บทที่ 6
บ้านไม้หลังเล็กไม่มีข้าวของครบครัน ห้องนอนมีเพียงสองห้องที่มีแผ่นไม้กั้น มีที่นั่งดูทีวีกับเก้าอี้ไม้ยาวนั่งได้สองคน และมีห้องครัวไม่ใหญ่อยู่ข้างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีแค่ตู้เย็นเก่าใกล้พัง และหลอดไฟสองดวงที่ส่องแสงอยู่
บรรยากาศข้างนอกบ้านมีรั้วไม้สูงเท่าเอวล้อมไว้อยู่ พร้อมกับสวนดอกไม้ที่แม่ของเขาปลูก ที่ตอนนี้มันกำลังเริ่มเหี่ยวหญ้าขึ้นปกคลุม เนื่องจากเขานั้นไม่มีเวลาดูแลใส่ใจ เพราะใช้เวลาไปกับการหาเงินนอกบ้าน หลังบ้านก็มีกองขยะพวกขวดและกระดาษไว้สำหรับขายกองใหญ่อยู่เช่นกัน
และนี่คือสภาพบ้านของเขาที่ฉันได้เคยอาศัยอยู่ ซึ่งตอนนั้นฉันไม่ชอบและเหม็นขยะอย่างมากถึงมากที่สุด
“นอนพักก่อนนะครับ เดี๋ยวไปทำอะไรให้ทาน” น้ำเสียงทุ้มที่แสนไพเราะเอ่ยขึ้น พร้อมกับค่อยๆ วางร่างเล็กลงบนฟูกที่นอนอย่างนุ่มนวล และนำผ้าห่มหนามาคลุมกายเธออีกที
ฉันพยักรับรู้ก่อนจะหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะตอนนี้ฉันไม่มีแรงจะลืมตาพูดคุยได้อีกแล้ว สมองของฉันมันร่ำร้องว่าอยากจะพักผ่อนเสียเหลือเกิน
ต้นแบบจ้องมองผู้มาใหม่อย่างเอ็นดูก่อนจะยิ้มออกมา ไม่คิดเลยว่าคนที่เขาปล้นเมื่อคืน จู่ๆ จะยอมมาเป็นเมียเขาอย่างจำยอม แต่จะว่าไปตอนที่ปล้นนั้นดูเธอจะไม่ค่อยกลัวแถมยังทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายอีกด้วย ถึงจะรู้สึกแปลกในอกแต่ตอนนี้สิ่งที่จำเป็นคือนำเงินไปเป็นค่ารักษาพยาบาลให้แม่
ตอนนี้เธอก็หลับอยู่ด้วยถ้าไปจ่ายค่ารักษาน่าจะได้ ขากลับพอมีเงินเหลือน่าจะซื้ออาหารมาให้เธอทานลดไข้ ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอก็ดูจะเปื้อนเลอะไปหมด สงสัยคงต้องซักตากให้ด้วยก็น่าจะดี
พอเสียงประตูปิดลงตามด้วยร่างสูงที่เดินออกไป ฉันที่เหนื่อยอ่อนก็เกิดลืมตาขึ้นเสียอย่างนั้น พร้อมกับรอยยิ้มดีใจประกายเต็มใบหน้า
“ในที่สุดฉันก็ได้กลับมานอนบนที่นอนของเขา กลิ่นหมอนก็ยังหอมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยด้วย”
ฉันว่ากล่าวอย่างดีใจและดอมดมกลิ่นที่นอนที่แสนคำนึงหา ใบหน้าฝังลงหมอนใบโปรดของเขามิดแทบหายใจไม่ออก พร้อมกับสูดดมกลิ่นมันเข้าไปจนเต็มปอด ไม่มีกลิ่นไหนจะหมอเท่ากลิ่นกายสามีของตนได้อีกแล้ว
โอ๊ย… ฉันตกหลุมรักผัวตัวเองเพิ่มขึ้นอีกแล้วสิ
หลังจากดมกลิ่นจนหนำใจดวงตาของฉันก็หลับลงอีกครั้ง และคราวนี้ก็หลับยาวจนถึงบ่ายเลยทีเดียว แต่ที่จำเป็นต้องตื่นอีกครั้งก็เพราะจมูกเล็กได้กลิ่นหอมอาหารโชยมาแต่ไกล
“ตื่นแล้วหรือครับ ลุกมาทานข้าวทานยาแก้ระบมก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นว่าฉันลืมตาตื่นเขาก็เอ่ยขึ้น พร้อมกับเติมน้ำใส่แก้ววางข้างๆ ตัวของฉัน จากนั้นเขาก็พยุงฉันลุกนั่งเอาหมอนพิงหลังให้อย่างรู้หน้าที่
“ฉันเผลอหลับนานไปหรือเปล่านะ” ฉันว่ากล่าวขึ้นอย่างลอยๆ เพราะดูจากนาฬิกาข้างฝ่าผนังที่เข็มยาวมันเริ่มชี้ไปที่เลขสองแล้ว
“คุณเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว พักนานกว่านี้ก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาตอบกลับ “มาทานอาหารอุ่นๆ ก่อนเถอะครับ เมื่อกี้ผมลองเอามืออังหน้าผากคุณดูเหมือนจะมีไข้อยู่ด้วย”
ฉันที่รู้ว่าตัวเองไข้ก็ได้แต่หุบปากลง และตั้งใจทานอาหารที่เขาซื้อมาจนหมด ตามด้วยยาเม็ดที่เขาเป็นคนเตรียมมาให้ แน่นอนว่าตลอดทุกการกระทำเขาจ้องมองฉันไม่วางตา เรียกได้ว่าถ้าป้อนได้เขาก็จะป้อนให้แล้ว
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ที่เตรียมทุกอย่างไว้ให้” ฉันพูดขอบคุณเขาจากใจ ที่ดูแลและคอยหาซื้อยามาให้ฉันทาน
“คนที่ต้องขอบคุณคือผมมากกว่า คือผมได้นำเงินของคุณไปจ่ายค่าหมอแล้ว ซึ่งผมสมควรถามความสมัครใจของคุณก่อน แต่เวลากำหนดจ่ายค่ารักษาคือเที่ยงวันนี้ ผมขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ ฉันเต็มใจที่จะให้คุณนำเงินไปรักษาแม่”
ก็ฉันเตรียมเงินจำนวนค่ารักษาพยาบาลเพื่อแม่ของเขาโดยเฉพาะไง แถมมันก็มีเหลือมากพอที่จะอยู่ต่อได้อีกหลายวันด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างฉันได้วางแผนไว้รอบคอบแล้ว
“นี่คือเงินที่เหลือจากค่ารักษาผมคืนให้คุณ”
เขาพูดพร้อมกับยื่นเงินจำนวนที่เหลือส่งให้ฉัน ซึ่งฉันก็รีบโบกมือปฏิเสธออกไปอย่างทันควัน
“เงินนั้นคุณเก็บไว้เถอะ เพราะอย่างไรฉันเป็นเมียคุณและคุณก็เป็นผัวของฉัน ยามนี้เราสองเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เงินของฉันก็เหมือนเป็นเงินของคุณดังนั้นไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ”
เขาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ถึงกับไปไม่เป็น ความรู้สึกร้อนผ่าวกำลังเดือดขึ้นบนใบหน้าหล่อ ก่อนจะหันหน้าหลบหน้าเก็บความเขินไม่ให้เธอเห็น แต่แบบนั้นใบหูของเขาที่แดงเถือกอยู่ก็ปิดสายตาเธอไม่มิดอยู่ดี
ไม่คิดเลยว่าจะมีคนอยากจะฝากฝังชีวิตอยู่กับเขาด้วย เพราะเขานั้นไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง ใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่เพื่อรอวันตายเท่านั้น แต่พอพบเจอเธอและได้ยินเธอพูดแบบนี้ ความรู้สึกของเขาก็เกิดอยากจะคิดดูแลใครสักคนขึ้นมา
“เงียบแบบนี้ คุณกำลังเขินอยู่หรอ”
ฉันมองกิริยาของเขาอย่างตลก เพราะตอนที่เขาเขินนั้นมันน่ารักจนอยากบีบแก้มเลยทีเดียว อยากจะเอาหน้าไปฝังที่แก้มของเขาอีกจังเลย มันต้องหอมมากแน่ๆ
“ปะเปล่า ผมแค่เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวให้คุณรู้จักเลย”
เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แถไปเรื่องอื่นในทันที
“ฉันชื่อ ดอกหญ้า อายุยี่สิบห้าปียินดีที่ได้รู้จักนะคะ” ฉันแนะนำเองออกไป พร้อมรอยยิ้มหวานกระจ่าง
“ผมชื่อต้นแบบแก่กว่าคุณหนึ่งปีครับ จะเรียกว่าพี่ต้นแบบก็ได้”
“เรียกชื่อแบบนั้นมันยาวไปอะ งั้นฉันเรียกคุณว่าที่รักดีไหม”
แน่นอนมุขหยอดของฉันนั้นมันได้ผลกับเขาอย่างมาก เพราะตอนนี้เขากำลังจะหน้าแดงอีกรอบ แถมยังหลบหน้าหนีเป็นพัลวันอีกด้วย
“ถ้าขืนคุณทำแบบนี้อีกผมจะไปไม่เป็นแล้วนะครับ”
ก็ฉันมันเป็นคนชอบแกล้งคนน่ารักนี่หน่า ดูหน้าของเขาตอนโดนแกล้งสิ มันน่าขย้ำให้หายมันเขี้ยวเหลือเกิน
“ก็ฉันอยากจะสนิทกับที่รักให้เร็วๆ หวังว่าที่รักคงไม่โกรธนะ”
สีหน้าอ้อนของฉันแน่นอนว่ามันได้ผลกับเขาอย่างมากถึงมากที่สุด ทุกครั้งที่ต้องการอะไรขอแค่อ้อนเพียงเท่านั้น สามีของฉันก็จะประเคนมอบทุกอย่างให้ ซึ่งฉันตอนนั้นมีแต่ความโลภ มองเห็นว่าเขาเป็นเพียงหุ่นปั๊มเงินให้ใช้เท่านั้น ถ้าหมดประโยชน์ก็พร้อมจะทิ้งในทันที นิสัยร้ายแบบนั้นฉันเกลียดมันอย่างมาก ถึงขั้นอยากจะตบหัวคนเขียนที่ให้ฉันทำตัวแบบนั้น
อีนักเขียนบ้านั่นบังอาจเขียนฉันทำร้ายผัวตัวเองได้ ชั่วจริงๆ!
“คุณจะนอนพักต่อหรือเปล่าครับ ผมจะได้ไม่รบกวน”
“ฉันนอนเต็มอิ่มพอแล้วค่ะ ว่าแต่ห้องน้ำอยู่ตรงไหนหรอค่ะ”
นอนนานไปความรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำจึงเยอะเพิ่มขึ้น ครั้นจะเดินไปเองก็กลัวเขาสงสัย ดังนั้นตีมึนทำเป็นรู้จักไปก่อนน่าจะดีกว่า
“คุณจะเดินไหวหรือครับ ให้ผมพาอุ้มไปไหม”
เพราะเมื่อเช้านั้นสภาพของเธอดูจะอิดโรยไม่มีแรงเดิน ถึงพักผ่อนแล้วก็ใช่ว่าจะฟื้นแรงกายเต็มที่ เขาจึงลงความเห็นว่าควรอุ้มพาเธอไปน่าจะดีกว่า กลัวเธอจะลื่นล้มระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุได้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันมีแรงเดินแล้ว”
นิสัยของสามีนั้นเป็นพวกชอบช่วยเหลือคนอื่นและใส่ใจผู้คนอย่างมาก นี่ขนาดเพิ่งพบกันเขายังดูแลดีแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยสักอย่าง การวางตัวก็อ่อนน้อมดูมีมารยาท ไม่แปลกเลยที่คนหมู่บ้านจะเอ็นดูและชอบเข้าหาเขา งานการก็ขยันหนักเอาเบาสู้ เพียงแต่ภาระหนี้สินมีเยอะมากกว่ากำลังของเขาคนเดียว ฉันที่เป็นถึงเมียเขาจะยืนดูอยู่เฉยๆ ได้ยังไงกัน ดังนั้นฉันตั้งใจจะหางานทำเพื่อหาเงินเข้าบ้านอีกแรง
“ผมวางใจไม่ได้จริงๆ ให้ผมอุ้มไปเถอะนะ”
เขาไม่รอฟังคำตอบของฉันอีก สองแขนแกร่งรวบตัวของฉันปะทะเข้ากับอกหนา ก่อนจะมุ่งตรงออกจากห้องไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ใกล้ ก่อนจะปล่อยให้ฉันจัดการตัวเองในห้องน้ำ ซึ่งฉันคิดว่าร่างกายตอนนี้มันเหนียวยิ่งกว่าขนมตังเมเสียอีก เลยอยากจะอาบน้ำผ่อนคลายสักหน่อย
“คุณช่วยเอาเสื้อผ้าในกระเป๋ามาให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ พอดีฉันอยากอาบน้ำด้วย” ฉันร้องตะโกนบอกคนข้างนอก ก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าที่ห่มกายออก
“คือผมซักเสื้อผ้าในกระเป๋าของคุณไปแล้ว ถ้างั้นคุณใส่เสื้อผ้าของผมก่อนได้ไหม” เขาตะโกนตอบกลับออกไป เพราะว่าก่อนที่เธอจะตื่นไม่เท่าไหร่ ตัวเขาเพิ่งซักเสื้อของเธอไปนะสิ แถมมันคงยังไม่แห้งในเวลานี้แน่นอน
“เอาตามนั้นก็ได้ค่ะ แต่ฉันขอผ้าเช็ดตัวก่อนจะได้ไหม”
“รอสักครู่นะครับ”
ใช้เวลาไม่นานเสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น ฉันเปิดประตูอ้าออกในทันทีก่อนจะยื่นมือรับผ้าเช็ดตัวจากเขา ซึ่งเขาที่เห็นอย่างนั้นก็ยืนแข็งค้างอ้าปากกว้างกลางอากาศไปเลยทีเดียว
“เป็นอะไรไปหรอค่ะที่รัก ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย” ฉันถามขึ้นด้วยความอยากรู้ ก็เขาเล่นยืนแข็งแบบนั้นนานไปหลายวินาทีเลยนะสิ
“คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังโป๊อยู่ ทำไมต้องเปิดประตูกว้างด้วยละครับ” เขาตอบกลับก่อนจะผลักดันฉันให้เข้าห้องน้ำ
ซึ่งฉันที่เพิ่งรู้ตัวก็ยิ้มแห้งบวกกับความอายที่มีอยู่เล็กน้อย ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะกำลังจะอ่อยเขาอยู่เนี่ยแหละ แต่เจ้าตัวดันไม่เล่นและยังผลักให้ฉันเข้าห้องน้ำปิดประตูใส่หน้าอีก
ชิ…สามีฉันซื่อบื้อเสียจริง
น่าจะรู้ตั้งนานแล้วนะว่าสามีเธอมันซื่ออะ
ซื่อเข้าขั้นบื้อเลยล่ะ
แต่ตอนที่สามีน้องเขินนี่มันดูน่ารักจริงๆเลยอะ
อยากบีบแก้ม แต่เมียเขาดุเหลือเกิน
5555555