๆเตียง ริเวียล่าก็นอนกับฉัน
"งั้นฉันขอตัวอาบน้ำก่อนนะ หาอะไรทำไปก่อนตามสบายเลย"
ฉันพูดกับพวกเขาก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับชุดนอนพออาบเสร็จและออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าพวกเขากำลังมุงดูอะไรสักอย่าง นั่นมัน...
"หยะ-อย่าดูน้าาาา!~"
ฉันรีบวิ่งเข้าไปตะครุบเอาสมุดบันทึกประจำวันเล่มหนาของตัวเองตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ซึ่งมีเรื่องราวและรูปถ่ายต่างๆเต็มไปหมด ฉันได้เขียนอะไรน่าอายลงไปบ้างหรือเปล่าก็จำไม่ได้แล้ว!~
"คือ...พวกข้าไม่ได้ตั้งใจจะเอาของเจ้ามาอ่านนะ แต่จู่ๆสมุดมันก็ตกลงมาจากโต๊ะพอเก็บขึ้นมาให้เห็นว่ามีรูปเจ้าตอนเด็กๆก็เลยพากันดูรูป..."
"มะ-ไม่ได้อ่านอะไรใช่ไหม..."
ทุกคนส่ายหัวและอมยิ้มหน่อยๆ...โกหก...อ่านไปแล้วแน่ๆเลย!
"แต่ตอนเด็กๆน่ารักมากๆเลย~ ถึงตอนโตจะน่ารักเหมือนกันก็เถอะ~"
ริเวียล่าพูดพลางยิ้มและกุมแก้มไปด้วย ฉันทำหน้ามุ่ยก่อนจะเอาสมุดไปเก็บในกล่องและล็อกไว้อย่างแน่นหนา
"น่าๆ~ ไหนๆก็ได้มานอนรวมกันทั้งทีอย่าอารมณ์เสียไปเลย~"
เอริคพลางจูงมือฉันมานั่งลงหน้าเตาผิงที่พวกเขาเอาผ้าห่มกับพวกหมอนมาวางไว้นั่งเล่นกัน จากนั้นก็รอพวกเขาอาบน้ำจนครบและมานั่งล้อมวงกัน
"นั่งคุยกันดีกว่า...จะว่าไปวันมะรืนเอลล่าต้องสอบย่อยนี่นา อย่าหักโหมมากเกินไปล่ะ ของศาสตราจารย์เอลลิออทให้สร้างอาวุธภายในสิบวินาทีอย่างโหดเลยคนไม่ผ่านนี่เพียบ ส่วนของอาจารย์มาเรียก็ไม่ได้ยากมากเจ้าผ่านได้สบายๆอยู่แล้วล่ะ แล้วสรุปที่พวกข้าให้ไปมีตรงไหนไม่เข้าใจหรือเปล่า?"
"ข้าอ่านหมดแล้วค่ะ เข้าใจง่ายมากเลย"
"อื้ม! ดีแล้วล่ะ...เดี๋ยวนะ อ่านตอนไหนเนี่ย เยอะมากเลยนะ..."
ฉันยิ้มแหยๆให้เอริค ต้องขอบคุณทักษะเรียนรู้เร็วที่ติดตัวมาด้วยล่ะนะ...แต่ตอนนี้ว่างจัง...
"อืม...ฉันอยากรู้เกี่ยวกับเผ่าต่างๆแบบละเอียดอีกจังเลยนะคะ"
ฉันพูดขึ้นมาพลางปัดหนังสืออ่านเล่นที่ลอยอยู่กลางอากาศไปด้วยแบบไม่จริงจังมากนัก
"อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ"
โรเวลล์ที่นั่งอยู่ข้างๆถามขึ้น
"ก็...ความเป็นมา...ถิ่นฐานที่อยู่...ประมาณนี้ล่ะมั้ง?"
"อืม...ฉันจะเล่าเกี่ยวกับทูตสวรรค์ก็แล้วกันส่วนเผ่าอื่นต้องให้คนในเผ่าเล่าเอง"
"อือฮึ~"
ฉันพูดและบังคับแก้วโกโก้ร้อนส่งให้ทุกคนก่อนจะตั้งใจฟังโรเวลล์เริ่มเล่า
"อันที่จริงทูตสวรรค์จะอาศัยอยู่ที่เมืองลอยฟ้าน่ะ"
"หืม? อยู่ในเขตต้องห้ามสินะ"
"ใช่ ตั้งแต่สมัยโบราณเผ่าทูตสววรค์นั้นไม่เคยลงมายังพื้นดินเลยและมีจำนวนประชากรที่น้อยมาก ซึ่งเคยบันทึกในสมัยนั้นทั้งโลกมีไม่เกินหนึ่งพันคนเลยล่ะ ถ้าเอาตามประวัติศาสตร์ท่านไกอาได้สร้างเผ่านี้ขึ้นมาเป็นเผ่าแรกจากเศษเสี้ยวพลังของตัวท่านเอง ทูตสวรรค์คู่แรกคือโมชีน่ากับลีไทม์ที่เป็นผู้กำเนิดเผ่าและเป็นผู้ก่อตั้งเมืองลอยฟ้าที่ชื่อว่าฮาลเซี่ยนขึ้นมา"
"แล้วตอนนี้ฮาลเซี่ยนยังมีคนอยู่ไหม"
"มี แต่ส่วนมากคนที่ยังอยู่จะเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่เกษียณแล้ว และที่บนนั้นก็ไม่มีเรื่องลำดับชั้นทางสังคมมาแบ่งแยกด้วยแต่ก็ยังตั้งให้ครอบครัวของฉันเป็นผู้ดูแลทั้งเมืองลอยฟ้าและอาณาจักรนี้อยู่ล่ะนะเพราะต้นตระกูลหรือท่านไซเคียได้แต่งงานกับท่านไดอาน่าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทูตสวรรค์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่รักของทุกคน...ถึงจะมารู้ทีหลังว่าท่านก็คือท่านไกอาก็เถอะ"
"อย่างนี้นี่เอง..."
"แต่ปัจจุบันเผ่าได้กระจายตัวอยู่ตามอาณาจักรต่างๆจะเรียกได้ว่าหายากรองลงมาจากเผ่ามังกรก็ได้เพราะถึงจะผ่านมาหลายพันปีประชากรของเผ่าก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่ จากสถิติปีล่าสุดรู้สึกว่าทั้งโลกจะมีประชากรแค่ประมาณหนึ่งแสนคนเห็นจะได้จากประชากรทั้งโลกประมาณพันล้านคน อีกอย่างยังมีอายุที่ยืนยาว ที่เคยมีบันทึกไว้คนที่อายุมากที่สุดของเผ่าคือหนึ่งหมื่นปีเลยล่ะ"
"โห~"
"และปัญหาอย่างคือด้วยความที่หายากก็จะถูกล่าตัวอยู่บ่อยๆจากพวกพ่อค้าทาสผิดกฎหมาย โจรเรียกค่าไถ่ พวกเขาจึงไม่ค่อยแสดงหรือเปิดเผยตัวตนสักเท่าไหร่ล่ะนะ"
"อย่างฉันเมื่อตอนเด็กๆก็เคยโดนโจรลักพาตัวด้วยนะ แต่ท่านพ่อก็ตามเจอภายในห้านาที โจรพวกนั้นเลยกลายเป็นผงไปแล้วล่ะ"
ริเวียล่าพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ...เดี๋ยว...มันไม่ควรภูมิใจสิ...
"คร่าวๆก็ประมาณนี้ อยากรู้อะไรอีกไหม?"
"แค่นี้ก่อนก็ได้ ตอนนี้อยากรู้เกี่ยวกับเผ่ามังกรต่อมากกว่า ว่าไหมทุกคน"
ฉันพูดก่อนที่ทุกคนจะหันไปมองวินซ์ที่กำลังทำท่าทางเด๋อด๋าตามแบบของเขา
"อะ-เอ่อ...อาจจะน่าเบื่อหน่อยนะครับ"
"ไม่เป็นไร เล่ามาเถอะ~"
"ครับ...เผ่าของผมจะอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ครับไม่ค่อยสุงสิงกันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในป่าลึก บนภูเขาสูง ตามถ้ำ แถบชนบทห่างไกลผู้คน นานๆทีจะเห็นสักคนมาเดินเล่นในเมือง บางทีในช่วงชีวิตของคนๆหนึ่งอาจจะไม่เคยเห็นคนจากเผ่านี้เลยก็ได้ครับเพราะประชากรของเผ่ามีไม่ถึงหนึ่งหมื่นคนบนโลก และมีอายุที่ยืนยาวมากๆน่าจะยาวสุดในทุกเผ่าและแยกออกตามธาตุต่างๆที่ถนัดที่สุดครับ"
"อย่างนายก็เป็นมังกรธาตุมืดสินะ"
"ใช่ครับ เป็นธาตุที่มีเฉพาะเผ่าบ้านเกิดของผมเท่านั้นเพราะบรรพบุรุษได้รับพรจากภูตแห่งความมืดในตำนานนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เผ่าหายากมากๆเพราะโดยปกติเหล่าภูตจะไม่ยุ่งกับเผ่ามังกร นอกจากผมอาจจะมีผู้คนในเผ่าที่หนีได้ทันก่อนจะเกิดสงครามที่ทำให้เผ่าถูกลบออกจากแผนที่เหมือนกันก็ได้ครับ"
"...ฉันขอโทษนะที่ให้เล่าเรื่องนี้"
"ไม่เป็นไรครับ เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว"
วินซ์ยิ้มให้แบบไม่คิดอะไรก่อนจะเล่าต่อ
"เผ่าของผมสามารถนำเลือดไปทำเป็นยาอายุวัฒนะได้ครับนั่นทำให้เป็นที่ต้องการและถูกตามล่าอย่างสูงและที่แตกต่างจากมังกรเผ่าอื่นๆก็คือเป็นมังกรผิวขาวแทนที่จะเป็นผิวสีเข้มนั่นเองครับ"
"...อย่างนี้นี่เอง"
"อย่างซีนอสก็มังกรเพลิงสินะ แน่ล่ะ แล้วระหว่างนายกับหมอนั่นใครเก่งกว่ากันล่ะเนี่ย"
เอริคพูดพลางทำสีหน้าครุ่นคิด ส่วนวินซ์ก็ได้แต่ยิ้มและส่ายหัวหน่อยๆแทน
"และเผ่ามังกรมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่งครับ พวกเราสามารถทำความปรารถนาให้คนที่เขารักเป็นจริงได้หนึ่งอย่าง และเป็นพวกรักเดียวใจเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพวกที่ทะนงตนสูงลิ่วหรือไม่ก็ไม่ยึดติดสิ่งใดๆเช่นเดียวกันครับ"
"เอาล่ะ ฉันจะอยู่รอดูจนถึงตอนที่วินซ์เจอคนรักให้ได้เลย"
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนทุกคนจะหัวเราะออกมา
"ที่จริงมันมีรายละเอียดยิบย่อยอีกเยอะครับเล่าภายในวันเดียวคงไม่หมด ถ้าวันไหนว่างๆผมจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้งก็แล้วกันครับ"
"อื้มๆ~ ส่วนเผ่าเอลฟ์ท่านพี่เล่าให้ฟังบ่อยแล้วงั้นผ่านไปเลยก็แล้วกันค่ะ"
"โห่~ ข้าอุตส่าห์เตรียมเล่าต่อเสียเต็มที่ เอางี้สลับกันดีกว่าข้าอยากรู้เกี่ยวกับตัวเจ้ามากกว่านี้เกี่ยวกับอาณาจักรพระเจ้าหรือที่ๆเจ้าเคยอยู่แล้วก็ข้อมูลต่างๆที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับเจ้ามาก่อนด้วย"
ทุกคนพุ่งเป้ามาที่ฉันแทนทันที
"เอางั้นหรือคะ? ถ้าเล่าไม่สนุกอย่าโทษกันนา..."
"ไม่หรอก เป็นโชคดีของพวกฉันต่างหากที่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรที่ไม่มีทางเอื้อมถึงเนี่ย"
"ฮะๆๆ~ เดี๋ยวบอกเหล่าคุณพ่อกับคุณแม่ให้พาไปเที่ยวสักวันสองวันก็น่าจะเพียงพอนะคะ"
"หะ-หา?! ไปได้จริงๆหรอ??"
"หือ...ไปได้สิคะ ไม่ได้มีข้อห้ามอะไรสักหน่อยนี่นา แต่ต้องให้พวกท่านว่างจากกองงานก่อนล่ะนะ ส่วนตอนนี้มาฟังเรื่องเล่ากันต่อดีกว่า"
ทุกคนทำหน้าตื่นเต้นกันหมดพอฉันบอกว่าจะพาไปเที่ยวที่เทรเวอร์กราเซียร์ ฮะๆ~
"อืม...เริ่มจากตอนไหนก่อนดี ข้างบนนั้นเป็นที่ราบกว้างขวางมีสวนดอกไม้ที่ไกลสุดลูกหูลูกตามีกลิ่นหอมอ่อนตลอดเวลา มีเหล่าภูตตัวน้อยคอยดูแลรดน้ำให้ปุ๋ยด้วยล่ะ ส่วนวัง...ที่อยู่อาศัยทำจากคริสทัลทั้งหมดและห้องต่างๆจะเปลี่ยนกลไกตลอดเวลา ตอนวันแรกๆที่เพิ่งไปอยู่ พอไม่มีสาวใช้คอยเดินนำทางให้ ฉันนี่เดินหลงเป็นชั่วโมงเลยนะกว่าจะถึงห้องกินข้าว แหะๆ..."
"ต้องกว้างขนาดไหนเนี่ย..." เอริคพูดด้วยสายตาเหลือเชื่อ
"ส่วนด้านหลังของบ้านมีต้นไม้โลกที่ทุกคนบอกว่ามีแค่ในหนังสือด้วยล่ะค่ะ เป็นต้นไม้ที่ใหญ่มากกกกก~ ส่วนหลังต้นไม้ก็จะเป็นป่าที่มีน้ำตกสามารถเอาไว้ดูความเป็นไปของโลกต่างๆได้ด้วย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเรียกว่าน้ำตกสวรรค์ล่ะเวลาว่างๆคุณพ่อกับคุณแม่ก็จะพาไปเดินเล่นที่นี่บ่อยๆค่ะ
ด้านสภาพอากาศจะเย็นสบายตลอดเวลา ท้องฟ้ามีดวงจันทร์ทั้งหมดสามดวง ดาวอีกนับไม่ถ้วนสวยมากๆเลยล่ะ ส่วนพวกอาหารจะเป็นวัตถุดิบแปลกๆ ได้จากสวรรค์บ้าง โลกอื่นบ้าง เปลี่ยนวนๆกันไป แต่ที่ถูกปากที่สุดก็คงจะเป็นสะเก็ดดาวอบไอน้ำค่ะ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองเอามาให้ชิมทุกคนเลย~"
"ว่าแต่...เอลล่าก็เป็นถึงระดับพระเจ้า แสดงว่าก็มีพลังเท่ากันกับท่านที่เหลือเลยใช่ไหม"
ริเวียล่าถามอย่างสงสัย
"อันที่จริงก็ใช่นะ แต่ก็ยังต้องฝึกอีกเยอะเลยล่ะ เอาจริงๆก่อนจะไปที่อาณาจักรพระเจ้าฉันก็เพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปีเอง พอตายฉันก็เป็นเพียงวิญญาณก้อนกลมๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นรูปร่างแบบนี้จากการที่คุณพ่อคุณแม่สร้างและส่งพลังมาให้ฉันน่ะ"
ฉันพูดและทำท่าทางประกอบไปด้วย
"ส่วนค่าสถานะต่างๆ ฉันสามารถดูของคนอื่นได้อย่างอิสระและแก้ไขเพื่อปิดบังตัวตนอย่างตามใจก็ได้"
ฉันเปิดสถานะขึ้นมาให้พวกเขาดูอีกรอบก่อนจะปรับไปปรับมาอย่างสนุกสนานระหว่างพระเจ้ากับนักบุญ
"ท่านเอลล่าก็เคยลบประวัติ [ทาส] ในสถานะของผมให้ด้วยนี่นะครับ..."
"อื้ม~ ใช่ๆ เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย"
"ทำไมตอนนั้นผมไม่ฉุกคิดขึ้นมานะ..."
วินซ์ตอบพลางลูบคางคิดอย่างจริงๆจัง
"แล้วแบบนี้ถ้าเธอจะใส่ประวัติให้คนอื่นก็ได้น่ะสิ?"
"น่าจะได้นะคะพี่ ฉันไม่เคยลองเหมือนกัน เรื่องหลายๆเรื่องยังคงต้องค่อยๆเรียนรู้อีกเยอะเลยล่ะ มาอยู่ที่โลกนี้ก็ใช้แต่พลังบริสุทธิ์ที่ได้จากโลกนี้ล้วนๆ ยังไม่เคยลองใช้พลังที่เป็นของตัวเองจริงๆเลย เว้นก็ตอนที่ทำสัญญากับเหล่าเทพตอนนั้น...มีใครอยากจะให้ฉันทดลองเพิ่มประวัติดูไหมล่ะ ฮะๆ~"
ฉันพูดทีเล่นทีจริงกับพวกเขาก่อนจะหัวเราะออกมา
"งั้นเพิ่ม [พี่ชายสุดที่รักของเอลล่า] ให้ข้าที"
เอริคพูดด้วยดวงตาเป็นประกายจนโดนริเวียล่าตีแขนปรามให้ตื่นเต้นน้อยๆหน่อย ฮะๆๆ~
"ได้สิคะพี่"
ฉันพูดก่อนจะเปิดสถานะของเอริคขึ้นมาและทดลองใส่ประวัติเพิ่มลงไป ได้ผลแฮะ~ พอเขาเห็นแบบนั้นก็ทำท่าดีใจเหมือนเด็กๆ
"คราวนี้ก็เอาไปอวดท่านพ่อกับท่านแม่ได้แล้ว ฮ่าๆ!~"
"จุดประสงค์หลักของพี่คือสิ่งนี้สินะคะ..."
"แน่นอน~...จริงสิ เอลล่า"
"หืม? ว่าไงคะพี่?"
"ขอบคุณนะที่มาอยู่ในครอบครัวของพวกเราและไม่กลับไปที่ๆเจ้าเคยอยู่ ไม่โกรธเคืองอะไรกันเวลาเจอเรื่องแย่ๆ ช่วยเหลือกันในยามที่ลำบาก สร้างความประหลาดใจให้ได้เรื่อยๆ ข้าภูมิใจและดีใจจริงๆนะ"
เอริคพูดพร้อมจับมือฉันไปกุมก่อนพูดออกมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่อบอุ่น
"ผมก็ด้วย! ขอบคุณนะครับที่ปฏิบัติกับผมแบบคนทั่วไป ไม่ถือตัว เป็นกันเองแถมยังใจดี ขอบคุณมากจริงๆครับ!"
วินซ์ก็เขยิบเข้ามากุมมือฉันกับเอริคอีกคน ทำเอาน้ำตารื้นขึ้นมาหน่อยๆแล้วเนี่ย
"อยู่ด้วยกันไปจนเบื่อเลยนะคะ..."
"อะแฮ่ม! พวกฉันก็ไม่น้อยหน้าหรอกนะ หลีกเลย หลีกๆ!~"
ริเวียล่าจับมือของทั้งสองคนออกก่อนจะสวมกอดฉันแทนด้วยความรวดเร็ว
"ขี้โกงนี่ริล! เอลล่าถ้าเจ้าไม่ชอบใจสะบัดออกเลย อย่าไปยอม!"
"ฮะๆ~ ไม่หรอกค่ะ..."
"ฉันน่ะ!"
"หืม?"
อยู่ๆริเวียล่าก็ตะโกนออกมาทั้งๆที่หน้ายังซุกอยู่ที่ไหล่ฉัน
"ฉันก็คิดแบบเดียวกันกับพวกนายนั่นแหละ! ยิ่งตอนฉันกลับมาจากชายแดนเพื่อนสักคนก็ไม่มี นอกจากโรเวลล์กับเอริค การได้รู้จักกับเอลล่าเลยเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสุดๆไปเลยไม่ใช่หรือ แถมยังได้เพื่อนใหม่อีก ทั้งวินซ์ ทั้งบุตรของตระกูลดยุคตยอื่นๆ และอีกมากมาย ฉันได้ความเป็นกันเองของเธอช่วยไว้มากมายเชียวนะ!"
"ริล..."
ริเวียล่าพูดเสียงสั่นและกอดฉันแน่นขึ้น
"วันนั้นที่รู้ว่าเธอไม่มาโรงเรียนเพราะสลบไม่ฟื้น ฉันก็แทบไม่มีสมาธิจะสอบหรือเรียนเลยด้วยซ้ำ ถ้าโรเวลล์ไม่ช่วยพูดดึงสติฉันไว้จะต้องบ้าตายแน่ๆ...แต่ตอนนี้เธอกลับมาเป็นแบบเดิมแล้วฉันโล่งใจจริงๆนะให้ตายสิ..."
ริเวียล่าที่ท่าทางสุขุมเมื่ออยู่กับคนอื่น แต่เมื่ออยู่กับพวกฉันจะกลับกลายเป็นคนละคนคนนี้กำลังตัวสั่นเทาเหมือนเด็กน้อย สักครู่ก็รู้สึกเปียกที่หัวไหล่ ฉันจึงลูบหลังเธอเบาๆ
"ถึงแม้เธอจะไม่ใช่พระเจ้าหรือนักบุญฉันก็คิดกับเธอแบบเดิม ฉันสาบานเลย...ขอบคุณที่มายังโลกแห่งนี้นะ"
แล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมาจนคนอื่นต้องปลอบกันยกใหญ่ เธอถึงจะสงบสติอารมณ์ดังเดิม
"แล้วนายไม่พูดอะไรหน่อยหรอโรเวลล์"
เอริคหันไปถามโรเวลล์ที่กำลังส่งกระดาษทิชชูให้ริเวียล่า
"พูดอะไรล่ะ ก็รู้ๆกันอยู่"
"รู้ๆกันอยู่ของนายมันคืออะไรกันล่ะ!"
ฉันถามเขาที่ทำสีหน้ากวนๆมาให้ทันที
"เอาไว้เดี๋ยวค่อยบอก"
"โห่~ พวกข้าก็อยากรู้เหมือนกันน่า" เอริคก็พูดด้วยความสนใจ
"ฟืด~...ฉันล่ะอยากเปิดโปงความลับของนายให้เอลล่าฟังเสียเหลือเกินโรเวลล์"
"หึ..."
ริเวียล่ามองไปทางโรเวลล์อย่างมีเลศนัย
"หืม? ความลับอะไรน่ะ??"
เขาทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ด้วยสีหน้ายิ้มๆ พอได้ยินแบบนี้แล้วมันก็ยิ่งค้างคาใจไหมล่ะ~~
"สักวันเดี๋ยวจะบอก"
"โถ่~~ บอกเลยไม่ได้หรอ~~"
"บอกแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้"
เขายิ้มให้ก่อนจะจับหัวฉันโยกเบาๆ เดี๋ยวเถอะ! คนยิ่งมึนหัวยังไม่หายอยู่!
"อ๊ะ!"
"เป็นอะไรวินซ์?"
ทุกคนหันไปหาวินซ์ที่จู่ๆก็อุทานออกมา
"ทุกท่านดูข้างนอกหน้าต่างสิครับ!"
"...หิมะ?"
"เรื่องจริงหรือเนี่ย..."
กลายเป็นว่าทั้งหมดพร้อมใจกันลุกขึ้นและรีบเดินไปยังระเบียงทันที ว้าว~ หิมะจริงๆด้วย~ เพิ่งเคยเห็นของจริงเลยนะเนี่ย~~
"สวยจังเลย~"
ฉันพูดขึ้นก่อนจะกระชับผ้าคลุมไหล่ที่หยิบติดมือมาด้วย หิมะที่ตกลงมาเป็นสายสะท้อนกับแสงไฟจากคริสทัลเวทที่อยู่รอบคฤหาสน์จนเป็นประกายระยิบระยับเหมือนกากเพชรเลย~
"เอานี่ไปอีกชั้น...จมูกกับแก้มแดงหมดแล้ว ไม่ยักรู้ว่าพระเจ้าก็ขี้หนาวเป็นเหมือนกันนะเนี่ย"
"...ขอบคุณ ทำไงได้ฉันไม่เคยเจอสภาพอากาศแบบนี้มาก่อนนี่นา"
ฉันพูดกับโรเวลล์ที่เอาผ้าพันคอมาพันให้อีกชั้นและสร้างไออุ่นที่ฝ่ามือก่อนจะเอามาแนบที่แก้มให้ ฮู่ว~ ค่อยยังชั่วหน่อย~
"ข้าก็หนาวเหมือนกันนะโรเวลล์ ทำให้บ้างสิ"
"บอกริเวียล่านู่น"
เขาพูดกับเอริคพลางโบ้ยไปทางริเวียล่าที่ยืนเล่นหิมะอยู่กับวินซ์
"สองมาตรฐานชะมัด..."
ฉันหัวเราะก่อนจะมองลงไปด้านล่างที่ตอนนี้เหล่าสาวใช้ พ่อบ้าน ทหาร องครักษ์ ต่างก็เดินออกมาดูหิมะแรกในรอบหลายร้อยปีกันอย่างตื่นเต้น พอพวกเขาเห็นฉันก็โบกมือทักทายกันใหญ่เลย แต่พอเห็นองค์รัชทายาททั้งสองก็พากันเปลี่ยนสีหน้าและพากันก้มหัวให้แทน ก่อนที่ทั้งสองจะโบกมือประมาณว่าตามสบายพวกเขาจึงปฏิบัติตัวกันแบบเดิม ก่อนที่พวกฉันจะพากันเข้าห้องเพราะหิมะเริ่มตกหนัก
"ครั้งแรกในรอบหลายศตวรรษก็ตกหนักเลยแฮะ พรุ่งนี้น่าจะขาวโพลนเลย"
"รีบนอนแล้วรีบตื่นมาดูดีกว่า~"
ฉันพูดก่อนจะนั่งลงบนเตียงและเอนหลังนอนตามด้วยริเวียล่าที่นอนข้างๆ คนที่เหลือเมื่อเห็นดังนั้นก็แยกย้ายกันไปนอนที่ของตนเอง
"ราตรีสวัสดิ์...ฝันดีนะทุกคน..."